วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 12:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2009, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธพจน์ดังกล่าวว่า ขณะที่กำลังเจริญมรรคอยู่ โพธิปักขิยธรรมทั้งหมดจะรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว
ขณะนั้นจะมีทั้งสมถะและวิปัสสนาเกิดขึ้นเจริญไปด้วยกัน (เพราะเป็นนามธรรม ซึ่งได้แก่สมาธิกับปัญญา)

เช่นตัวอย่างโยคี ซึ่งปฏิบัติกรรมฐานดังกล่าวข้างต้น ก็มีทั้งสมถะและวิปัสสนา มีตรงไหนมาดูกัน
เอาที่เป็นสมถะก่อน (ความจริงปัญญาหรือวิปัสสนาก็มีทุกๆ ระยะ เพราะเขาเองรู้สึกตัวอยู่ว่า อะไรเป็นอะไร)

เขาเล่าไว้ตอนหนึ่ง

(พอตกดึก มาเจริญสติอีกครั้ง คราวนี้ มีอาการเช่นเดิม คือ เหมือนสภาพร่างกายหายไปแบบตอนแรก)

นี่รูปเป็นไตรลักษณ์ คือ ไตรลักษณ์ปรากฏ เมื่อรู้สึกว่าร่างกายไม่ปรากฏ คือเหมือนหายไป ก็พึงกำหนดรู้สิ่งที่ปรากฏในขณะนั้น เช่นความรู้สึกนึกคิด เป็นต้น ที่เห็นปรากฏอยู่

ส่วนที่เขาว่า

(แต่ครั้งนี้ เกิดนิมิตเป็นลูกแก้วใสสว่างขึ้นมา จากลูกเล็ก ๆ กลายเป็นลูกใหญ่แล้ว
คือเวลาเราหลับตา มันจะดำๆ ใช่ไหมครับ แต่พอ ลูกแก้วขนาดจนเต็มความรู้สึกเหมือนสว่างไสวไปหมด
เป็นสี ขาว มีประกายทั่วที่หลับตาอยู่นั่นเอง และพอ กำหนดให้มันเล็กลง มันก็เล็กได้ดังใจ
เหมือนกับว่า ในขณะนั่นจิตจะสั่งการอะไร ได้หมด
)


นั่นเป็นอารมณ์สมถะ (แต่ไม่พึงลืมว่า สมถะได้แก่จิตที่เกิดสมาธิแล้ว และมีพลัง)

สิ่งที่โยคีพึงปฏิบัติต่อสภาวะนั้นต่อไปก็คือ กำหนดรู้สิ่งที่เห็นไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ตาม "เห็นหนอๆๆ"
ไม่พึงปล่อยนิ่งเฉย หรือ ดูลูกแก้วเป็นต้นนั้นเพลินไป เพราะมันจะเปลี่ยนไปได้เรื่อยตามความคิด
โยคีพึงกำหนด "เห็นหนอๆๆ" จิตจะไม่ยึดไม่ติดในมิมิตนั้น แต่รูปหายไป ไม่ปรากฏ ก็กำหนดความคิดความรู้สึกที่มีอยู่เห็นอยู่
เมื่อปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวแล้วต่อไป นิมิตที่เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง จะจางลงและเป็นปกติ นั่นแปลว่าจิตพ้นนิมิตไปแล้ว
เมื่อร่างกายคืนสภาพของมัน ก็ใช้กรรมฐานหลักคือพอง-ยุบ ต่อไป พองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ
ถูกหนอ ต่อไป
ส่วนนิมิต เป็นต้น กำหนดแล้วๆกัน ไม่ใช่อารมณ์หลักที่จะต้องใส่ใจเหมือนพอง-ยุบ
อาการท้องพองกับท้องยุบ...เท่ากับกายานุปัสสนา ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2009, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โยคีท่านนี้ปฏิบัติกรรมฐานได้ผลดีทีเดียว
หลังจากที่เขากำหนดผ่านนิมิตลูกแก้วไปแล้ว ลักษณะต่อไปจะเป็นการทำงานของสติ กับสัญญา เป็นต้น มาดูกัน



หลังจากกำหนด ลูกแก้ว ให้เล็กจนหายไป ภาพกลับมาเหมือนตอนหลับตาปกติ

คราวนี้ เกิดนิมิตใหม่ คือ ได้เห็น ช่วงเวลาตอนบ่าย ตอนเช้า ทุก ๆ ขณะที่กระทำสิ่งใดไปในแต่ล่ะวัน
ค่อย ๆ ปรากฎเป็นภาพอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับว่า ได้กลับไปอยู่ในสถานการณ์นั่น ๆ อีกครั้งหนึ่ง

ได้เห็น สิ่งที่ทำไป ในอดีต ค่อย ๆๆ ผุดขึ้นมาที่ละนิด ๆ จนได้รู้สึกถึงตอนวัยรุ่น ตอนเด็กๆ ได้ทำอะไร
ลงไปบ้าง
บางขณะ ได้ทำอะไรดีดี จิตก็ รู้สึกดี ก็ตามพิจารณารู้ว่า รู้สึกดีตลอด
บางขณะ ได้ทำอะไรชั่ว ก็ได้ตามพิจารณาว่าทำชั่ว
สภาพจิตเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง รู้ถึงตอนที่ พ่อมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล
พอถึงตอนนี้ ในความรู้สึกเหมือนน้ำตาไหล ที่เห็น พ่อแม่ อยู่ด้วยกัน (ความเป็นจริงไม่อยู่แล้ว)

ความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง ไม่เคยจำได้ แต่เห็นเป็นภาพอย่างชัดแจ้ง
เมื่อเช้าได้ถามแม่ ในหลายๆเรื่องที่จำไม่ได้ แต่เห็นในนิมิตนั่น
แม่ก็บอกว่าจริงทุกเรื่อง และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตของผมจริง ๆ


ไม่มีอะไรเสียหาย


สาระสติ สั้นๆ คือ จำสิ่งที่ทำคำที่พูดมานานแล้วได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอีกสักตัวอย่างหนึ่ง
โยคีผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานดังกล่าว ประสบสภาวธรรม เช่น ทุกข์สภาวะ หรือ ไตรลักษณ์ ดูที่เค้าเล่า




ความรู้สึกเบื่อหน่ายเริ่มหายไปแล้ว แต่รู้สึกกายนี้มีแต่ทุกข์ จิตนี้ก็มีแต่ทุกข์
สิ่งใด ๆ ก็ทุกข์ เกิดแล้วดับ วนเวียนไปไม่หมดสิ้น
พิจารณาอยู่นานเหมือนกัน ตอนนั่น
ไม่รู้สึกอะไรแล้ว ลมหายใจขาดหายไป
ฯลฯ



ดังกล่าวคือสภาวะที่โยคีประสบจริง เห็นไตรลักษณ์จริงๆ มิใช่ด้วยการคิด
หรืออ่านจากตำรา แล้วเขาจะคลายการยึดติดถือมั่นในนามรูปเองโดยอัตตโนมัติ เมื่อเห็นไตรลักษณ์ชัดเจนขึ้นๆ ซึ่งต่างจากผู้ที่คิดเอา หรือ อ่านหนังสืออ่านตำราแล้วคิดตามนั้นเอา

ดูที่ท่านอธิบายความต่างกันข้างล่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 14 มิ.ย. 2009, 20:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2009, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างเปรียบเทียบ ตห.บน ดูที่ท่านอธิบาย



ความรู้ทันสังขารด้วยมองเห็นไตรลักษณ์ ทำให้คลายหรือถอนความยึดติดถือมั่นในสังขารทั้งหลายเสียได้
ความไม่ยึดติดถือมั่นนี้ เป็นหัวใจของความหลุดพ้นเป็นอิสระและความปลอดพ้นจากทุกข์ ซึ่งจะทำให้
เข้าถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา
ในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ความไม่ยึดติดถือมั่นจะเกิดขึ้นเอง เป็นผลมาจากการมองเห็นสิ่งทั้งหลาย
ตามความเป็นจริง เมื่อมองเห็นไตรลักษณ์ชัดเจนแล้ว


แต่บางคน ยังไม่ได้รู้เห็นความจริง ด้วยความประจักษ์แจ้งไตรลักษณ์อย่างนั้น เป็นแต่ได้ยินได้ฟังมา
และคิดเห็นไปตามเหตุผล พร้อมทั้งยึดถือตามไปด้วยสัญญาว่า จะต้องไม่ยึดติดถือมั่นสิ่งใดๆในโลก
จึงจะหลุดพ้นจากทุกข์
เมื่อคิดคำนึงไปเช่นนั้น จึงพยายามแสดงทั้งแก่ตนและแก่ผู้อื่นว่า ตนไม่ยึดติดถือมั่นต่อสิ่งทั้งหลาย
หรือหมดกิเลสแล้ว โดยอาการที่กลายเป็นการไม่เอาเรื่องเอาราวอะไร *
ทำให้เกิดการกระทำ และ การไม่กระทำ ที่เกินเลยความสมควรตามความเป็นจริง
การเพิกเฉยละเลยเรื่องที่ควรเอาใจใส่ และการไม่กระทำกิจที่ควรทำ โดยไม่สมเหตุสมผล
อาการละเลยการกระทำในลักษณะนี้ เรียกว่า การยึดมั่นในความไม่ยึดมั่น
เป็นความไม่ยึดมั่นอย่างเทียม ไม่ใช่ความไม่ยึดมั่นที่ถูกต้องแท้จริง กลายเป็นผู้ประมาทไป
โดยไม่สมควร.


"การยึดมั่นในความไม่ยึดมั่น" เต็มๆลิงค์นี้

viewtopic.php?f=2&t=23043&p=116513#p116513


...........

* ควรระวังให้มาก การไม่เอาเรื่องอะไร อาจกลายเป็นการละเลยทอดทิ้งกิจหน้าที่ การไม่เอาใจใส่เรื่องที่ควรใส่ใจ ซึ่งหมายถึงความประมาท และความหลงผิด ถือผิด ตลอดจนความมีตัณหา ที่ทำให้ติดเพลินในความสบาย อย่างน้อยก็เป็นเครื่องแสดงถึงความขาดกุศลฉันทะ ที่เป็นบันไดขั้นต้นของคุณความดี
ทั้งหลาย

(พุทธธรรมหน้า 70/42)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2009, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



ในการปฏิบัติธรรมหรือแม้แต่ศึกษาธรรม ควรมองเข้ามาในตน หรือ ในรูปธรรมนามธรรมนี้ แล้วการรู้เข้าใจ หรือแม้แต่เข้าถึงธรรมะ หรือ ธรรมชาตินี้จะง่ายขึ้น เพราะตีวงแคบเข้ามาหาตัวเอง



ภาวะที่ไม่เที่ยง ไม่คงอยู่ เกิดแล้วสลายไป เรียกว่า อนิจจตา (= อนิจจัง)

ภาวะที่ถูกบีบคั้นด้วยเกิดสลาย มีความกดดันขัดแย้งแฝงอยู่ ไม่สมบูรณ์ในตัว เรียกว่า ทุกขตา
(= ทุกขัง)

ภาวะที่ไร้ตัวตนที่แท้จริงของมันเอง เรียกว่า อนัตตตา ( = อนัตตา) ( = ไตรลักษณ์)

ปฏิจจสมุปบาทแสดงให้เห็นภาวะทั้ง ๓ นี้ในสิ่งทั้งหลาย และแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ ต่อเนื่องเป็นปัจจัย
แก่กันของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จนปรากฏรูปออกมาเป็นต่างๆ ในธรรมชาติ
ภาวะและความเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาทนี้ มีแก่สิ่งทั้งปวง ทั้งที่เป็นรูปธรรม ทั้งที่เป็นนามธรรม
ทั้งในโลกฝ่ายวัตถุ ทั้งแก่ชีวิตที่ประกอบพร้อมด้วยรูปธรรมนามธรรม.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2009, 18:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กฏแห่งไตรลักษณ์ คห.บน เป็นเรื่องของธรรมชาติ ดังนั้นจะนำตัวอย่างการปฏิบัติกรรมฐานของโยคีผู้เริ่มเห็นไตรลักษณ์ดังกล่าวก่อนหน้า มาวางเทียบเคียงอีกครั้ง



......ขอคำแนะนำในการปฎิบัติสมาธิครับ
อยากได้คำแนะนำในการปฎิบัติต่อไปจากท่านผู้รู้ครับ


กระผม ได้ปฎิบัติ โดยการนั่งสมาธิมาได้ในระยะหนึ่ง หลายคืนที่ผ่านมา กระผมนั่งสมาธิเช่นทุกวันที่เคยทำ
แต่ในคืนนั่น มันเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผม ไม่รู้หนทางว่าจะปฎิบัติ หรือกำหนดจิตอย่างไรต่อไป

จึงขอโปรดผู้รู้ ที่เคยปฎิบัติมาแล้ว โปรด ให้คำแนะนำด้วยครับ

ในวันนั่น ผมนั่งสมาธิโดยการกำหนด ยุบหนอ-พอง หนอ โดยกำหนดจิตรับรู้การเคลื่อนของกระเพาะอาหารเวลาลมหายใจเข้าไปและออกมาครับ
กระผม คิดเอาเองว่าคงนั่งได้ประมาณ 2 ชม.ได้แล้ว และผมก็ได้รู้สึกว่า ร่างกายของผมเหมือนไม่มี
เหมือนจิตผมหยุดนิ่งอยู่ที่ ใดที่หนึ่งโดยไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมกำหนดตอนแรก หายไปไหน ลมหายใจของผมประหนึ่งกับดับไป
ผมพยายาม กำหนดต่อไป แต่คราวนี้มันกำหนด ยุบหนอ พองหนอ ไม่ได้เสียแล้วเพราะ เหมือนกับว่า ร่างกายนี้
ไม่มีอยู่ครับ

ผมเลย ใช้การกำหนดดูจิต ที่ยังพอรู้สึกได้อย่างเลือนลางนั่นต่อไป จน ผมเริ่มเกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง คือ
ผมไม่ได้หายใจ แต่ ใจผม ยังคงหยุดอยู่ที่ สิ่งแรกอยู่ แต่รู้สึก สิ่งนั่น ที่ใจนึกถึงนั่น มันเด่นชัดมากขึ้น
ผมนั่งต่อไปอีกสักระยะ หนึ่งครับ แต่ไม่รู้ว่าจะกำหนดอะไรต่อไปแล้ว เพราะ เหมือนรู้สึกว่า ไม่มีอะไรเลยครับ เหมือนทุกสิ่งทุกอย่าง หายไปหมด คือ เหมือนร่างกาย ก็ไม่มี และสิ่งรอบข้าง ก็หายไปหมด เหมือนกับว่า
ไม่มีอะไรอยู่ข้างกายแบบนี้อ่ะครับ

ผมเลย นึกในใจอยากออกจากสมาธิ ก็เริ่มรู้สึกถึงร่างกายของผมเองขึ้นมาที่ละนิด ๆ แล้วก็รู้สึกว่า มีสิ่งแวดล้อมรอบตัว กลับมาอีกครั้ง รู้สึกถึงการหายใจขึ้นมาอีกครั้ง ผมค่อย ๆๆถอดออกจากสมาธิ แล้วลืมตา
ในตอนนั้น
ในตอนที่รู้สึกถึงร่างกายอ่ะครับ ผมกลับมีความรู้สึกอีกอย่าง เข้ามาในใจอย่างรุนแรงมาก คือ เหมือนว่า
ร่างกายผมอ่ะครับมันสกปรกมาก เหมือนกับซากศพอะไรซักอย่าง (ไม่ได้กิเลสนะครับ แต่เป็นความรู้สึกใน
ตอนนั้น)

และผมก็เกิดความกลัวไปหมด กลัวจะผิดศีล 5 กลัวภัยในแต่ละวัน เหมือนจิตจะฟุ้งซ่านมากในขณะนั่นเลยครับ
หลังจากคืนนั่น ในคืนต่อ ๆ มา ผมก็นั่งสมาธิตามปกติ และก็ได้รับรู้ความรู้สึกเช่นที่เป็นมา ทุกคืนติดต่อกัน
แต่ ทุก ๆ คืน จนถึงวันนี้ ผมเหมือนกับเบื่อหน่าย ที่จะทำงาน ไม่อยาก เจอหน้าภรรยา ไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ ไม่อยากเจอหน้าลูก เหมือนเบื่อหน่ายทุกสิ่งในโลก อาหาร แม้แต่ตัวเอง
วัน ๆอยากนั่งทำสมาธิ เพราะ ในช่วงที่ เล่าให้ฟัง มันมีความสุขมาก เหมือนผมลืมทุกอย่างไปเลย

--ในสิ่งที่ผมถามและอยากรู้นะครับ คือ
1. ผมปฎิบัติผิดตรงไหนหรอเปล่าครับ
2. ถ้าไม่ผิด ผมจะปฎิบัติยังไงต่อครับ
3. สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในขณะนั่นมันคืออะไรกันแนะครับ


(วันต่อมา)


เมื่อวานนี้ ได้นั่งพิจารณา อารมณ์และตามดูจิต ยืน เดิน นั่ง นอน ได้แทบทั้งวัน รู้สึกถึงความเย็น สงบ ใครนินทา กล่าวร้าย ไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลย มันนิ่งได้ทั้งวันจริง ๆ

พอตกดึก มาเจริญสติอีกครั้ง คราวนี้ มีอาการเช่นเดิม คือ เหมือนสภาพร่างกายหายไปแบบตอนแรก แต่ครั้งนี้ เกิด นิมิตเป็นลูกแก้วใสสว่าง ขึ้นมา จากลูกเล็ก ๆๆกลายเป็นลูกใหญ่ แล้ว คือเวลาเราหลับตาอ่ะครับ มันจะดำๆ
ใช่ไหมครับ แต่พอ ลูกแก้วขนาดจนเต็มความรู้สึกเหมือนสว่างไสวไปหมด เป็นสี ขาว มีประกาย ทั่วที่หลับตาอยู่นั่นเอง และพอ กำหนดให้มันเล็กลง มันก็เล็กได้ดังใจ เหมือนกับว่า ในขณะนั่นจิตจะสั่งการอะไร ได้หมด

ความรู้สึกเบื่อหน่ายเริ่มหายไปแล้ว แต่รู้สึก กายนี้มีแต่ทุกข์ จิตนี้ก็มีแต่ทุกข์ สิ่งใด ๆ ก็ทุกข์ เกิดแล้วดับ วนเวียนไปไม่หมดสิ้น พิจารณาอยู่นาน เหมือนกัน ตอนนั่นไม่รู้สึกอะไรแล้ว ลมหายใจขาดหายไป
ความรู้สึกรอบตัว อาการเย็น ร้อน อ่อน แข็งรอบ ๆ ตัว หายไป หลังจากกำหนด ลูกแก้ว ให้เล็กจนหายไป ภาพกลับมาเหมือนตอนหลับตาปกติ

คราวนี้ เกิดนิมิตใหม่ คือ ได้เห็น ช่วงเวลาตอนบ่าย ตอนเช้า ทุก ๆ ขณะที่กระทำสิ่งใดไปในแต่ล่ะวัน ค่อย ๆปรากฎเป็นภาพอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับว่า ได้กลับไปอยู่ในสถานการณ์นั่น ๆ อีกครั้งหนึ่ง
ได้เห็น สิ่งที่ทำไป ในอดีต ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาที่ละนิด ๆ จนได้รู้สึกถึงตอนวัยรุ่น ตอนเด็กๆ ได้ทำอะไรลงไปบ้าง
บางขณะ ได้ทำอะไรดีดี จิตก็ รู้สึกดี ก็ตามพิจารณารู้ว่า รู้สึกดีตลอด
บางขณะ ได้ทำอะไรชั่ว ก็ได้ตามพิจารณาว่าทำชั่ว
สภาพจิตเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง รู้ถึงตอนที่ พ่อมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล
พอถึงตอนนี้ ในความรู้สึกเหมือนน้ำตาไหล ที่เห็น พ่อแม่ อยู่ด้วยกัน (ความเป็นจริงไม่อยู่แล้ว)
เลยอธิฐานขอออกจากสมาธิ ภาพเหล่านั่นก็หายไป
แล้วความรู้สึก ถึงสภาวะรอบตัว และร่างกายกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ออกจากสมาธิครับ

---สิ่งที่ผมเห็น ผมคิดไปเองหรือเปล่าครับ หรือว่าผมปฎิบัติอะไรผิดอีกแล้วคราวนี้
++ความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง ไม่เคยจำได้ แต่เห็นเป็นภาพอย่างชัดแจ้ง
เมื่อเช้าได้ถามแม่ ในหลายๆเรื่องที่จำไม่ได้ แต่เห็นในนิมิตนั่น
แม่ก็บอกว่าจริงทุกเรื่อง และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตของผมจริง ๆ

ช่วยแนะนำการปฎิบัติต่อไป ให้ผู้โง่เขลาในธรรมด้วยครับ ไม่อยากยึดติดกับอะไร ให้เป็นทุกข์อีกต่อไป

http://larndham.net/index.php?showtopic=34254

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2009, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีผู้กล่าวหาว่า พองหนอ ยุบหนอ เป็นต้น เป็นบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถ์ ได้ยินบ้อยบ่อย :b9:
(ว่าเป็นสมถะก็ได้ยินบ่อย เช่นกัน)


ขอตอบว่า เป็นบัญญัติทั้งนั้น วัตถุสิ่งของที่มนุษย์ตั้งชื่อเรียกกัน
ที่บัญญัติเรียก ร่างกายบ้าง นาย ก.นาง ข. เป็นต้นบ้าง ก็เพื่อใช้สื่อสารเรียกขานกันรู้เรื่อง
แต่ในสมมุติหรือบัญญัติ มีปรมัตถ์รองรับอยู่ ได้แก่ อาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมสลายไป
จะเรียกว่า กฎไตรลักษณ์ ก็ย่อมได้ ยืนเป็นพื้นของมันอยู่ หมายความว่า ธรรมชาติมันเป็นของมัน
อย่างนั้น
(แต่มนุษย์ติดกับตนเองติดในบัญญัตินั่นเอง หลงชื่อหลงบัญญัติที่ตนตั้งให้ธรรมชาติ ว่าเป็นนั่นเป็นนี่เป็นเขา
เป็นเราเข้าจริงๆ เรียกหลงสมมุติแยกไม่ออก ในแบบท่านอุปมาเหมือนรถ)




อาการท้องที่โป่งพองขึ้น หลังจากลมเข้าท้องๆจึงพอง เราสมมุติเรียกอาการนั้นว่า ท้องพอง ฯลฯ
พอง นั้นเป็นบัญญัติ ที่ไหนๆเขาก็เรียก ท้องพอง พูดท้องพองเข้าใจ ฯลฯ แต่ในบัญญัตินั่นก็มี
ปรมัตถ์ คือสภาพที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมสลายรองรับอยู่ กฎนี้เป็นไปตามธรรมชาติ
ใครจะตั้งชื่อมันว่าอะไรก็ช่าง มันยังคงเป็นไปตามกฎของมัน

เมื่อพอเข้าใจบ้างแล้ว พึงพิจารณาเทียบบัญญัติกับปรมัตถ์จากตัวอย่างที่นำมานี้ให้ดี =>


ผมนั่งสมาธิโดยการกำหนด ยุบหนอ-พองหนอ
---(โดยกำหนดจิตรับรู้การเคลื่อน ของกระเพาะอาหาร เวลาลมหายใจเข้าไปและออกมาครับ )

กระผม คิดเอาเองว่า คงนั่งได้ประมาณ 2 ชม.ได้แล้ว และผมก็ได้รู้สึกว่าร่างกาย
ของผมเหมือนไม่มี
-
(ปรมัตถ์ปรากฏบัญญัติหาย -หมายความว่า สิ่งที่มนุษย์บัญญัติเรียกว่า
ร่างกายหาย)

เหมือนจิตผมหยุดนิ่งอยู่ที่ ใดที่หนึ่ง โดยไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมกำหนดตอนแรก หายไปไหน
ลมหายใจของผมประหนึ่งกับดับไป

(ปรมัตถ์ปรากฏบัญญัติหาย หมายความอาการท้องพอง-กับท้องยุบ ซึ่งเป็นบัญญัติหาย ปรมัตถ์ปรากฏ )

ผมพยายาม กำหนดต่อไป แต่คราวนี้มันกำหนดยุบหนอ พองหนอ
ไม่ได้เสียแล้ว เพราะ เหมือนกับว่า ร่างกายนี้ไม่มีอยู่ครับ

(ชัดเจน บัญญัติหายไปหมด โยคีรู้เห็นปรมัตถ์ คือ เห็นไตรลักษณ์ ได้สัมผัสสัจธรรมระดับหนึ่ง แล้ว)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2009, 10:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

..........................................................

ผมนั่งสมาธิโดยการกำหนด ยุบหนอ-พองหนอ
---(โดยกำหนดจิตรับรู้การเคลื่อน ของกระเพาะอาหาร เวลาลมหายใจเข้าไปและออกมาครับ )

กระผม คิดเอาเองว่า คงนั่งได้ประมาณ 2 ชม.ได้แล้ว และผมก็ได้รู้สึกว่าร่างกาย
ของผมเหมือนไม่มี
-
(ปรมัตถ์ปรากฏบัญญัติหาย -หมายความว่า สิ่งที่มนุษย์บัญญัติเรียกว่า
ร่างกายหาย)

เหมือนจิตผมหยุดนิ่งอยู่ที่ ใดที่หนึ่ง โดยไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมกำหนดตอนแรก หายไปไหน
ลมหายใจของผมประหนึ่งกับดับไป

(ปรมัตถ์ปรากฏบัญญัติหาย หมายความอาการท้องพอง-กับท้องยุบ ซึ่งเป็นบัญญัติหาย ปรมัตถ์ปรากฏ )

ผมพยายาม กำหนดต่อไป แต่คราวนี้มันกำหนดยุบหนอ พองหนอ
ไม่ได้เสียแล้ว เพราะ เหมือนกับว่า ร่างกายนี้ไม่มีอยู่ครับ

(ชัดเจน บัญญัติหายไปหมด โยคีรู้เห็นปรมัตถ์ คือ เห็นไตรลักษณ์ ได้สัมผัสสัจธรรมระดับหนึ่ง แล้ว)


สาธุ สาธุ สาธุ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2009, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำความเข้าใจคำว่า ไตรลักษณ์...ตามตัวอักษรที่

viewtopic.php?f=2&t=18674

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2009, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คลิบเหตุการณ์สำนักนั้น

http://www.youtube.com/watch?v=yMvbgckInow

http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=10916.0


อยากจะขอร้องผู้ซึ่งไม่รู้จริง อย่าสอนคนอื่นเลย ไม่เกิดประโยชน์ทั้งจะทำหลักโดยรวมเสียหาย
คนศาสนาอื่นจะดูหมิ่นดูแคลนได้ด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2009, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกายเข้าไปแก้ถ้อยคำบางคำที่ท่าน admin หลังไมค์ติงว่าแรงไป จึงต้องแก้ตามคำท้วงติงนั้น
เอาไว้กรัชกายไปหาที่เขียนใหม่เอากันตรงไปตรงมาเลย :b1: บุคคลเสื่อมสิ้นได้ แต่หลักการต้องอยู่

เพราะอะไร ? เพราะว่ากรัชกายไม่ต้องการให้บุคคลไม่ว่าใคร ซึ่งไม่รู้ไม่เข้าใจการปฏิบัติกรรมฐานได้แพร่ขยายมิจฉาปฏิปทากว้างออกไปๆ อันจะก่อทุกข์โทษแก่ผู้มีศรัทธาปสาทะในการปฏิบัติธรรม หรือ
ปฏิบัติกรรมฐาน ต้องเสียขวัญเสียกำลังใจ จนขาดความเชื่อมั่นหมดศรัทธาต่อภาวนามัยกุศล



สาธุ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2009, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




q1.jpg
q1.jpg [ 30.13 KiB | เปิดดู 4591 ครั้ง ]
ท่านขงเบ้ง ดูคลิบข้างบนหรือยังงับ


ดูคลิบบนแล้วก็ดูอันนี้ด้วย :b1: เขาตั้งชื่อว่า สมาธิหมุน

http://www.baghdadfilmfestival.org/viewLA6dvXMsu4k.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2009, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 16:38
โพสต์: 81

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ต้องเริ่มใหม่ครับท่าน ต้องหันมาศึกษาตามลำดับขั้นตอนครับ ไม่มีทางลัดหรือวิธีลัดที่จะเข้าถึงพระนิพพานนะครับ

ย้ำให้ชัดๆ

ให้หยุด อย่าไปทำต่อ เดี๋ยวก็เป็นบ้า พระพุทธเจ้าก็บอกไว้แล้วว่า ผู้จะทำกรรมฐานจะต้องทำยังไงให้ได้เสียก่อน ศึกษาให้ดีครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นมิจฉาทิฐิ หลงทางกันไปใหญ่


เรื่องนี้ก็โผล่กันมาให้เห็นอยู่ประจำ น่าสงสารผู้คนนะคะ ทุกข์ต่าง ๆ ที่เขาประสบก็หนักพอสมควรยังมาเจอพวกสอนผิดทางอีก อะไร ๆ ก็จะพาไปนิพพานเสียอย่างเดียว วันนี้ไม่มีจะกินยังแก้ปัญหาไม่ได้เลยค่ะ แล้วมันจะไปนิพพานกันได้อย่างไร :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2009, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผมนั่งสมาธิโดยการกำหนด ยุบหนอ-พองหนอ
---(โดยกำหนดจิตรับรู้การเคลื่อน ของกระเพาะอาหาร เวลาลมหายใจเข้าไปและออกมาครับ )

กระผม คิดเอาเองว่า คงนั่งได้ประมาณ 2 ชม.ได้แล้ว และผมก็ได้รู้สึกว่าร่างกาย
ของผมเหมือนไม่มี -
(ปรมัตถ์ปรากฏบัญญัติหาย -หมายความว่า สิ่งที่มนุษย์บัญญัติเรียกว่า
ร่างกายหาย)
เหมือนจิตผมหยุดนิ่งอยู่ที่ ใดที่หนึ่ง โดยไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมกำหนดตอนแรก หายไปไหน
ลมหายใจของผมประหนึ่งกับดับไป
(ปรมัตถ์ปรากฏบัญญัติหาย หมายความอาการท้องพอง-กับท้องยุบ ซึ่งเป็นบัญญัติหาย ปรมัตถ์ปรากฏ )

ผมพยายาม กำหนดต่อไป แต่คราวนี้มันกำหนดยุบหนอ พองหนอ
ไม่ได้เสียแล้ว เพราะ เหมือนกับว่า ร่างกายนี้ไม่มีอยู่ครับ
(ชัดเจน บัญญัติหายไปหมด โยคีรู้เห็นปรมัตถ์ คือ เห็นไตรลักษณ์ ได้สัมผัสสัจธรรมระดับหนึ่ง แล้ว)



ความรู้เท่าทันสังขารด้วยมองเห็นไตรลักษณ์ ทำให้คลายหรือถอนความยึดมั่นในสังขารทั้งหลายเสียได้

ความไม่ยึดติดถือมั่นนี้ เป็นหัวใจของความหลุดพ้นเป็นอิสระและความปลอดพ้นจากทุกข์ ซึ่งจะทำให้

เข้าถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา

ในการปฏิบัติที่ถูกต้อง ความไม่ยึดติดถือมั่นจะเกิดขึ้นเอง เป็นผลจากการมองเห็นสิ่งทั้งหลายตามความ

เป็นจริง เมื่อมองเห็นไตรลักษณ์ชัดเจนแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาสาธุค่ะ อาจารย์

:b47: บอกอาจารย์ตามตรงเลยค่ะ ว่าหลังจากที่มีคำถาม
เฝ้าถามอาจารย์มามากมาย คนไร้สาระก็สังเกตเห็นว่าใจเริ่ม
คลาย ไม่ค่อยอยากรู้อะไร มีความรู้สึกแบบอธิบายไม่ถูกว่า

:b47: ไม่อยากรู้เพราะ เก้ยตื้นไปแล้ว หรือเพราะเห็นทางที่จะ
เดินต่อ รู้แต่ว่าไม่วิ่งหรือแซ่ส่ายเหมือนเมื่อก่อน มันสงบเย็น ๆ
แบบไม่ได้บังคับ แต่แบบว่าจิตไม่สนที่จะค้นคว้า รู้สึกว่าค้น
เท่าไหร่ก็ยังอยู่ที่เดิม นั่นแหละ บางครั้งเหมือนบอดไปเลย
ไม่มีคำถามคำพูด ไม่รู้จะพูดจะถามอะไร เลยหายไปนานแต่ก็
ยังตามอ่านอยู่เสมอ

:b47: บางครั้งยังไม่ทันรู้ว่าจิตมีกิเลสแบบใด มันเหมือน
มีดฟันขาดก่อนที่จะรู้สึกตัวเสียอีก มันเบา ๆ จนแทบไม่เห็นค่ะ
อนุโมทนาสาธุ อาจารย์จริง ๆ คนไร้สาระเห็นคอยตอบคำถาม
ให้เพื่อน ๆกัลยาณมิตร แบบไม่รูจักเบื่อและเหนื่อยเลย ด้วย
เหตุนี้คนไร้สาระจึงยกย่องให้เป็นอาจารย์

:b8: กราบเรียนมาด้วยความเคารพยิ่ง
ุ่

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 34 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร