วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 07:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 18:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




40.jpg
40.jpg [ 92.71 KiB | เปิดดู 5881 ครั้ง ]
ที่บอร์ดหนึ่ง มีผู้ตั้งกระทู้ถาม อ่านแล้วจับความได้ว่า ไปปฏิบัติกรรมฐานจากสำนักมีชื่อแห่งหนึ่งแล้ว
มีอาการร้อนตามร่างกาย มีปวดหัวเป็นต้นร่วมด้วยนับเวลาเป็นปีๆ แล้ว
ที่สำคัญยังขาดอุบายวิธีปฏิบัติเพื่อให้ล่วงพ้นจากทุกขเวทนาเช่นว่านั้น :b7:

ติดตามอ่านคำบอกเล่าจากเจ้าของเรื่องเอง :b42:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 04 ก.ย. 2009, 19:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันตอนนี้อยู่ที่ออสเตรเลีย ....อยากได้รับความช่วยเหลือจากผู้รู้ด้วยค่ะ

ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนา แนวทางท่านอาจารย์โกเอ็นก้า คือ นั่งดูลมหายใจเข้าออก เฉยๆ
ไม่บริกรรม และให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา 10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ
วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมีอาการ ร้อนที่ร่างกาย ทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะ เหมือนมีเข็ม
เป็นร้อยๆเล่มอยู่ในหัว
บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์ แต่ไม่มีอะไร
ผิดปรกติ อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่ง
อยู่ตลอดเวลา เป็นที่ทรมานมาก
ระยะหลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน

บางอาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่า รู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอดเวลา24ชั่วโมง ทั้งหลับ
ทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้งไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา
อาการยังมีตลอด ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา
เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่า
ผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย
ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ

http://board.palungjit.com/f4/ปวดศรีษะจากการนั่งสมาธิ-173606.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 17 ม.ค. 2010, 12:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.พ. 2009, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2008, 14:11
โพสต์: 839

ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


อาการยัง งี้ คือ หัวเทียนบอด... อ้อผิดครับ..คือจิตบอด ถูกลอง วิชา โดยเจ้ากรรมทั้งเก่า
ทั้งใหม่ มีวิธีเดียวคือ ให้ทำสมาธิอย่างจริงๆๆจัง ให้ลุ ถึง ญาณ8 ทุกๆอย่างจะหายไปเอง
ทั้งไสย เวช โรคกรรม อาการ ประหลาดๆๆจะหายหมด เคยอ่านเจอครับว่าได้จริง
แต่ไม่เคยถึงซักทีเจ้าญาณ8นี่อะ
http://board.agalico.com/showthread.php ... post131802
ลองอ่านดูครับ

.....................................................
ทำดีทุกทุกวัน เมื่อโอกาสมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.พ. 2009, 08:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามคุณบุญชัย
หากเป็นผู้ที่คุณสอน สอนจนเค้าเป็นอย่างนั้น คุณมีวิธีแก้อย่างไร :b1: :b38:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2009, 13:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ม.ค. 2009, 14:05
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว


การนั่งสมาธิแล้วเกิดการปวดหัวนั้นอย่าไปโทษอย่างอื่นเลย เกิดจากการที่เรานั่งแล้วไปเพ่งอยู่ที่เดียวคือคุณอยากให้สงบ แต่มันไม่สงบเพราะจิตมันคิดอยู่ตลอดเวลาคุณก็พยามบังคับมันเลยเกิดอาการต้านกันจึงทำให้ปวดหัว วิธีแก้ก็คืออย่าอยากให้สงบ ให้รู้อยู่ที่ปัจจุบันทำความรู้สึกตัวดูจิตมันคิด เหมือนดูหนังถ้าคุณยินดียินร้ายกับมันคุณก็หลงไปกับแต่ถ้าคุณมีสติรู้ว่าเป็นเพียงละคร คุณก็จะไม่เข้าไปหลงกับมัน เพียงแค่ดูอยู่เฉยๆอย่าไปปรุงแต่ตามมันแค่นี้คุณก็สบายแล้ว ลองทำดูนะครับแล้วคูณจะเห็นความเกิดความดับของอารมณ์ที่ไหลอย่ตลอดเวลา เหมือนแม่น้ำที่ไหลตลอด

.....................................................
ความโศกทั้งหลาย
ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท
เป็นมุนี ผู้ศึกษาในทางแห่งมโนปฏิบัติ ผู้คงที่
สงบระงับแล้ว มีสติในกาลทุกเมื่อ

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันไม่น่ายินดี
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ายินดี

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันไม่น่ารัก
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นของน่ารัก

เพราะฉันประมาท
ทุกข์อันเร่าร้อน
ย่อมครอบงำคนผู้ประมาท
โดยความเป็นสุข


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2009, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รอคำตอบคุณบุญชัยมาเดือนกว่าๆแล้วไม่เห็นคำตอบ
ที่ถามเพราะเห็น คห. คุณที่ว่า (จิตบอด ถูกลอง วิชา โดยเจ้ากรรมทั้งเก่า
ทั้งใหม่ มีวิธีเดียว คือ ให้ทำสมาธิอย่างจริงๆๆจัง ให้ลุ ถึง ญาณ 8 ทุกๆ อย่างจะหายไปเอง
ทั้งไสย เวช โรคกรรม อาการ ประหลาดๆๆจะหายหมด)


อีกทั้งคุณเคยกล่าวว่า เปิดสอนทำสมาธิแก่เด็กๆอยู่ด้วย จึงถาม เรื่องภาวนานี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2009, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


เครียดเกินไป... อยากสงบ แต่ไม่สงบ บวกกับฟังเขาโม้ ว่าสงบอย่างนั้นอย่างนี้ เห็นนั่นเห็นนี่ ก็อยากจะสงบบ้าง อยากเห็นบ้าง ยิ่งอยากมาก ก็ยิ่งไม่สงบ เลยไปกันใหญ่

ก่อนอื่น เลิก (พยายาม) ทำสมาธิทันที โดยเฉพาะการดูลมหายใจแล้วพยายาม บังคับ จิตให้นิ่ง ให้กลับไปใช้ชีวิตธรรมดาๆ หาอะไรสนุกๆ ทำแบบเมื่อ 2 ปีก่อน จนกว่าอาการทางจิตจะหายไป

หรือถ้าอยากจะทำสมาธิอยู่ ให้หาบทสวดมาฟัง มีขายอยู่เยอะ จะเป็นเพลงสวดหรือบทสวดก็ได้ เวลาฟังก็ให้ฟังเหมือนฟังเพลง ไม่ต้องกำหนดจิตอะไรใดๆ ทั้งสิ้น สักระยะหนึ่ง อาการน่าจะทุเลาลง หรือหายไป

ปล. ฟังบทสวดหรือเพลงสวด ก็ทำให้ผ่อนคลายได้ ถือเป็นสามาธิเบื้องต้นเหมือนกัน

เพิ่มเติมว่า มีคนไม่มากนัก ที่จะทำสมาธิได้จนถึงระดับฌาณ ให้ตั้งเป้าหมายว่า ทำสมาธิเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านมาก และจะได้มีสติพิจารณาสิ่งต่างๆ ในชีวิตที่ดีขึ้น เท่านี้ก็พอ หรือจะตั้งว่า ทำเพื่อให้สภาพจิตดีขึ้น จะได้ไม่ไปสู่ทุคติภูมิในภพหน้าก็ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2009, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันมีการสอนเรื่องกรรมฐานหลายรูปแบบ ยิ่งมากสำนักมากอาจารย์ รูปแบบวิธีการก็มากตามไปด้วย
นี่ก็เป็นแบบหนึ่ง ซึ่งเพี้ยนออกนอกทางมัชฌิมาปฏิปทา


http://vdo.palungjit.com/video/1113/%E0 ... D%E0%B8%A2


ดังนั้นผู้ใหม่ต่อพระพุทธศาสนา ศึกษาลิงค์นี้โดยรวมก่อน

viewtopic.php?f=2&t=19015

ส่วนการปฏิบัติกรรมฐาน ควรถามผู้ที่สอนตนก่อนว่า ทำไปเพื่ออะไร จุดหมายปลายทางอยู่ตรงไหน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2009, 17:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2008, 14:11
โพสต์: 839

ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับผมจะใช้วิธี หาอุบายครับเช่นถ้าคุณร้อนไปทั้งหน้าและตัว
ให้คุณ ใช้ น้ำครับมาทำ สมาธิ อาโปๆๆๆ ท่องจนจิต สงบ
แล้ว ผมจะส่งพลังให้ก็ได้ผล บางคน บางคนไม่หาย
ต้องให้อาจารย์ผม ส่งพลังคุมแทน
ถ้าใน รายที่ไม่เจอตัวกันแนะ ให้ทำสมาธิ บริเวณที่ลมโกรกๆ
เปลี่ยนคำ บริกรรม เป็น วาโยๆๆๆ น่าจะหายเพราะ จิตจับ เอา
เตโช ไว้เลยร้อนทั้งตัว แค่เปลี่ยนกสิณ ใหม่ก็หาย
ผมเอง ก็เคยใช้ เตโช ร้อนเหงื่อแตกเลย เกือบ เป็นลม
ทุกวันนี้แก่ แล้วเลย จับทันไม่หลงไปกสิณไหนๆ แก้ ทัน :b23:

.....................................................
ทำดีทุกทุกวัน เมื่อโอกาสมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ไม่แน่ใจว่าจพถูกต้องหรือไม่นะขอรับ
แต่กระผมวิปัสนาแนวสติปฐาน 4 เคยเกิดอาการร้อนที่ท้อง และ ตัวหนักเมื่อแบกของหนักบนบ่าเวลาเดินจงกลม
:b8: พระอาจารย์ ท่านว่า สาเหตุแห่งอาการร้อนท้อง เพราะมีสมาธิมากเกินไป :b14: กล่าวคือ ตอนนั้นกระผมพึ่งเริ่มกำหนดจุดนั่งหนอ.....กระผมไม่รู้ว่าจะกำหนดจุดตรงไหนเลยกำหนดตรงท้องน้อยและจิตนาการว่าลมหายใจพุ่งลงไปที่ท้องน้อย........ผลที่ได้......ร้อนท้องอย่างแรง..... :b14: พระอาจารย์เลยให้เพิ่มจุดถูกหนอที่ตะโพก เพิ่อ กระจาย สมาธิไปจุดอื่น และเวลาจิตไปสัมผัสตรงท้องน้อยว่านั่งหนอ...ให้จิตผ่านๆๆไปไม่ต้องเพ่ง......ก็หายร้อนท้องไปนะครับ.....ในทำนองเดียวกัน..คุณอาจมีสมาธิเพ่งจิตรับรู้ไปทั้งร่าง...เลยร้อนทั้งตัว.......ก็ได้ขอรับ

แต่.....ตัวหนักตอนเดินนี้ยังไม่ได้...แก้ ....เพราะกลับก่อน..พระอาจารย์เลยบอก...ยังไม่ต้องเพิ่ม..ไม่ต้องลดจุด :b28: ....ผลก็คือ....ปวดเหมือ่ยทั่วทั้งร่าง....นวดอย่างไรก็ไม่หาย....และก็ยังไม่ได้ไปปฎิบัตืเพิ่มเลย...... :b22: แก้อย่างไรดีขอรับ :b14:

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2008, 14:11
โพสต์: 839

ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


ใช้ อาโป กสิณเข้าช่วยครับ เมื่อเข้า อาโป กสิณ ได้เราจะเป็น เหมือน น้ำ ไม่มีธาตุ3
มีธาตุเดียวคือน้ำ ผล ก็ ไม่เจ็บไม่ปวด มีแต่เย็นๆ ยวบๆๆหรือ เมื่อจิตกะลังสงบ ให้ ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์
อากาศ อันไม่มีประมาณ จะรู้สึก สบายๆๆๆๆเบา เหมือนบินได้ อาการเจ็บอะไรจะไม่มาอีก
เข้าทาง อรูปวาจารฌาน นิดๆๆแต่ๆๆได้ผล ผม ลองแล้ว ฟันธง....

.....................................................
ทำดีทุกทุกวัน เมื่อโอกาสมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นคุณบุญชัยฟันธงแล้วนึกถึงวันสงกราต์ที่ผ่านมา หมอลักษณ์ขึ้นเวทีข้างทำเนียบฟันธงว่า (...) สุดท้ายเช้ามืดถูกล้อมตีแตกกระสานซ่านเซ็น ธงหักไปแล้ว :b1:
กรัชกายขอเตือนโยคีนะครับด้วยความปรารถนา คงจะไม่พูดอะไรมากแล้ว เพราะเขียนพูดมามากแล้ว หมดไฟแล้ว
คุณอวบอั๋นฯ เองก็เคยสนทนากันให้แนวทางไปพอควรแล้ว ดำเนินไปตามนั้น มีทางเดียวคือกำหนดรู้ตามที่มันเป็น
หากวันข้างหน้ายังติดข้องสงสัย ไม่รู้จะไปทางไหนดี ขอแนะนำว่าหยุดปฏิบัติเถอะครับ หาวิธีทำบุญด้วยวิธีอื่นดีกว่า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 23:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เห็นคุณบุญชัยฟันธงแล้วนึกถึงวันสงกราต์ที่ผ่านมา หมอลักษณ์ขึ้นเวทีข้างทำเนียบฟันธงว่า (...) สุดท้ายเช้ามืดถูกล้อมตีแตกกระสานซ่านเซ็น ธงหักไปแล้ว :b1:
กรัชกายขอเตือนโยคีนะครับด้วยความปรารถนา คงจะไม่พูดอะไรมากแล้ว เพราะเขียนพูดมามากแล้ว หมดไฟแล้ว
คุณอวบอั๋นฯ เองก็เคยสนทนากันให้แนวทางไปพอควรแล้ว ดำเนินไปตามนั้น มีทางเดียวคือกำหนดรู้ตามที่มันเป็น
หากวันข้างหน้ายังติดข้องสงสัย ไม่รู้จะไปทางไหนดี ขอแนะนำว่าหยุดปฏิบัติเถอะครับ หาวิธีทำบุญด้วยวิธีอื่นดีกว่า


:b2: :b14: :b10: ท่าน กรัชกายทำไมอะครับ...ผมบาปหนาหรืออับปัญญาจนวิปัสนาไม่ได้หรือครับ...... :b2: :b14: :b5: :b10:

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2009, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ท่าน กรัชกายทำไมอะครับ...ผมบาปหนาหรืออับปัญญาจนวิปัสนาไม่ได้หรือครับ......


:b1: ไม่ได้หมายความถึงขนาดนั้นครับ แต่เตือนๆ ว่า บริกรรมภาวนาเนี่ย พึงมีผู้รู้เรื่องนี้เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิด เมื่อเกิดกรณีสงสัย หรือเป็นอะไร อย่างที่คุณประสบหรือใครอื่นประสบอยู่สงสัยอยู่จะมีวิธีปฏิบัติเพื่อออกไปจากสิ่งนั้นอย่างถูกวิธี แล้วมีประโยชน์แก่ตนอย่างแท้จริง

ที่แนะให้ทำบุญอย่างอื่น ที่ไม่ใช่บริกรรมภาวนา เช่นคิดตามหลักเหตุผลว่า รูปนามขันธ์ ๕ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา คิดนึกอย่างนี้บ่อยๆก็ได้
แต่เมื่อต้องการจะฝืนๆ ดูก็ไม่ว่านะครับ


กรัชกายรวบรวมสภาวะซึ่งปรากฏแก่โยคีรูปลักษณ์ต่างๆไว้ที่

http://www.free-webboard.com/view.php?u ... =28&topic=รวมสภาวะของผู้เริ่มภาวนา


ทั้งหมดเท่าที่ดูยังไม่มีผู้แนะนำที่ตรงเหตุเกิด สิ่งเหล่านี้เมื่อหยุดปฏิบัติก็เหมือนไม่มีอะไร แต่เริ่มภาวนาอีกก็ปรากฏอีก จะพ้นไปไม่ได้ ตราบเท่าที่ยังไม่มีวิธีที่ถูกต้อง วิธีมีนิดเดียวคือกำหนดหรือบริกรรมตามที่มันเป็น เป็นอย่างไรกำหนดอย่างนั้น หมายถึงว่า ธรรมชาติเป็นอย่างโยคีพึงกำหนดรู้อย่างนั้น สรุปๆก็เท่านี้

ส่วนปลีกย่อยๆเล็กน้อยๆ ก็อย่างที่บอกโยคีพึงมีผู้รู้แนะนำเป็นกรณีๆไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2009, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



ปัจจุบัน มีการปฏิบัติประหลาดๆ ออกมาสู่สังคมชาวพุทธอยู่เสมอๆ
พุทธศาสนิกชน ที่ขาดความรู้เรื่องพุทธธรรมคำสอน จึงถูกหลอกถูกชักจูง เสียเงินเสียทอง เป็นต้น
เพราะต้องการบรรลุธรรม อยากไปสวรรค์ ฯลฯ

วิธีนี้เพิ่งเคยได้ยิน เจ้าลัทธิได้ตั้งชื่อการปฏิบัติของตนว่า "การ connect จิต ถึง จิต เพื่อบรรลุธรรม"
อ่านจากปากคำของผู้มีประสบการณ์เอง



การ connect จิต ถึง จิต เพื่อบรรลุธรรม

ได้มีโอกาสได้พบกับอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเป็นฆารวาสและได้สนทนาธรรมกับอาจารย์ท่านนี้ โดยการแนะนำของเพื่อน ว่ามีวิธีการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งเรียกว่าการ connect
การมาหาอาจารย์ครั้งแรก ใช้เวลาสนทนาธรรมประมาณ 4 ชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มการ connect

อาจารย์ท่านบอกว่าตอนนี้โลกเราอยู่ในสภาวะ นรกแตก มีพวกที่ทำบาปหนาเยอะมากจนนรกจะรับไม่ไหว และท่านบอกว่าการปฏิบัติธรรมและแผ่เมตตาไม่เพียงพอกับสภาวะนรกแตก เพราะวิญญาณเหล่านั้นไม่ต้องการเพียงแค่การแผ่เมตตา แต่ ต้องการการปลดปล่อย และอาจารย์ก็ได้รับบัญชามาเพื่อให้ช่วยปลดปล่อยสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งในโลกและในกาแลคซี่อื่นๆ โดยใช้วิธีการ connect หรือการเชื่อมจิตถึงจิต เพื่อทำให้บรรลุธรรมได้ และช่วยในเรื่องการทำให้กรรมที่เราทำมาเบาบางลงได้ 70% ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับตัวเราเอง
และการทำให้กรรมของเราเบาบาลงนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับอาจารย์ เนื่องจากอาจารย์ไม่มีกรรมกับโลกนี้ และยังได้ยกตัวอย่างอีกว่า ฮิตเลอร์ฆ่าคนตายมากๆมายก็ไม่ได้ตกนรกเพราะฮิตเลอร์ไม่มีกรรมกับโลกนี้ (อันนี้สงสัยเหมือนกันว่าทำไม แต่ไม่ได้ถามอาจารย์)

อาจารย์ท่านนี้ยังได้บอกอีกว่าวิธีการ connect เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าเคยใช้จิตส่งจิต กับพระมหากัสสัปปะ และยังได้สืบทอดมาถึงสังฆปรินายกองค์ที่ 6 (อันนี้เข้าใจว่าน่าจะเป็นแนวคิดแบบ เซ็น) อาจารย์ยังแนะนำอีกว่าหลังการ connect แล้วไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิวิปัสสนา แต่ให้ทำจิตใจให้มีความสุข และไม่จำเป็นต้องสวดมนต์ โดยเฉพาะบท พาหุง และ บทอัญเชิญเทวดา เนื่องจากอาจารย์บอกว่าทั้งสองบทนี้เป็นบทสะกดวิญญาณ ทำให้
วิญญาณทั้งหลายไม่ได้ผุดได้เกิด อาจารย์ท่านเพียงบอกว่าว่าไม่จำเป็นต้องทำทั้งสองอย่างนี้ แต่ ถ้าอยากจะทำก็ทำ แล้วสักวันนึงจะรู้เองว่าไม่จำเป็นต้องทำ

จุดเริ่มต้นในการเริ่มมา connect ให้ผู้อื่นของอาจารย์คือ มีคนจากต่างประเทศเดินทาง
มาบอกว่าอาจารย์ต้องช่วยผู้อื่น (เราไม่ได้ถามข้อมูลตรงนี้ต่อ)

อาจารย์ท่านนี้ยังบอกว่าอีกว่าพวกที่ปฏิบัติธรรมเป็นพวกที่ทำลายล้างโลก ยิ่งทำให้แย่
แล้วอาจารย์ท่านก็ยกตัวอย่างพวกที่อ่านจิตคนได้ หรือเพ่งกสิณได้ บอกว่าพวกนี้พลังงาน
เยอะ ซึ่งบางคนถ้าไม่ปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ พลังงานพวกนี้จะทำลายล้างโลกของเรา

ตอนนี้อาจารย์ได้เตรียมจะ สร้างองค์ธรรมมารดาที่สถานที่แห่งหนึ่งในต่างจังหวัด แต่
ตัวเองจับใจความไม่ได้ชัดเจนว่าสร้างเพื่ออะไร แต่อาจารย์ได้บอกว่าต่อไปโลกเราจะ
มีมลภาวะ จนน้ำไม่สามารถดื่มได้ อาจารย์จึงได้เลือกสถานที่แห่งหนึ่งที่มีความชื้นสูง
และอาจารย์มีเทคโนโลยีที่ไม่สามารถเปิดเผยได้เกี่ยวกับการนำน้ำมาที่ปราศจากมลพิษ
มาใช้

ตัวเองสงสัยว่าองค์ธรรมมารดาคืออะไร จึงได้สอบถาม อาจารย์บอกว่าจริงๆพุทธศาสนา
ก็พูดถึงองค์ธรรมมารดาในพระไตรปิฏก แต่ใช้ชื่ออีกอย่างซึ่งตัวเองจำไม่ได้จริงๆว่าอาจารย์บอกว่าชื่ออะไร และได้บอกว่าองค์ธรรมมารดาเป็นพระเจ้าของพระเจ้าทุกองค์
ในโลกและในกาแลคซี่

ในการ connect อาจารย์บอกว่าเมื่อก่อนอาจารย์ขอ 12 บาท เพื่อเป็นการทำอะไรสักอย่างอันนี้ลืมไปแล้ว แต่ตอนนี้ อาจารย์จะนำเงินทุกบาททุกสตางค์ไปสร้างและบูชาองค์ธรรมมารดาเราเลยไม่แน่ใจว่าอาจารย์ต้องให้ทำบุญเท่าไหร่

หลังจากคุยกับได้สักพักใหญ่ประมาณ3-4 ชั่วโมง อาจารย์ก็สอบถามว่าเราสนใจหรือโอเค
กับการ connect หรือไม่ ตัวเองหลังจากที่ได้ฟังอาจารย์พูดมา 3-4 ชั่วโมง ใจจริงก็ยังไม่แน่ใจ แต่ก็ได้บอกอาจารย์ว่าสนใจ การ connect จึงเริ่มขึ้น

การเริ่มต้น connect คือ การให้กล่าวบทขออภัยและขออโหสิกรรมกับองค์ธรรมมารดา พระรัตนตรัย และ พระเจ้าทุกองค์ ในโลกและในกาแลคซื่ จากนั้นอาจารย์ให้นำพานดอกไม้พร้อมเงินบริจาคไปบูชาที่โต๊ะหมู่บูชา และให้กราบ 11 ครั้ง (สอบถามมาคือที่ต้องกราบ 11 ครั้งคือกราบให้กับองค์ธรรมมารดาที่คุ้มครองสวรรค์และกาแลคซี่, ผู้ปลดปล่อยให้กับโลกมนุษย์ และ นรก) จากนั้นอาจารย์ก็ให้นั่งหันหน้าเข้าหาอาจารย์และอาจารย์ก็เริ่มบริกรรมอะไรสักอย่าง จากนั้นให้นั่งหันหลัง แล้วอาจารย์ก็เอามือมาขยับขึ้นขยับลง บริเวณ ศรีษะเร พร้อมทั้งบริกรรม ระหว่างนี้เรารู้สึกเหมือนมีกระแสอะไร ขึ้นๆลงๆบริเวณ ศรีษะ แล้วรู้สึกเหมือนโล่งๆชั่วขณะ ทั้งหมดใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที
(การ connect ได้ทำในห้องพระ โดยมีเพื่อนของเราและภรรยาของอาจารย์นั่งอยู่ด้วย)

จากนั้นอาจารย์ก็สอบถามความรู้สึก แล้วถามว่าเรารู้สึกอย่างไร เราก็ตอบอาจารย์อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น อาจารย์บอกว่ากระแสที่ส่งมาให้สำหรับการ connect ครั้งแรก จะเป็น
แบบอ่อน เพื่อปรับธาตุทั้งสี่ในร่างกายเรา การ connect จึงควรมาถี่สัก 1 สัปดาห์ในช่วงแรก และ connect เพียงไม่กี่ครั้งก็เพียงพอแล้ว และการมา connect แต่ละครั้งไม่ต้อง
ทำบุญมากก็ได้ หรือไม่มีก็ไม่ต้องทำ (แต่เพื่อนบอกนอกรอบก่อนหน้านั้น ว่าแต่ละครั้งควรให้อย่างน้อย 300 บาท ) หลังจากนั้นเราก็กลับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 07 ส.ค. 2009, 08:37, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 43 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร