ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ภัยมืดในอาหาร มัจจุราชเงียบ 12 ประการที่คุณไม่รู้ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=36146 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 07 ม.ค. 2011, 13:47 ] |
หัวข้อกระทู้: | ภัยมืดในอาหาร มัจจุราชเงียบ 12 ประการที่คุณไม่รู้ |
ภัยมืดในอาหาร มัจจุราชเงียบ 12 ประการที่คุณไม่รู้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ เรื่องโดย...นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ. (จุฬาฯ) ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์ (American Board of Anti-aging medicine) drkrisda@gmail.com ![]() ![]() ![]() ในอนาคตนั้นสาเหตุการเสียชีวิตของปุถุชนคนเดินดินอย่างเรา จะเปลี่ยนจากเรื่องของโรคทางกายไปเป็นโรคที่เกิดจาก “จิตทำร้ายกาย” หรือโรคทางจิตใจกันมากขึ้น ซึ่งก็มักเป็นโรคที่เกิดจากการทำตัวเอง โดยเฉพาะนโยบายตัดช่องน้อยแต่พอตัว ไม่รู้จะมัวอยู่ไปใยชวนให้ฆ่าตัวตายกันเป็นเบือดังที่เป็นข่าวครึกโครมไป ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกได้ให้เกียรติประเทศไทยมากโดยได้จัดว่า การฆ่าตัวตายจะนำโด่งขึ้นมาเป็นสาเหตุสำคัญอันดับสอง รองจากมัจจุราชโรคหัวใจในอีก 12 ปีข้างหน้า นอกจากนั้นเหล่าซือแป๋ฟิวเจอริสต์นักทำนายอนาคต อันไม่เกี่ยวกับโหรดวงตกทั้งหลายท่านยังกะการณ์ไว้ว่า อีกไม่ถึงห้าสิบปีเราจะกำจัดโรคทางกายได้หมด จนทำให้เหตุการณ์ตายเปลี่ยนเป็นเกิดจากผู้ก่อการร้ายและภัยธรรมชาติแทน ดังที่อเมริกาได้ทำรูป “นาฬิกาสิ้นโลก (Doomsday clock)” ไว้ให้ดูง่ายๆ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เข็มของนาฬิกานั้นยิ่งเข้าใกล้เที่ยงคืนมากเท่าใด แปลว่า โลกอยู่ใกล้หายนะมากเท่านั้น แต่แท้จริงนั้นถ้าดูกันให้ดีเราอาจลืมเผอเรอไปว่าเรื่องของอาหารการกิน ก็มีส่วนสำคัญในการลาลับโลกของมนุษย์ไม่แพ้การก่อการร้ายเลย แถมยังแย่กว่าเสียอีกด้วยว่ามักงุบงิบสะสมพิษร้ายไปเรื่อย ให้เราตายใจไม่ใคร่จะกลัวกันนัก แต่เมื่อถึงเวลาก็กลายเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายหรือหัวใจวายตายไปเลย รูปที่ 1 “นาฬิกาสิ้นโลก” ที่ใช้เป็นหน้าปกของวารสารอะตอมมิกไซแอนทิสต์ มาตั้งแต่ปี 1947 แล้ว เป็นสัญลักษณ์บอกถึงปัญหานานาประเภทที่มนุษย์ก่อขึ้นมา แล้วทำให้โลกเข้าใกล้กาลอวสานมากเพียงใดแล้ว โดยดูจากเข็มยาวว่าใกล้เที่ยงคืนมากเท่าใด เมื่อพูดถึงประเด็นเรื่องอาหารปลอดภัยแล้ว ถึงแม้อาหารของชาติใดจะมีอันตรายร้ายกาจอย่างไรก็ตาม แต่อาหารชาติไทยนั้นอย่างไรก็ยังปลอดภัยและมีสารอาหารต้านแก่อยู่อย่างเต็มล้นปรี่ ทำให้ผมหวนนึกไปถึงเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนที่ท่านอดีตประธานาธิบดีเคนเนดี้ ได้กล่าวอมตะวาจาไว้ ณ ประเทศเยอรมันตะวันตก ว่า “เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้ว คำพูดที่ถือว่าเป็นสิ่งน่าภาคภูมิใจของมนุษย์ คือ ข้าพเจ้าเป็นประชาชาติโรมัน แต่ ณ บัดนี้ คำกล่าวอ้างอันน่าภูมิใจนั้นต้องเปลี่ยนไปเป็นว่า ข้าพเจ้าเป็นประชาชนแห่งเบอร์ลินแทน...” ถือได้ว่าเป็นสุนทรพจน์อันยิ่งใหญ่กินใจคนทั้งโลก เพราะกล่าวหลังจากสตาลินสร้างกำแพงเบอร์ลินกั้นแยกชาติเยอรมันได้ไม่นาน แต่สำหรับตัวผมเองนั้นผมว่า ณ ขณะปี พ.ศ. 2551 นี้ คำพูดที่ควรจะพูดได้เต็มปากและแสดงความภาคภูมิใจให้ชาวโลกเห็นได้ดีที่สุด คือ “ข้าพเจ้าเป็นคนไทย” ครับ เพราะคนไทยนั้นมีทั้งหลักยึดเหนี่ยวแห่งจิตใจอันประเสริฐ ทำให้มีกำลังใจแข็งแกร่งกันอยู่ชั้นหนึ่ง แล้วยังมีเรื่องของความอุดมสมบูรณ์จากพฤกษมังสาหารทั้งหลาย จนเป็นที่น่าอิจฉาของประเทศอื่นเป็นยิ่งนัก แม้จะไร้เงาเขาพระวิหารไปแล้วก็ตาม (โฮ!) รูปที่ 2 “อิคช บิน ไอน์ แบลินเนอร์” หรือข้าพเจ้าเป็นพลเมืองแห่งเบอร์ลิน อมตะวัจนะแห่งประธานาธิบดีเคนเนดี้ที่กล่าวไว้ว่าจะเป็นประโยคที่ภาคภูมิใจแก่ผู้พูด ซึ่งก็คงไม่แพ้คำว่า “ข้าพเจ้าเป็นพลเมืองแห่งราชอาณาจักรไทย” ที่อุดมสมบูรณ์ทั้งอาหารกายอาหารใจเป็นแน่ ทว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ อาหารการกินในปัจจุบันนี้นอกจากจะไม่ประณีตเหมือนเมื่อก่อน แล้วยังแถมไปด้วยอันตรายแฝงอยู่ทุกอณูทั้งที่รูปลักษณ์ภายนอกดูสวยชวนชิมทีเดียว ดังที่ท่านผู้อ่านก็คงได้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ทุกวันจนทำให้หลายต่อหลาย ท่านท้อไปว่าการจะมีชีวิตอยู่ดีมีสุขนี่ก็ยากพอดูอยู่แล้ว แต่จะดำเนินชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขชักกระตุกทีเดียวตายนี้ยิ่งยากหนักหนา ด้วยก่อนตายอาจต้องทุพพลภาพ เป็นโรคสมองเสื่อมจากสารพิษ หรืออัมพฤกษ์อัมพาตนอนเป็นผักอยู่ เพราะอาหารมันๆ ทั้งหลายประดังกันเข้าไปอุดหลอดเลือดเสียสิ้น แต่กระนั้นก็ดีคงไม่จำเป็นต้องถึงขนาดเก็บตัวเป็นดักแด้หนอนไหมอยู่ในบ้าน ไม่ออกไปเดินเล่นตลาดนัดหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใคร ใฝ่ใจมุ่งแต่ประพฤติพรหมจรรย์ดุจชีมืด เพราะถึงแม้อุตส่าห์ทำถึงเพียงนั้นก็ตามทีถ้ายังมี “อวิชชา” ไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยีอาหารอยู่ท่านก็ยังเหมือนอยู่ใกล้ป่าช้าแค่เอื้อม ด้วยว่าสารพิษบางอย่างมาในรูปของยาและอาหารเสริม ก็มีดังในบทความที่ได้เคยคุยกันไปแล้ว ขนาดราชาธิราชใหญ่ค้ำฟ้าขนาดจิ๋นซีเมื่อสองพันกว่าปีก่อนยังเชื่อว่า น้ำปรอทเป็นหนึ่งในอมตะโอสถ จะช่วยให้ท่านดำรงขันธ์เป็นโอรสสวรรค์ต่อไปได้เป็นหมื่นปี แต่ไม่ช้านานหลังจากนั้นก็กลับกลายเป็นว่า สวรรค์ทูลเชิญท่านไปเป็นโอรสอยู่ใกล้ชิดเง็กเซียนเบื้องบนแทน หรือแม้แต่เครื่องสำอางค์หน้าขาวสมัยอลิซาเบแธน (ในราวสมัยสมเด็จพระนเรศวรของไทย) ก็ทำมาจากตะกั่วขาวซึ่งใช้กันตั้งในในราชสำนัก ท้าวพญามหากษัตริย์ไปจนถึงชั้นขุนน้ำขุนนางนางพญาอังกฤษ อย่างควีนอลิซาเบธที่หนึ่งหรือพระนางแมรี่ควีนแห่งสก็อตก็ทรงใช้อย่างสม่ำเสมอ หาดูได้ง่ายจากพระบรมฉายาลักษณ์ในสมัยนั้นที่สตรีชั้นสูงจะดูวงหน้าขาวเด่น ลอยออกมาจากรูปและรอบคอก็ใส่วงลูกไม้ระบายขนาดใหญ่โตเหมือนพาน ว่ากันว่าสารตะกั่วหน้าขาวนี้นอกจากสะสมทำให้เกิดพิษภัยกับผู้ใช้ แล้วก็ยังไพล่ไปเกิดพิษกับบุรุษผู้อยู่ใกล้ชิดด้วย ดังที่ว่ามีเรื่องราวร้องเรียนกันในสมัยนั้นว่าสามีของสตรีชั้นสูงเหล่านี้ ต่างพากันโอดครวญถึงพิษของสารตะกั่วที่ได้รับจากสุภาพสตรีมายเลดี้ทั้งหลาย แต่กระนั้นก็ดีปัจจุบันนี้หาใช่จะมีแต่อิตถีเพศหรือผู้ลากมากดีเท่านั้น ที่อยากจะมีสุขภาพดีผิวสวยงาม แต่ไม่ว่าจะเพศใดวัยใดก็ตาม ลึกๆ ในใจทุกท่านก็ล้วนแต่อยากมีรูปร่างดีมีเสน่ห์และสุขภาพเป็นเลิศด้วยกันทั้งนั้น บางท่านว่ามักน้อยไม่ได้อยากหล่อสวยอันใด แต่ขอให้ไม่ต้องเป็นโรคทุกข์ทรมานก่อนตายก็พอ แม้จะปรารถนาน้อยเพียงนี้แต่บางทีมันก็นำท่านไปสู่อันตรายได้เช่นกัน ด้วยว่าอาหารและยาส่วนใหญ่ที่จะเอามาใช้บำรุงขันธ์ห้าของท่านได้นั้น จำต้องใส่สารกันบูดกันเสียทั้งนั้น ดังนั้นก็เห็นจะมีวิธีเดียว ที่ท่านสามารถจะสามารถกินอยู่อย่าง “ทุกข์น้อยที่สุด” อยู่บนโลกใบนี้ได้ ก็ด้วยการ “รู้เท่าทัน” เท่านั้น ต้องรู้เท่าทันพิษร้ายที่อาจปนเปื้อน หรือถูกใส่มาในอาหารให้ได้ดีที่สุด แล้วที่เหลือก็สุดแล้วแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนท่านจะกรุณาเราเอง รูปที่ 3 ตั้งแต่ก่อนคริสตกาลในยุคของจิ๋นซีมาจนถึงยุคเรอเนสซองส์ในยุโรป ผู้คนเชื่อว่าสารพิษโลหะหนักเช่นปรอทหรือตะกั่วขาวเป็นสารพิเศษ ที่ช่วยบำรุงสุขภาพและบำรุงผิวพรรณได้ ถือเป็นสูตรหนึ่งของยาบำรุงร่างกายเลยทีเดียวครับ รูปที่ 4 สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่หนึ่ง และพระนางแมรี่แห่งสก็อต เป็นผู้นำแฟชั่น การใช้ตะกั่วขาวในการผัดหน้าให้ขาวสวยจะได้ดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา ซึ่งสมัยนั้นเรียกเครื่องสำอางนี้ว่า “แป้งตะกั่วขาวของชาวเวนิส” ปริทรรศ์แห่ง “มัจจุราชเงียบในอาหาร” ทราบกันดีว่าถ้าไม่ถึงที่ตายก็ไม่วายชีวาวาตม์ใช่ไหมครับ แต่อาจต้องมองลึกไปสักนิดว่าถ้ามันยังไม่ถึงที่ตาย แต่ก็ไม่วายชีวาวาตม์เสียทีเดียวนี้มันก็ทรมานไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ดังนั้นต้องพยายามอย่าใช้ช้อมส้อมขุดหลุมศพให้ตัวเองครับ ถ้าจะกินหรือจะใช้ผลิตภัณฑ์ใดต้อง “Use with good judgment” เหมือนสโลแกนของท่านโอบาม่า อย่าไปเลือกชนิดที่เก่าแก่หรือเก่าเก็บมากจนเกินไป ด้วยว่าอาจมีสารพิษเกิดขึ้นในตัวของมันเองได้ เช่น สารพิษโบทูลินุ่มในอาหารกระป๋องปนเปื้อน ที่ไม่นุ่มนิ่มจิ๋มจุ๋มอย่างที่คิด แค่สะกิดชิมเพียงนิดก็อาจพากันนอนชักเกร็งเป็นอัมพาตไปได้ อย่าไปคิดว่ายิ่งแก่ยิ่งเจ๋ง Old but not expired แบบคุณแม็คเคนไปทุกสิ่งสรรค์ครับ มันอาจเป็นยิ่งแก่ยิ่งแสบ ยิ่งบ่นเก่งก็เป็นได้ เลยขอนำดาวเด่นของสารผสมอาหารสิบสองชนิดที่พบบ่อย ที่มีผลพลอยได้คือถ้ากินสะสมเข้าไปมากแล้ว ก็เป็นที่แน่นอนเลยว่าจะใช้แลกคูปองของรางวัล ไปทัวร์ยมโลกได้เร็วกว่าใครทีเดียวครับ ![]() หรือมืชื่อจุ๋มจิ๋มที่รู้จักกันว่า “ดินประสิว” พอได้ยินชื่อเพื่อนรักคนนี้แล้ว ต้องเห็นสีแดงตามมาเลยนะครับ ด้วยว่าอยู่ในกุนเชียงรสอร่อยมันเยิ้ม, ไส้กรอกรถเข็นสีแดงจัดจ้านราดน้ำจิ้มรสเด็ด, แหนมตุ้มขนาดพอคำ, ปลารมควันของฝากจากเมืองไกล หรือจะไส้กรอกฮ็อทด็อกสัญชาติอเมริกันสุดหรู จากร้านสะดวกซื้อ ที่เอามายืนถืองับกันจนน้ำราดแดงเหลืองไหลเยิ้มง่ามมือ เมนูอาหารสร้างสรรค์สังคมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีดินประสิว ช่วยเสริมให้เนื้อแดงจัดชวนกินทั้งนั้น แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ตัวเราไม่ใช่พลุหรือปุ๋ยมูลค้างคาว เราจึงไม่ต้องการดินประสิวมากขนาดนั้น เมื่อกินเข้าไปร่างกายจะร้องค้านว่าเป็นส่วนเกินแล้ว ก็กระทำอารยะขัดขืนไม่ ยอมรับพร้อมกับสร้างกระแสมะเร็งขึ้นมาทันที โดยพบว่าเด็กที่กินไส้กรอกฮ็อทด็อกแบบนี้เพียงปีละโหลกว่าเท่านั้น จะมีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าเด็กที่ไม่ได้กินถึงสองเท่าเลยทีเดียว ในผู้ใหญ่ก็ไม่แพ้กันครับจะได้มะเร็งแถมมาด้วยพอกัน ![]() (Butylated hydroxyanisole, butylated hydrozyttoluene) ฟังดูชื่อแล้วยังกับต้องทายปรัศนีบุคคลในคอลัมน์ซ้อเจ็ด หรือราวกับ อ่านภาษาต่างดาวอยู่ แต่แท้จริงแล้วชื่อจริงของมันยาว จึงขอเรียกเป็นชื่อย่อให้ไม่ระคายหูกันครับ สารร้ายนี้มีมากในอาหารเช้าแบบฝรั่งจำพวกซีรีล, ธัญพืชสำเร็จรูป, หมากฝรั่ง, มันฝรั่งและน้ำมันพืชครับ สารนี้เป็นสนิมอนุมูลอิสระโดยตรงเลยครับ ด้วยว่าตัวมันไม่เสถียร สามารถแตกตัวไปกลายเป็นเสือหิวอิเล็กตรอน ไปกัดกินอณูร่างกายคุณให้กลายเป็นมะเร็งได้ครับ ![]() ชื่อนี้ไม่คุ้นหูนัก แต่ก็ร้ายเงียบไม่แพ้กัน โดยมักใส่มากับสหายสนิทคู่คิดเจ้าเก่าสองนายคือ “บีเอชเอ” และ “บีเอชที” โดยเป็นศัตรูร้ายของผู้ที่พิสมัยในการบริโภคเนื้อแดง เช่น เนื้อวัว, เนื้อหมูหรือแม้แต่เนื้อก็มีในซุปไก่ และในหมากฝรั่งเป็นต้น จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารนี้มีพรสวรรค์ในการรังสรรค์มะเร็งได้ไม่แพ้กันครับ ![]() หรือที่รู้จักกันในชื่อสุดคลาสสิกว่า “ผงชูรส” เมื่อพูดถึงผงชูรส ก็ชวนให้คิดไปถึงเมื่อกาลก่อน ที่รถเข็นขายบะหมี่ป๊อกๆตามบ้านที่จอดลวกเส้น ทำก๋วยเตี๋ยวตามสั่งให้ แล้วเมื่อใส่เครื่องเคราเสร็จแล้วก็จะหยิบช้อนปลายเล็ก ขนาดเท่าไม้แคะขี้หูมากระดกเทเกล็ดขาวเล็กๆ ใส่ลงไปด้วยนิดหนึ่ง เรียกว่านับเกล็ดได้ทีเดียว ซึ่งมารู้ทีหลังว่านั่นเองคือผงชูรส และที่ใส่ให้น้อยกว่าไม่พรั่งพรูเหมือน กากหมูเจียวก็เพราะว่ามันแพงมากในสมัยนั้น ด้วยเป็นยุคที่ญี่ปุ่นเพิ่งคิดค้นได้ว่าโลกนี้ยังมีรสที่ลิ้นรับสัมผัสได้ ว่าอร่อยนอกจากเปรี้ยว, หวาน, เค็ม, ขม (แต่เผ็ดนั้นไม่ใช่รส เป็นความแสบร้อนจากกรดแคปไซสิกแทน) แล้วก็ยังมี “รสอุมามิ (Umami)” ซึ่งแปลว่า “โอชารส” หรือรสอร่อยนั่นเอง แต่ข้อเสียของผงชูรสคือในภัตตาคารที่ทำอาหารขายคนหมู่มากนั้น มักไม่มีเวลาที่จะมานั่งทำน้ำสต๊อกให้ได้ปริมาณมากเป็นถุงเป็นถัง จึงต้องใช้วิธี ลักไก่โยนผงซุปชูรสนี้ลงไป ซึ่งถ้าเหยื่อ เอ๊ย...ลูกค้ารับประทานไม่มากและไม่บ่อยนักก็ไม่เป็นไร แต่บางท่านต้องผูกปิ่นโตไว้กับร้านเดิมตลอดก็อาจเกิดอาการพิษจากผงชูรสได้ โดยอาการนั้นจะเป็นอาการของพิษต่อระบบประสาทเป็นส่วนใหญ่ครับ ตั้งแต่ปวดศีรษะไม่ทราบเหตุ, ลิ้นชาปร่าแปลกๆ ไป จนถึงขั้นที่ทำให้อาเจียนเวียนศีรษะและตาบอดได้เลยทีเดียว ซึ่งที่จริงแล้วนั้นเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผงวิเศษนี้ เพื่อทำให้อาหารของเรา ประดุจออกมาจากห้องเครื่องแดจังกึม เพราะว่าแท้จริงแล้วรสอุมามินี้คือ รสของกรดอะมิโน ซึ่งก็มีอยู่ตามธรรมชาติในเนื้อสัตว์ทั่วไป, น้ำซุปเนื้อ, เนื้อปลา หรือแม้แต่ผักคะน้า ดังนั้น จะเห็นว่าภูมิปัญญาเราที่เอาคะน้ามาผัดกับปลานั้น ก็ถือว่า เป็นความอร่อยแบบอุมามิได้โดยไม่ต้องใส่ผงชูรสเลย หรือถ้าท่านรู้จักเลือกชนิดของอาหารและนำน้ำเนื้อมาปรุงรวมกับผัก ก็จะให้รส อร่อยได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผงชูรสสุดหวงของอาแปะบะหมี่เกี๊ยว หรือเพื่อทำให้อาหารของคุณรสเลิศ ประดุจเป็นฝีมือของจอมนางซางกุงแห่งวังหลวงเลย รูปที่ 5 ไส้กรอกแดงสวยราดน้ำจิ้มรสเด็ดหน้าโรงเรียนหรือเนื้อแดดเดียว, แฮมและเนื้อรมควันทั้งหลายเป็นแหล่งสำคัญของดินประสิว ที่แม้กินเพียงไส้กรอก เดือนละแท่ง ก็ช่วยเพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งให้แซงหน้าเพื่อนพ้องได้แล้ว ![]() ผู้ร้ายรายนี้เป็นไขมันชนิดหนึ่งครับตัวไม่ใหญ่โตอะไรมาก มักอยู่ใน คุกกี้, บิสกิต, ขนมเค้ก, ฟาสต์ฟู้ด, เบเกอรี่, ปาท่องโก๋ทั้งหลาย แต่ขยันก่อเรื่องนานัปการ โดยสถานที่เกะกะเกเรที่สำคัญอยู่ที่ทำเนียบฯ เอ๊ย...ทันโทษ อยู่ที่หลอดเลือดหัวใจครับ มันโปรดปรานการอุดหลอดเลือดหัวใจที่ชื่อ โคโรนารีมาก วันร้ายคืนร้ายมันก็ไปจับตัวรวมหัวกับสนิมอนุมูลอิสระ เกิดเป็นตะกรันชวนครั่นคร้ามให้หัวใจสูบเลือดไม่ออกเสียอย่างนั้น แล้วทีนี้จะไปหา กทม. มาลอกท่อที่ไหนก็ไม่ได้ด้วยว่า หลอดเลือดหัวใจนี้เล็กจิ๋วขนาดเพียงไม่ถึงปลายนิ้วก้อยเท่านั้นเองครับ สำหรับผู้ที่ติดการบริโภคเบเกอรี่นานาพันธุ์แบบหยุดไม่ได้นี้ สิ่งที่ทำได้ก็คงจะเพียงนั่งหน้าป๋อหลอรอเปลี่ยนบายพาสหลอดเลือดเท่านั้นเองครับ รูปที่ 6 ถ้าไม่อยากใช้ผงชูรสก็ยังมีวัตถุดิบธรรมชาติอื่น ที่ให้รส “อุมามิ” เหมือนกัน ได้แก่ เห็ดหอม เนื้อสัตว์ ปลา และกุ้ง ดังนั้นการจับคู่อาหารอย่างชาญฉลาดของแม่ครัวพ่อครัว จะทำให้อาหารมีรสอร่อยลิ้นขึ้นมาก ได้แก่ ผัดผักคะน้ากับปลาเค็ม ผัดผักกระเฉดใส่หมูกรอบ ผัดผักกาดขาวใส่เห็ดหอม หรือพิซซ่าซึ่งมีมะเขือเทศกับชีส เป็นต้น ![]() รู้กันดีอีกชื่อคือน้ำตาลเทียม มีหลายชนิดหลากยี่ห้อ แต่ที่ดั้งเดิมเจ้าเก่าเล่ายี่ห้อนี้ก็คือแอสปาแตมนี่เอง แต่ก่อนแต่ไรนั้นมีการใช้ขัณฑสกรให้ความหวาน โดยชื่อของมันก็แปลว่า ผู้ทำให้หวานอยู่แล้ว ส่วนชื่อภาษาอังกฤษว่า ซัคคาริน ก็ยิ่งฟังดูหวานเข้าไปอีก ต่อมารู้ว่ามีพิษก็เลยผลิตแอสปาแตมขึ้นมาให้ความหวานแทน แต่กระนั้นก็ดีไม่นานก็มีผู้พบว่า แอสปาแตมนี้ถ้าโดนความร้อนก็อาจกลายเป็น “หวานมรณะ” ก่อม็อบให้ร่างกายรำคาญใจให้เป็นมะเร็งไปเสียรู้แล้วรู้รอดเลย และเดี๋ยวนี้ก็ยิ่งมีน้ำตาลเทียมให้เลือกหลายชนิดขึ้น โดยอ้างว่า ปลอดภัยใสซื่อมาก ซึ่งก็จริงอยู่ครับแค่ระวังอย่าไปใช้ชงกาแฟ หรือเหยาะบนก๋วยเตี๋ยวร้อนควันโฉ่เข้าก็แล้วกันเดี๋ยวมะเร็งถามหาครับ รูปที่ 7 ไม่ว่าจะ ปาท่องโก๋, โดนัท, แคบหมู, เนยเทียมหรือเฟร้นช์ฟรายด์ ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งอันอุดมของทรานส์แฟ้ท ชวนอุดตันหัวใจให้น่ากลุ้มทั้งสิ้น ![]() ตัวนี้ก็เป็นตระกูลเทือกเถาเหล่ากอเดียวกับ “น้ำตาลเทียม” อีกเหมือนกันครับ แต่มักใช้กับขนมอบทั้งหลาย, วุ้นสีสวยสด และหมากฝรั่งเคี้ยวหนุบหนับผลัดกันเคี้ยว (อ้วก!) เหล่านี้มีสารนามประหลาดดังว่านี้แฝงอยู่เป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้เกิดความหวานติดลิ้นติดใจผู้ใหญ่และเด็ก ก็เอาเป็นว่าถ้าเป็นเรื่องของความหวานเทียมนี้ ถ้ากลัวมันมากนักก็อย่าใช้จะดีกว่าครับ สมุนไพรอื่นที่ให้ความหวานแบบไม่ซ่อนมะเร็งยังมีอีกเยอะแถมไม่อ้วนด้วย นั่นคือ ชะเอมเทศ (แต่อย่าไปใช้ชะเอมไทยนะครับ) และหญ้าหวาน ผมใช้แทนน้ำตาลให้ผู้ป่วยเบาหวานมานานแล้ว และได้ผลดีเสียด้วย เพราะน้ำตาลไม่ขึ้น มีข้อเสียอยู่สักหน่อยคือไม่ได้หวานจัดจ้านถึงใจนัก แต่ถ้ารักจะมีสุขภาพดีก็ต้องยอมครับ ![]() สีผสมอาหารที่ใช้กันอย่างเบิกบานในปัจจุบันนี้มีทั้งแบบที่เป็นสังเคราะห์และธรรมชาติ ซึ่งแบบสังเคราะห์นั้นที่ปลอดภัยก็มีแต่ก็ต้องดูให้ดีครับ เพราะอย่างที่ว่าคืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่ของธรรมชาติร่างกายมักจะต่อต้าน และทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แยกได้ในยุคหินใหม่จนถึงยุคกลางนั้น ผู้รังสรรค์งานศิลป์มักใช้สีจากธรรมชาติในการแต่งแต้มงานของตัวเอง ดังเช่นภาพการรับบัพติสมาของพระคริสต์โดยเวอร็อคคิโอซึ่งใช้สีที่ผสมด้วยไข่แดง ส่วนมิเคลันเจโลก็เคยวาดภาพพระแม่ที่มีผ้าคลุมสีฟ้าเข้ม ตามจารีตที่มีไว้ในไบเบิลโดยสีม่วงนี้ในสมัยนั้นได้มาจากหินสีน้ำเงินเข้มขาบสวย ที่หลายท่าน รู้จักดีในฐานะเครื่องประดับนั่นคือ “ลาพิซ ลาซูรี่” ครับ ส่วนสีผสมอาหารดังที่กล่าวมาทั้งห้าอย่างนี้มีการศึกษาพบว่า ก่อให้ เกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ในหนูทดลอง โดยมักถูกเจือไว้ในอาหารพวกสีเชอรี่สด, ค็อกเทลผลไม้, ลูกกวาด, ไส้กรอกและขนมอบทั้งหลายครับ รูปที่ 8 “น้ำตาลเทียม” ถ้าใช้ให้ปลอดภัย ขอให้ระวังอย่าใส่ในของร้อน เช่น กาแฟ, ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารร้อนอื่น ![]() โอเลสตร้าเป็นไขมันสังเคราะห์ที่พบมากในมันฝรั่งแผ่นทอดกรุบกรอบ และ ขนมทอดใส่ถุงชวนหยิบเคี้ยวเล่นแก้เหงาปากทั้งหลาย โดยโอเลสตร้านั้นถ้าเผลอหยิบกระแทกปากมากไปก็จะเกิดอาการท้องเดิน, ปวดมวนท้องแบบบีบๆ และท้องอืดหลามไปด้วยแกสได้ นอกจากนั้นโอเลสตร้ายังก่อกรรมให้วิตามินเอ ที่คุณอุตส่าห์กินจากผลไม้เข้าไปนั้นไม่สามารถดูดซึมได้ดีด้วย รูปที่ 9 ขนม “มาซิแพน (Marzipan)” ของฝรั่ง ที่ทำจากถั่วอัลมอนด์บดเคลือบน้ำตาล เป็นต้นกำเนิดของ “ลูกชุบ” บ้านเรา ที่ต้องระวังเรื่องของสีสันอันสดใสจากสารสังเคราะห์ให้ดี ![]() ใช้เป็นสารปรุงแต่งอาหารเมื่อต้องการเพิ่มปริมาตรของขนมปัง, เค้ก, แยมโรลและขนมแป้งทั้งหลาย มันเป็นสารที่รู้กันดีในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่า ทำให้เกิดมะเร็งได้ไม่ยากเย็นนักในสัตว์ทดลอง ส่วนในคนนั้นแม้มีปริมาณเพียงน้อยในขนมปังขาวสักแผ่น ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้แล้วครับ ![]() ท่านที่อ่านงานของผมมาตลอดอย่างน้อยต้องจำคาถาพาอายุยืนข้อหนึ่ง ที่ผมขอให้ท่องกันให้ได้ขึ้นใจครับ นั่นคือเลี่ยง “แป้งกับน้ำตาลขัดขาว” ซึ่งมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในเบเกอรี่ทั้งหลาย, ธัญพืชสำเร็จรูป, คุกกี้, แคร็กเกอร์, ซอสปรุงรสและอาหารที่ผ่านกระบวนการทำให้น่ากินตามห้าง ด้วยว่าแป้งและน้ำตาลขัดขาวนี้ถ้าได้มากเกินไป ร่างกายก็ต้องทำงานหนักในการช่วยลดมันลงให้ไม่ไปจับตามอวัยวะต่างๆ เมื่อทำงานหนักมากเข้าร่างกายก็อาจสไตร๊ค์และปล่อยให้คุณแก่เลยตามเลยไปก็ได้ รูปที่ 10 มันฝรั่งทอดกรุบกรอบรสยอดนิยมที่ไว้กินเล่นยามเหงาปากหรือเชียร์บอลนั้น ถ้ารับประทานมากไปจะได้สาร “โอเลสตร้า” ซึ่งทำให้เกิดอาการท้องเดินปวดท้อง และขาดวิตามินเอได้ครับ รูปที่ 11 ถ้าไม่อยากแก่เร็วให้เลี่ยง “แป้งและน้ำตาลขัดขาว” ซึ่งเจืออยู่ในอาหารเกือบทุกอย่างในยุคนี้ และเมื่อกินเข้าไปมากจะทำให้ร่างกายยิ่งหลั่งฮอร์โมนแก่ออกมามากขึ้น ![]() เรียกได้เต็มปากว่าเป็น “ภัยเงียบ” เลยทีเดียวครับ สำหรับเกลือแกงนี้ ด้วยว่าปัจจุบันแทรกซึมเป็นยาดำอยู่ จนแม้กระทั่งอาหารเด็กอ่อนด้วยว่า เมื่อสำรวจแล้วพบว่าเด็กก่อนวัยเรียนนี้ ได้รับเกลือแกงสูงกว่าที่ควรจะได้หลายเท่าทีเดียว ซึ่งเป็นปริมาณที่เกินกว่าไตอ่อนๆของเด็กจะขัดล้างออกไปได้หมด และเมื่อเกลือมีค้างอยู่ในกายมากก็จะทำให้ความดันสูงขึ้น เกิดไตวายและตายไวได้ ดังจะเห็นได้ว่า เด็กเดี๋ยวนี้หลายคนต้องไปนั่งไขว่ห้าง ล้างไตแข่งกับผู้ใหญ่ ก็มีให้เห็นหนาตาแล้วเหมือนกัน ส่วนในผู้ใหญ่นั้นก็หายห่วงได้เลยว่า เกลือแกงที่สูงจะไปช่วยดองเค็มหัวใจ ให้ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อคุมความดันที่พากันสูงขึ้น อย่างไม่ปรานีปราศรัยจากฤทธีของโซเดียมตัวร้าย ถ้ายังนอนใจไม่แก้ไขลดเกลือก็คงไม่มีปัญหาอะไรมากไปกว่า หัวใจไร้รักเปลี่ยนเป็นเต้นกระตุกผิดจังหวะฮิปฮอปแล้วก็ขี้เกียจเต้นไปเองในที่สุดครับ รูปที่ 12 ขอให้เปลี่ยนจากแป้งและน้ำตาลขัดขาวเป็นแป้งที่มีกาก (Complex carbohydrate, High GI) แทน เพราะจะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดขึ้นอย่างพรวดพราด จนร่างกายตั้งรับไม่ทันแล้วทำให้เกิดสนิมแก่ขึ้นมากมาย สรุปส่งท้ายไว้อย่าให้ “กลัวจนอดตาย” เท่าที่อ่านๆ ดูก็เชื่อว่าท่านผู้อ่านก็คงสรุปได้เช่นเดียวกันว่า การจะรู้ว่าอาหารใดใส่สารปรุงแต่งอันใดบ้างนั้นค่อนข้างยาก ราวกับประกวดเอเอฟให้ได้ถูกใจครูเป็ด แต่ก็พอจะบอกได้ว่าอาหารที่ควรจะเลี่ยงเพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะได้สารพิษแถม คือ อาหารสอดไส้สองล้าน เอ๊ย...ทันโทษ อาหารจำพวกของทอดกรอบเกรียมเปี่ยมน้ำมัน, อาหารแปรรูปรมควันทั้งหลายได้แก่ ไส้กรอก, กุนเชียง, หมูแฮม, หมูแผ่น, เนื้อรมควัน, ปลาเค็มทั้งหลายครับ และอาหารที่มีสีสันสดใสไร้ขีดจำกัดจนแทบจะเรืองแสงฉับเมื่อดับไฟ รวมถึงอาหารตามเหลาดังคนนั่งเต็มล้นเพราะมีโอกาสสูง ที่จะใช้ผงชูรสแทนความหวานจากการนั่งเคี่ยวกระดูกคาตั๊งหรือโครงไก่ ให้โอชะจากกระดูกออกมาเจือจน น้ำซุปหวานกลมกล่อมตามธรรมชาติ เพราะไม่มีเวลาและไม่มีคนพอที่จะมานั่งทำงานให้เกินเวลาอย่างนั้น ดังที่ได้เล่าไปแล้วว่า การจะอยู่ได้ในสังคมปัจจุบันอย่างมีสุขภาพดีนั้น สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การมีเงินทองกองมากพากันลากซื้อของดี มากินบำรุงมุ่งแต่สวยหล่อ ด้วยว่าของดีเหล่านั้น อาจเป็นพิษก็ได้ใครจะรู้ เช่นหูฉลามหรือปลิงทะเลที่มีโลหะหนักแถมอยู่มากมาย รวมถึงอาหารเสริมต่างๆนาๆราคาเฉียดซื้อรถได้นั้น ก็อาจทำให้เราได้รับสารอาหารเกินไปแล้วไปสะสมก็ได้ แต่สิ่งสำคัญของการกินให้มีสุขภาพดีคือ “กินด้วยปัญญา” หรือกินอย่างรู้เท่าทัน ไม่มันส์ไปกับการกินอย่างคะนองปากหรือกิน เพราะความเสียดายบุฟเฟ่ต์หมูกระทะ ที่เหลืออยู่ค่อนหม้อ ไปจนถึงเนื้อชาบูที่ถูกเคี่ยวกรำจนหดเหี่ยวจับจีบ ประดุจงานฝีมือทำดอกไม้จากวัสดุธรรมชาติ คือถ้าท่านได้บริโภคโดยใช้สมองไปพร้อมกับกล้ามเนื้อช่วยเคี้ยวที่ครอบอยู่ รอบกระพุ้งแก้มที่เรียกว่า กินด้วยปัญญาและมีสติก่อนนำอาหารแต่ละคำใส่ปาก แล้วก็ถือว่าได้ทำอย่างเต็มที่แล้วครับ ที่เหลือถ้าจะมีสิ่งใดเกิดก็ขอให้อย่าไปโทษตัวเองครับ รูปที่ 13 ภาพ “มรณพิธีของท่านเคาท์แห่งออกาซ” โดยฝีมือจิตรกรเอกลูกรักของชาวสเปนนาม “เอล เกรโค่” แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เรานั้นถ้าแม้นทำดีใฝ่ดีมาตลอดชีวิตแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนก็อาจเมตตาถึงขนาดเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นได้ |
เจ้าของ: | Hanako [ 16 มี.ค. 2011, 09:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภัยมืดในอาหาร มัจจุราชเงียบ 12 ประการที่คุณไม่รู้ |
ตอนนี้ฮานาโกะระวังเรื่องอาหารมากๆเลยค่ะ พิษภัยรอบตัว แต่ที่สำคัญก็คือ การบริโภคแบบตามกิเลสนี่ล่ะที่เป็นที่มาของโรคมากมาย ถ้าเรากินแค่พออยู่ไปได้ก็โรคน้อยเนอะ |
เจ้าของ: | O.wan [ 17 มี.ค. 2011, 17:42 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภัยมืดในอาหาร มัจจุราชเงียบ 12 ประการที่คุณไม่รู้ |
![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Supatorn [ 22 ส.ค. 2011, 10:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภัยมืดในอาหาร มัจจุราชเงียบ 12 ประการที่คุณไม่รู้ |
เฮ้อ ของโปรดทั้งนั้นเลย ตอนนี้เลิกแล้วค่ะ แต่บางทีก็ยังนึกถึงอยู่ สายไปหรือเปล่านี่? ![]() อนุโมทนาสาธุๆค่ะ ขอบพระคุณค่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | สมาธิมือใหม่ [ 28 มิ.ย. 2012, 22:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภัยมืดในอาหาร มัจจุราชเงียบ 12 ประการที่คุณไม่รู้ |
ของเคยชอบทั้งนั้นเลย ตอนนี้แค่นานๆครั้ง หวังว่าต่อไปคงเป็นงดไปเลย ![]() ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | Duangtip [ 16 ก.ย. 2016, 09:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ภัยมืดในอาหาร มัจจุราชเงียบ 12 ประการที่คุณไม่รู้ |
![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |