วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 20:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 03:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:
ในขณะนี้ตอนนี้เราก็รู้สึกว่าโดนหลอกอยู่เหมือนกันน่ะคะ..
เขาไม่ได้มาในรูปของวิญญานหรอก
แต่มาในรูปของคอมเม้นต์ที่เป็นภาพลวงตาซึ่งเกิดจากความอาฆาตของเขาทั้งนั้น
เหมือนดั่งดอปเปอร์เกงเกอร์ ที่จะคอยลอกเลียนแบบผู้อื่นตลอดเวลา

แต่ช่างมันเถอะ
เอาเป็นว่าสาระสำคัญที่เราจะพูดจริงๆก็คือ
ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ในรูปของวิญญานมาหลอกก็ตาม...
บางทีครั้งต่อไปเราอาจจะเลิกกลัวผี ตัวจริงๆเลยก็ได้ จากประสบการณ์ครั้งนี้น่ะ


----------------------------------------------------------------------

วันนี้กลับบ้านมาดึกมาก... ตามเวลาบันทึกที่เห็น

จึงขอเดิน 4 นาที กับนั่ง20วินาที
ที่ทำนานมากกว่านั้นไม่ได้ก็ดั่งสาเหตุข้างล่างต่อจากนี้

แต่ว่า ด้วยความรู้สึกที่ไม่ต้องการให้มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราจะบันทึกต้องถูกปรามาสด้วยใครบางคนที่ไร้สามัญสำนึก
ทำให้เราเล่าทั้งหมดที่เราอยากจะเล่าไม่ได้
ดังนั้น ในเมื่อเล่าไม่ได้

จึงไม่สามารถบันทึกการเจริญสติในวันนี้ได้

แต่จะบันทึกความรู้สึกของเราที่เป็นตัวบอกสภาวะแทน

วันนี้เราได้คิดอะไรหลายๆอย่าง
เป็นต้นว่า เราอยากจะให้ใครบางคนที่ไร้สามัญสำนึกอยู่ ณ ขณะนี้ตกนรก โดยที่เราจะเป็นลากเขาลงไปเอง
แต่เมื่อได้คุยโทรศัพท์กับพี่ จึงได้เกิดปัญญาขึ้นจากสติที่เราเพียรสั่งสมทำกรรมฐานมาเป็นระยะเวลากว่าครึ่งปีว่า
ในขณะนี้ที่เราเผชิญอยู่ก็เป็นการชดใช้กรรมเช่นกัน กรรมของใครกรรมของมัน
ไปเกิดความรู้สึกแช่งเขาไป มันก็เท่านั้น
มันก็เท่านั้นจริงๆ ไม่มีอะไรเลย เพราเขาเองก็คงมีบุญของเขาที่คอยปกป้องรักษาอยู่ แม้จะเป็นเพียงเศษบุญที่ยังทำให้เขามีชีพอยู่ได้โดยไม่โดนลากลงนรกลงไปก่อน
และในขณะนี้ที่เราเผชิญอยู่ก็ถือว่าเป็นการชดใช้กรรมด้วยเช่นกัน

นั้นหมายถึงว่าเราเองก็คงเคยทำเช่นนี้กับคนอื่น เราก็เลยต้องโดนแบบนี้
ดังนั้น เราจึงมีความรู้สึกว่า
ปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมให้เขาจัดสรรไปเอง
เราจึงปล่อยวางซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ได้... แต่ยังไม่หมดนักหรอก...

คอยดูต่อไปละกัน






อนุโมทนาค่ะ :b8:
ทุกๆสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้นคือการเรียนรู้ พร้อมๆกับการชดใช้กับสิ่งที่เราเคยกระทำไว้ในอดีต
ที่เราอาจจะระลึกได้หรือระลึกไม่ได้แล้วก็ตาม เมื่อถึงเวลา ถึงวาระ ก็ต้องมาชดใช้กัน
ผู้ใดเข้าใจได้ก่อน ย่อมหยุดที่จะก่อเหตุใหม่ที่อันเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดภพชาติใหม่ได้ก่อน
ส่วนผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ย่อมก่อให้เกิดภพเกิดชาติใหม่ต่อไปเรื่อยๆจากผลของการกระทำของเขา

สภาวะอาจจะมาทดสอบเราในรูปแบบของคำชมหรือแม้แต่คำตำหนิติเตียน
หากแม้นเป็นคำชม แล้วเราไปติดใจในคำชม กิเลสย่อมเกิดพาให้เราลุ่มหลงในคำชม
ทำให้เกิดความหลงในตัวเอง คิดว่าเรารู้ คิดว่าเราดี คิดว่าเราเก่ง

หากแม้นเป็นคำตำหนิติเตียนเราไปขุ่นข้องใจในคำตำหนิติเตียน กิเลสย่อมเกิดเช่นเดียวกัน
แต่กิเลสตัวนี้เป็นตัวอกุศลจิตถ้าสติ สัมปชัญญะเราไม่ทัน เราย่อมตอบโต้เขากลับ
นั่นคือ เรากำลังสร้างเหตุใหม่ที่เป้นการก่อภพชาติให้เกิดขึ้นใหม่กับเขาไม่รู้จักจบสิ้น

ฉะนั้น ไม่ว่าจะกระทบแบบไหนๆ เราควรตั้งสติ สัมปชัญญะ ดูการกระเพื่อมของจิตเรา
ไม่ใช่ไปดูนอกตัว ให้ดูในตัวของเรา ที่กระเพื่อม กระเพื่อมเพราะอะไร เพราะเรายังมีอุปทานอยู่
ยังมีความยึดมั่นถือมั่นต่อการให้ค่าให้ความหมายของกิเลสที่มากระทบอยู่
รู้สึกอย่างไร เรายอมรับตามความเป็นจริงนั้นๆ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง

ไม่ไปคิดขับไส ผลักไสอารมณ์นั้นๆออกไป แต่จงเฝ้าดูมัน อารมณ์นั้นๆเกิดขึ้นนานไหมกว่าจะดับลงไป
หลังจากดับไปแล้ว ยังมีไปเกาะเกี่ยวอารมณ์นั้นๆเข้ามาอีกไหม เราเฝ้าดู รู้ลงไปบ่อยๆ


เมื่อวันใด วันหนึ่ง เราอ่านตัวออก คือ อ่านกิเลสของเราออก เราย่อมอ่านกิเลสของคนอื่นๆออก
เพราะเขาและเรา ล้วนไม่มีความแตกต่างกันเลยในเรื่องของ กิเลส
แต่ที่แตกต่างคือ การสะสมของกิเลส ใครมีมากน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง



บอกตัวได้ คือ มีสติ เป็นตัวบอก สัมปชัญญะเป็นตัวรู้ หรือมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เมื่อมีกิเลสมาก ก็ปรุงมาก มีกิเลสน้อย ก็ปรุงน้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับสติ สัมปชัญญะนั่นเอง
ว่ารู้เท่าทันจิตไหม จิตที่กำลังจะเกิดการปรุงแต่ง เมื่อมีการกระทบเกิดขึ้น


ใช้ตัวเป็น คือ เมื่อเราอ่านกิเลสของคนอื่นๆได้ เราย่อมเลือกได้ว่า
ควรจะทำอย่างไร เพราะทุกๆการกระทบ คือ การกำลังก่อเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น



เขาอยากพูดอะไร ให้เขาพูดไป เขาอยากว่าอะไร ให้เขาว่าไป
เพราะเหตุที่เขากำลังกระทำทั้งหมดนั้น ย่อมส่งผลกลับไปยังตัวเขาทั้งสิ้น

จิตเราไปปรุงแต่เองทั้งหมด ปรุงแต่งให้ดีก็ได้ ปรุงแต่งให้เลวก็ได้
ไม่ปรุงแต่งเลยก็ได้ ถ้า สติ สัมปชัญญะรู้เท่าทันสภาวะที่เกิดขึ้น


แต่ตัวเรานั้น มีหน้าที่คือ จงมีสติ สัมปชัญญะ
กลับมาดูที่จิตตัวเอง ที่เกิดการกระทบทุกๆการกระทบที่เกิดขึ้น


ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น จิตเราจะละเอียดมากขึ้น เราจะมีความรู้ใหม่ๆที่เกี่ยวกับจิตมากขึ้น
พร้อมๆกับกำลังของสติ สัมปชัญญะและกำลังของสมาธิที่สะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

วันใดเมื่อจิตตั้งมั่น ย่อมรู้ว่าจิตตั้งมั่น กิเลสกระทบปั๊บ รู้ทันที
นี่จิตเรากำลังจะกระทำกุศลหรืออกุศลให้เกิด มันสามารถรู้ได้ทันที
และทำให้เลือกที่จะทำแต่เหตุอันเป็นกุศลมากกว่าอกุศล ภพชาติย่อมสั้นลงไปเรื่อยๆ


จะนำเรื่องของสภาวะจิตมาเล่าสู่กันฟัง
เมื่อปฏิบัติถึงจุดๆหนึ่ง สภาวะที่ทุกคนจะต้องเจอคือ สภาวะจิตคุยกันหรือเถียงกันหรืออะไรก็ได้
แต่เป็นเรื่องของจิต 2 ตัวหรือมากกว่า 2 ตัว ตามแต่กิเลสที่มีอยู่ในจิตของคนนั้นๆสร้างมันขึ้นมา

เป็นสภาวะจิตด้านมืดกับด้านสว่าง
ด้านมืด จะแสดงสิ่งที่อยู่ฝ่าย อกุศลจิตให้เกิดขึ้น
ด้านสว่าง จะแสดงสิ่งที่อยู่ในฝ่ายกุศลจิตให้เกิดขึ้น
ด้านกลางๆ คือ จิตที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่เฝ้าดู

สภาวะนี้ บางคนอาจจะเกิดในสมาธิ เราจะเห็นจิตมันถกเถียงกัน
บางคนสภาวะนี้แสดงออกมาแบบชัดเจนด้านคำพูด เลยเหมือนเป็นคนมีหลายบุคคลิก
ที่มีความคิดขัดแย้งกับตัวเองตลอดเวลา สภาวะนี้จะเห็นได้ง่ายมากๆตามเว็บบอร์ดต่างๆ
ที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่เล่นกับกิเลสของตัวเอง โดยสร้างหลายๆยูสเซอร์หรือสร้างตัวละครขึ้นมา
ตามที่จิตของเขานั้นเป็นอยู่ เป็นมาก สร้างมาก เป็นน้อยสร้างน้อย

เขาสามารถสร้างตัวละครให้อยู่ในฝ่ายดี หรือ โพสแต่สิ่งที่ดีๆ ที่เป็นกุศล
สร้างตัวละครฝ่ายเลว คือ สร้างแต่เหตุอันเป็นอกุศล
เขาสามารถให้ตัวละครของเขาทะเลาะกันเองได้ ว่าตัวเองได้ หรือแม้กระทั่งชมตัวเองก็ได้
สามารถสร้างตัวละครขึ้นมาหลายรูปแบบได้ แต่ละตัวละครแตกต่างกันไป
แต่ที่เขาหนีไม่พ้นคือ กิเลสของเขา เขาชอบแบบไหน กิเลสเขาจะวิ่งเข้าหาสิ่งนั้นๆ
ต่อให้เขาพยายามฝืนใจแทบตาย ที่จะไม่แตะต้อง สุดท้ายเมื่อสติ สัมปชัญญะเขายังมีไม่มากพอ
เขาย่อมแพ้กิเลสที่มีอยู่ในใจของเขามากกว่า

บางคนอาจจะไม่เชื่อว่า สิ่งเหล่านี้มีจริงๆหรือ มีจริงๆ สภาวะจิตแบบนี้มีจริงๆ
คุณมาเจริญสติสิ แล้วคุณจะเห็นสิ่งเหล่านี้

เมื่อคุณสามารถอ่านสภาวะกิเลสของตัวเองได้ คุณก็ย่อมอ่านสภาวะกิเลสของคนอื่นๆได้
นี่เป็นผลของการเจริญสตินะ ไม่ใช่เกิดจากอำนาจวิเศษใดๆ

แต่ถ้าผู้ที่ได้ฌาน อันนั้นจะอ่านใจผู้อื่นออก แต่ไม่สามารถอ่านกิเลสคนอื่นๆออกได้
สัมมาสมาธิ กับ มิจฉาสมาธิ ให้ผลแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ขึ้นชื่อว่า สัมมาทั้งหลาย จะรู้ในตัวในกายและจิตทั้งสิ้น
ส่วนมิจฉานั้นจะตรงกันข้าม คือ ไปรู้นอกตัว ไม่สามารถรู้ในตัวได้ เพราะกิเลสถูกกดข่มเอาไว้
เลยไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงได้ ย่อมตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสต่อไป

แล้วถ้า สัมมา ทำให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป จะรู้ทั้งในตัวและนอกตัว
สุดแต่ว่า ใครจะสร้างเหตุมาอย่างไร การสร้างเหตุล้วนส่งผลมาสู่สภาวะปัจจุบัน

การสร้างเหตุปัจจุบัน ล้วนส่งผลสภาวะในอนาคต
จงเลือกเอาเถิด ว่าควรจะสร้างเหตุอย่างใด เหตุมีผลย่อมมี เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี


วันนี้อาจจะทันบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่เมื่อยอมรับตามความเป็นจริงได้
สักวัน เราต้องทันต่อสภาวะกิเลสที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

นี่คือ ผลดีของการเจริญสติปัฏฐาน ที่เห็นได้อย่างชัดเจนมากๆ
เหมือนน้ำซึมบ่อทราย สักวันจะกลายเป็นแหล่งน้ำใหญ่
มีไว้กินไว้ใช้ไม่รู้หมด และสามารถแบ่งปันให้คนอื่นๆได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 14 เม.ย. 2010, 03:35, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2010, 17:58
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาเดินจงกรม ผมชอบดูความรู้สึกที่ฝ่าเท้าสัมผัสพื้น ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ว่า

ภายในร่างกายที่กำลังเดินนี้ มีปอด หัวใจ กระเพาะ ลำไส้

ในลำไส้ก็มีอาหารใหม่ อาหารเก่า มีน้ำเลือด น้ำเหลือง

อีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็เน่าเปื่อยกลายเป็นเม็ดดิน

เมื่อตัวเราเป็นเม็ดดินแบบนี้ ร่างกายของคนอื่นๆที่เราเห็นอยู่ทุกๆวัน เขาก็จะเน่าเปื่อยกลายเป็นเม็ดดินเหมือนกับตัวเรา ทุกคนๆ

ตอนนี้ตัวเราก็คือ ดินก้อนหนึ่งกำลังทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับดินก้อนอื่นๆ

เมื่อผมนึกคิดมาถึงตรงนี้ จิตใจจะเบาสบายปลอดโปร่งมากๆเลยครับ ปัญหาทีเคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย ร่างกายที่กำลังเดิน ก็เหมือนกับ เป็นก้อนอะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่มีชีวิต กำลังเดิน ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา
---------------------------------

สาเหตุที่ทำให้คนเรามีความหนักใจ กับปัญหาในชีวิตประจำวันก็คือ เราลืมคิดไปว่าตัวเราและคนอื่นๆ ต่างก็อยู่ในโลกเพียงชั่วคราวเท่านั้น ความจริงแล้วร่างกายเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ถ้าหมดลมหายใจเมื่อไรก็เน่าเปื่อยเมื่อนั้น
--------------------------

หมายเหตุ...............ร่างกายเป็นสิ่งไม่มีชีวิต แต่คนเราเข้าใจผิดว่าเขามีชีวิต

ข้อพิสูจน์ ...

ถ้าเอากระเพาะมาดู กระเพาะมีชีวิตไหม ถ้าเอาหัวใจมาดู หัวใจมีชีวิตไหม ถ้าเอาสมองออกมาดู สมองมีชีวิตไหม

ในร่างกายทั้งหมด ถ้าไม่มีลมหายใจ ร่างกายทำงานได้ไหม ร่างกายมีชีวิตไหม

ถ้ามีลมหายใจ แต่ไม่มีร่างกาย ลมหายใจมีชีวิตไหม

ถ้ามีความคิดอย่างเดียว แต่ไม่มีร่างกายและลมหายใจเป็นที่ตั้ง ความคิดมีชีวิตไหม

ลองดูซิว่า ตรงไหนบ้างที่มีชีวิต

ก็ในเมื่อร่างกายไม่มีชีวิต แล้วเราจะเป็นทุกข์ไปทำไม ถ้ามีปัญหาเราก็แก้ไขไปตามหน้าที่ แต่ไม่จำเป็นต้องวิตกทุกข์ร้อน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2010, 17:58
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตราบใดก็ตาม ที่เรายังไม่เห็นว่า ร่างกายร่างนี้เป็นสิ่งไม่มีชีวิต เราก็จะเป็นทุกข์ และวิตกกังวลกับปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวัน อย่างไม่จบไม่สิ้น


เมื่อเราเริ่มเห็นด้วยความรู้สึกของตนเองจริงๆว่า ร่างกายเป็นก้อนดิน หรือเริ่มเห็นด้วยความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นสิ่งไม่มีชีวิต แม้เราจะเห็นได้บ้างไม่มากนักก็ตาม ความทุกข์และวิตกกังวล จะเริ่มลดลงทันทีทันใด


เพราะฉะนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการปฏิบัติธรรมคือ การนึกคิดให้เห็นร่างกายของเราเองตามความเป็นจริงว่า เขาเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ควบคู่ไปกับการนั่งสมาธิทำสมถะกรรมฐานเพื่อให้จิตมีกำลังในการพิจารณา

เราไม่ควรนึกคิดการกระทำของคนอื่นๆ หรือนึกคิดสิ่งอื่นๆ ที่อยู่นอกกายของเรา เพราะว่าต้นตอของความทุกข์ คือ เราเข้าใจผิดว่าร่างกายของเราเป็นสิ่งมีชีวิต ฉะนั้นเมื่อเราพบสิ่งที่ไม่ถูกใจ เราจึงมีความทุกข์ขึ้นมา

ถ้าเราเห็นร่างกายตัวเองเป็นสิ่งไม่มีชีวิตได้ ( แม้จะเห็นได้ไม่มากก็ตาม ) เราก็จะรู้สึกได้เลยว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของๆเราเลย แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่เป็นของๆเรา แล้วความทุกข์มันจะเบาบางไปเอง และ แม้ว่าเราไปพบกับสิ่งไม่ถูกใจซ้ำอีก ความทุกข์อันใหม่ก็เกิดขึ้นมาไม่มาก แล้วก็เบาบางลงไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
varinne เขียน:
ในขณะนี้ตอนนี้เราก็รู้สึกว่าโดนหลอกอยู่เหมือนกันน่ะคะ..
เขาไม่ได้มาในรูปของวิญญานหรอก
แต่มาในรูปของคอมเม้นต์ที่เป็นภาพลวงตาซึ่งเกิดจากความอาฆาตของเขาทั้งนั้น
เหมือนดั่งดอปเปอร์เกงเกอร์ ที่จะคอยลอกเลียนแบบผู้อื่นตลอดเวลา

แต่ช่างมันเถอะ
เอาเป็นว่าสาระสำคัญที่เราจะพูดจริงๆก็คือ
ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ในรูปของวิญญานมาหลอกก็ตาม...
บางทีครั้งต่อไปเราอาจจะเลิกกลัวผี ตัวจริงๆเลยก็ได้ จากประสบการณ์ครั้งนี้น่ะ


----------------------------------------------------------------------

วันนี้กลับบ้านมาดึกมาก... ตามเวลาบันทึกที่เห็น

จึงขอเดิน 4 นาที กับนั่ง20วินาที
ที่ทำนานมากกว่านั้นไม่ได้ก็ดั่งสาเหตุข้างล่างต่อจากนี้

แต่ว่า ด้วยความรู้สึกที่ไม่ต้องการให้มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราจะบันทึกต้องถูกปรามาสด้วยใครบางคนที่ไร้สามัญสำนึก
ทำให้เราเล่าทั้งหมดที่เราอยากจะเล่าไม่ได้
ดังนั้น ในเมื่อเล่าไม่ได้

จึงไม่สามารถบันทึกการเจริญสติในวันนี้ได้

แต่จะบันทึกความรู้สึกของเราที่เป็นตัวบอกสภาวะแทน

วันนี้เราได้คิดอะไรหลายๆอย่าง
เป็นต้นว่า เราอยากจะให้ใครบางคนที่ไร้สามัญสำนึกอยู่ ณ ขณะนี้ตกนรก โดยที่เราจะเป็นลากเขาลงไปเอง
แต่เมื่อได้คุยโทรศัพท์กับพี่ จึงได้เกิดปัญญาขึ้นจากสติที่เราเพียรสั่งสมทำกรรมฐานมาเป็นระยะเวลากว่าครึ่งปีว่า
ในขณะนี้ที่เราเผชิญอยู่ก็เป็นการชดใช้กรรมเช่นกัน กรรมของใครกรรมของมัน
ไปเกิดความรู้สึกแช่งเขาไป มันก็เท่านั้น
มันก็เท่านั้นจริงๆ ไม่มีอะไรเลย เพราเขาเองก็คงมีบุญของเขาที่คอยปกป้องรักษาอยู่ แม้จะเป็นเพียงเศษบุญที่ยังทำให้เขามีชีพอยู่ได้โดยไม่โดนลากลงนรกลงไปก่อน
และในขณะนี้ที่เราเผชิญอยู่ก็ถือว่าเป็นการชดใช้กรรมด้วยเช่นกัน

นั้นหมายถึงว่าเราเองก็คงเคยทำเช่นนี้กับคนอื่น เราก็เลยต้องโดนแบบนี้
ดังนั้น เราจึงมีความรู้สึกว่า
ปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมให้เขาจัดสรรไปเอง
เราจึงปล่อยวางซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ได้... แต่ยังไม่หมดนักหรอก...

คอยดูต่อไปละกัน






อนุโมทนาค่ะ :b8:
ทุกๆสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้นคือการเรียนรู้ พร้อมๆกับการชดใช้กับสิ่งที่เราเคยกระทำไว้ในอดีต
ที่เราอาจจะระลึกได้หรือระลึกไม่ได้แล้วก็ตาม เมื่อถึงเวลา ถึงวาระ ก็ต้องมาชดใช้กัน
ผู้ใดเข้าใจได้ก่อน ย่อมหยุดที่จะก่อเหตุใหม่ที่อันเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดภพชาติใหม่ได้ก่อน
ส่วนผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ย่อมก่อให้เกิดภพเกิดชาติใหม่ต่อไปเรื่อยๆจากผลของการกระทำของเขา

สภาวะอาจจะมาทดสอบเราในรูปแบบของคำชมหรือแม้แต่คำตำหนิติเตียน
หากแม้นเป็นคำชม แล้วเราไปติดใจในคำชม กิเลสย่อมเกิดพาให้เราลุ่มหลงในคำชม
ทำให้เกิดความหลงในตัวเอง คิดว่าเรารู้ คิดว่าเราดี คิดว่าเราเก่ง

หากแม้นเป็นคำตำหนิติเตียนเราไปขุ่นข้องใจในคำตำหนิติเตียน กิเลสย่อมเกิดเช่นเดียวกัน
แต่กิเลสตัวนี้เป็นตัวอกุศลจิตถ้าสติ สัมปชัญญะเราไม่ทัน เราย่อมตอบโต้เขากลับ
นั่นคือ เรากำลังสร้างเหตุใหม่ที่เป้นการก่อภพชาติให้เกิดขึ้นใหม่กับเขาไม่รู้จักจบสิ้น

ฉะนั้น ไม่ว่าจะกระทบแบบไหนๆ เราควรตั้งสติ สัมปชัญญะ ดูการกระเพื่อมของจิตเรา
ไม่ใช่ไปดูนอกตัว ให้ดูในตัวของเรา ที่กระเพื่อม กระเพื่อมเพราะอะไร เพราะเรายังมีอุปทานอยู่
ยังมีความยึดมั่นถือมั่นต่อการให้ค่าให้ความหมายของกิเลสที่มากระทบอยู่
รู้สึกอย่างไร เรายอมรับตามความเป็นจริงนั้นๆ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง

ไม่ไปคิดขับไส ผลักไสอารมณ์นั้นๆออกไป แต่จงเฝ้าดูมัน อารมณ์นั้นๆเกิดขึ้นนานไหมกว่าจะดับลงไป
หลังจากดับไปแล้ว ยังมีไปเกาะเกี่ยวอารมณ์นั้นๆเข้ามาอีกไหม เราเฝ้าดู รู้ลงไปบ่อยๆ


เมื่อวันใด วันหนึ่ง เราอ่านตัวออก คือ อ่านกิเลสของเราออก เราย่อมอ่านกิเลสของคนอื่นๆออก
เพราะเขาและเรา ล้วนไม่มีความแตกต่างกันเลยในเรื่องของ กิเลส
แต่ที่แตกต่างคือ การสะสมของกิเลส ใครมีมากน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง



บอกตัวได้ คือ มีสติ เป็นตัวบอก สัมปชัญญะเป็นตัวรู้ หรือมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เมื่อมีกิเลสมาก ก็ปรุงมาก มีกิเลสน้อย ก็ปรุงน้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับสติ สัมปชัญญะนั่นเอง
ว่ารู้เท่าทันจิตไหม จิตที่กำลังจะเกิดการปรุงแต่ง เมื่อมีการกระทบเกิดขึ้น


ใช้ตัวเป็น คือ เมื่อเราอ่านกิเลสของคนอื่นๆได้ เราย่อมเลือกได้ว่า
ควรจะทำอย่างไร เพราะทุกๆการกระทบ คือ การกำลังก่อเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น



เขาอยากพูดอะไร ให้เขาพูดไป เขาอยากว่าอะไร ให้เขาว่าไป
เพราะเหตุที่เขากำลังกระทำทั้งหมดนั้น ย่อมส่งผลกลับไปยังตัวเขาทั้งสิ้น

จิตเราไปปรุงแต่เองทั้งหมด ปรุงแต่งให้ดีก็ได้ ปรุงแต่งให้เลวก็ได้
ไม่ปรุงแต่งเลยก็ได้ ถ้า สติ สัมปชัญญะรู้เท่าทันสภาวะที่เกิดขึ้น


แต่ตัวเรานั้น มีหน้าที่คือ จงมีสติ สัมปชัญญะ
กลับมาดูที่จิตตัวเอง ที่เกิดการกระทบทุกๆการกระทบที่เกิดขึ้น


ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น จิตเราจะละเอียดมากขึ้น เราจะมีความรู้ใหม่ๆที่เกี่ยวกับจิตมากขึ้น
พร้อมๆกับกำลังของสติ สัมปชัญญะและกำลังของสมาธิที่สะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

วันใดเมื่อจิตตั้งมั่น ย่อมรู้ว่าจิตตั้งมั่น กิเลสกระทบปั๊บ รู้ทันที
นี่จิตเรากำลังจะกระทำกุศลหรืออกุศลให้เกิด มันสามารถรู้ได้ทันที
และทำให้เลือกที่จะทำแต่เหตุอันเป็นกุศลมากกว่าอกุศล ภพชาติย่อมสั้นลงไปเรื่อยๆ


จะนำเรื่องของสภาวะจิตมาเล่าสู่กันฟัง
เมื่อปฏิบัติถึงจุดๆหนึ่ง สภาวะที่ทุกคนจะต้องเจอคือ สภาวะจิตคุยกันหรือเถียงกันหรืออะไรก็ได้
แต่เป็นเรื่องของจิต 2 ตัวหรือมากกว่า 2 ตัว ตามแต่กิเลสที่มีอยู่ในจิตของคนนั้นๆสร้างมันขึ้นมา

เป็นสภาวะจิตด้านมืดกับด้านสว่าง
ด้านมืด จะแสดงสิ่งที่อยู่ฝ่าย อกุศลจิตให้เกิดขึ้น
ด้านสว่าง จะแสดงสิ่งที่อยู่ในฝ่ายกุศลจิตให้เกิดขึ้น
ด้านกลางๆ คือ จิตที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่เฝ้าดู

สภาวะนี้ บางคนอาจจะเกิดในสมาธิ เราจะเห็นจิตมันถกเถียงกัน
บางคนสภาวะนี้แสดงออกมาแบบชัดเจนด้านคำพูด เลยเหมือนเป็นคนมีหลายบุคคลิก
ที่มีความคิดขัดแย้งกับตัวเองตลอดเวลา สภาวะนี้จะเห็นได้ง่ายมากๆตามเว็บบอร์ดต่างๆ
ที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่เล่นกับกิเลสของตัวเอง โดยสร้างหลายๆยูสเซอร์หรือสร้างตัวละครขึ้นมา
ตามที่จิตของเขานั้นเป็นอยู่ เป็นมาก สร้างมาก เป็นน้อยสร้างน้อย

เขาสามารถสร้างตัวละครให้อยู่ในฝ่ายดี หรือ โพสแต่สิ่งที่ดีๆ ที่เป็นกุศล
สร้างตัวละครฝ่ายเลว คือ สร้างแต่เหตุอันเป็นอกุศล
เขาสามารถให้ตัวละครของเขาทะเลาะกันเองได้ ว่าตัวเองได้ หรือแม้กระทั่งชมตัวเองก็ได้
สามารถสร้างตัวละครขึ้นมาหลายรูปแบบได้ แต่ละตัวละครแตกต่างกันไป
แต่ที่เขาหนีไม่พ้นคือ กิเลสของเขา เขาชอบแบบไหน กิเลสเขาจะวิ่งเข้าหาสิ่งนั้นๆ
ต่อให้เขาพยายามฝืนใจแทบตาย ที่จะไม่แตะต้อง สุดท้ายเมื่อสติ สัมปชัญญะเขายังมีไม่มากพอ
เขาย่อมแพ้กิเลสที่มีอยู่ในใจของเขามากกว่า

บางคนอาจจะไม่เชื่อว่า สิ่งเหล่านี้มีจริงๆหรือ มีจริงๆ สภาวะจิตแบบนี้มีจริงๆ
คุณมาเจริญสติสิ แล้วคุณจะเห็นสิ่งเหล่านี้

เมื่อคุณสามารถอ่านสภาวะกิเลสของตัวเองได้ คุณก็ย่อมอ่านสภาวะกิเลสของคนอื่นๆได้
นี่เป็นผลของการเจริญสตินะ ไม่ใช่เกิดจากอำนาจวิเศษใดๆ

แต่ถ้าผู้ที่ได้ฌาน อันนั้นจะอ่านใจผู้อื่นออก แต่ไม่สามารถอ่านกิเลสคนอื่นๆออกได้
สัมมาสมาธิ กับ มิจฉาสมาธิ ให้ผลแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ขึ้นชื่อว่า สัมมาทั้งหลาย จะรู้ในตัวในกายและจิตทั้งสิ้น
ส่วนมิจฉานั้นจะตรงกันข้าม คือ ไปรู้นอกตัว ไม่สามารถรู้ในตัวได้ เพราะกิเลสถูกกดข่มเอาไว้
เลยไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงได้ ย่อมตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสต่อไป

แล้วถ้า สัมมา ทำให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป จะรู้ทั้งในตัวและนอกตัว
สุดแต่ว่า ใครจะสร้างเหตุมาอย่างไร การสร้างเหตุล้วนส่งผลมาสู่สภาวะปัจจุบัน

การสร้างเหตุปัจจุบัน ล้วนส่งผลสภาวะในอนาคต
จงเลือกเอาเถิด ว่าควรจะสร้างเหตุอย่างใด เหตุมีผลย่อมมี เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี


วันนี้อาจจะทันบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่เมื่อยอมรับตามความเป็นจริงได้
สักวัน เราต้องทันต่อสภาวะกิเลสที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

นี่คือ ผลดีของการเจริญสติปัฏฐาน ที่เห็นได้อย่างชัดเจนมากๆ
เหมือนน้ำซึมบ่อทราย สักวันจะกลายเป็นแหล่งน้ำใหญ่
มีไว้กินไว้ใช้ไม่รู้หมด และสามารถแบ่งปันให้คนอื่นๆได้


สภาวะจิตถกเถียงกัน เราไม่รู้ว่าเราเคยเจออะเปล่า
แต่ว่าเราไม่รู้เท่าไรเลยว่าเป็นยังไงอะ

แต่ว่าตอนนี้เราแค้นมากน่ะคะ... เราขอยอมรับว่าเรารู้สึกแบบนั้น
ปุถุชนนั้นมีสองด้านเปรียบกับเหรียญที่มีสองด้านด้วยเช่นกัน

ด้านดีและด้านไม่ดี
ถ้าใครที่ไร้สามัญสำนึกมาสะกิดเหรียญให้ต้องพลิกไปอีกด้านหนึ่งละก็...

เราก็จะกรอกคำว่า สามัญสำนึกลงไปในหัวของมัน

เราคิดว่าคนเช่นนี้หากไม่อยู่แล้วล่ะก็แผ่นดินคงสูงขึ้นเยอะ

หวังว่าเราจะปราบมารสารเลวตัวนี้ได้

อันนี้คือความรู้สึกของเราตอนนี้คะ

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


2504 เขียน:
ตราบใดก็ตาม ที่เรายังไม่เห็นว่า ร่างกายร่างนี้เป็นสิ่งไม่มีชีวิต เราก็จะเป็นทุกข์ และวิตกกังวลกับปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวัน อย่างไม่จบไม่สิ้น


เมื่อเราเริ่มเห็นด้วยความรู้สึกของตนเองจริงๆว่า ร่างกายเป็นก้อนดิน หรือเริ่มเห็นด้วยความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นสิ่งไม่มีชีวิต แม้เราจะเห็นได้บ้างไม่มากนักก็ตาม ความทุกข์และวิตกกังวล จะเริ่มลดลงทันทีทันใด


เพราะฉะนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการปฏิบัติธรรมคือ การนึกคิดให้เห็นร่างกายของเราเองตามความเป็นจริงว่า เขาเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ควบคู่ไปกับการนั่งสมาธิทำสมถะกรรมฐานเพื่อให้จิตมีกำลังในการพิจารณา

เราไม่ควรนึกคิดการกระทำของคนอื่นๆ หรือนึกคิดสิ่งอื่นๆ ที่อยู่นอกกายของเรา เพราะว่าต้นตอของความทุกข์ คือ เราเข้าใจผิดว่าร่างกายของเราเป็นสิ่งมีชีวิต ฉะนั้นเมื่อเราพบสิ่งที่ไม่ถูกใจ เราจึงมีความทุกข์ขึ้นมา

ถ้าเราเห็นร่างกายตัวเองเป็นสิ่งไม่มีชีวิตได้ ( แม้จะเห็นได้ไม่มากก็ตาม ) เราก็จะรู้สึกได้เลยว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของๆเราเลย แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่เป็นของๆเรา แล้วความทุกข์มันจะเบาบางไปเอง และ แม้ว่าเราไปพบกับสิ่งไม่ถูกใจซ้ำอีก ความทุกข์อันใหม่ก็เกิดขึ้นมาไม่มาก แล้วก็เบาบางลงไป


ใช้ความรู้สึกแค่นั้นไม่ได้จริงๆคะ

เราเคยลองมาแล้ว

ต้องเจริญสติคะ

เพราะสติเป็นเครื่องตัดกิเลส

หากไม่มีสติก็คงไม่สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้

ดังนั้นสติสำคัญที่สุดคะ

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้เป็นวันมงคล คงจะทำจิตให้อยู่ในสภาพแย่ๆไม่ได้

ปล่อยวาง ความรู้สึกไม่ดีต่างๆ และก็ยิ้ม ดีกว่าคะ :b12:

สงบศึกสักวันก็ดี

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฆ่าอะไร....แล้วทำให้เรานอนหลับสบาย
ความโกรธแค้นที่มีในใจน้อง....นั่นแหละ(ฆ่าความโกรธ)
ชนะอะไรล่ะ...
ชนะใจตนเอง..สิ..เหนือกว่าการชนะสิ่งอื่นทั้งปวง

อย่ากระนั้นเลย จงอย่าส่งจิตออกไปข้างนอกเลย
รู้สักแต่ว่ารู้...เห็นก็สักแต่ว่าเห็น...อย่าปรุงแต่งไปเลย(สังขาร)
ดูจิต...ดูเข้ามาข้างในเรา..อย่าส่งออก
จิตเป็นกุศล หรือ อกุศล
ดูว่าในจิตเรากำลังมี โลภะ โทสะ หรือ โมหะ
ส่วนคนข้างนอก...ก็ช่างเขาเถิด..สุดแล้วแต่เวร..แต่กรรม
จงตั้งสมาธิดำเนินกิจแห่งธรรมของเราต่อไปเทอญ...

ขอจงเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 12:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2010, 17:58
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


2504 เขียน:

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการปฏิบัติธรรมคือ การนึกคิดให้เห็นร่างกายของเราเองตามความเป็นจริงว่า เขาเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ควบคู่ไปกับการนั่งสมาธิทำสมถะกรรมฐานเพื่อให้จิตมีกำลังในการพิจารณา

ถ้าเราเห็นร่างกายตัวเองเป็นสิ่งไม่มีชีวิตได้ ( แม้จะเห็นได้ไม่มากก็ตาม ) เราก็จะรู้สึกได้เลยว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของๆเราเลย แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่เป็นของๆเรา แล้วความทุกข์มันจะเบาบางไปเอง และ แม้ว่าเราไปพบกับสิ่งไม่ถูกใจซ้ำอีก ความทุกข์อันใหม่ก็เกิดขึ้นมาไม่มาก แล้วก็เบาบางลงไป




ไม่ได้บอกว่าใช้ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว

ลำพังมีสติอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอเช่นกัน

ต้องมีสติ และใช้ความนึกคิดพิจารณาความเป็นจริงของร่างกาย ใช้ 2 อย่างนี้ควบคู่กันไป

การทำสมถะกรรมฐาน จะช่วยให้สติมีกำลัง รู้แจ้งเห็นจริงตามการนึกคิดและเห็นจริงตามความรู้สึกตัว

ที่สำคัญ ทำสมถะกรรมฐานควบคู่ไปกับ การพิจารณาร่างกายตัวเอง ไม่ใช่พิจารณาเรื่องของคนอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2010, 17:58
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
จะมาบอกว่า

เหมือน ไดอารี มากกว่า บันทึกการปฎิบัติธรรม นะจ๊ะๆๆ

เดิน ไป รู้สึกไป ปวดท้อง เข้าส้วม


ไม่มีบันทึกสภาวะธรรม ที่ปรากฎ ที่เห็น ที่เป็นอยู่
และที่ละวาง อันนี้สำคัญนะจ๊ะ ๆๆ
ไปหล่ะ
เชิญตามสะบาย

จุ๊ปส์ๆๆ

-------------------------

ไม่ควรแสดงความเห็นดูหมิ่นการปฏิบัติของผู้อื่นแบบนี้

เดินไป รู้สึกไป ปวดท้อง เข้าส้วม นี่แหละคือสภาวะธรรมของจริง ( ก็ผู้ปฏิบัติเห็นแบบนี้ ก็ต้องบอกแบบนี้ คุณจะมาเถียงเขาได้อย่างไร )

ส่วนการละวาง เมื่อสติจำสภาวะได้ จิตจึงจะละวางเอง

หน้าที่ละวางไม่ใช่เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติ แต่เป็นหน้าที่ของจิตต่างหากล่ะ ผู้ปฏิบัติแค่ " รู้ " เท่านั้นเอง

ขออนุโมทนาในความเพียรของเจ้าของกระทู้ครับ


แก้ไขล่าสุดโดย 2504 เมื่อ 14 เม.ย. 2010, 13:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใจทำสงบ ใจทำฟุ้งซ่าน ใจทำแค้น ใจทำได้ใจ ใจทำเสียใจ ใจทำเจ็บแสบ ใจทำอาฆาต ใจทำเร่าร้อน ใจทำทุรนทุราย ใจทำสบาย ใจทำเฉย ใจทำนิ่ง ใจทำโมโห ใจทำพอใจ ใจทำไม่พอใจ ใจทำค้นหา ใจทำซึม ใจทำเศร้า ใจทำมั่นใจ ใจทำไม่มั่นใจ ใจทำเผลอ ใจทำสงสัย ใจหมั่นใส้ ใจทำขอบคุณ ใจทำอบอุ่น ใจทำอ้างว้าง ใจทำเกลียด ใจทำชอบ ใจทำเย่อหยิ่ง ใจทำจองหอง ใจทำลำพอง ใจทำนอบน้อม ใจทำยินยอม ใจทำเชื่อ ใจทำไม่เชื่อ ใจทำรัก ใจทำชัง ใจทำเห็นใจ ใจทำอมหิต ใจทำกล้า ใจทำกลัว ใจทำฮึกเหิม ใจทำขี้ขลาด ใจทำภาคภูมิใจ ใจทำน้อยใจ ใจทำหม่นหมอง ใจทำเบิกบาน ใจทำมืด ใจทำสว่าง ใจทำร่าเริง ใจทำมุ่งมั่น ใจทำตั้งใจ ใจทำคาดหวัง ใจทำรู้ ใจทำไม่รู้ ใจทำเข้าใจ ใจทำไม่เข้าใจ ใจทำลืม ใจทำจำ ใจทำดี ใจทำร้าย ใจทำเลว ใจทำแย่ ใจทำเยี่ยม ใจทำคิด ใจทำรู้ ใจทำไม่รู้ ใจทำยึด ใจทำปล่อยวาง ใจทำว่าง ใจทำ...

ใจไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ใจไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้

รู้ใจ ละใจ ไม่หลงใจ อิสระจากใจ

อนุโมทนาสาธุจ้า

:b8: :b8: :b8:

:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


2504 เขียน:
enlighted เขียน:
จะมาบอกว่า

เหมือน ไดอารี มากกว่า บันทึกการปฎิบัติธรรม นะจ๊ะๆๆ

เดิน ไป รู้สึกไป ปวดท้อง เข้าส้วม


ไม่มีบันทึกสภาวะธรรม ที่ปรากฎ ที่เห็น ที่เป็นอยู่
และที่ละวาง อันนี้สำคัญนะจ๊ะ ๆๆ
ไปหล่ะ
เชิญตามสะบาย

จุ๊ปส์ๆๆ

-------------------------

ไม่ควรแสดงความเห็นดูหมิ่นการปฏิบัติของผู้อื่นแบบนี้

เดินไป รู้สึกไป ปวดท้อง เข้าส้วม นี่แหละคือสภาวะธรรมของจริง ( ก็ผู้ปฏิบัติเห็นแบบนี้ ก็ต้องบอกแบบนี้ คุณจะมาเถียงเขาได้อย่างไร )

ส่วนการละวาง เมื่อสติจำสภาวะได้ จิตจึงจะละวางเอง

หน้าที่ละวางไม่ใช่เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติ แต่เป็นหน้าที่ของจิตต่างหากล่ะ ผู้ปฏิบัติแค่ " รู้ " เท่านั้นเอง

ขออนุโมทนาในความเพียรของเจ้าของกระทู้ครับ


เรียกว่าไหล

ไม่ได้เรียกว่ารู้

และยิ่งไม่รู้ไปใหญ่
เมื่อไม่รู้จักว่า คำว่า หน้าที่ของจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:

สภาวะจิตถกเถียงกัน เราไม่รู้ว่าเราเคยเจออะเปล่า
แต่ว่าเราไม่รู้เท่าไรเลยว่าเป็นยังไงอะ



ที่เธอไม่รู้ก็เพราะว่าเธอไม่มีสติไงละจ้า

อนุโมทนาสาธุจ้า :b8:

:b4: :b4: :b4:

:b53: :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2010, 17:58
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:

เรียกว่าไหล

ไม่ได้เรียกว่ารู้

และยิ่งไม่รู้ไปใหญ่
เมื่อไม่รู้จักว่า คำว่า หน้าที่ของจิต

-------------------------------

ก่อนจะ " รู้ " ก็ต้องมาจาก " ไหล " ด้วยกันทุกคน

เริ่มต้นฝึกใหม่ๆ ไม่มีใครที่จะ " รู้ " ได้อย่างถูกต้อง

ใครๆก็ต้องเริ่มมาจาก " ไหล " ด้วยกันทั้งนั้น

คนที่ปฏิบัติได้ดี หรือภาวนาได้ดีอย่างแท้จริง ทุกๆคนมีความเห็นอกเห็นใจคนที่เริ่มต้นฝึกฝนใหม่ๆ ด้วยกันทั้งนั้น

เพราะว่าขั้นตอนที่ยากที่สุดของการภาวนาก็คือ ตอนเริ่มต้นฝึกฝนใหม่ๆ
----------------------------------

ใครๆก็รู้ว่า หน้าที่ของจิตมีอะไรบ้าง เพราะว่าในตำรามีบอกหมดแล้ว แต่จะให้จิตออกมาทำหน้าที่ด้วยตัวของจิตเอง ก็ต้องอาศัยการฝึกฝน สั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อยๆ

หมายความว่า........

เริ่มฝึกใหม่ๆ ก็ทำผิดไปก่อน ต่อมาเมื่อรู้ว่าผิด เดี๋ยวก็จะรู้ " ถูก " ได้เอง ตรงนี้สอนกันไม่ได้หรอก ต้องลงมือปฏิบัติเอง ของใครของมัน ( แต่แนะวิธีให้กันได้ )

เพราะฉะนั้นคนที่ภาวนาได้ดีจริงๆ ย่อมจะรู้สึกเห็นใจคนฝึกใหม่เป็นธรรมดา


" อย่าแสดงความเห็นที่บั่นทอนกำลังใจของคนเริ่มฝึกใหม่ๆ จะเป็นบาปมหันต์ "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


2504 เขียน:
" อย่าแสดงความเห็นที่บั่นทอนกำลังใจของคนเริ่มฝึกใหม่ๆ จะเป็นบาปมหันต์ "


ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ

varinne เขียน:

แต่ว่าตอนนี้เราแค้นมากน่ะคะ... เราขอยอมรับว่าเรารู้สึกแบบนั้น
ปุถุชนนั้นมีสองด้านเปรียบกับเหรียญที่มีสองด้านด้วยเช่นกัน

ด้านดีและด้านไม่ดี
ถ้าใครที่ไร้สามัญสำนึกมาสะกิดเหรียญให้ต้องพลิกไปอีกด้านหนึ่งละก็...

เราก็จะกรอกคำว่า สามัญสำนึกลงไปในหัวของมัน

เราคิดว่าคนเช่นนี้หากไม่อยู่แล้วล่ะก็แผ่นดินคงสูงขึ้นเยอะ

หวังว่าเราจะปราบมารสารเลวตัวนี้ได้

อันนี้คือความรู้สึกของเราตอนนี้คะ


เป็นกำลังใจให้จ้า :b17:

ปราบมารสารเลวในใจเธอให้ได้นะจ้า

อนุโมทนาสาธุจ้า :b53:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศรีสมบัติ เขียน:
ฆ่าอะไร....แล้วทำให้เรานอนหลับสบาย
ความโกรธแค้นที่มีในใจน้อง....นั่นแหละ(ฆ่าความโกรธ)
ชนะอะไรล่ะ...
ชนะใจตนเอง..สิ..เหนือกว่าการชนะสิ่งอื่นทั้งปวง

อย่ากระนั้นเลย จงอย่าส่งจิตออกไปข้างนอกเลย
รู้สักแต่ว่ารู้...เห็นก็สักแต่ว่าเห็น...อย่าปรุงแต่งไปเลย(สังขาร)
ดูจิต...ดูเข้ามาข้างในเรา..อย่าส่งออก
จิตเป็นกุศล หรือ อกุศล
ดูว่าในจิตเรากำลังมี โลภะ โทสะ หรือ โมหะ
ส่วนคนข้างนอก...ก็ช่างเขาเถิด..สุดแล้วแต่เวร..แต่กรรม
จงตั้งสมาธิดำเนินกิจแห่งธรรมของเราต่อไปเทอญ...

ขอจงเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป :b8: :b8: :b8:

โมทนาสาธุคะท่าน

แต่คนบางคนเราก็คิดว่าอยากให้ลงนรกไปเร็วๆ บอร์ดแห่งนี้และโลกนี้จะได้สูงขึ้น
ตอนนี้เราก็ดูจิตตัวเองอยู่น่ะคะ ถือว่าได้รบกับกิเลสอยู่เหมือนกัน ณ ตอนนี้


2504 เขียน:
2504 เขียน:

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการปฏิบัติธรรมคือ การนึกคิดให้เห็นร่างกายของเราเองตามความเป็นจริงว่า เขาเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ควบคู่ไปกับการนั่งสมาธิทำสมถะกรรมฐานเพื่อให้จิตมีกำลังในการพิจารณา

ถ้าเราเห็นร่างกายตัวเองเป็นสิ่งไม่มีชีวิตได้ ( แม้จะเห็นได้ไม่มากก็ตาม ) เราก็จะรู้สึกได้เลยว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของๆเราเลย แม้แต่ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่เป็นของๆเรา แล้วความทุกข์มันจะเบาบางไปเอง และ แม้ว่าเราไปพบกับสิ่งไม่ถูกใจซ้ำอีก ความทุกข์อันใหม่ก็เกิดขึ้นมาไม่มาก แล้วก็เบาบางลงไป




ไม่ได้บอกว่าใช้ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว

ลำพังมีสติอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอเช่นกัน

ต้องมีสติ และใช้ความนึกคิดพิจารณาความเป็นจริงของร่างกาย ใช้ 2 อย่างนี้ควบคู่กันไป

การทำสมถะกรรมฐาน จะช่วยให้สติมีกำลัง รู้แจ้งเห็นจริงตามการนึกคิดและเห็นจริงตามความรู้สึกตัว

ที่สำคัญ ทำสมถะกรรมฐานควบคู่ไปกับ การพิจารณาร่างกายตัวเอง ไม่ใช่พิจารณาเรื่องของคนอื่น

จะว่าไปแล้ว เราก็เลยเดินจงกรมสลับกับพิจารณากายของตัวเองน่ะคะ
แล้วเห็นแผ่นหนังลอกๆๆออกมา แล้วก็เห็นพวกน้ำเลือดน้ำหนอง แต่พิจารณาอย่างนั้นได้เพียงสองวันก็เปลี่ยนไปพิจารณาเรื่องอื่นน่ะคะ
แต่ว่าการพิจารณานั้นส่วนใหญ่เราจะให้จิตคิดพิจารณาไปเองน่ะคะ ถ้าเจอเรื่องไหนเจอกิเลสตัวไหนหนักๆมาก็จะพิจารณาดูตัวนั้นๆ
ถ้าไงก็โมทนาคะ


noohmairu เขียน:
varinne เขียน:

สภาวะจิตถกเถียงกัน เราไม่รู้ว่าเราเคยเจออะเปล่า
แต่ว่าเราไม่รู้เท่าไรเลยว่าเป็นยังไงอะ



ที่เธอไม่รู้ก็เพราะว่าเธอไม่มีสติไงละจ้า

อนุโมทนาสาธุจ้า :b8:

:b4: :b4: :b4:

:b53: :b53: :b53:




คะ การว่าเราในครั้งนี้ คุณจะได้รับการตอบแทนอย่างสาสมแน่คะ เราอาจจะไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้เราสงสารคุณแล้วล่ะ ท่าทางจะอยู่ในนรกอีกหลายกัลป์ อิอิ


noohmairu เขียน:
2504 เขียน:
" อย่าแสดงความเห็นที่บั่นทอนกำลังใจของคนเริ่มฝึกใหม่ๆ จะเป็นบาปมหันต์ "


ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ

varinne เขียน:

แต่ว่าตอนนี้เราแค้นมากน่ะคะ... เราขอยอมรับว่าเรารู้สึกแบบนั้น
ปุถุชนนั้นมีสองด้านเปรียบกับเหรียญที่มีสองด้านด้วยเช่นกัน

ด้านดีและด้านไม่ดี
ถ้าใครที่ไร้สามัญสำนึกมาสะกิดเหรียญให้ต้องพลิกไปอีกด้านหนึ่งละก็...

เราก็จะกรอกคำว่า สามัญสำนึกลงไปในหัวของมัน

เราคิดว่าคนเช่นนี้หากไม่อยู่แล้วล่ะก็แผ่นดินคงสูงขึ้นเยอะ

หวังว่าเราจะปราบมารสารเลวตัวนี้ได้

อันนี้คือความรู้สึกของเราตอนนี้คะ


เป็นกำลังใจให้จ้า :b17:

ปราบมารสารเลวในใจเธอให้ได้นะจ้า

อนุโมทนาสาธุจ้า :b53:

:b8: :b8: :b8:

ถ้าไง ช่วยพาตัวคุณเองออกจากกระทู้ของเราด้วยก็ยิ่งดีมากๆเลยละคะ

ตอนนี้กระทู้เราหนักมากๆ เพราะมีคนอย่างคุณอยู่ ไม่ต้อนรับคะคนแบบนี้

อิอิ ออกไปเร็วๆนะคะ กระทู้นี้จะได้สูงขึ้น

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 37 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร