วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2008, 20:41
โพสต์: 448

ที่อยู่: bangkok, Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


นานาทัศนะ ชาวพุทธ ควรบริโภคเนื้อสัตว์ หรือ ไม่ ??

เพราะผมกินไม่ลงน่ะสิครับ ซากศพที่เกิดจากการฆ่าอย่างทารุณ


>พวกคุณเคยคิดบ้างไหมว่าสัตว์เหล่านั้นเจ็บปวดแค่ไหน
>ถ้าจะให้ผมกินอาหารไปพร้อมกับเจริญอสุภกรรมฐานไป ก็คงจะอาเจียน
>
>สำนักพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทมักอ้างว่า
>พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงห้ามนักบวชกินเนื้อสัตว์
>เพราะชาวบ้านถวายอาหารอย่างไรก็ควรรับไว้ แต่
>ในบริเวณประเทศอินเดียคนมักจะถวายอาหารแก่นักบวชและสมณะพราหมณ์ด้วยอาหารมังสวิรัติ
>เพราะถือกันว่านักบวชเป็นผู้ปฏิบัติธรรม
>ไม่ควรมีส่วนในบาปที่ทำลายเลือดเนื้อและชีวิตของสัตว์อื่น
>
>ผู้สืบเชื้อสายศากยวงศ์คือตระกูลเจ้าชายสิทธัตถะ โคตมะ ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า
>ศากยวงศ์กินอาหารมังสวิรัติกันมาทั้งตระกูลสืบต่อกันมานานแสนนานแล้ว
>
>"อทินนาทานา เวระมณีสิกขาปะทังสะมาธิยามิ" ศีลข้อสองที่ชาวพุทธสมาทานกันว่า
>ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมย คือไม่เอาของของผู้อื่นมาเป็นของตน
>โดยมิได้รับอนุญาติจากเจ้าของเสียก่อน
>คุณคิดว่าการเอาเลือดเนื้อของสัตว์เพื่อมาทำอาหารน่ะ
>สัตว์เหล่านั้นอนุญาตแล้วหรือยัง ถ้ามันอนุญาตมันก็คงยอมให้ฆ่าแต่โดยดี
>ไม่ต้องวิ่งหนี ไม่ต้องมีน้ำตาร้องขอชีวิต
>เคยได้ยินไหมครับว่ามีวัวตัวหนึ่งที่กำลังจะถูกฆ่า
>มันหนีออกมาได้มันก็วิ่งเข้าไปในรัฐสภา!
>
>ผู้บริโภคพืช สุขภาพดีกว่าผู้บริโภคเนื้อสัตว์
>http://www.mindcyber.com/foodhealth/why.php?whyid=29
>
>การบริโภคเนื้อสัตว์ นำมาซึ่งความเสียหายและเภทภัยต่างๆสู่โลกใบนี้
>(จาก http://www.mindcyber.com)
>
>1. การที่คนเราบริโภคเนื้อสัตว์กันอยู่
>ทำให้เกิดอุตสาหกรรมเกี่ยวกับอาหารที่ทำจากสัตว์เกิดขึ้นมากมาย
>ซึ่งโรงงานเหล่านี้จำเป็นต้องมีวัตถุดิบป้อนโรงงานตลอดเวลา นั่นก็คือ
>เนื้อสัตว์ทั้งหลาย จึงเกิดการเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่
>เป็นปศุสัตว์และฟาร์มสัตว์จำนวนมาก


2. การทำฟาร์มสัตว์และปศุสัตว์ขนาดใหญ่และมากมายก่อให้เกิดการใช้แหล่งน้ำจืดและน้ำจืดจำนวนมหาศาล
>ทำให้เกิดการขาดแคลนแหล่งน้ำจืด นำมาซึ่งความแห้งขอดของบ่อน้ำใต้ดิน
>และเกิดความอดอยากตามมาในหลาย ๆ ประเทศที่กำลังประสบอยู่

>4. การใช้พื้นดินจำนวนมากนี้ ย่อมทำให้เกิดการบุกรุกทำลายป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์
>เมื่อป่าไม้ถูกทำลายมากขึ้น
>ย่อมส่งผลให้เกิดการทำลายความอุดมสมบูรณ์ของหน้าดินและความสมดุลย์ของระบบนิเวศน์
>ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์สูญหาย ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
>บางชนิดก็สูญพันธุ์ไปแล้ว พืชพรรณมากมายในป่า
>ซึ่งใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ก็ลดน้อยลงหรือสูญพันธุ์ไปเลยก็มี

> 5. เมื่อป่าไม้ถูกทำลายลงมากขึ้น ก็ทำให้สมดุลย์ของธรรมชาติเสียหาย
>ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันหรือฝนแล้ง
>ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนเราในที่สุด


> 6. นอกจากนี้การทำลายป่า ยังได้ทำลายสมดุลย์ของอากาศไปด้วย
>เหตุเพราะตามปกติต้นไม้ใหญ่จะมีระบบรากซึ่งดูดซึมน้ำไว้ในดิน แล้วค่อย ๆ
>คายน้ำออกมาในตอนกลางวัน (ต้นไม้ใหญ่แต่ละต้นคายน้ำออกมาถึงวันละ 40 แกลลอน)
>ทำให้เกิดความชุ่มชื้นในอากาศและขบวนการสังเคราะห์แสงของต้นไม้ในตอนกลางวัน
จะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศและคายก๊าซออกซิเจนออกสู่บรรยากาศ
>เมื่อต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ถูกทำลายไปก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศจึงมากขึ้นในขณะที่ก๊าซออกซิเจนน้อยลง
>ส่งผลให้เกิดภาวะเรือนกระจกซึ่งทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น

> 7. การที่คนเราบริโภคเนื้อสัตว์อย่างมากมาย
>ส่งผลให้มีการใช้พลังงานและเชื้อเพลิงธรรมชาติ เช่น
>น้ำมันและก๊าซธรรมชาติอย่างมากมาย ซึ่งการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงเหล่านี้
>ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศของโลกจำนวนมาก รวมทั้งก๊าซอื่น ๆ
>ส่งผลให้เกิดภาวะเรือนกระจก ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น

> 8. การที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ย่อมก่อให้เกิดภัยธรรมชาติต่าง ๆ เช่น
>พายุที่รุนแรง น้ำท่วม ฝนแล้ง และความอดอยากต่อประชากรของโลก

> 9. นอกจากผลกระทบต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว
>การเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารของคนเรานั้น
>ยังได้ก่อให้เกิดมลภาวะจากมูลสัตว์และซากสัตว์จำนวนมหาศาล
>รวมทั้งมลภาวะจากสารเคมีและยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์จำนวนมากเหล่านั้น
>และมีโอกาสทำให้เชื้อโรคต่าง ๆเกิดการดื้อยาได้หรือมีการกลายพันธุ์
>ทำให้เกิดโรคระบาด
>ทั้งในหมู่สัตว์เลี้ยงเองหรือติดต่อมาถึงมนุษย์ได้ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบต่อมนุษยชาติทั้งสิ้น
>
>จากหัวข้อที่ได้ศึกษากันมาตั้งแต่ต้นพอจะเห็นได้ว่าการละเว้นจากการบริโภคเนื้อสัตว์และหันมากินพืชผัก
>ผลไม้และธัญพืชให้ถูกวิธีย่อมมีผลดีต่อสุขภาพร่างกายอย่างแท้จริง
>ทำให้ร่างกายแข็งแรงมีความทรหดมากขึ้น มีความว่องไวมากขึ้น นอกจากนั้นแล้ว
>คนเรามิใช่เพียงแต่มีร่างกาย ซึ่งเป็นกายเนื้อเท่านั้น
>แต่คนเรายังมีจิตวิญญาณซึ่งเป็นจิตเดิมแท้
>ซึ่งเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารแห่งการเกิด ตาย ในชาติกำเนิด 4 ภูมิวิถี 6
>มาหลายหมื่นปีตามกฏแห่งกรรมคือ ตามผลที่ได้กระทำไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
>
>พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงความยากลำบากในการเกิดกายเป็นคนว่าล้วนต้องบำเพ็ญธรรม
ติดต่อกันมาหลายชาติกว่าจะได้กายเป็นคน
>แต่คนทั้งหลายเมื่อได้เกิดมาแล้ว
>กลับไม่พยายามถนอมรักษาร่างกายนี้ให้ดีคิดแต่อยากจะกินก็เอาปากไป
>กินแล้วฆ่าสัตว์ตัดชีวิต สร้างกรรมกันไม่รู้จบ
>คนกับสัตว์รูปร่างต่างกันแต่จิตวิญญาณนั้นเหมือนกัน ชาตินี้ฆ่าฟันทำลายผู้อื่น
>ชาติหน้าต้องไปถูกเขาฆ่าตามกฏแห่งกรรม ชาตินี้กินเนื้อเขา
>ชาติหน้าก็ต้องถูกเขากิน พระพุทธวจนะในมหายานสูตรกล่าวว่า
>“บุคคลใดงดเว้นจากการกินเลือดกินเนื้อสัตว์ทั้งปวง
>ย่อมกระทำมหาเมตตาบารมีให้เต็มบริบูรณ์
>หากบุคคลใดยังหลงกลืนกินเนื้อสัตว์ทั้งหลายอยู่
>เขาได้ชื่อว่าทำลายเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะที่มีอยู่ในตนย่อมต้องได้รับบาปอย่างมหันต์
>ผู้ที่บำเพ็ญธรรมหากยังไม่หยุดกินเนื้อก็ไม่สามารถบำเพ็ญไปตลอดรอดฝั่ง”

> การไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ก็คือไม่เบียดเบียนผู้อื่นและไม่เบียดเบียนตัวเอง
>การบำเพ็ญปฏิบัติธรรมนั้นคือ บำเพ็ญปฏิบัติตามรอยพระอริยเจ้า
>สิ่งที่พระอริยะกระทำคือ ทั้งภายในและภายนอกประสานกลมกลืน ภายในเมตตา
>ภายนอกก็เมตตา พระพุทธองค์กำหนดศีลข้อที่ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
>มิใช่แต่ไม่ฆ่า แต่ต้องไม่ไปทำให้ผู้อื่นฆ่าด้วย การฆ่าสัตว์นั้น หมายถึง
>ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทรางตรงคือฆ่าเอง ทางอ้อมคือเราต้องการกิน
>แล้วคนอื่นฆ่ามาให้เรากิน หรือขายให้เรากิน หยุดกินคือหยุดการฆ่า
>คนเรานั้นสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ต้องเอาน้ำตา
>เอาชีวิตเอาจิตวิญญาณของผู้อื่นมาต่อชีวิตของเรา ไม่ต้องเอากองกระดูกผู้อื่นมา
>เพื่อให้เราก้าวเข้าไปสู่ที่ต่างๆ

>ตามปกตินิสัยของคนเราส่วนใหญ่มักจะกลัวสุสานป่าช้าที่ฝังร่างคนตาย
>เมื่อเดินผ่านในยามวิกาล ก็จะรู้สึกขนลุกเรียกว่า กลัวสุสาน
>แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองซึ่งบริโภคเนื้อสัตว์นั้น
>มีซากสัตว์ถูกฝังอยู่ในท้องตัวเองจำนวนมากมายเท่าไหร่
>เป็นสุสานเคลื่อนที่ได้แต่กลับไม่กลัว

>อันที่จริงมนุษย์เรานั้นมีปัญญาล้ำเลิศอยู่แล้ว
>เพียงแต่ถูกกิเลสความอยากบดบังไว้เท่านั้น เพียงแต่ตัดความอยากกินออกไป
>ปัญญาก็จะเกิดสามารถแยกแยะได้ว่า สมควรจะบริโภคเนื้อสัตว์อีกต่อไปหรือไม่


เนื้อสัตว์ บ่อเกิดของโรคร้ายนานาชนิด เช่น สารพัด โรคมะเร็งร้าย นานาชนิด
จากงานศึกษาวิจัย โดยคณะแพทย์ ผูเชี่ยวชาญ ระดับ โลก

ข้อมูลที่น่าสนใจในเวปข้างล่าง



http://www.watisan.com/showdetail.asp?boardid=1080

**********************************************


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2008, 20:41
โพสต์: 448

ที่อยู่: bangkok, Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ทัศนคติความคิดเห็นของ

หลวงพ่อประสิทธิ ถาวโร แห่งวัดถ้ำยายปริก เกาะศรีชัง จ ชลบุรี


ทั้งนี้ หลวงพ่อเคยสอนผม หลังจากผมเรียนท่านว่า “ครูบาอาจารย์บางท่านสอนว่า พระอริยเจ้าท่านฉันอาหารไม่ได้สนใจแล้วว่าอันนี้ผักหรือเนื้อ คือมองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔ และฉันเพียงเพื่อให้ธาตุขันธ์ดำรงอยู่ได้ แต่หลวงพ่อไม่ฉันเนื้อสัตว์ อย่างนี้จะไม่เป็นการขัดกันหรือครับ” หลวงพ่อก็ตอบว่า “ก็ถูกของเขาที่ว่า มองเห็นเป็นเพียงธาตุ ๔ แต่อันนั้นก็ต้องระวังว่า กิเลสความอยากกินเนื้อมันก็มีแอบแฝงไว้เหมือนกันสำหรับบางคนที่เอามาใช้เป็นข้ออ้าง สำหรับหลวงพ่อเอง เราไม่ฉันก็เพราะสงสารสัตว์เขาน่ะ พูดกันตรงๆ แบบคนเดินดินธรรมดาๆ นี่แหละ คิดดูซิ เอาเลือดเอาเนื้อของเขามากิน อย่างหมู หรือวัว ควาย ทุบหัวเขาแล้วยังมาแทงคอเขาซ้ำอีก มันทารุณเหลือเกิน เป็ดไก่ ก็เหมือนกัน เชือดคอแล้วก็ปล่อยให้มันดิ้นพรวดพราด เลือดนี้ไหลพุ่งทะลักออกมา เจ็บปวดแค่ไหนเอ็งน่าจะรู้ดี และถ้าเป็นเอ็งโดนบ้างแล้วจะรู้สึกอย่างไร ก็ขนาดเราถูกมีดบาด แผลนิดหนึ่งยังว่าเจ็บๆ แล้วนั่นเอ็งว่าสัตว์เขาจะเจ็บแค่ไหนล่ะ หรืออย่างกะปิ น้ำปลา กะปิหนึ่งกระปุก ใช้กุ้งกี่ตัว น้ำปลาหนึ่งขวด ทำจากปลาเล็กกี่ตัว นับไม่ถ้วนเลยพงศ์เอ๋ย คนเราในช่วงเกิด แก่ เจ็บ ตายในหนึ่งชีวิตนี้น่ะ ต้องอาศัยเลือดเนื้อของสัตว์อื่นไปตั้งเท่าไร ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ควรหลีกเลี่ยงเสีย ถือว่าเป็นหนทางหนึ่งที่งดการเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก แล้วเราก็หมั่นแผ่เมตตาบารมีอุทิศส่วนกุศลให้สัตว์โลกไป ให้เขาอยู่ร่มเย็นเป็นสุข แค่นี้แหละไม่ยากอะไรไม่ใช่หรือ”

เมื่อผมแย้งท่าน (ตามประสาคนที่แต่ก่อนในสมองและความคิดมีแต่วัดป่าเท่านั้น) อีกว่า “แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อย่างสายหลวงปู่มั่น ท่านก็ยังฉันเนื้อสัตว์นี่ครับ” ท่านตอบว่า “ใช่ ท่านยังฉันเนื้อ อันนั้นก็เรื่องของท่าน คนเราบำเพ็ญมาต่างกัน มีอุปนิสัยวาสนาบารมีแตกต่างกันไป พระพุทธเจ้าก็ยังฉันเนื้อ แต่พระองค์ก็อนุญาตให้พระไม่ฉันเนื้อด้วยรังเกียจในเนื้อสัตว์ด้วยสาเหตุหลายประการไม่ใช่หรือ หลวงพ่อก็ไม่ได้ไปว่าอะไรใครเขา เราดูแต่ตัวเรา ปรารถนาเอาเมตตาเป็นสัจจะบารมี พร้อมด้วยสติ สัมปชัญญะ และความเพียรไม่ท้อถอย เราก็พ้นทุกข์ได้เช่นกัน”

และท่านให้ธรรมะเพิ่มเติมอีกว่า “คนเรามันก็แค่หาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง กินดีแค่ไหนก็ขี้ออกมาสกปรกเหมือนกัน เข้าแล้วก็ออกอยู่อย่างนี้ แล้วจะเอาอะไรนักหนา ทำไมต้องไปเอาเลือดเนื้อของเขามาบำรุงบำเรอตน หลวงพ่อเองก็กินผักกินหญ้าไปวันหนึ่งๆ ก็พออยู่ได้แล้ว”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2012, 01:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 03:39
โพสต์: 55

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Now you sound like Extremists. Lots of vegan people are trying to convince , or even force their views of not using animal products on other people. If you don't eat animal meat, good for you. No need to show off your ego, PLEASE. I have seen a longer and more ridiculous list than yours.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2012, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2008, 20:41
โพสต์: 448

ที่อยู่: bangkok, Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


รอยบุญรอยบาป (ปาณาติบาต)
________________________________________
รอยบุญรอยบาป

๒-๓ ปีที่ผ่านมา ผมกับลูกชายวัยสิบขวบไปทำบุญและเที่ยวพักผ่อนกัน ที่จังหวัดทาง ภาคเหนือ หลังจาก พยายามหาโอกาส เรื่องเวลาที่พร้อมๆกัน ระหว่างภรรยาและลูกสาววัยรุ่นอีก ๒ คน ที่จบมหาวิทยาลัย และเพิ่ง เริ่มทำงานบริษัท เรา ๕ คนเคยอิสระ พอมีวันหยุดพร้อมกัน เราจะออกต่างจังหวัด หาวัดที่สงบ ไปทำบุญปฏิบัติ และฟังธรรมกับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือพระที่ฉันมังสวิรัติ

แต่โอกาสเก่าๆแบบนี้เริ่มหายาก แต่ละคนในบ้านเริ่มมีภาระของตนเรื่องงานที่ทำ เวลาหยุดไม่ตรงกัน หรือเวลาหยุดไปพร้อมกับคนทั้งประเทศ จราจรถนนหนทางรถราแน่น ทำให้เกิดการแย่งกันไปแย่งกันกลับ อุบัติเหตุก ็เกิดขึ้นมาก และมีความรู้สึกเหมือนไปแย่งคนที่จำเป็นต้องเดินทาง เพื่อกลับบ้าน ไปหาครอบครัว จริงๆ เราจึงพยายามเลี่ยงเดินทางช่วงเวลานั้น

มาต้นปีคิดว่า คงจะหาเวลาที่ได้ไปพร้อมๆกันยาก ภรรยาติดธุระบ้าง ลูกสาวบ้าง มีแต่ผม ที่อิสระ เพราะไม่ใช่ มนุษย์เงินเดือน จึงรีบหาโอกาสเวลานี้ทำภารกิจที่คิดว่า ควรจะทำ ไม่ประมาท คนเรา จะเดินทาง ท่องเที่ยว ต้องมีปัจจัยสำคัญพร้อมๆกัน ๓ อย่างคือ สุขภาพดีแข็งแรง มีเงินพอใช้จ่าย และต้อง มีเวลาด้วย ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็คงลำบาก จึงชวนลูกชายซึ่งว่างพอดี เราเอารถเก่าๆ เตรียมข้าวของ ไปทำบุญด้วยกัน

ออก จากกรุงเทพฯแต่เช้ามืด ขับรถไปเรื่อยๆ ได้พูดคุยเรื่องธรรมะต่างๆ ดูธรรมชาติสองข้างทาง ใช้เวลา เกือบทั้งวัน ถึงสำนักสงฆ์ซึ่งอยู่บนดอยเล็กๆมีพระชราอายุราว ๙๐ เศษรูปหนึ่ง ฉันอาหาร มังสวิรัติ และ ฉันวันละมื้อเท่านั้น เรามาถึงเกือบเย็น ก็ขับรถขึ้นดอยอย่างช้าๆ ไม่ให้เสียงรถ ไปรบกวนพระ หรือผู้ที่กำลัง ปฏิบัติธรรม

ทาง ขึ้นดอยเป็นทางเล็กๆ ต้นไม้สองข้างทางร่มรื่น กุฏิ โบสถ์ เจดีย์เป็นแบบเรียบง่าย สะอาด ดูสบายตา น่าเลื่อมใส ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตมโหฬารหรูหราเกินไป เราจอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างโบสถ์ และลงรถ เดินเข้าไป ในโบสถ์ กราบพระพุทธรูปพระประธาน และกราบหลวงปู่ ที่กำลังนั่ง อยู่เยื้องๆพระประธาน ท่านมีรูปร่าง สันทัด ห่มจีวรสีกรัก สวมแว่นตาหนา ผิวพรรณผ่องใสน่าเลื่อมใส แม้อายุใกล้ร้อย กราบท่านเสร็จ ผมและลูกชายขออนุญาตท่านพักและอยู่ เพื่อถวายอาหารมังสวิรัติกับปฏิบัติฟังธรรม กวาดบริเวณ รอบๆวัดและสวดมนต์ทำวัตรเช้า-ค่ำกับท่าน หลวงปู่ท่าทางใจดี กล่าวอนุญาต ด้วยสำเนียง ภาคกลาง ปนสำเนียงภาคเหนือ

เราได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่พักใหญ่ ลูกชายผมบังเอิญสังเกตเห็น แขนซ้ายหลวงปู่ มีบาดแผล รอยเย็บ นับร้อยเข็ม จึงเข้ากราบขอขมาขออนุญาตถามถึงแผลนั้น

ท่านยิ้มอย่างใจดีและพูดว่า มนุษย์เวลาร้าย สัตว์ทั้งโลกก็สู้มนุษย์ไม่ได้ สัตว์ที่ว่าดุว่าร้าย มันทำร้ายคน หรือสัตว์อื่น ก็ไม่เกินสิบเกินร้อย แต่มนุษย์มีสมองที่เหนือกว่าสัตว์ทั้งหลาย สามารถจับมาใช้งาน จับมาฆ่า แม้มนุษย์ด้วยกันเอง เวลาทะเลาะหรือขัดผลประโยชน์กัน ก็คิดสร้างอาวุธร้ายแรง ประหัตประหาร ได้ทีละ เป็นแสน เป็นล้าน ทำลายมนุษย์ด้วยกันเองยังไม่พอ ยังไปทำลายสัตว์ ต้นไม้ สิ่งมีชีวิต ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อื่นๆ ที่ไม่ได้ไปรู้ด้วยเลย เรายังเรียกโลกใบนี้ว่า โลกมนุษย์ ที่จริงมนุษย์มีน้อยกว่าสัตว์อื่นๆ

ท่านหยุดจิบน้ำแล้วเล่าต่อ ท่านเป็นคนภาคกลาง สมัยหนุ่มเคยเป็นพรานป่า ล่าสัตว์ป่า จับจระเข้ขาย รู้ธรรมชาติ เกี่ยวกับจระเข้เป็นอย่างดี ชอบอิสระท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่ชอบผูกมัด ผูกพันกับใคร แม้กับเพศ ตรงข้าม เที่ยวหาจับจระเข้ป่าขายตามฟาร์มจระเข้ต่างๆ เพื่อนำไปฆ่าขายเนื้อขายหนัง หรือหาไข่ จระเข้ ไปขาย เพื่อไปฟักเพาะเป็นลูกจระเข้ขาย ทำมาหลายปี ก็ยังดีเงินส่วนหนึ่งยังไปทำบุญบ้าง จิตหนึ่ง ก็ยังใฝ่ ในบุญกุศลอยู่ แม้อาชีพมันจะเป็นบาป

จน ล่วงเข้าวัยกลางคน ได้ถูกขอร้องจากเจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่ง ขอร้องให้ไปช่วยดูแลฟาร์ม ท่านก็รู้สึก กำลังเริ่มถดถอย ก็บอกขอลองทำดูก่อน ยังไม่รับปากจะทำให้ ตลอดเหตุการณ์ก็ปกติ จนวันหนึ่ง เจ้าของฟาร์ม จระเข้ไปซื้อเหมาบ่อจระเข้แห่งหนึ่ง ที่เจ้าของอีกแห่งไม่มีประสบการณ์ เห็นรายได้ดีก็ทำบ้าง พอขาดทุน เลยขาย เจ้าของฟาร์มจระเข้ที่ท่านอยู่ก็ให้ท่านพร้อมลูกน้องช่วยไปจับจระเข้ในบ่อ ที่มีร่วม ๒๐-๓๐ ตัว ก็เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมลูกน้องไปจับขึ้นมาจากบ่อเกือบหมด เหลืออยู่ตัวเดียว ตัวมันใหญ่ ยาวมาก คงเป็นแม่พันธุ์ ตาบอดข้างเดียว

ท่านพยายาม เอาปลาทะเลสดโยนไปล่อให้มันขึ้นมาใกล้ขอบดินของบ่อ เพื่อจะได้จับมัน แต่มันก็ลอยตัว นิ่งๆ ไม่สนใจ กับปลาที่โยนให้ ท่านตะโกนให้ลูกน้องเอาซี่โครงไก่ของโปรดมันมาเข่งใหญ่ และเริ่มโยนลงไป ๒-๓ ครั้ง แต่ดูมันไม่สนใจ ลองโยนลงที่บนดินขอบบ่อ เพราะจระเข้บางตัวไม่ชอบกินเหยื่อในน้ำ แต่จะกิน บนดิน ขอบบ่อ มันดูเมินเฉยกับซี่โครงไก่นับสิบชิ้นที่โยนลงน้ำและที่บนดินขอบบ่อ

เวลา ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ท่านกลัวว่าน้ำในบ่อจะเสีย ก็ให้คนงานเอาสวิงด้ามยาวๆช้อนซี่โครงไก่ออก ส่วนที่อยู่บนดินขอบบ่อท่านลงไปเก็บเอง พลางคิดว่ามันคงไม่สบาย จึงไม่มีแรงและไม่อยากกินอาหาร เดี๋ยวค่อยหา วิธีอื่น ก็เดินเก็บซี่โครงไก่ทางนี้ทีทางโน้นที เดินลาดลงใกล้น้ำทุกทีด้วยความประมาท รวมกับ การที่คิดว่า รู้นิสัยจระเข้ดี เก็บจนเกือบถึงขอบน้ำ

ทัน ใดนั้น ไม่มีใครคาดคิด... จระเข้ตัวใหญ่ลอยคอเข้ามาอย่างช้าๆ ไม่มีใครสังเกต เข้ามาถึงขอบดิน ที่ท่านก้ม เก็บซี่โครงไก่อยู่ วิบากกรรมก็ตามทัน มันกระโจนทะลึ่งพรวดขึ้นเหนือน้ำ อ้าปากตะครุบ งับแขนซ้าย กระชากและดึงตัวท่านลงใต้น้ำทันที

ขณะ นั้นท่านยังมีสติอยู่บ้าง รู้ว่าจระเข้จะดึงเอาเหยื่อที่ใหญ่กบดานใต้น้ำ เพื่อให้เหยื่อขาดอากาศหายใจ และตาย แล้วจึงสะบัดเหยื่อไปมา พร้อมกระชากเหยื่อให้ขาดเพื่อกลืนกิน ถ้าเหยื่อ ไม่โตนัก งับพอกลืนได้ มันก็จะกลืนทันที ท่านได้แต่นึกถึงบุญกุศลที่เคยทำมาบ้าง และพยายาม รวบรวมสติ รอเวลาที่จระเข้ มันจะสะบัด แขนท่านให้ขาดแล้วค่อยกลืน ก่อนที่มันจะเปลี่ยน มางับส่วนอื่น จะได้รีบว่ายน้ำหนี คิดว่า ถึงคราวตาย ก็ต้องตาย

ขณะ นั้นท่านรู้สึกว่า จระเข้มันปล่อยแขนที่งับไว้ คิดว่ามันอาจจะเปลี่ยนมางับส่วน ร่างกายที่ใหญ่กว่า และ งับได้ถนัดกว่า เลยถือโอกาสนั้น รีบทะลึ่งพรวดขึ้นจากน้ำ และว่ายเข้าฝั่ง เหลือบเห็นน้ำรอบๆ เต็มไปด้วย เลือดสีแดงฉานไปทั่ว เห็นภาพรางๆบนฝั่ง เจ้าของฟาร์มเล็งปืนยาวมาที่ตรงใกล้ๆท่าน คล้ายกับว่า จะยิง จระเข้ สติสัมปชัญญะที่ใกล้หมดท่านโบกมือห้าม เห็น คนอื่นๆ ถือมีดปืนผาหน้าไม้ เต็มไปหมด ผู้คนอื้ออึง แล้วความรู้สึกต่างๆ ก็วูบสนิท ท่านถูกส่งโรงพยาบาล เกือบสิบกว่าวัน ที่ท่าน ไม่รู้สึกตัว และมารู้สึกตัว ภายหลัง

มี คนมาเล่าให้ฟัง ลูกน้องหลายคนช่วยกันเอาไม้ตีกระทุ่มน้ำไล่มัน แล้วมีคนอื่นๆมาช่วยประคองท่าน ขึ้นจากน้ำ แล้วส่งโรงพยาบาล ท่านถามถึงจระเข้ตัวนั้น ขอร้องอย่าไปทำร้าย หรือฆ่ามันเลย เพราะท่าน ประมาทเอง มานึกได้ทีหลังว่า จระเข้บางตัว มันไม่ชอบ กินเหยื่อตาย อาจถูกฝึก หรือเคยชิน กับการกิน เหยื่อเป็น หรือที่เคลื่อนไหวได้ แต่ทุกคนบอกว่า เจ้าของฟาร์มได้ยิงมัน และจับมันขึ้นมาแล่ ฆ่าเดี๋ยวนั้นเลย ท่านบอก รู้สึกสลดใจมาก ที่เป็นสาเหตุให้จระเข้ตัวนั้นถูกฆ่าอย่างทารุณ

ระหว่างรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลร่วม ๔ เดือน ท่านมาทบทวนถึงชีวิตที่ผ่านมา และอาชีพที่ทำอยู่ เป็นอาชีพ หนึ่งที่เป็น มิจฉาวณิชชา คือ การเลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่า ท่านได้อ่านหนังสือธรรมะ ฟังวิทยุ รายการธรรมะ จากเตียง คนไข้ข้างๆ เกิดคิดอยากบวช แผ่ส่วนกุศลให้กับสรรพสัตว์ ที่เคยก่อเวร สร้างกรรมกันมา ท่านได้อ่าน หนังสือเล่มหนึ่ง เป็นคำกล่าวของหิโตปเทศ กล่าวไว้กินใจมากว่า "เมื่อ ผู้จะกินเนื้อเขา ควรตระหนัก ให้ได้ว่า เราและผู้ที่เรากินนั้นผิดกัน ผู้กินจะได้ความอิ่มเอมก็ชั่วขณะ และ ผู้ที่ต้อง เสียเนื้อไป ได้รับทุกข์ ถึงชีวิต"

คำคมที่กินใจ จำผู้แต่งไม่ได้ กล่าวไว้ว่า "สิ่งเดียวที่มนุษย์รักที่สุดคือ ชีวิต แต่จะเกลียด ที่สุดคือ ผู้เอาชีวิต ของตนไป แล้วไฉนจึงมาคิดทำลายล้างชีวิตให้สิ้นไปเสียเช่นนี้เล่า"

"ฆ่าสัตว์ได้โทษ ฆ่าความโกรธได้บุญ"

"ชีวิตนี้คือทางผ่านเท่านั้นเอง แต่ชีวิตที่แท้จริง ได้รอเราอยู่เบื้องหลังความตายนี้แล้ว"

นี่ คือสิ่งดลบันดาลใจให้ท่านคิดไม่เบียดเบียน หรือมีส่วนส่งเสริมการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อีกต่อไป หลังจาก ออกจาก โรงพยาบาล ท่านได้สละเพศฆราวาส บวชอยู่ในบวรพุทธศาสนา และ ฉันมังสวิรัติ ฉันวันละมื้อ

ลูกชายผมกราบ พูดเสริมต่อหลวงปู่ว่า "ผมก็รับประทานอาหารมังสวิรัติตามพ่อ ได้เคย ฟังเท็ปของ อาจารย์ พันธุ์เลิศ บูรณศิลปิน ซึ่งเคยเป็นอาจารย์ของพ่อ สอนอยู่แม่โจ้ เป็นอดีตรัฐมนตรีเกษตร เจ้าของ สวนส้ม วังน้ำค้าง ก็รับประทานอาหารมังสวิรัติ เคยพูดว่า "เรา ไม่กินเนื้อสัตว์ เราไม่ตาย ถ้าเรากินเนื้อสัตว์ สัตว์ตาย และ สัตว์จะตายไปเรื่อยๆ ตัวแล้วตัวเล่า จนกว่าเราตาย มันก็ต้องตายอีกมากมาย เพื่อมาฉลอง งานศพเรา"

ลูก ชายผมกราบเรียนถามท่านเรื่องการกินเจ เห็นพระบางรูปพูดว่า กินเจไม่ได้บุญหรอก หลวงปู่ยิ้ม อย่างอารมณ์ดี และพูดว่า ก็แล้วแต่ใจของแต่ละคน เรากินเองเราก็ควรรู้เองว่า จิตใจเรา รู้สึกอย่างไร ถึงพูดว่า ไม่ได้บุญแต่ก็คงไม่ไปสร้างหรือส่งเสริมบาป ยิ่งการฆ่าเพื่อเอามากิน บาปอยู่ที่คนทำ กรรมก็อยู่ ที่คนกิน ปาณาติบาตฯเป็นศีลที่พระบรมศาสดาของเราทรงบัญญัติเป็นข้อแรก เวลา เรา ถูกมีดบาด เจ็บเพียงเล็กน้อย แต่สัตว์ที่ถูกจับมาฆ่า เจ็บถึงตาย หากหยุดได้ หยุดเถอะ หยุดเบียดเบียน หรือส่งเสริม การฆ่าสัตว์ เพื่อเอาเนื้อมาขายกัน

เวลา เรามีคนรัก ใครพรากเอาคนที่เรารักไป เราเจ็บปวดรวดร้าวเศร้าโศกเสียใจแค่ไหน ถ้านับกองกระดูก ที่เราพรากชีวิตเขาไป ก็คงมีความสูงกว่าตัวตนของเราอีก ไม่อยากได้ยินเสียงกรีดร้องขอชีวิต เสียงแห่ง ความทุกข์ยาก เราต้องหยุด หยุดความอยากของกายใจปากเราก่อน ชีวิตเขาอย่าไปทำลาย อย่าไปกิน เลือดกินเนื้อเขา เป็นหนี้กรรมชดใช้กันไปชดใช้กันมา ตราบใดเรายังไม่หลุดพ้น การเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสารนี้ อย่ามีการจองเวรจองกรรมอีกเลย ชาตินี้ไปฆ่ากินเนื้อเขา ชาติหน้าเขาก็มาทวงคืน ความเมตตา อย่าคิดแค่สงสาร เมตตาต้องออกมาจากใจ จากกาย จากวาจา ไม่ใช่แค่การสวดมนต์ แผ่เมตตา ปล่อยสัตว์ แต่ก็ยังกินมัน

ดิน ให้กำเนิดชีวิต ให้กำเนิดพืชผักธัญญาหารผลไม้นานาชนิดมากมาย เสมือนฟ้าดินให้กำเนิด เรากิน บริโภคพืช เพาะปลูกส่งเสริมแพร่พันธุ์ต่อไปได้ แต่เนื้อสัตว์มันมีพ่อมีแม่เป็นแดนเกิดของมัน ไม่มีพ่อแม่ ที่ไหนหรอก ที่ให้กำเนิดลูกแล้วให้คนอื่นฆ่ากิน มันไม่ยินดีหรอก แต่มันพูดไม่ได้ เวลาคนฆ่ามัน ก็มัวแต่ จะเอาเลือด เอาเนื้อมัน คิดแต่ว่าจะมาทำอะไรกิน ไม่ได้ไปสังเกตดวงตาที่ร่ำไห้ น้ำตาที่ไหลพราก ประหนึ่ง ขอชีวิต หู ไม่ได้ยินเสียง หรือได้ยินแต่เคยชินเสียงที่มันร้องโหยหวนขอมีชีวิต เพื่ออยู่กับ ครอบครัว พ่อแม่ หรือ ลูกเมียหรือพี่น้องมัน คิดซิ! เราตัวคนเดียว กินทำไมหลายชีวิตนัก ทั้งที่กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อตาย

ท้ายสุดก่อนค่ำ จะสวดมนต์ทำวัตรค่ำ ท่านให้โอวาทเราว่า "การทำความดีนั้นทำไม่ยากเลย ที่ยากเพราะ ไม่คิด จะทำมากกว่า"


และเมตตาสอนอีกว่า "อย่าประมาท ให้รีบทำความดี จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ เรากินมังสวิรัติเรารู้เอง ใครจะพูด อย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา แผ่เมตตาให้เขา ใครทำกรรมใดไว้ ไม่มีใครหนีพ้น เราคงได้แต่หวังดี และ ปฏิบัติ ตัวของเราเอง เป็นตัวอย่าง ซึ่งดีกว่าคำพูดเป็นหมื่นคำ" คืนนั้นเราอยู่สวดมนต์ทำวัตรค่ำ ด้วยจิตใจ ที่เต็มเปี่ยม ไปด้วยปีติสุข


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร