ช่วงนี้โคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่กำลังระบาดไปทั่วโลกรวมทั้งไทยด้วย
เพื่อควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัดแล้วคัดกรองนำผู้ติดเชื้อไปรักษา รัฐบาลจึงประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ให้ ปชช.กักตัวอยู่ที่บ้าน ไม่ควรเดินทางข้ามจังหวัดโดยไม่จำเป็น (หากเดินทางก็มี จนท.คัดกรองระหว่างทาง) จนสิ้นเดือนเมษา (ถ้าโรคไม่สงบอาจขยายออกไปอีก) เราเคยชินไปนั่นมานี่ ช่วงนี้ไปไหนไม่สะดวกนั่งๆนอนๆคิดฟุ้งซ่านนั่นนี่โน่น คิดไปคิดมาคิดมาคิดไปคิดไม่หยุดจะพาลเป็นโรคซึมเศร้าเอา ดังนั้นใช้โอกาสนี้มาฝึกจิตเพื่อกำจัดความฟุ้งซ่านกัน อีกทั้งทำให้ร่างกายแข็งแรงต้านทานโรคได้ดีด้วย เริ่มจากน้อยๆไปก่อนครั้งละ 5 นาทีสำหรับผู้ซึ่งไม่เคยฝึกไม่เคยทำเลย นั่งกำหนดอารมณ์ 5 นาที จงกรม 5 นาที ครบเวลาแล้วลุกเดินอีก นั่งอีก ฯลฯ กท.นี้มีตัวอย่างมากมาย

ผู้ปฏิบัติถึงระดับหนึ่ง จะมาติดวนกันอยู่ที่นี่


วิปัสสนูปกิเลส (เกิดในขณะอุทยัพพญาณอย่างอ่อน - ตรุณวิปัสสนา)


๑. โอภาส เห็นแสงสว่างต่างๆ
๒. ปีติ ๕ อย่าง (จะเกิดขึ้น) ดังนี้
1. ขุททกาปีติ มีลักษณะดังนี้
1.1 เยือกเย็น ขนลุกตั้งชันไปทั้งตัว
1.2 ร่างกาย มึน ตึง หนัก
1.3 น้ำตาไหลพราก
1.4 ปรากฏเป็นสีขาวต่างๆ

๒. ขณิกาปีติ มีลักษณะดังนี้
2.1 เป็นประกายดังฟ้าแลบ
2.2 ร่างกายแข็ง หัวใจสั่น
2.3 แสบร้อนตามเนื้อตามตัว
2.4 คันยุบยิบ เหมือนแมลงไต่ตามตัว

๓. โอกกันติกาปีติ มีลักษณะดังนี้
3.1 ร่างกายไหวโยก โคลงแคลง บางครั้งสั่นระรัว
3.2 สะบัดหน้า สะบัดมือ สะบัดเท้า
3.3 น้ำลายสอในปาก คลื่นไส้ อาเจียน
3.4 มีอาการคล้ายๆละลอกคลื่นซัด
3.5 ปรากฏมีสีม่วงอ่อน สีเหลืองอ่อน

๔. อุเพงคาปีติ มีลักษณะดังนี้
4.1 มีอาการคล้ายๆกายสูงขึ้น ตัวเบา ตัวลอย
4.2 คันยุบยิบ เหมือนมีตัวไร ตอมไต่ตามหน้าตา
4.3 ท้องเสีย ลงท้อง
4.4 สัปหงกไปข้างบ้าง ข้างหลังบ้าง
4.5 หัวหมุนไปมา
4.6 กัดฟันบ้าง อ้าปากบ้าง หุบปากบ้าง
4.7 กายงุ้มไปข้างหลังบ้าง ข้างๆบ้าง
4.8 กายกระตุก ยกแขน ยกขา
4.9 ปรากฏสีไข่มุก สีนุ่น

๕. ผรณาปีติ มีลักษณะดังนี้
5.1 ร่างกายเยือกเย็นแผ่ซ่านไปทั้งตัว
5.2 ซึมๆไม่อยากลืมตา ไม่อยากเคลื่อนไหว
5.3 ปรากฏเป็นสีคราม สีเขียว สีบงกด

๓. ญาณ (ความรู้) ปรากฏว่า ตัวมีความรู้เปรื่องปราชญ์ หมดจด อย่างไม่เคยมีมาก่อน


๔. ปัสสัทธิ มีความรู้สึกสงบเยือกเย็น ทั้งกายและใจ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระวนกระวาย สงบเงียบดังเข้าผลสมาบัติ

๕. สุข ได้แก่ วิปัสสนาสุข รู้สึกว่ามีความสุขที่สุด อย่างไม่เคยพบมาก่อน ยินดี เพลิดเพลิน ไม่อยากออกจากการปฏิบัติ อยากจะพูด อยากจะบอก ผลที่ตนได้ แก่ผู้อื่น

๖. อธิโมกข์ (สัทธา) มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย เป็นต้น อย่างแรงกล้า

๗. ปัคคาหะ (ความเพียร) ขยันเกินควร ตั้งใจปฏิบัติจริง ยอมสู้ตาย ไม่ถอย จนเกินพอดี

๘. อุปัฏฐานะ (สติ) สติมากเกินไป ระลึกถึงแต่เรื่องในอดีตและอนาคต จนทิ้งอารมณ์ปัจจุบันเสีย

๙. อุเบกขา รู้สึกเฉยๆ ไม่ยินดี ยินร้าย ใจลอย หลงๆลืมๆ เป็นต้น อะไรมากระทบก็เฉย ขาดการกำหนด ปล่อยใจไปตามอารมณ์


๑๐. นิกันติ (ติดใจ) พอใจในอารมณ์ต่างๆ มีโอภาส เป็นต้น ตื่นหลงผิดคิดไปว่า ตนคงบรรลุ มรรค ผล นิพพานแล้ว เหตุไม่เคยพบมาก่อน

จะสุขจะทุกข์ยังไงต้องผ่านไปให้ได้

ให้ดูตัวอย่างหนึ่ง นี่แหละที่เรียกโอภาส แล้วมันก็เกิดสลับๆกันเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ขนลุกขนชันเยือกเย็นหนาวสั่น หัวสั่นหัวคลอนโยกหน้าโยกหลัง...วิธีปฏิบัติต่อสภาวะเหล่านี้ ก็คือ กำหนดรู้ตามที่มันเป็นไม่เลี่ยงหนี เป็นยังไงกำหนดยังไง รู้สึกยังไงกำหนดยังงั้น ฯลฯ


https://pantip.com/topic/39585688

คคห.1 แนะนำว่า



รู้เลยว่ามาจากสำนักไหน ไปคิดเอานั่นเอานี่เองไม่ได้แล้วก็เลือกเอาแต่ดีๆทั้งนั้นนะ โดยเฉพาะจะเอาสติกัน ก็จิต (ความคิด) มันมีทั้งกุศล อกุศล เกิดสลับๆกันอยู่ไปมา อะไรเกิดก็ต้องรับรู้สู้หน้ามัน ทุกข์เกิดก็กำหนดจิตรับรู้ไป ทุกข์หนอๆๆ สุขเกิดรู้กำหนดจิดรับรู้ไป สุขหนอๆๆ เกิดกลัวขึ้นกำหนดจิตรับรู้มัน กลัวหนอๆๆ ปฏิบัติอะไรจะเอาแต่ดีๆ ไม่ดีไม่พอใจไม่ถูกใจไม่เอาจะเลี่ยงหนีท่าเดียว

ผู้ป่วยโควิด-19 ตายรายที่ 10 ที่ รพ.มหาสารคาม รักษาแค่ 5 วัน เผยเป็นนักดนตรี มีโรคประจำตัวเบาหวาน-มะเร็ง



http://www.topicza.com/news105296.html? ... DrvC5znn7I

ผู้ที่เสียชีวิตจากโรคโควิด มักเป็นผู้สูงอายุ ร่างกายมีโรคประจำตัวอยู่แล้วแล้วมาติดโรคนี่เข้าไปอีกก็จบชีวิตดังตัวอย่างนั่น

ดังนั้น คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอทำจนติดเป็นนิสัยไม่เสพสิ่งเสพติด ร่างกายก็แข็งแรงไม่เสื่อมโทรมเร็ว มันเสื่อมแต่เสื่อมช้า โรคภัยไข้เจ็บก็น้อย โรคมีด้วยกันทุกคนแต่มีน้อย ออกกำลังกายช่วยได้ระดับหนึ่ง ขณะที่ออกกำลังกายก็ฝึกจิตไปด้วยเลย คือ ตามดูรู้ทันกายที่เคลื่อนไหว