วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 12:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2009, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 141


 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนสอบถามผู้รู้ค่ะ

ฝึกนั่งสมาธิมาหลายเดือนแล้วตอนไปฝึกที่วัดตอนแรกก็มีความรู้สึกปวดที่ขามาก แต่หลังจากกลับมาทำที่บ้านกับไม่มีความรู้สึกปวดที่ไหนเลยไม่ว่าจะเพิ่มเวลาหรือว่าเปลี่ยนมานั่งขัดตะมาดเพชร ไม่ทราบว่าผิดวิธีหรือเปล่า

ขอบคุณค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2009, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


nuttida เขียน:
เรียนสอบถามผู้รู้ค่ะ

ฝึกนั่งสมาธิมาหลายเดือนแล้วตอนไปฝึกที่วัดตอนแรกก็มีความรู้สึกปวดที่ขามาก แต่หลังจากกลับมาทำที่บ้านกับไม่มีความรู้สึกปวดที่ไหนเลยไม่ว่าจะเพิ่มเวลาหรือว่าเปลี่ยนมานั่งขัดตะมาดเพชร ไม่ทราบว่าผิดวิธีหรือเปล่า

ขอบคุณค่ะ :b8:


การปวดขา เป็นเรื่องธรรมดา ของการนั่งแล้วไปกดทับเส้นประสาท ไม่ใช่เรื่องวิจิตรพิสดาร ว่านั่งที่บ้านแล้วไม่ปวดขา ไม่เกี่ยวกัน จะนั่งแบบไหน ก็ได้ตามแต่จะเกิดความสบายและเหมาะสมกับการปฏิบัติสมาธิ แต่ที่นิยมกัน ก็ต้องเป็นการนั่งแบบขัดสมาธิ ขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2009, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




4.jpg
4.jpg [ 23.29 KiB | เปิดดู 3978 ครั้ง ]
ไม่ผิดครับ สุขทุกข์ทั้งมวล เกิด-ดับตามธรรมดาของมัน มีเหตุปัจจัยให้เกิดก็เกิด

หมดเหตุก็ดับ ไม่เป็นตามความปรารถนาของเราหรือของใคร หน้าที่เราคือรู้ความจริงนั้น

ไม่พึงบีบคั้นให้เกิด-ให้ดับตามที่เราต้องการ แล้วจะเห็นธรรมะหรือธรรมชาติตามที่เป็น

เมื่อรู้ความจริงแล้วจิตใจก็ไม่ทุกข์เพราะสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงไปตามกฏของมัน (กฏไตรลักษณ์= สามัญ

ลักษณะ) ที่มนุษย์เป็นทุกข์ก็เพราะไม่แลเห็นกฏนั้นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 07 ต.ค. 2009, 16:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2009, 22:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 141


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากค่ะ สำหรับคำอธิบายกฏไตรลักษณ์ถึงตอนนี้จะยังมองไม่เห็นแต่ก็ทำให้มีความรู้สึกเข้าใจมากขึ้น :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2009, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 18:57
โพสต์: 159


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกสมาธิ เป็นการผึกลงที่จิต ครับ จะอิริยาบทใดก็ได้ครับ ดังพุทธจนะที่ว่า

ภิกษุ ท.! พวกเธอทั้งหลาย จงเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ มีปาติโมกข์สมบูรณ์อยู่เถิด,
จงเป็นผู้สำรวมในปาติโมกขสังวร มีมรรยาทและโคจรสมบูรณ์อยู่เถิด,
จงมีปรกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายซึ่งมีประมาณเล็กน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด.

ภิกษุ ท.! เมื่อพวกเธอทั้งหลาย สมบูรณ์ด้วยศีลเช่นนั้นแล้ว
อะไรเล่าเป็นกิจที่พวกเธอจะต้องทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ?

ภิกษุ ท.! เมื่อภิกษุเดินอยู่ก็ตาม, ยืนอยู่ก็ตาม, นั่งอยู่ก็ตาม, นอน
ตื่นอยู่ก็ตาม, อภิชฌาและพยาบาทของภิกษุนั้นก็ปราศจากไปแล้ว, ถีนมิทธะ,
อุทธัจจกุกกุจจะ, วิจิกิจฉาของเธอก็ละได้แล้ว, ความเพียรก็ปรารภแล้วไม่ย่อหย่อน,
สติก็ตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน, กายก็รำงับไม่กระสับกระส่าย, จิตก็ตั้งมันเป็นหนึ่งแน่ ;

ภิกษุ ท.! ภิกษุที่เป็นได้เช่นนี้ แม้จะเดินอยู่ก็ตาม ยืนอยู่ก็ตาม นั่งอยู่ก็ตาม
นอนตื่นอยู่ก็ตาม, เราเรียกว่า “ผู้มีความเพียรเผากิเลส, มีความกลัวต่อโทษ
แห่งวัฏฏะ, เป็นผู้ปรารถความเพียรติดต่อสม่ำเสมอเป็นนิจ, เป็นผู้มีตนส่งไปใน
แนวแห่งความหลุดพ้นตลอดเวลา ดังนี้”.

-จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๘/๑๒.
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 11:27
โพสต์: 17


 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเองก็เพิ่งเริ่มปฏิบัติเช่นกันค่ะ เมื่อสองวันก่อนดิฉันสวดมนต์และนั่งสมาธิอย่างทีี่่เคยทำ
สวดมนต์มาหลายปีแล้วค่ะ แต่นั่งสมาธิเพิ่มเริ่มทำค่ะ บูชาพระเสร็จก็อาราธนาศีลห้า
และระลึกถึงหลวงปู่ทวดที่อยู่เบื้องหน้าและนึกถึงหลวงพ่อจรัญเป็นครูบาอาจารย์ นั่งกำหนดลมหายใจเข้าออก เข้าอะระหัง ออกพุทโธ สักครู่เดียวความรู้สึกทั้งหลายหายไป
ไม่ได้ยินไม่รู้สึกอะไรเลยเหมือนกับว่างเปล่าเหมือนไม่ได้หายใจ มารู้สึตัวอีกทีก็ตอนที่รู้สึกว่า
มีเสียงอะไรบางอย่างตกลงบนหลังคาที่นั่งอยู่ รู้สึกเสียดายมากเพราะคิดว่าเป็นความรู้สึกที่มี
ความสุขมาก ดิฉันอย่างทราบว่าเกิดอะไรขึ้น วานผู้รู้ช่วยตอบด้วยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


การนั่งสมาธิก็มี2แบบน่ะครับ
-แบบสมถะ
-แบบวิปัสสนา
ก็แล้วแต่ว่าของคุณนั้นจะภาวนาแบบไหนอะครับ
ถ้าแบบสมถะก็เป้นการทำความสงบ
และแบบวิปัสสนาคือการรู้กายรู้ใจครับ
เช่น ถ้าเรามีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ ใจลอยไปก็รู้น่ะครับ
แต่ผมนั้นไม่เก่งเท่าไหรลองเข้าhttp://www.wimutti.netครับ :b4: :b12:

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2009, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 18:57
โพสต์: 159


 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุ ท.! ความตั้งใจมั่นชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุ ท.! ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงฌานที่หนึ่ง อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่.
เพราะวิตกวิจารรำงับลง, เธอเข้าถึงฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายในให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่,
เพราะปีติจางหายไป, เธอเป็นผู้เพ่งเฉยอยู่ได้ มีสติมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และได้เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมเข้าถึงฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย กล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุ ว่า "เป็นผู้เฉยอยู่ได้มีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม" แล้วแลอยู่
เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน เธอย่อมเข้าถึงฌานที่สี่อันไม่ทุกข์และไม่สุข มีแต่สติอันบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.

ภิกษุ ท.!นี้เราเรียกว่า สัมมาสมาธิ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 10:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 141


 ข้อมูลส่วนตัว


รบกวนสอบถามท่านผู้รู้ทุกท่านค่ะ :b48:

นั่งสมาธิมาได้เป็นเวลานานพอสมควรในช่วงแรกทำไม่สม่ำเสมอ แต่มาช่วงนี้ทำสม่ำเสมอทุกวัน หลังจากที่ช่วงแรกจากคำถามด้านบนเคยนั่งแล้วเกิดเวทนาขึ้นก็กำหนดรู้จนเวทนาหายไปเอง หลังจากนั้นทุกครั้งที่นั่งไม่ว่าจะนั่งนานแค่ไหนก็ไม่เคยเกิดเวทนาขึ้นอีกเลย แต่มาระยะหลังนี้เกิดเวทนาขึ้นมาแล้วเป็นอาการปวดที่ทรมานมาก พยายามกำหนดรู้แต่เวทนาก็ไม่คลายลง แต่พอกำหนดพองหนอ ยุบหนอ บางช่วงจังหวะเหมือนอาการเวทนาจะหายไปเป็นพัก ๆ ตอนนี้เวลาเกิดเวทนาขึ้นเลยจะพยายามกำหนดพองหนอ ยุบหนอ นำจิตมาจดจ่ออยู่ที่พองยุบอย่างเดียว แต่ถ้าเกิดวอกแวกไปอาการเวทนาก็จะกลับมาอีก แต่ทุกครั้งจะรู้สึกเสมอว่าอาการเวทนายังอยู่ แต่ใจเราไม่ได้ไปรับรู้ จึงมีความรู้สึกว่าตัวเองเพ่งที่อาการพองยุบมากไป เพราะกลัวเกิดอาการเวทนา ไม่ทราบว่าการทำวิธีนี้เป็นวิธีการที่ผิดไปหรือเปล่าค่ะ หรือเราควรมากำหนดรู้เวทนาจนกว่าเวทนาจะคลายไปเอง

ขอขอบคุณสำหรับทุกคำตอบของทุกท่านค่ะ
:b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร