วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 15:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


November 15 50
พิจรณาธรรม ขณะที่นอน

2 วันแล้วสินะ ที่เรานอนแต่เป็นสมาธิทั้งคืน แต่ไม่เพลียนะ ไม่ง่วง มาง่วงตอนสายๆ
สุดท้าย วันนี้ก็ยังไม่ได้นอน ทำงานทั้งวัน ตอนนี้ตาก็ยังสว่างเลย ยังไม่ง่วง
เราพิจรณาธรรมของหลวงปู่มั่น และหลวงปู่เทสก์ ไล่ไปทีละข้อ
นอนพิจรณาอยู่ดีๆ จิตมันก็รวมตัวเป็นสมาธิเลย

30 พย.
ตั้งแต่กลับมาจากวัดตาลเอน ไม่ได้ทำเต็มรูปแบบเลย ได้แต่สวดมนต์

5 ธค.เดิน 1/2 ชม. นั่ง 1/2 ชม.
เริ่มใหม่นี่ เวทนาสุดๆเลย

December 07
ได้พบครูบาอาจารย์

ไม่เคยคิดว่าจะได้พบวัดที่มีการปฏิบัติแบบนี้ แม้แต่ที่วัดอัมพวันก็ไม่มี นี่ความรู้สึกประทับใจ
กับวัดตาลเอน บางประหัน อยุธยา ที่เราได้ไปปฏิบัติกรรมฐานมา 7 วัน เราตัดสินใจไม่ผิด
ที่ไปกับน้องเขา กุศลคงสุกงอมเต็มที่แล้ว ถึงได้พบครูบาอาจารย์นำทางให้ไปต่อได้

เราติดในเรื่องการปฏิบัติ อยู่ เกือบ 1 ปีเต็มๆ ตอนแรกคิดว่าจะไปพบหลวงพ่อจรัญ แต่เรารู้ดีว่า
คงเป็นโอกาสที่ยากมากๆ ที่จะได้คุยกับท่าน เราก็เลยตัดสินใจอธิษฐาน โดยตั้งจิตระลึกถึงหลวงพ่อว่า
หากแม้นกุศลที่ได้กระทำมา กุศลนั้นส่งผลแล้ว ขอให้หลวงพ่อช่วยให้ลูกได้พบครูบาอาจารย์
ที่ท่านนำทางให้ลูกด้วยเทอญ

สาเหตุที่ติด มีอยู่ว่า เราผ่านบางสภาวะมาแล้ว เมื่อได้อ่านหนังสือ ว่าต่อไปจะเป็นยังไง
ด้วยความอยากรู้ เราก็เลยพยายามสร้างความเพียรอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะได้เห็นว่า สภาวะตัวใหม่นั้น
เป็นอย่างไร ( ตอนแรกก่อนไปวัดตาลเอน เราไม่รู้ว่า ความอยากตัวนี้แหละ ที่ทำให้เราติดอยู่นาน
แค่อยากรู้เองนะนี่ )

ซึ่งเมื่อก่อนที่เราเคยปฏิบัติที่ผ่านมานั้น เราปฏิบัติด้วยความเชื่อมั่นว่า ทางนี้แหละ ที่ทำให้เรา
อยู่บนโลกใบนี้ได้ โดยไม่ต้องเข้าไปทุกข์กับสิ่งอื่นๆ อยู่ด้วยความเข้าใจมัน

เมื่อก่อนไม่เคยคิดอะไรทั้งสิ้น สงสัยอาจจะมี แต่ก็สักแต่ว่า ไม่เคยไปค้นหาคำตอบว่าคืออะไร
แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป รู้แค่เพียงว่า อืมมม .... ตั้งแต่ปฏิบัติมาตลอด สติเราชัดเจนมากขึ้น
กว่าเมื่อก่อน อะไรมากระทบก็รู้ได้ทันเร็วขึ้น ไม่เข้าไปยุ่งกับมัน แค่รู้ว่าเกิด แล้วก็ดับไปเอง
ไอ้ที่เคยคิดว่าเป็นทุกข์ จริงๆแล้วมันไม่ได้มาทำให้เราทุกข์ แต่เราไปทุกข์กับมันเอง
เราเอาจิตไปส่งหามันเอง

ช่วงที่เราคิดว่า ทำไมถึงย่ำอยู่กับที่ เพราะเราไปมีความอยากรู้เข้ามาแทรกในการปฏิบัตินี่เอง
เมื่อไม่ได้เจอกับสิ่งที่ตัวเองอยากจะรู้ มันก็เลยทำให้เกิดอาการเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายในการปฏิบัติ
คิดแต่เพียงว่า ทำไมมันถึงเบื่ออย่างนี้ ถ้าเราเก็บรายละเอียดสักนิด จะเห็นเหตุที่ทำให้อาการเบื่อ
ได้ทันที ที่แท้เกิดจากความอยากรู้แค่นั้นเอง

ไปวัดเที่ยวนี้คุ้มมากๆ ที่ดีใจสุดๆก็คือ ตอนที่พระครูภาวนามาพูดเรื่องการปฏิบัติ พูดเรื่องสภาวะ
ที่เราเพิ่งผ่านมา ที่หลายๆคนบ่นว่าน่าเบื่อ ฟังไม่รู้เรื่อง เขาจะฟังรู้เรื่องได้ยังไง ในเมื่อ
การปฏิบัติ สภาวะของเขายังไม่ถึง แต่มาตอนหลังเราก็อธิบายให้เขาฟังกันว่า ที่เขาฟังหลวงพ่อพูดไม่รู้
เรื่องเพราะอะไร

วันนี้เราได้โทรถามหลวงพ่อพระครูภาวนานุกูลว่า เรารู้สึกเสียดายเวลาที่มีอยู่ตอนกลางคืน
คือบ้านเรากลางวันบนบ้านจะร้อนมากๆ กลางคืนจะเย็น เสียดายเวลาที่มีอยู่ แต่พอปฏิบัติได้รอบเดียว
ก็จะง่วง เราหาอุบาย โดยการกินกาแฟ เพื่อทำให้หายง่วงจะได้ปฏิบัติต่อได้

เราถามหลวงพ่อว่า อย่างนี้จัดว่าเป็นความอยากหรือไม่ หลวงพ่อตอบว่า ทุกอย่างล้วนเป็นความอยาก
โดยเฉพาะการแก้ด้วยการกินกาแฟ เป็นการแก้ที่ผิดวิธี

ให้กลับมาเดินจงกลมหรือไม่ก็ไปล้างหน้า หรือทำแบบที่พระพุทธเจ้าสอนพระโมคคัลลานะ
นี่จึงจะเป็นวิธีแก้ที่ถูกต้อง ไม่ก็นอนลงไปสักพัก แล้วลุกขึ้นมาปฏิบัติใหม่
ท่านพูดว่า คนส่วนมากจะไม่ชอบเดินจงกลมกัน


เดี๋ยวนี้ เราไม่ได้เจาะจงลงไปว่าจะทำอะไรหรือยังไง แต่จะรู้ลงไปในการกระทำนั้นๆ เหมือนกับว่า
สติ สัมปชัญญะ ชัดเจนขึ้นมามากกว่าเมื่อก่อน

เมื่อคืน ก็ใช้การนั่งหลับอีก การนั่งหลับนี่ดีกว่านอน เราเปรียบเทียบผลจากตัวของเราเอง
ถ้านั่งหลับ มันจะมีสติรู้ตัวดีตลอด จะเหมือนกับว่าเรานอนไม่ค่อยหลับ แต่มันกลับไม่รู้สึกว่าเพลียเลย
แม้แต่สักนิดเดียว จะรู้สึกตัวตื่นเองทุก 2 ช.ม.

ส่วนการนอน เท่าที่สังเกตุดู นอนหลับสนิท แทบจะไม่ตื่นลุกขึ้นมาเลย แต่พอตื่นขึ้นมาแล้ว
มันจะรู้สึกเพลีย และปวดเมื่อยไปทั้งตัว ไม่ว่าจะนอนที่กระดานโดยตรง หรือนอนบนที่นอนนุ่มๆก็ตาม
มันจะเมื่อยและเพลีย เมื่อตื่นขึ้นมา ยอมรับว่า นั่งหลับนี่สติดีกว่านอน และไม่มีอาการปวดเมื่อยหรือว่า
เพลียแต่อย่างไร เวลาตื่นขึ้นมาก็รู้สึกสดใสดี ตามันแจ่มๆบอกไม่ถูก

อริยาบทย่อยประจำวัน รู้ตัวดีกว่าเมื่อก่อน บางทีก็ไม่ต้องกำหนด มันจะกำหนดขึ้นมาเองในใจ
ยิ่งได้อ่านพระธรรมที่พระอาจารย์ท่านให้การบ้านมา ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธองค์
เป็นอย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้ เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นก็แล้วแต่ ไม่ว่านอกตัว หรือในตัว มันจะพิจรณาตลอดว่า
เหตุเกิดจากอะไร แล้วผลจึงเกิดเช่นนี้ มันจะมีเหตุมีผลมากกว่าแต่ก่อน ตั้งใจไว้ จะไปเก็บอารมณ์
อาทิตย์ละ 3 วันที่วัดมหาธาตุ ถ้าอยู่บ้านชอบตามใจตัวเอง ไม่ค่อยจะฝืนใจ ไปที่นั่นดีกว่า


โสฬสธรรม

พระโมฆราช เป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี

คำถามทั้งหมดนี่ เรียกว่า โสฬสธรรม

พราหมณ์พาวรี ได้ส่งลูกศิษย์ไป ๑๖ คน ตั้งคำถามๆพระพุทธเจ้า



คนที่ ๑ อชิตมาณพ ทูลถามปัญหา ๔ ข้อ

ถาม โลก คือ หมู่สัตว์ใหญ่ อันอะไรปิดบังไว้ จึงหลงอยู่ในที่มืด? เพราะอะไรเป็นเหตุ
จึงไม่มีปัญญาเห็นปรากฏ? พระองค์ทรงตรัสว่า อะไรเป็นเครื่องฉาบไล้ให้สัตว์โลกติดอยู่
และอะไรเป็นภัยใหญ่ของสัตว์โลกนั้น?



ตอบ โลก คือ หมู่สัตว์ใหญ่ อันอวิชชาคือ ความไม่รู้แจ้ง ปิดบังไว้แล้ว จึงหลงดุจอยู่ในที่มืด
เพราะ ความอยากมีประการต่างๆ และความประมาทเลินเล่อ จึงไม่มีปัญญาเห็นปรากฏ
เรากล่าวว่า ความอยากเป็นเครื่องฉาบไล้สัตว์โลกให้ติดอยู่และกล่าวว่า ทุกข์เป็นภัยใหญ่ของสัตว์โลกนั้น




ถาม ขอทรงตรัสบอกว่า อะไรเป็นเครื่องห้าม เป็นเครื่องกันความอยาก อันเป็นดุจกระแสน้ำ
หลั่งไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง ความอยากนั้นจะละได้ เพราะธรรมอะไร?


ตอบ เรากล่าวว่า สติ เป็นเครื่องห้าม เป็นเครื่องกันความอยากนั้น
และความอยากนั้นจะละได้เพราะ ปัญญา




ถาม ปัญญา สติกับนามรูป จะดับไป ณ ที่ไหน?

ตอบ เราจะแก้ปัญหาที่ท่านถามถึงที่ดับนามรูปสิ้นเชิง ไม่มีเหลือแก่ท่าน
เพราะ วิญญาณดับไปก่อน นามรูปจึงดับไป ณ ที่นั้นเอง




ถาม ชนผู้มีธรรมได้พิจรณาเห็นแล้ว และชนยังผู้ศึกษาอยู่ 2 พวกนี้ มีอยู่ในโลกเป็นอันมาก
ข้าพระเจ้าขอทูลถามถึงความประพฤติของชน 2 พวกนั้น พระองค์มีพระปัญญาแก่กล้า
ขอจงตรัสบอกแก่ข้าพระเจ้าเถิด


ตอบ ภิกษุผู้มีธรรมได้พิจรณาเห็นแล้ว และชนผู้นั้นยังต้องศึกษาอยู่ ต้องเป็นคนไม่กำหนัดในกาม
ทั้งหลาย มีใจไม่ขุ่นมัว ฉลาดในธรรมทั้งปวง มีสติอยู่ทุกอริยาบท







คนที่ ๒ ติสสเมตยยมาณพ ถามปัญหาเป็นคนที่ ๒ ว่า

ถาม ใครเป็นคนชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ คือเต็มความประสงค์ในโลกนี้ ความอยากซึ่งเป็นเหตุ
ทะเยอทะยานอยากดิ้นรนของใครไม่มี ใครรู้ส่วนข้างปลายทั้งสอง ( คืออดีตกับอนาคต )
ด้วยปัญญาแล้วไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลาง ( คือปัจจุบัน )

พระองค์ตรัสว่า ใครเป็นมหาบุรุษ ใครล่วงความอยากอันผูกใจในสัตว์โลกนี้
ดุจด้ายเป็นเครื่องเย็บผ้าให้ติดกันไปได้


ตอบ ภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สำรวมในกามทั้งหลาย ปราศจากความอยากแล้ว มีสติระลึกได้ทุกเมื่อ
พิจรณาเห็นโดยชอบแล้ว ดับเครื่องกระวนกระวายได้เสียแล้ว ชื่อว่า เป็นผู้สันโดษ คือเต็มความประสงค์
ในโลกนี้ ความอยากซึ่งเป็นเหตุทะเยอทะยานดิ้นรนของภิกษุนั้นแลไม่มี

ภิกษุนั้นแล รู้ส่วนข้างปลายทั้งสองด้วยปัญญาแล้ว ไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลาง เรากล่าวว่า
ภิกษุนั้นแลเป็นมหาบุรุษ ล่วงความอยากอันผูกใจสัตว์ไว้ในโลกนี้ ดุจด้ายเป็นเครื่องเย็บผ้าให้ติดกันไปได้







คนที่ ๓ ปุณณกมาณพ ทูลถามว่า
บัดนี้มีปัญหามาถึงพระองค์ผู้หาความหวาดหวั่นมิได้ รู้เหตุที่เป็นรากเง่าของสิ่งทั้งปวง

ถาม ข้าพเจ้าขอทูลถาม หมู่มนุษย์ในโลกนี้ คือฤษี กษัตริย์ พราหมณ์ เป็นอันมาก
อาศัยอะไร จึงบูชาบวงสรวงเทวดา


ตอบ หมู่มนุษย์เหล่านั้น อยากได้ของที่ตนปรารถนา อาศัยของที่มีชราเสื่อมโทรม
จึงบูชาบวงสรวงเทวดา




ถาม หมู่มนุษย์เหล่านั้น ถ้าไม่ประมาทในยัญของตน จะข้ามพ้นชาติชราได้หรือไม่

ตอบ หมู่มนุษย์เหล่านั้น มุ่งลาภที่ตนหวัง จึงพูดสรรเสริญการบูชายัญ รำพันถึงสิ่งที่ตนรักใคร่
ดังนั้นก็เพราะอาศัยลาภ เรากล่าวว่าผู้บูชายัญเหล่านั้น ยังเป็นคนกำหนัดยินดีในกาม
ไม่ข้ามพ้นชาติชราไปได้




ถาม ถ้าบูชาเหล่านั้น ข้ามพ้นชาติชราเพราะยัญของตนไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครเล่าในเทวโลก
หรือมนุษย์โลก ข้ามพ้นชาติชรานั้นได้แล้ว


ตอบ ความอยากซึ่งเป็นเหตุทะเยอทะยาน ดิ้นรนในโลกไหนๆของผู้ใดไม่มี เพราะได้พิจรณาเห็นธรรม
ที่ยิ่งและหย่อนในโลก เรากล่าวว่า ผู้นั้นสงบระงับแล้ว ไม่มีทุจริต ความประพฤติชั่วอันจะทำให้มัวหมอง
ดุจควันไฟอันจับเป็นเขม่า ไม่มีกิเลสอันจะกระทบจิต หาความอยากทะเยอทะยานมิได้
ข้ามพ้นชาติชราได้แล้ว







คนที่ ๔ เมตตาดูมาณพทูลถามปัญหาว่า

ถาม ทุกข์ในโลกหลายประการ ไม่ใช่แต่อย่างเดียว มีมาแล้วแต่อะไร?

ตอบ ท่านถามเราถึงเหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ เราจะบอกแก่ท่านตามรู้ตามเห็น ทุกข์ในโลกนี้
มีอุปธิคือกรรมและกิเลสเป็นเหตุ ล้วนเกิดมาก่อนแต่อุปธิ

ผู้ใดเป็นคนเขลา ไม่รู้แล้วกระทำอุปธิให้เกิดขึ้น ผู้นั้นย่อมถึงทุกข์เนืองๆ เหตุนั้น
เมื่อรู้เห็นว่า อุปธิ เป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ อย่ากระทำให้เกิดมี




ถาม อย่างไรผู้มีปัญญาจึงข้ามพ้นห้วงทะเลใหญ่ คือ ข้ามชาติชราและโศกพิไรรำพันเสียได้

ตอบ ที่บุคคลได้ทราบแล้ว จักเป็นผู้มีสติดำเนินข้ามความอยาก อันให้ติดอยู่ในโลกนี้เสียได้แก่ท่าน
ท่านรู้อย่างใดอย่างหนึ่ง ในส่วนเบื้องบน ( คือ อนาคต ) ในส่วนเบื้องต่ำ ( คือ อดีต )
ในส่วนท่ามกลาง ( คือ ปัจจุบัน ) จงบรรเทาความเพลิดเพลิน ความยึดมั่นในส่วนเหล่านี้เสีย
วิญญาณของท่านจักไม่ตั้งอยู่ในภพ ภิกษุผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ มีสติไม่เลินเล่อ ได้ทราบแล้ว
ละความถือมั่นว่าของเราเสียได้แล้ว จักละทุกข์ คือ ชาติชราและโศกพิไรรำพันในโลกนี้ได้

ผู้ใดเป็นพราหมณ์ ถึงที่สุดจบไตรเพท ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่ติดข้องกามภพ ผู้นั้นแล ข้ามล่วงเหตุ
แห่งทุกข์ดุจห้วงทะเลอันใหญ่นั้นได้แน่แล้ว ครั้นข้ามถึงฝั่งแล้ว เป็นคนไม่มีกิเลสอันตรึงจิต
สิ้นความสงสัย ผู้นั้นครั้นรู้แล้ว ถึงที่สุดจบไตรเพท ในศาสานานี้ ละธรรมที่เป็นเหตุติดข้องอยู่ใน
ภพน้อย ภพใหญ่ เสียได้แล้ว เป็นคนที่มีความอยากสิ้นแล้ว ไม่มีกิเลสอันจะกระทบจิต
หาความอยากทะเยอทะยานมิได้ เรากล่าวว่า ผู้นั้นแลข้ามพ้นข้ามชาติชราได้แล้ว








คนที่ ๕ โธตกมานพ

ถาม จะศึกษาข้อปฏิบัติอันเป็นเครื่องดับกิเลสของตน

ตอบ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเป็นคนมีปัญญา มีสติ ทำความเพียรในศาสนานี้เถิด



ถาม ข้าพองค์ได้เห็นพระองค์ผู้เป็นพราหมณ์ หากังวลมิได้ เที่ยวอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก
เหตุนั้น ข้าพเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ขอพระองค์ทรงเปลื้องข้าพเจ้าออกจากความสงสัยเถิด


ตอบ เราจะเปลื้องใครๆในโลก ผู้ยังมีความสงสัยอยู่ไม่ได้ เมื่อท่านรู้ธรรมอันประเสริฐ
ก็จักข้ามห้วงทะเลใหญ่คือ กิเลสอันนี้เสียได้เอง




ถาม ขอพระองค์ จงทรงพระกรุณาแสดงธรรมอันสงัดจากกิเลสที่ข้าพเจ้าควรจะรู้ สั่งสอนข้าพเจ้า
ให้เป็นคนโปร่ง ไม่ขัดข้อง ดุจอากาศ สงบระงับกิเลสเสียได้ ไม่อาศัยสิ่งหนึ่งสิ่งใดเที่ยวอยู่ในโลกนี้


ตอบ เราจะบอกอุบายเครื่องสงบ ระงับกิเลส ซึ่งจะเห็นเอง ไม่ต้องเชื่อตามตื่นข่าว
ที่บุคคลได้ทราบแล้ว จักมีสติ ข้ามความอยากที่ตรึงใจในโลกเสียแก่ท่านได้ ถ้าท่านรู้ว่า
ความทะยานอยากทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ ท่ามกลาง เป็นเหตุให้ติดข้องอยู่ในโลก
ท่านอย่าทำความทะยานอยากเพื่อจะเกิดในภพน้อยภพใหญ่








คนที่ ๖ อุปสีวมาณพ

ถาม ลำพังข้าพเจ้าผู้เดียวไม่ได้อาศัยอะไรแล้ว ไม่อาจข้ามห้วงทะเลใหญ่ คือกิเลสได้
ขอพระองค์ตรัสบอกอารมณ์ที่หน่วงเหนี่ยว อันข้าพเจ้าจะควรอาศัยข้ามห้วงนี้แก่ข้าพเจ้าเถิด


ตอบ ท่านจงเป็นผู้มีสติเพ่งอากิญจัญญายตนฌาน อาศัยอารมณ์ว่า ไม่มีๆ ดังนี้ ข้ามห้วงเสียเถิด
ท่านจงละกามทั้งหลายเสีย เป็นคนเว้นจากความสงสัย เห็นธรรมที่สิ้นไปแห่งความทะยานอยาก
ให้ปรากฏชัดทั้งกลางคืนและกลางวันเถิด




ถาม ผู้ใดปราศจากความกำหนัดในกามทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ล่วงฌานอื่นได้แล้ว อาศัยอา
กิญจัญญายตนฌาน ( คือความเพ่งในใจว่า ไม่มีอะไร เป็นอารมณ์ )

น้อมใจแล้วในอากิญจัญญายตนฌาน อันเป็นธรรมที่เปลื้องสัญญาอย่างประเสริฐที่สุด
ผู้นั้นจะต้องอยู่ในอากิญจัญญายตนฌาน ไม่มีเสื่อมบ้างหรือ


ตอบ เปลวไฟอันกำลังลมเป่าแล้วดับไปไม่ถึง ความนับว่าได้ไปแล้วข้างทิศไหนฉันใด
ท่านผู้รู้พ้นไปแล้วจากกองนามรูป ย่อมดับไม่มีเชื้อเหลือ ( คือดับไปพร้อมกับกิเลสทั้งขันธ์ )
ไม่ถึงความนับว่าไปเกิดเป็นอะไรฉันนั้น









คนที่ ๗ นันทมาณพ

ถาม ชนทั้งหลายกล่าวว่า มุนีมีอยู่ในโลกดังนี้ ข้อนี้เป็นอย่างไร เขาเรียกคนถึงพร้อมด้วยญาณ
หรือถึงพร้อมด้วยการเลี้ยงชีวิตว่าเป็นมุนี


ตอบ ผู้ฉลาดในโลกนี้ ไม่กล่าวว่าคนเป็นมุนี ด้วยความเห็น ด้วยความสดับ หรือด้วยความรู้
เรากล่าวว่า คนใดทำตนให้ปราศจากกองกิเลส เป็นคนหากิเลสมิได้ ไม่มีความหวังทะยานอยาก
เที่ยวอยู่ ผู้นั้นแล ชื่อว่า มุนี




ถาม สมณพรามหณ์เหล่าใด เหล่าหนึ่ง กล่าวความบริสุทธิ์ ด้วยความเห็น ด้วยความฟัง ด้วยศิลและพรต
และด้วยวิธีเป็นอันมาก สมณพราหมณ์เหล่านั้น ประพฤติในวิธีเหล่านั้น ตามที่ตนเห็นว่า
เป็นเครื่องบริสุทธิ์ ข้ามพ้น ข้ามชาติชราได้แล้วบ้างหรือหาไม่


ตอบ สมณพราหมณ์เหล่านั้น แม้ถึงประพฤติอย่างนั้น เรากล่าวว่า ข้ามพ้นชาติชราไม่ได้แล้ว



ถาม ถ้าพระองค์ตรัสว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นข้ามห้วงไม่ได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น
ใครเล่าในเทวโลกหรือในมนุษยโลก ข้ามพ้นชาติชราได้แล้ว


ตอบ เราไม่กล่าวว่า สมณพราหมณ์ อันชาติชราครอบงำแล้วหมดทุกคน แต่เรากล่าวว่า
สณพราหมณ์เหล่าใดในโลกนี้ ละอารมณ์ที่ตนได้เห็น ได้รู้ ได้ฟังและศิลพรตกับวิธีเป็นอันมาก
เสียทั้งหมด กำหนดรู้ตัณหาว่าเป็นโทษควรละแล้ว เป็นผู้หาอาสวะมิได้ สมณพราหมณ์เหล่านั้นแล
ข้ามห้วงได้แล้ว








คนที่ ๘ เหมกมาณพ

ถาม ในปางก่อนแต่ศาสนาของพระองค์ อาจารย์ทั้งหลายได้ยืนยันว่า อย่างนั้นได้เคยมีมาแล้ว
อย่างนี้จักมีต่อไปข้างหน้า ดำเนินล้วนเป็นแต่ว่าอย่างนี้แลๆๆ สำหรับแต่จะทำความตรึกฟุ้งให้มากขึ้น
ข้าพเจ้าไม่พอใจในคำนั้นเลย ขอพระองค์ตรัสบอกธรรมเป็นเหตุถอนตัณหาที่ข้าพเจ้าทราบแล้ว
จะพึงเป็นคนมีสติ ข้ามล่วงพ้นตัณหาอันให้ติดอยู่ในโลก แก่ข้าพเจ้าเถิด


ตอบ ชนเหล่าใด ได้รู้ว่าพระนิพพานเป็นที่บรรเทาความกำหนัดพอใจในอารมณ์ที่รัก ซึ่งได้เห็นแล้ว
ได้ฟังแล้ว ได้ดมแล้ว ได้ชิมแล้ว ได้ถูกแล้ว และได้รู้แล้วด้วยใจ และเป็นธรรมไม่เปลี่ยนแปลง
ดังนั้นแล้วเป็นคนมีสติ มีธรรมอันเห็นแล้ว ดับกิเลสได้แล้ว ชนผู้ระงับกิเลสได้แล้วนั้น
ข้ามล่วงพ้นตัณหาอันให้ติดอยู่ในโลกนี้ได้แล้ว






คนที่ ๙ โตเทยยมาณพ

ถาม กามทั้งหลายไม่ตั้งอยู่ในผู้ใด ตัณหาของผู้ใดไม่มี และผู้ใดข้ามล่วงความสงสัยเสียได้
ความพ้นของผู้นั้นจะเป็นเช่นไร


ตอบ ความพ้นของผู้นั้นที่จะเป็นอย่างอื่นอีกมิได้มี (อธิบายว่า ผู้นั้นพ้นจากกาม จากตัณหา
จากความสงสัยเสียแล้ว กามก็ดี ตัณหาก็ดี ความสงสัยก็ดี จะกลับเกิดขึ้น ผู้นั้นจักต้องเพียรพยายาม
เพื่อจะทำตนให้พ้นไปอีก หามีไม่ ความพ้นของผู้นั้นเป้นอันคงที่ ไม่แปรผันเป็นอื่น )




ถาม ผู้นั้นเป็นคนมีความหวังทะเยอทะยานหรือไม่ เป็นคนมีปัญญาแท้หรือเป็นแต่ก่อตัณหา
และทิฏฐิให้เกิดขึ้นด้วยปัญญา ข้าพเจ้าจะรู้จักท่านมุนีนั้นได้ด้วยวิอย่างไร?


ตอบ ผู้นั้นเป็นคนไม่มีความหวังทะเยอทะยาน จะเป็นคนมีความหวังทะเยอทะยานก็หาไม่
เป็นคนมีปัญญาแท้ จะเป็นคนก่อตัณหาและทิฏฐิให้เกิดด้วยปัญญาก็หาไม่
ท่านจงรู้จักมุนีว่า คนไม่มีกังวล ไม่ติดอยู่ในกามภพอย่างนี้เถิด







คนที่ ๑๐ กัปปมาณพ

ถาม ขอพระองค์ตรัสบอกธรรมอันเป็นที่พึ่งพำนักของชนอันชราและมรณะถึงรอบข้าง
ดุจเกาะอันเป็นที่พำนักอาศัยของชนผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสาคร เมื่อคลื่นเกิดที่น่ากลัวใหญ่แก่ข้าพเจ้า
อย่าให้เกิดทุกข์นี้ได้อีก


ตอบ เรากล่าวว่า นิพพานอันไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่มีตัณหาเครื่องถือมั่น เป็นที่สิ้นแห่งชรา
และมรณะนี้แลเป็นดุจเกาะหาใฃ่ธรรมอื่นไม่ ฃนเหล่าใดรู้นิพพานนั้นแล้ว เป็นคนมีสติมีธรรมอันเห็นแล้ว
ดับกิเลสได้แล้ว ชนเหล่านั้นไม่ต้องตกอยู่ในอำนาจของมาร ไม่ต้องเดินไปในทางของมารเลย







คนที่ ๑๑ ชตุกัณณีมาณพ

ถาม ข้าพเจ้าได้ทราบว่าพระองค์มิใช่ผู้ใคร่กาม ข้ามล่วงห้วงกิเลสเสียได้แล้ว จึงมาเฝ้าเพื่อ
จะทูลถามพระองค์ผู้หากิเลสมิได้ ขอพระองค์จงแสดงธรรมอันระงับแก่ข้าพเจ้าโดยถ่องแท้
เหตุว่าพระองค์ทรงผจญกิเลสกามให้แห้งหายได้ ตรัสบอกธรรมเป็นเครื่องละชาติชราในอัตภาพนี้
ที่ข้าพเจ้าควรจะทราบด้วยเถิด


ตอบ ท่านจงนำความกำหนัดในกามเสียให้สิ้น เห็นความออกไปจากกามโดยเป็นความเกษมเถิด
กิเลสเครื่องกังวลที่ท่านยึดไว้ด้วยตัณหาและทิฏฐิ ซึ่งควรจะสละเสีย อย่าเสียดแทงใจของท่านได้
กังวลใดได้มีแล้วในปางก่อน ท่านจงให้กังวลนั้นเหือดแห้งเสีย กังวลในภายหลังอย่าให้มีแก่ท่าน
ถ้าท่านจักไม่ถือเอากังวลในท่านกลาง ท่านจักเป็นคนสงบระงับกังวลได้เที่ยวอยู่ อาสวะ( กิเลส )
ซึ่งเป็นเหตุถึงอำนาจมัจจุราชของชนผู้ปราศจากความกำหนัดในนามรูปโดยอาการทั้งปวงมิได้








คนที่ ๑๒ ภัทราวุธมาณพ

ข้าพเจ้าทุลขออราธนาพระองค์แล้ว ผู้ทรงอาลัยตักตัณหาเสียได้ไม่หวั่นไหว( เพราะโลกธรรม )
ละความเพลิดเพลินเสียได้ ข้ามห้วงกิเลสพ้นไปได้แล้ว ละธรรมเป็นเครื่องให้ดำริ(ไปต่างๆ ) คือ
ตัณหาและทิฏฐิได้แล้ว มีพระปรีชาญาณอันดีแล้ว ชนที่อยู่ชนบทต่างๆอยากจะฟังพระวาจาของพระองค์
มาพร้อมกันแล้วจากชนบทนั้นๆ ได้ฟังพระวาจาของพระองค์แล้วจักกลับไปจากที่นี่ ขอพระองค์ทรง
แก้ปัญหาเพื่อชนเหล่านั้น เพราะว่าธรรมนั้นพระองค์ได้ทรงทราบแล้ว


ตอบ หมู่ชนนั้นควรนำตัณหาที่เป็นเหตุถือมั่นในส่วนเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง
คือท่ามกลางทั้งหมดให้สิ้นเชิง เพราะเขาถือมั่นสิ่งใดๆในโลก มารย่อมติดตามเขาได้โดยสิ่งนั้นๆ
เหตุนั้น ภิกษุเมื่อรู้อยู่ เมื่อเห็นหมู่สัตว์ผู้ติดอยู่ในวัฏฏะเป็นด้าวแห่งมารนี้ว่า ติดอยู่เพราะความถือมั่นดังนี้
พึงเป็นคนมีสติไม่ถือมั่นกังวลในโลกทั้งปวง








คนที่ ๑๓ อุทยมาณพ

ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะทูลถามปัญหา จึงมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงทำกิจที่จะต้องทำเสร็จแล้ว
บรรลุถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ขอพระองค์จงทรงแสดงธรรมเป็นเครื่องพ้น ( จากกิเลส ) ที่ควรรู้ทั่วถึง
เป็นเครื่องทำลายอวิชชาความเขลาไม่รู้แจ้งเสีย

ถาม โลกมีอะไรผูกพันไว้ อะไรเป็นเครื่องสัญจรของโลก ท่านกล่าวกันว่า นิพพานดังนี้ๆ
เพราะละอะไรได้


ตอบ โลกมีความเพลิดเพลินผูกพันไว้ ความตรึกเป็นเครื่องสัญจรของโลกนั่น ท่านกล่าวกันว่า
นิพพานดังนี้ๆเพราะละตัณหาเสียได้




ถาม เมื่อบุคคลมีสติระลึกอย่างไร วิญญาณจึงจะดับ ข้าพระเจ้าทั้งหลายมาเฝ้าแล้ว
เพื่อจะทูลถามพระองค์ ขอให้ได้ฟังพระวาจาของพระองค์เถิด


ตอบ เมื่อบุคคลไม่เพลิดเพลินเวทนาทั้งหลายภายในภายนอก มีสติระลึกอย่างนั้น วิญญาณจึงจะดับ








คนที่ ๑๔ โปสาลมาณพ

ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะทูลถามปัญหา จึงได้มาเฝ้าพระองค์ ผู้ทรงสำแดงพระปรีชาญาณในกาล
เป็นอดีต ไม่ทรงหวั่นไหว ( เหตุสุขทุกข์ ) มีความสงสัยอันตัดเสียได้แล้ว บรรลุถึงฝั่งธรรมทั้งปวง

ข้าพเจ้าขอทูลถามถึงญาณของบุคคลผู้มีความกำหนัดหมายในรูปแจ้งชัด ( คือได้บรรลุรูปฌาณแล้ว )
ละรูปารมณ์ทั้งหมดได้แล้ว ( คือล่วงรูปฌานขึ้นไปแล้ว )

เห็นอยู่ได้ทั้งภายในภายนอกว่าไม่มีอะไรสักน้อยนิด ( คือได้บรรลุอรูปเนที่เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ )
บุคคลเช่นั้นควรจะแนะนำสั่งสอนให้ทำอย่างไรต่อไป


ตอบ พระตถาคตเจ้าทรงทราบภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณทั้งหมด จึงทราบบุคคลผู้เช่นนั้น
แม้ยังตั้งอยู่ในโลก มีอัธยาศัยน้อมไปในอากิญจัญญายตนภพ มีอากิญจัญญายตนภพเป็นที่ไป
ในเบื้องหน้า บุคคลเช่นนี้รู้ว่ากรรมเป็นเหตุให้เกิดในอากิญจัญญายตนภพมีความเพลิดเพลินยินดี
เป็นเครื่องประกอบดังนี้แล้ว

ลำดับนั้นย่อมพิจรณาเห็นสหชาตธรรมในอากิญจัญญายตนฌานนั้น ( คือธรรมที่เกิดพร้อมกับฌานนั้น )
แจ้งชัดโดยลักษณะ ๓ ( คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัว ) ข้อนี้เป็นญาณอันถ่องแท้ของพราหมณ์
เช่นนั้น ผู้มีพรหมจรรย์ได้ประพฤติจบแล้ว








คนที่ ๑๕ พระโมฆราช

หมายเหตุ ที่อชิตมาณพทูลถามคนที่ ๑ จบแล้ว โมฆราชปรารภหาจะทุลถามปัญหา ได้ยินว่าโมฆราชนั้น
ถือตนว่าเป็นคนมีปัญญามากกว่ามาณพทั้ง ๑๕ คน คิดจะทูลถามก่อน แต่เห็นว่าอชิตมาณพ
เป็นผู้ใหญ่กว่าจึงยอมให้ทูลถามก่อน ครั้นอชิตทูลถามแล้ว จึงปรารภทูลถามเป็นครั้งที่ ๒
พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นอาการอย่างนั้นแล้ว จึงตรัสห้ามว่า โมฆราชท่านรอให้มาณพอื่น
ถามก่อนเถิด โมฆราชก็หยุดนั่งอยู่ มาครั้งนี้โมฆราชกราบทูลว่า ข้าพระเจ้าได้ยินว่า
ถ้าทุลถามถึง ๓ ครั้งแล้ว พระองค์ทรงแก้ครั้นอย่างนี้แล้ว ทูลถามปัญหาเป็นคำรบที่ ๑๕


ถาม โลกนี้ก็ดี โลกอื่นก็ดี พรหมโลกพร้อมทั้งเทวโลกก็ดี ย่อมไม่ทราบความเห็นของพระองค์
เหตุฉะนี้จึงมีปัญหามาถึงพระองค์ผู้ทรงพระปรีชายิ่ง เห็นล่วงสามัญชนทั้งปวงอย่างนี้
ข้าพเจ้าจักพิจรณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราช ( ความตาย ) จึงจักไม่แลเห็น คือว่าจักตามไม่ทัน


ตอบ ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจรณาเห็นโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า
ถอนตามความเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจักข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้
ท่านพิจรณาเห็นโลกอย่างนี้แล มัจจุราชจึงไม่แลเห็นท่าน








คนที่ ๑๖ ปิงคยมาณพ

ถาม ข้าพเจ้าเป็นคนแก่แล้ว ไม่มีกำลัง มีผิวพรรณสิ้นไปแล้ว ดวงตาของข้าพเจ้าก็เห็นไม่กระจ่าง
หูก็ฟังไม่สะดวก ขอข้าพเจ้าอย่าเป็นคนหลงฉิบหายเสียในระหว่างเลย ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรม
ที่ข้าพเจ้าควรรู้เป็นเครื่องละชาติชราในอัตตาภาพนี้เสีย


ตอบ ท่านเห็นว่าชนทั้งหลายผู้ประมาทแล้วย่อมเดือดร้อนเพราะรูปเป็นเหตุ เพราะฉะนั้น
ท่านจงเป็นคนไม่ประมาท ละความพอใจในรูปเสีย จะได้ไม่เกิดอีก




ถาม ทิศใหญ่ ๔ ทิศน้อย ๔ เป็น ๑๐ ทั้งทิศเบื้องบน เบื้องต่ำที่พระองค์ไม่ได้เห็นแล้ว ไม่ได้ฟังแล้ว
ไม่ได้ทราบแล้ว ไม่ได้รู้แล้ว แม้น้อยหนึ่ง มิได้มีในโลก ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมที่ข้าพเจ้าควรรู้
เป็นเครื่องละชาติชราในอัตตาภาพนี้เสีย


ตอบ เมื่อท่านเห็นหมู่มนุษย์ อันตัณหาครอบงำแล้ว มีความเดือดร้อนเกิดแล้ว อันชราถึงรอบข้างแล้ว
เหตุนั้น ท่านจงเป็นคนไม่ประมาท ละตัณหาเสีย จะได้ไม่เกิดอีก






ในกาลที่สุดแห่งปัญหา ที่พระศาสดาพยากรณ์แก่ตนๆมาณพ ๑๕ คน เว้นไว้แต่ปิงคยมาณพ
ส่งใจไปตามธรรมเทศนาก็มีจิตพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปทาน

ส่วนปิงคยะ เป็นแต่ญาณเห็นธรรม ได้ยินว่า ปิงคยมาณพนั้น คิดถึงพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์
ในระหว่างที่นั่งฟังพระธรรมเทศนาว่า ลุงของเราหาได้ฟังพระธรรมเทศนาที่ไพเราะอย่างนี้ไม่ อาศัยดทษที่ฟุ้งซ่านเพราะความรักอาจารย์นั้น จึงไม่อาจทำจิตให้สิ้นอาสวะ


มาณพ ๑๖ คนทั้งบริวารนั้นทุลขออุปสมบท พระศาสดาก็ทรงอนุญาติให้เป็นภิกษุด้วยวาจาว่า
ท่านทั้งหลายเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านทั้งหลายประพฟติพรหมจรรย์เถิด ดังนี้.


ฝ่ายพระปิงคิยะทูลลาพระศาสดา กลับไปแจ้งข่าวแก่พราหมณ์พาวรีผู้อาจารย์แล้วแสดงพระธรรมเทศนา
แก้ปัญหา ๑๖ ข้อนั้นให้ฟัง ภายหลังได้สดับโอวาทที่พระศาสดาตรัสสั่งสอน จึงทำให้จิตใจให้พ้นจาก
อาสวะได้ ส่วนพราหมณ์พาวรีอาจารย์ บรรลุธรรมาภิสมัยแต่เพียงชั้นเสขภูมิ


จากหนังสืออนุพุทธประวัติ ( หลักสูตรนักธรรมโท ) ของ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มหามกุฏราชวิทยาลัย ๒๕๒๖



นี่คือ สิ่งที่พระอาจารย์ปรีชาท่านให้ทำเป็นการบ้าน ให้กลับมาอ่านโสฬสธรรม


December 15
เก็บวาจา

วันนี้จะไปปฏิบัติเก็บวาจาที่วัดมหาธาตุ แบบที่เคยบอกไว้ อยู่บ้านชอบตามใจตัวเอง
เสาร์ เดินทางไปวัด รถจะคลื่อนตัวได้ดี กลับวันจันทร์กลางคืน เราบอกตัวเองเสมอว่า เราต้องไป
ขืนอยู่บ้านก็เหมือนเดิม ครั้งแรกว่าจะไปวัดตาลเอนไปปฏิบัติ 7 วัน แต่มาเปลี่ยนใจเมื่อไม่กี่วันนี่เอง
ว่าไปวัดมหาธาตุดีกว่า ไม่ต้องไปไกล ทำหรือไม่ทำ อยู่ที่ตัวเรา ไม่ใช่ที่วัด รอไปก่อน

ถ้ามีโอกาสไปยาวได้จะไปวัดนาค ไปหาครูบาอาจารย์ ตอนนี้ถ้าติดขัดตรงไหนใช้วิธีโทรฯไป
กราบนมัสการเรียนถามท่านได้ ท่านเมตตามาก ทั้งพระครูภาวนา และ พระอาจารย์ปรีชา

การปฏิบัติ เมื่อผ่านมาถึงขั้นๆหนึ่ง ล้วนแต่ใช้ปัญญา เราเข้าใจแล้ว ทำไม พระอาจารย์ปรีชา
ท่านถึงให้การบ้านเรื่องโสฬสธรรม แก่เรามา ว่าให้เราอ่านแล้วโยนิโสด้วย

เราได้อะไรจากตรงนี้เยอะมากๆ ความอยากมันมีคู่กับรามาแต่แรก แต่ในแง่การปฏิบัติ
เมื่อก่อนเราปฏิบัติแบบไม่รู้อะไรเลย ทำอย่างเดียว ไม่เคยคุย ไม่เคยถาม สงสัยน่ะมีบ้าง แต่ก็ไม่สนใจมัน
เพราะรู้ว่าถามไป ท่านก็จะบอกว่า ปฏิบัติไปเดี๋ยวก็จะรู้เอง นี่นะท่านสอนมาแบบนี้

ทำให้เราปฏิบัติมาเรื่อยๆโดยไม่มีความอยากเข้าไปเกี่ยวข้องในการปฏิบัติ แต่ตอนหลังนี่รู้มากไป
เหมือนหลวงพ่อจรัญท่านพูดไว้กับคนปฏิบัติว่ารู้มากไปมันไม่ดี เมื่อก่อนไม่เข้าใจคำว่ารู้มากไปมันไม่ดี
มันทำไมถึงไม่ดี แล้วรู้อะไร ......

มาถึงปัจจุบันนี้ เราเข้าใจแล้วว่าคำว่ารู้มากไปมันไม่ดี คืออะไร
ปฏิบัติ เมื่อรู้มากขึ้น ย่อมเกิดความอยากแทรกเข้ามาโดยเราไม่รู้ตัวว่ามันคืบคลานเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
ทั้งๆที่เมื่อก่อนมันไม่เคยมีความรู้สึก อยากปฏิบัติ อยากรู้
( ไปอ่านเข้าก็เลยอยากรู้ว่า สภาวะนั้นๆ มันเป็นอย่างไร )

นี่แหละการขาดความทบทวนจิตของตัวเอง ว่าสภาพจิตตอนนี้เป็นอย่างไร ความอยาก
เป็นตัวร้ายในการปฏิบัติแล้วเกิดปัญญาให้เห็น

พละ 5 เข้าใจแล้วตอนนี้ว่าพละ 5 พร้อมคืออะไร ต้องปราศจากความอยากเข้าไปแทรก
ต้องไม่มีความอยากเลยจริงๆ สัทธา วิริยะ สมาธิ สติ ปัญญา ....

ปัญญาจะเกิดไม่ได้ ถ้ามีความอยากเข้าไปแทรก มันจะกลายเป็นการปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาแทน
สุดท้าย ก็จะเวียนวนอยู่อย่างนั้น

อ่านโสฬสธรรม อ่านแล้วอ่านอีก พิจรณาธรรมอยู่อย่างนั้น ใจมันอิ่มเอิบๆก็ให้รู้ว่าตัวเองอิ่มเอิบ
อิ่มเอิบกับความเคารพที่มีต่อครูบาอาจารย์ ว่าถ้าไม่เจอท่าน เราก็คงยังติดอยู่กับความอยาก
โดยไม่รู้ว่านี่มันคือสาเหตุใหญ่ ไม่งั้นก็แก้ไม่ถูก

เกิดปิติมากๆในคำสอนของพระพุทธองค์ที่ถูกถ่ายทอดมาถึงคนรุ่นหลังๆ คุณค่าประเมินไม่ได้
มีค่ามากมายมหาศาลนักในความรู้สึกของเรา

ยิ่งพอมาอ่าน คิริมานนทสูตร ต่ออีก ยิ่งรู้สึกเบิกบานใจยิ่งนัก ทั้งๆเมื่อก่อนก็เคยอ่าน
แต่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย อ่านแล้วก็เฉยๆ

การที่พระพุทธองค์ตรัสเรื่อง พระนิพพาน มี 2 แบบ นิพพานดิบ นิพพานสุก
แล้วก็มีพระนิพพานอีกแบบคือ พระนิพพานหลง

ยิ่งอ่านยิ่งทราบซึ้ง เราเดินถูกทางแล้ว คงต้องไปก่อน น่าจะถึงก่อนเที่ยง
ยังไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรบ้างที่วัดนี้ รู้แต่ว่า ปฏิบัติเก็บวาจา ท่านจะให้แยกจากคนอื่นๆ
แปดโมงจะครึ่งแล้ว เราเป็นแบบนี้ทุกทีเลย คิดจะไปก็ไปทันที ไม่มีการเตรียมตัว
ถ้ามีการเตรียมตัวล่วงหน้า ส่วนมากไม่ค่อยได้ไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 14 เม.ย. 2010, 19:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2010, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ เราพึ่งรู้ว่ามีเพื่อนเรามาตามอ่านกระทู้ของเราด้วยน่ะคะ...

อายจัง รูปภาพรูปภาพ

อยากจะบอกว่า อายจังเลยคะ อิอิ รูปภาพรูปภาพ

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 00:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




39535_1.gif
39535_1.gif [ 2.4 KiB | เปิดดู 3338 ครั้ง ]
noohmairu เขียน:
2504 เขียน:
" อย่าแสดงความเห็นที่บั่นทอนกำลังใจของคนเริ่มฝึกใหม่ๆ จะเป็นบาปมหันต์ "


ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ

varinne เขียน:

แต่ว่าตอนนี้เราแค้นมากน่ะคะ... เราขอยอมรับว่าเรารู้สึกแบบนั้น
ปุถุชนนั้นมีสองด้านเปรียบกับเหรียญที่มีสองด้านด้วยเช่นกัน

ด้านดีและด้านไม่ดี
ถ้าใครที่ไร้สามัญสำนึกมาสะกิดเหรียญให้ต้องพลิกไปอีกด้านหนึ่งละก็...

เราก็จะกรอกคำว่า สามัญสำนึกลงไปในหัวของมัน

เราคิดว่าคนเช่นนี้หากไม่อยู่แล้วล่ะก็แผ่นดินคงสูงขึ้นเยอะ

หวังว่าเราจะปราบมารสารเลวตัวนี้ได้

อันนี้คือความรู้สึกของเราตอนนี้คะ


เป็นกำลังใจให้จ้า :b17:

ปราบมารสารเลวในใจเธอให้ได้นะจ้า

อนุโมทนาสาธุจ้า :b53:

:b8: :b8: :b8:


สวัสดีค่ะ จขกท. ที่คุณปฏิบัติมานั้นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ ทำต่อไปค่ะ

สิ่งต่างๆ นั้นล้วนมีหลายด้าน เราดูอีกด้านหนึ่งกันดีกว่านะ

:b1: :b1: มาร คือ กิเลสมาร สังขารมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร
http://www.kalyanamitra.org/board/lofiv ... ?t140.html

พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)
1. ขันธมาร
2. ธาตุมาร
3. อายตนะมาร
4. คติมาร
5. อุปบัติมาร
6. ปฏิสนธิมาร
7. ภวมาร
8. สังสารมาร
9. วัฏฏมาร

การปราบ คือ การกระทำ 2 อย่าง ได้แก่
ก. ทำให้กายใจ จิต วิญญาณของเราสะอาด มีความขาวและใสสว่าง นั่นคือการทำในกมลสันดานตนเอง
ข. การทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มีอยู่ในอายตนะภายนอกหมดสิ้นไป (มารในสาธารณะทั่วไป)


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อ้างคำพูด:
* การชี้สภาวะ เป็นยาพิษชนิดร้ายแรง สามารถฆ่าตัวตนได้ หากเสพเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

คิดให้ได้ว่าเป็นลางดี เป็นคำชี้นำที่ดี ก็ดีที่มีคนมาชี้ให้เห็นสภาวะในขณะที่เราปฏิบัติธรรม
เราจะได้รู้แนวทางในการคิดพิจารณาหลายแง่มุม คิดพิจารณาให้แยบคาย เห็นได้ตามสภาวะที่เขาชี้ไว้
เราก็เริ่มจะมีภูมิ มียาพิษไว้ป้องกันตัว ไว้ฆ่าอุปกิเลส เรียกว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า
และถ้าทำให้รู้ให้เข้าใจสภาวะบ่อยๆ เสพบ่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบแน่วแน่ปัญญาจะเกิด
เราก็จะรู้เห็นได้ด้วยจิตของเราเอง เราจะมียาพิษชนิดร้ายแรงไว้ป้องกันโรค ไว้ฆ่าอวิชชา ฆ่าความมีตัวตน
ออกไปจากจิตใจได้จนหมดสิ้น พ้นทุกข์ได้ในที่สุด (ยาพิษนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา)


อ้างคำพูด:
ก็เลยได้รู้สึกตัวว่า ที่ตัวเองกำลังเดินจงกรมปฎิบัติกรรมฐานอยู่นี่

สติธรรมดา เห็นความรู้สึกแล้วก็ไหลตามไปเรื่อยๆๆๆ
สติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง

ถ้าเห็นแบบสติธรรมดา ก็คือเงาจิตเห็นเงาจิต แล้วไหลไปตามเงาจิต (เงาจิตคืออารมณ์หรืออาการของจิตหรือเจตสิก)
เกิดความรู้สึกแล้วก็ไปตามอารมณ์นั้น ๆ (สติยังไม่รู้ไตรลักษณ์ ก็จะทุกข์ สุข ดีใจ เสียใจ ฯลฯ ไปตามอารมณ์นั้นๆ)
ถ้าเห็นแบบสติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก ก็รู้ทัน รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง (จิตเห็นเงาจิต ไม่ไหลไปตามเงาจิตหรือตามอารมณ์นั้นๆ
รู้เท่าทัน ว่าสิ่งที่เกิดนั้นคืออะไร เข้าใจ แล้วละทิ้ง)


สติเปรียบเสมือนนายประตู เป็นนายประตู ดู(มโน)ทวาร เมื่อเงาจิตหรืออารมณ์ผ่าน เกิดดับต้องให้รู้
ก็คือ เมื่อมี ผัสสะ เข้ามากระทบทวารเข้าแล้ว ก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้ง สุข มีทั้ง ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
มีทั้ง ดี มีทั้ง ชั่ว มีทั้ง บาป มีทั้ง บุญ สารพัด นับไม่ถ้วน แต่เมื่อสรุปความลงก็คงมี สอง คือ อิฎฐารมณ์
คืออารมณ์ที่ชอบอย่างหนึ่ง กับ อนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง

สติปรมัตถ์ จะเห็นความรู้สึกต่างๆ รู้จัก เข้าใจ แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ละวาง

เมื่อเราปล่อยวาง อวิชา ตัณหาก็ไม่ไปปรุงแต่งสังขารให้เกิดเวทนา ความปรุงแต่งก็ดับ จิตก็จะว่าง
(ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ) จิตจะบริสุทธิ์ มีสติ มีสัมปชัญญะ มีกำลัง จนเป็นสมาธิตั้งมั่น
จิตแยกออกจากรูปนาม มองเห็นกริยา(เงา หรืออาการ หรืออารมณ์ หรือเจตสิต) ของจิตได้ชัดเจน


ข้ออื่นก็ทำนองเดียวกันนี้ค่ะ

(ถูกผิดอย่างไรผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ก็ช่วยเพิ่มเติมให้ด้วยนะค่ะ ข้าน้อยยังเป็นผู้ศึกษาปัญญายังน้อยนิด)

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 00:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความแค้นของเราได้รับการชำระล้างแล้วคะ
อิอิ ตอนนี้ก็ดื่มด่ำกับชัยชนะที่ได้มา...

บอกแล้วว่าถึงเราจะดูนิ่งๆน่ารักและอ่อนหวาน
แต่ถ้าให้พลิกเหรียญกลับไปเป็นอีกด้านละก็ ก็คนละเรื่องเช่นกันคะ

ขอบคุณ kanalove ที่เข้ามาป่วนบอร์ดแห่งนี้
และเพื่อนของเราที่เข้ามาให้กำลังใจคะ
(แต่ขอโทษเถอะ ทำไมแกต้องมาอ่านด้วยฟระ... เราอายน๊า.... T^T...)

แน่นอนคะว่าเราเคยบอกว่า เราจะทำให้มันผู้นั้นที่กล้าดูหมิ่นกระทู้นี้ต้องได้พบกับขุมนรกที่แสนสาหัส
บุคคลนี้ไร้สามัญสำนึกและแน่นอนว่าเขาได้รับการแฉแล้ว ณ ตอนนี้
ตอนนี้เราก็จะให้เขาได้ลิ้มรสกรรมที่เขาจะพึงได้ไปทีละนิดๆ เอาให้เข็ดไปจนวันตาย

เราว่าทางที่ดีสำหรับบุคคลคนที่แค้นเราอยู่นี้
เราว่าคุณน่ะออกไปจากบอร์ดแห่งนี้เถอะ
ให้ผู้มีจิตใฝ่ธรรมได้ศึกษาธรรมจริงๆ

ไม่ใช่มาขวาง มาพ่นพูดจาดูหมิ่นแล้วอวดตัวเองว่าเก่ง คนอื่นต้องนับถือและทำตาม
คนแบบนี้ไม่ใช่คนที่จะสอนใครได้ ไม่ใช่คนที่จะเป็นครูของใครได้
สำหรับบุคคลนั้น
คุณอย่าได้มาเหยียบที่กระทู้นี้อีก

ไม่งั้นเราจะจัดรถสายด่วนส่งตรงไปนรกเร็วๆให้คะ
เพราะเรามีความคิดว่า
เราได้ช่วยให้แผ่นดินนี้สูงขึ้นจากคนอย่างคุณ


และนี่ก็ถือว่าเป็นการบันทึกสภาวะของเราเช่นกัน


ปล. ตอนนี้เราเองก็รอสภาวะที่จะมาสอนให้เราสามารถลดละความอาฆาตแค้นได้น่ะคะ บางทีแล้วบางเหตุการณ์เองก็ต้องการที่จะให้เราเรียนรู้ถึงอารมณ์พวกนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อได้เรียนรุ้กิเลสแล้วก็จะสามารถรู้ได้ว่ากิเลสตัวนี้เป็นยังไงหรืออะไร
แต่ว่า ณ เวลานี้

เราพอใจที่จะได้เป็นตัวของตัวเองคะ

^ ^ อิอิ ขอบคุณอีกครั้ง
ตอนนี้เรารื่นเริงและสะใจมากๆ

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 01:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:
ความแค้นของเราได้รับการชำระล้างแล้วคะ
อิอิ ตอนนี้ก็ดื่มด่ำกับชัยชนะที่ได้มา...

บอกแล้วว่าถึงเราจะดูนิ่งๆน่ารักและอ่อนหวาน
แต่ถ้าให้พลิกเหรียญกลับไปเป็นอีกด้านละก็ ก็คนละเรื่องเช่นกันคะ

ขอบคุณ kanalove ที่เข้ามาป่วนบอร์ดแห่งนี้
และเพื่อนของเราที่เข้ามาให้กำลังใจคะ
(แต่ขอโทษเถอะ ทำไมแกต้องมาอ่านด้วยฟระ... เราอายน๊า.... T^T...)

แน่นอนคะว่าเราเคยบอกว่า เราจะทำให้มันผู้นั้นที่กล้าดูหมิ่นกระทู้นี้ต้องได้พบกับขุมนรกที่แสนสาหัส
บุคคลนี้ไร้สามัญสำนึกและแน่นอนว่าเขาได้รับการแฉแล้ว ณ ตอนนี้
ตอนนี้เราก็จะให้เขาได้ลิ้มรสกรรมที่เขาจะพึงได้ไปทีละนิดๆ เอาให้เข็ดไปจนวันตาย

เราว่าทางที่ดีสำหรับบุคคลคนที่แค้นเราอยู่นี้
เราว่าคุณน่ะออกไปจากบอร์ดแห่งนี้เถอะ
ให้ผู้มีจิตใฝ่ธรรมได้ศึกษาธรรมจริงๆ

ไม่ใช่มาขวาง มาพ่นพูดจาดูหมิ่นแล้วอวดตัวเองว่าเก่ง คนอื่นต้องนับถือและทำตาม
คนแบบนี้ไม่ใช่คนที่จะสอนใครได้ ไม่ใช่คนที่จะเป็นครูของใครได้
สำหรับบุคคลนั้น
คุณอย่าได้มาเหยียบที่กระทู้นี้อีก

ไม่งั้นเราจะจัดรถสายด่วนส่งตรงไปนรกเร็วๆให้คะ
เพราะเรามีความคิดว่า
เราได้ช่วยให้แผ่นดินนี้สูงขึ้นจากคนอย่างคุณ


และนี่ก็ถือว่าเป็นการบันทึกสภาวะของเราเช่นกัน


ปล. ตอนนี้เราเองก็รอสภาวะที่จะมาสอนให้เราสามารถลดละความอาฆาตแค้นได้น่ะคะ บางทีแล้วบางเหตุการณ์เองก็ต้องการที่จะให้เราเรียนรู้ถึงอารมณ์พวกนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อได้เรียนรุ้กิเลสแล้วก็จะสามารถรู้ได้ว่ากิเลสตัวนี้เป็นยังไงหรืออะไร
แต่ว่า ณ เวลานี้

เราพอใจที่จะได้เป็นตัวของตัวเองคะ

^ ^ อิอิ ขอบคุณอีกครั้ง
ตอนนี้เรารื่นเริงและสะใจมากๆ


รื่นเริงจากสภาวะอกุศลจิตนี่นะหรือ
กระทู้บอร์ด เรตติ้งสูงขึ้นตั้งเยอะ

แต่เธอก็ยัง ไร้สติ เหมือนเดิม
บันทึกขาดสติชัดๆๆ
คนมีสติ ไม่ไหลตามอกุศลจิต ที่ไหลเป็นสายเป็นขบวนรถไฟไปนรกหรอก
นะจ๊ะๆๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 01:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


enlighted เขียน:
varinne เขียน:
ความแค้นของเราได้รับการชำระล้างแล้วคะ
อิอิ ตอนนี้ก็ดื่มด่ำกับชัยชนะที่ได้มา...

บอกแล้วว่าถึงเราจะดูนิ่งๆน่ารักและอ่อนหวาน
แต่ถ้าให้พลิกเหรียญกลับไปเป็นอีกด้านละก็ ก็คนละเรื่องเช่นกันคะ

ขอบคุณ kanalove ที่เข้ามาป่วนบอร์ดแห่งนี้
และเพื่อนของเราที่เข้ามาให้กำลังใจคะ
(แต่ขอโทษเถอะ ทำไมแกต้องมาอ่านด้วยฟระ... เราอายน๊า.... T^T...)

แน่นอนคะว่าเราเคยบอกว่า เราจะทำให้มันผู้นั้นที่กล้าดูหมิ่นกระทู้นี้ต้องได้พบกับขุมนรกที่แสนสาหัส
บุคคลนี้ไร้สามัญสำนึกและแน่นอนว่าเขาได้รับการแฉแล้ว ณ ตอนนี้
ตอนนี้เราก็จะให้เขาได้ลิ้มรสกรรมที่เขาจะพึงได้ไปทีละนิดๆ เอาให้เข็ดไปจนวันตาย

เราว่าทางที่ดีสำหรับบุคคลคนที่แค้นเราอยู่นี้
เราว่าคุณน่ะออกไปจากบอร์ดแห่งนี้เถอะ
ให้ผู้มีจิตใฝ่ธรรมได้ศึกษาธรรมจริงๆ

ไม่ใช่มาขวาง มาพ่นพูดจาดูหมิ่นแล้วอวดตัวเองว่าเก่ง คนอื่นต้องนับถือและทำตาม
คนแบบนี้ไม่ใช่คนที่จะสอนใครได้ ไม่ใช่คนที่จะเป็นครูของใครได้
สำหรับบุคคลนั้น
คุณอย่าได้มาเหยียบที่กระทู้นี้อีก

ไม่งั้นเราจะจัดรถสายด่วนส่งตรงไปนรกเร็วๆให้คะ
เพราะเรามีความคิดว่า
เราได้ช่วยให้แผ่นดินนี้สูงขึ้นจากคนอย่างคุณ


และนี่ก็ถือว่าเป็นการบันทึกสภาวะของเราเช่นกัน


ปล. ตอนนี้เราเองก็รอสภาวะที่จะมาสอนให้เราสามารถลดละความอาฆาตแค้นได้น่ะคะ บางทีแล้วบางเหตุการณ์เองก็ต้องการที่จะให้เราเรียนรู้ถึงอารมณ์พวกนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อได้เรียนรุ้กิเลสแล้วก็จะสามารถรู้ได้ว่ากิเลสตัวนี้เป็นยังไงหรืออะไร
แต่ว่า ณ เวลานี้

เราพอใจที่จะได้เป็นตัวของตัวเองคะ

^ ^ อิอิ ขอบคุณอีกครั้ง
ตอนนี้เรารื่นเริงและสะใจมากๆ


รื่นเริงจากสภาวะอกุศลจิตนี่นะหรือ
กระทู้บอร์ด เรตติ้งสูงขึ้นตั้งเยอะ

แต่เธอก็ยัง ไร้สติ เหมือนเดิม
บันทึกขาดสติชัดๆๆ
คนมีสติ ไม่ไหลตามอกุศลจิต ที่ไหลเป็นสายเป็นขบวนรถไฟไปนรกหรอก
นะจ๊ะๆๆๆ


วารินเน่ซัง บอกสิ่งที่เป็นตัวเป็นตน ของตัวเธอเองออกมา

คุณจะให้เธอโกหกแล้วบอกว่าตอนนี้เธอเป็นนางเอก ไม่คิดอะไรอกุศลแม้แต่นิดเดียวน่ะหรอคะ?

วารินเน่ซังอุตส่าห์ไม่โกหกเพื่อสร้างภาพพจน์ของตัวเองให้ดีงามเพื่อพวกเราชาวธรรมะแล้วนะคะ

วารินเน่ซังต้องการบ่งบอกความจริงที่เป็นตัวเธอออกมา
นั้นคือสภาวะของเธอ

สำหรับคุณที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

ไปไกลๆคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 01:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sirisuk เขียน:
noohmairu เขียน:
2504 เขียน:
" อย่าแสดงความเห็นที่บั่นทอนกำลังใจของคนเริ่มฝึกใหม่ๆ จะเป็นบาปมหันต์ "


ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ

varinne เขียน:

แต่ว่าตอนนี้เราแค้นมากน่ะคะ... เราขอยอมรับว่าเรารู้สึกแบบนั้น
ปุถุชนนั้นมีสองด้านเปรียบกับเหรียญที่มีสองด้านด้วยเช่นกัน

ด้านดีและด้านไม่ดี
ถ้าใครที่ไร้สามัญสำนึกมาสะกิดเหรียญให้ต้องพลิกไปอีกด้านหนึ่งละก็...

เราก็จะกรอกคำว่า สามัญสำนึกลงไปในหัวของมัน

เราคิดว่าคนเช่นนี้หากไม่อยู่แล้วล่ะก็แผ่นดินคงสูงขึ้นเยอะ

หวังว่าเราจะปราบมารสารเลวตัวนี้ได้

อันนี้คือความรู้สึกของเราตอนนี้คะ


เป็นกำลังใจให้จ้า :b17:

ปราบมารสารเลวในใจเธอให้ได้นะจ้า

อนุโมทนาสาธุจ้า :b53:

:b8: :b8: :b8:


สวัสดีค่ะ จขกท. ที่คุณปฏิบัติมานั้นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ ทำต่อไปค่ะ

สิ่งต่างๆ นั้นล้วนมีหลายด้าน เราดูอีกด้านหนึ่งกันดีกว่านะ

:b1: :b1: มาร คือ กิเลสมาร สังขารมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร
http://www.kalyanamitra.org/board/lofiv ... ?t140.html

พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)
1. ขันธมาร
2. ธาตุมาร
3. อายตนะมาร
4. คติมาร
5. อุปบัติมาร
6. ปฏิสนธิมาร
7. ภวมาร
8. สังสารมาร
9. วัฏฏมาร

การปราบ คือ การกระทำ 2 อย่าง ได้แก่
ก. ทำให้กายใจ จิต วิญญาณของเราสะอาด มีความขาวและใสสว่าง นั่นคือการทำในกมลสันดานตนเอง
ข. การทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มีอยู่ในอายตนะภายนอกหมดสิ้นไป (มารในสาธารณะทั่วไป)


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อ้างคำพูด:
* การชี้สภาวะ เป็นยาพิษชนิดร้ายแรง สามารถฆ่าตัวตนได้ หากเสพเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

คิดให้ได้ว่าเป็นลางดี เป็นคำชี้นำที่ดี ก็ดีที่มีคนมาชี้ให้เห็นสภาวะในขณะที่เราปฏิบัติธรรม
เราจะได้รู้แนวทางในการคิดพิจารณาหลายแง่มุม คิดพิจารณาให้แยบคาย เห็นได้ตามสภาวะที่เขาชี้ไว้
เราก็เริ่มจะมีภูมิ มียาพิษไว้ป้องกันตัว ไว้ฆ่าอุปกิเลส เรียกว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า
และถ้าทำให้รู้ให้เข้าใจสภาวะบ่อยๆ เสพบ่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบแน่วแน่ปัญญาจะเกิด
เราก็จะรู้เห็นได้ด้วยจิตของเราเอง เราจะมียาพิษชนิดร้ายแรงไว้ป้องกันโรค ไว้ฆ่าอวิชชา ฆ่าความมีตัวตน
ออกไปจากจิตใจได้จนหมดสิ้น พ้นทุกข์ได้ในที่สุด (ยาพิษนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา)


อ้างคำพูด:
ก็เลยได้รู้สึกตัวว่า ที่ตัวเองกำลังเดินจงกรมปฎิบัติกรรมฐานอยู่นี่

สติธรรมดา เห็นความรู้สึกแล้วก็ไหลตามไปเรื่อยๆๆๆ
สติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง

ถ้าเห็นแบบสติธรรมดา ก็คือเงาจิตเห็นเงาจิต แล้วไหลไปตามเงาจิต (เงาจิตคืออารมณ์หรืออาการของจิตหรือเจตสิก)
เกิดความรู้สึกแล้วก็ไปตามอารมณ์นั้น ๆ (สติยังไม่รู้ไตรลักษณ์ ก็จะทุกข์ สุข ดีใจ เสียใจ ฯลฯ ไปตามอารมณ์นั้นๆ)
ถ้าเห็นแบบสติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก ก็รู้ทัน รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง (จิตเห็นเงาจิต ไม่ไหลไปตามเงาจิตหรือตามอารมณ์นั้นๆ
รู้เท่าทัน ว่าสิ่งที่เกิดนั้นคืออะไร เข้าใจ แล้วละทิ้ง)


สติเปรียบเสมือนนายประตู เป็นนายประตู ดู(มโน)ทวาร เมื่อเงาจิตหรืออารมณ์ผ่าน เกิดดับต้องให้รู้
ก็คือ เมื่อมี ผัสสะ เข้ามากระทบทวารเข้าแล้ว ก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้ง สุข มีทั้ง ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
มีทั้ง ดี มีทั้ง ชั่ว มีทั้ง บาป มีทั้ง บุญ สารพัด นับไม่ถ้วน แต่เมื่อสรุปความลงก็คงมี สอง คือ อิฎฐารมณ์
คืออารมณ์ที่ชอบอย่างหนึ่ง กับ อนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง

สติปรมัตถ์ จะเห็นความรู้สึกต่างๆ รู้จัก เข้าใจ แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ละวาง

เมื่อเราปล่อยวาง อวิชา ตัณหาก็ไม่ไปปรุงแต่งสังขารให้เกิดเวทนา ความปรุงแต่งก็ดับ จิตก็จะว่าง
(ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ) จิตจะบริสุทธิ์ มีสติ มีสัมปชัญญะ มีกำลัง จนเป็นสมาธิตั้งมั่น
จิตแยกออกจากรูปนาม มองเห็นกริยา(เงา หรืออาการ หรืออารมณ์ หรือเจตสิต) ของจิตได้ชัดเจน


ข้ออื่นก็ทำนองเดียวกันนี้ค่ะ

(ถูกผิดอย่างไรผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ก็ช่วยเพิ่มเติมให้ด้วยนะค่ะ ข้าน้อยยังเป็นผู้ศึกษาปัญญายังน้อยนิด)




อนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 01:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sirisuk เขียน:

สวัสดีค่ะ จขกท. ที่คุณปฏิบัติมานั้นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ ทำต่อไปค่ะ

สิ่งต่างๆ นั้นล้วนมีหลายด้าน เราดูอีกด้านหนึ่งกันดีกว่านะ

:b1: :b1: มาร คือ กิเลสมาร สังขารมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร เทวบุตรมาร
http://www.kalyanamitra.org/board/lofiv ... ?t140.html

พระไตรปิฎกบอกว่า มารมี 9 (ขุ จูฬ 30/427/203)
1. ขันธมาร
2. ธาตุมาร
3. อายตนะมาร
4. คติมาร
5. อุปบัติมาร
6. ปฏิสนธิมาร
7. ภวมาร
8. สังสารมาร
9. วัฏฏมาร

การปราบ คือ การกระทำ 2 อย่าง ได้แก่
ก. ทำให้กายใจ จิต วิญญาณของเราสะอาด มีความขาวและใสสว่าง นั่นคือการทำในกมลสันดานตนเอง
ข. การทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่มีอยู่ในอายตนะภายนอกหมดสิ้นไป (มารในสาธารณะทั่วไป)


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อ้างคำพูด:
* การชี้สภาวะ เป็นยาพิษชนิดร้ายแรง สามารถฆ่าตัวตนได้ หากเสพเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

คิดให้ได้ว่าเป็นลางดี เป็นคำชี้นำที่ดี ก็ดีที่มีคนมาชี้ให้เห็นสภาวะในขณะที่เราปฏิบัติธรรม
เราจะได้รู้แนวทางในการคิดพิจารณาหลายแง่มุม คิดพิจารณาให้แยบคาย เห็นได้ตามสภาวะที่เขาชี้ไว้
เราก็เริ่มจะมีภูมิ มียาพิษไว้ป้องกันตัว ไว้ฆ่าอุปกิเลส เรียกว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า
และถ้าทำให้รู้ให้เข้าใจสภาวะบ่อยๆ เสพบ่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบแน่วแน่ปัญญาจะเกิด
เราก็จะรู้เห็นได้ด้วยจิตของเราเอง เราจะมียาพิษชนิดร้ายแรงไว้ป้องกันโรค ไว้ฆ่าอวิชชา ฆ่าความมีตัวตน
ออกไปจากจิตใจได้จนหมดสิ้น พ้นทุกข์ได้ในที่สุด (ยาพิษนี้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา)


อ้างคำพูด:
ก็เลยได้รู้สึกตัวว่า ที่ตัวเองกำลังเดินจงกรมปฎิบัติกรรมฐานอยู่นี่

สติธรรมดา เห็นความรู้สึกแล้วก็ไหลตามไปเรื่อยๆๆๆ
สติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง

ถ้าเห็นแบบสติธรรมดา ก็คือเงาจิตเห็นเงาจิต แล้วไหลไปตามเงาจิต (เงาจิตคืออารมณ์หรืออาการของจิตหรือเจตสิก)
เกิดความรู้สึกแล้วก็ไปตามอารมณ์นั้น ๆ (สติยังไม่รู้ไตรลักษณ์ ก็จะทุกข์ สุข ดีใจ เสียใจ ฯลฯ ไปตามอารมณ์นั้นๆ)
ถ้าเห็นแบบสติปรมัตถ์ เห็นความรู้สึก ก็รู้ทัน รู้จัก เข้าใจ ทิ้ง (จิตเห็นเงาจิต ไม่ไหลไปตามเงาจิตหรือตามอารมณ์นั้นๆ
รู้เท่าทัน ว่าสิ่งที่เกิดนั้นคืออะไร เข้าใจ แล้วละทิ้ง)


สติเปรียบเสมือนนายประตู เป็นนายประตู ดู(มโน)ทวาร เมื่อเงาจิตหรืออารมณ์ผ่าน เกิดดับต้องให้รู้
ก็คือ เมื่อมี ผัสสะ เข้ามากระทบทวารเข้าแล้ว ก็จะเห็นเป็นเรื่องเป็นราว มีทั้ง สุข มีทั้ง ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
มีทั้ง ดี มีทั้ง ชั่ว มีทั้ง บาป มีทั้ง บุญ สารพัด นับไม่ถ้วน แต่เมื่อสรุปความลงก็คงมี สอง คือ อิฎฐารมณ์
คืออารมณ์ที่ชอบอย่างหนึ่ง กับ อนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่ง

สติปรมัตถ์ จะเห็นความรู้สึกต่างๆ รู้จัก เข้าใจ แล้วปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ละวาง

เมื่อเราปล่อยวาง อวิชา ตัณหาก็ไม่ไปปรุงแต่งสังขารให้เกิดเวทนา ความปรุงแต่งก็ดับ จิตก็จะว่าง
(ว่างจากราคะ โทสะ โมหะ) จิตจะบริสุทธิ์ มีสติ มีสัมปชัญญะ มีกำลัง จนเป็นสมาธิตั้งมั่น
จิตแยกออกจากรูปนาม มองเห็นกริยา(เงา หรืออาการ หรืออารมณ์ หรือเจตสิต) ของจิตได้ชัดเจน


ข้ออื่นก็ทำนองเดียวกันนี้ค่ะ

(ถูกผิดอย่างไรผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ก็ช่วยเพิ่มเติมให้ด้วยนะค่ะ ข้าน้อยยังเป็นผู้ศึกษาปัญญายังน้อยนิด)


อนุโมทนาสาธุจ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 02:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:

และนี่ก็ถือว่าเป็นการบันทึกสภาวะของเราเช่นกัน

วารินเน่ซัง บอกสิ่งที่เป็นตัวเป็นตน ของตัวเธอเองออกมา

คุณจะให้เธอโกหกแล้วบอกว่าตอนนี้เธอเป็นนางเอก ไม่คิดอะไรอกุศลแม้แต่นิดเดียวน่ะหรอคะ?

วารินเน่ซังอุตส่าห์ไม่โกหกเพื่อสร้างภาพพจน์ของตัวเองให้ดีงามเพื่อพวกเราชาวธรรมะแล้วนะคะ

วารินเน่ซังต้องการบ่งบอกความจริงที่เป็นตัวเธอออกมา
นั้นคือสภาวะของเธอ



อนุโมทนาค่ะ :b8:
ทุกๆสภาวะหรือสิ่งที่เกิดขึ้นคือการเรียนรู้ พร้อมๆกับการชดใช้กับสิ่งที่เราเคยกระทำไว้ในอดีต
ที่เราอาจจะระลึกได้หรือระลึกไม่ได้แล้วก็ตาม เมื่อถึงเวลา ถึงวาระ ก็ต้องมาชดใช้กัน
ผู้ใดเข้าใจได้ก่อน ย่อมหยุดที่จะก่อเหตุใหม่ที่อันเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดภพชาติใหม่ได้ก่อน
ส่วนผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ย่อมก่อให้เกิดภพเกิดชาติใหม่ต่อไปเรื่อยๆจากผลของการกระทำของเขา

สภาวะอาจจะมาทดสอบเราในรูปแบบของคำชมหรือแม้แต่คำตำหนิติเตียน
หากแม้นเป็นคำชม แล้วเราไปติดใจในคำชม กิเลสย่อมเกิดพาให้เราลุ่มหลงในคำชม
ทำให้เกิดความหลงในตัวเอง คิดว่าเรารู้ คิดว่าเราดี คิดว่าเราเก่ง

หากแม้นเป็นคำตำหนิติเตียนเราไปขุ่นข้องใจในคำตำหนิติเตียน กิเลสย่อมเกิดเช่นเดียวกัน
แต่กิเลสตัวนี้เป็นตัวอกุศลจิตถ้าสติ สัมปชัญญะเราไม่ทัน เราย่อมตอบโต้เขากลับ
นั่นคือ เรากำลังสร้างเหตุใหม่ที่เป้นการก่อภพชาติให้เกิดขึ้นใหม่กับเขาไม่รู้จักจบสิ้น

ฉะนั้น ไม่ว่าจะกระทบแบบไหนๆ เราควรตั้งสติ สัมปชัญญะ ดูการกระเพื่อมของจิตเรา
ไม่ใช่ไปดูนอกตัว ให้ดูในตัวของเรา ที่กระเพื่อม กระเพื่อมเพราะอะไร เพราะเรายังมีอุปทานอยู่
ยังมีความยึดมั่นถือมั่นต่อการให้ค่าให้ความหมายของกิเลสที่มากระทบอยู่
รู้สึกอย่างไร เรายอมรับตามความเป็นจริงนั้นๆ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง

ไม่ไปคิดขับไส ผลักไสอารมณ์นั้นๆออกไป แต่จงเฝ้าดูมัน อารมณ์นั้นๆเกิดขึ้นนานไหมกว่าจะดับลงไป
หลังจากดับไปแล้ว ยังมีไปเกาะเกี่ยวอารมณ์นั้นๆเข้ามาอีกไหม เราเฝ้าดู รู้ลงไปบ่อยๆ


เมื่อวันใด วันหนึ่ง เราอ่านตัวออก คือ อ่านกิเลสของเราออก เราย่อมอ่านกิเลสของคนอื่นๆออก
เพราะเขาและเรา ล้วนไม่มีความแตกต่างกันเลยในเรื่องของ กิเลส
แต่ที่แตกต่างคือ การสะสมของกิเลส ใครมีมากน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง



บอกตัวได้ คือ มีสติ เป็นตัวบอก สัมปชัญญะเป็นตัวรู้ หรือมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
เมื่อมีกิเลสมาก ก็ปรุงมาก มีกิเลสน้อย ก็ปรุงน้อย ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับสติ สัมปชัญญะนั่นเอง
ว่ารู้เท่าทันจิตไหม จิตที่กำลังจะเกิดการปรุงแต่ง เมื่อมีการกระทบเกิดขึ้น


ใช้ตัวเป็น คือ เมื่อเราอ่านกิเลสของคนอื่นๆได้ เราย่อมเลือกได้ว่า
ควรจะทำอย่างไร เพราะทุกๆการกระทบ คือ การกำลังก่อเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น



เขาอยากพูดอะไร ให้เขาพูดไป เขาอยากว่าอะไร ให้เขาว่าไป
เพราะเหตุที่เขากำลังกระทำทั้งหมดนั้น ย่อมส่งผลกลับไปยังตัวเขาทั้งสิ้น

จิตเราไปปรุงแต่เองทั้งหมด ปรุงแต่งให้ดีก็ได้ ปรุงแต่งให้เลวก็ได้
ไม่ปรุงแต่งเลยก็ได้ ถ้า สติ สัมปชัญญะรู้เท่าทันสภาวะที่เกิดขึ้น


แต่ตัวเรานั้น มีหน้าที่คือ จงมีสติ สัมปชัญญะ
กลับมาดูที่จิตตัวเอง ที่เกิดการกระทบทุกๆการกระทบที่เกิดขึ้น


ทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น จิตเราจะละเอียดมากขึ้น เราจะมีความรู้ใหม่ๆที่เกี่ยวกับจิตมากขึ้น
พร้อมๆกับกำลังของสติ สัมปชัญญะและกำลังของสมาธิที่สะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

วันใดเมื่อจิตตั้งมั่น ย่อมรู้ว่าจิตตั้งมั่น กิเลสกระทบปั๊บ รู้ทันที
นี่จิตเรากำลังจะกระทำกุศลหรืออกุศลให้เกิด มันสามารถรู้ได้ทันที
และทำให้เลือกที่จะทำแต่เหตุอันเป็นกุศลมากกว่าอกุศล ภพชาติย่อมสั้นลงไปเรื่อยๆ


จะนำเรื่องของสภาวะจิตมาเล่าสู่กันฟัง
เมื่อปฏิบัติถึงจุดๆหนึ่ง สภาวะที่ทุกคนจะต้องเจอคือ สภาวะจิตคุยกันหรือเถียงกันหรืออะไรก็ได้
แต่เป็นเรื่องของจิต 2 ตัวหรือมากกว่า 2 ตัว ตามแต่กิเลสที่มีอยู่ในจิตของคนนั้นๆสร้างมันขึ้นมา

เป็นสภาวะจิตด้านมืดกับด้านสว่าง
ด้านมืด จะแสดงสิ่งที่อยู่ฝ่าย อกุศลจิตให้เกิดขึ้น
ด้านสว่าง จะแสดงสิ่งที่อยู่ในฝ่ายกุศลจิตให้เกิดขึ้น
ด้านกลางๆ คือ จิตที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่เฝ้าดู

สภาวะนี้ บางคนอาจจะเกิดในสมาธิ เราจะเห็นจิตมันถกเถียงกัน
บางคนสภาวะนี้แสดงออกมาแบบชัดเจนด้านคำพูด เลยเหมือนเป็นคนมีหลายบุคคลิก
ที่มีความคิดขัดแย้งกับตัวเองตลอดเวลา สภาวะนี้จะเห็นได้ง่ายมากๆตามเว็บบอร์ดต่างๆ
ที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่เล่นกับกิเลสของตัวเอง โดยสร้างหลายๆยูสเซอร์หรือสร้างตัวละครขึ้นมา
ตามที่จิตของเขานั้นเป็นอยู่ เป็นมาก สร้างมาก เป็นน้อยสร้างน้อย

เขาสามารถสร้างตัวละครให้อยู่ในฝ่ายดี หรือ โพสแต่สิ่งที่ดีๆ ที่เป็นกุศล
สร้างตัวละครฝ่ายเลว คือ สร้างแต่เหตุอันเป็นอกุศล
เขาสามารถให้ตัวละครของเขาทะเลาะกันเองได้ ว่าตัวเองได้ หรือแม้กระทั่งชมตัวเองก็ได้
สามารถสร้างตัวละครขึ้นมาหลายรูปแบบได้ แต่ละตัวละครแตกต่างกันไป
แต่ที่เขาหนีไม่พ้นคือ กิเลสของเขา เขาชอบแบบไหน กิเลสเขาจะวิ่งเข้าหาสิ่งนั้นๆ
ต่อให้เขาพยายามฝืนใจแทบตาย ที่จะไม่แตะต้อง สุดท้ายเมื่อสติ สัมปชัญญะเขายังมีไม่มากพอ
เขาย่อมแพ้กิเลสที่มีอยู่ในใจของเขามากกว่า

บางคนอาจจะไม่เชื่อว่า สิ่งเหล่านี้มีจริงๆหรือ มีจริงๆ สภาวะจิตแบบนี้มีจริงๆ
คุณมาเจริญสติสิ แล้วคุณจะเห็นสิ่งเหล่านี้

เมื่อคุณสามารถอ่านสภาวะกิเลสของตัวเองได้ คุณก็ย่อมอ่านสภาวะกิเลสของคนอื่นๆได้
นี่เป็นผลของการเจริญสตินะ ไม่ใช่เกิดจากอำนาจวิเศษใดๆ

แต่ถ้าผู้ที่ได้ฌาน อันนั้นจะอ่านใจผู้อื่นออก แต่ไม่สามารถอ่านกิเลสคนอื่นๆออกได้
สัมมาสมาธิ กับ มิจฉาสมาธิ ให้ผลแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ขึ้นชื่อว่า สัมมาทั้งหลาย จะรู้ในตัวในกายและจิตทั้งสิ้น
ส่วนมิจฉานั้นจะตรงกันข้าม คือ ไปรู้นอกตัว ไม่สามารถรู้ในตัวได้ เพราะกิเลสถูกกดข่มเอาไว้
เลยไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงได้ ย่อมตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสต่อไป

แล้วถ้า สัมมา ทำให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป จะรู้ทั้งในตัวและนอกตัว
สุดแต่ว่า ใครจะสร้างเหตุมาอย่างไร การสร้างเหตุล้วนส่งผลมาสู่สภาวะปัจจุบัน

การสร้างเหตุปัจจุบัน ล้วนส่งผลสภาวะในอนาคต
จงเลือกเอาเถิด ว่าควรจะสร้างเหตุอย่างใด เหตุมีผลย่อมมี เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี


วันนี้อาจจะทันบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่เมื่อยอมรับตามความเป็นจริงได้
สักวัน เราต้องทันต่อสภาวะกิเลสที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

นี่คือ ผลดีของการเจริญสติปัฏฐาน ที่เห็นได้อย่างชัดเจนมากๆ
เหมือนน้ำซึมบ่อทราย สักวันจะกลายเป็นแหล่งน้ำใหญ่
มีไว้กินไว้ใช้ไม่รู้หมด และสามารถแบ่งปันให้คนอื่นๆได้




varinne เขียน:

สภาวะจิตถกเถียงกัน เราไม่รู้ว่าเราเคยเจออะเปล่า
แต่ว่าเราไม่รู้เท่าไรเลยว่าเป็นยังไงอะ





ไม่เป็นไรค่ะ สภาวะนี้ต้องเจอกันทุกคน
และก็จะบอกว่า ดีแล้วค่ะที่ยอมรับตามความเป็นจริง ตามที่ตัวเองรู้สึก
ถ้ามีสภาวะนี้เกิดขึ้น มันจะจบไปได้ไวด้วยตัวสภาวะเองค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 15 เม.ย. 2010, 02:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 02:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:

วารินเน่ซัง บอกสิ่งที่เป็นตัวเป็นตน ของตัวเธอเองออกมา

คุณจะให้เธอโกหกแล้วบอกว่าตอนนี้เธอเป็นนางเอก ไม่คิดอะไรอกุศลแม้แต่นิดเดียวน่ะหรอคะ?

วารินเน่ซังอุตส่าห์ไม่โกหกเพื่อสร้างภาพพจน์ของตัวเองให้ดีงามเพื่อพวกเราชาวธรรมะแล้วนะคะ

วารินเน่ซังต้องการบ่งบอกความจริงที่เป็นตัวเธอออกมา
นั้นคือสภาวะของเธอ

สำหรับคุณที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

ไปไกลๆคะ


วารินเน่ซัง ไม่ได้โกหกละจ้า ตัวตนล้วนๆ ละจ้า

เธอแสดงออกมาด้วยความขาดสติเท่านั้นเองละจ้า

เธอไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่สำรอกออกมาเป็นอกุศลจิตจ้า

เธอไหลตามมิจฉาทิฏฐิไปอย่างรื่นเริงเท่านั้นเองละจ้า

varinne เขียน:

ปล. ตอนนี้เราเองก็รอสภาวะที่จะมาสอนให้เราสามารถลดละความอาฆาตแค้นได้น่ะคะ บางทีแล้วบางเหตุการณ์เองก็ต้องการที่จะให้เราเรียนรู้ถึงอารมณ์พวกนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อได้เรียนรุ้กิเลสแล้วก็จะสามารถรู้ได้ว่ากิเลสตัวนี้เป็นยังไงหรืออะไร
แต่ว่า ณ เวลานี้

เราพอใจที่จะได้เป็นตัวของตัวเองคะ

^ ^ อิอิ ขอบคุณอีกครั้ง
ตอนนี้เรารื่นเริงและสะใจมากๆ


และก็เธอยังยินดีพอใจที่จะไหลตามต่อไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ

เป็นบันทึกขาดสติที่สมบูรณ์แบบละจ้า



อนุโมทนาสาธุจ้า :b4:

:b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 02:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


noohmairu เขียน:
kanalove เขียน:

วารินเน่ซัง บอกสิ่งที่เป็นตัวเป็นตน ของตัวเธอเองออกมา

คุณจะให้เธอโกหกแล้วบอกว่าตอนนี้เธอเป็นนางเอก ไม่คิดอะไรอกุศลแม้แต่นิดเดียวน่ะหรอคะ?

วารินเน่ซังอุตส่าห์ไม่โกหกเพื่อสร้างภาพพจน์ของตัวเองให้ดีงามเพื่อพวกเราชาวธรรมะแล้วนะคะ

วารินเน่ซังต้องการบ่งบอกความจริงที่เป็นตัวเธอออกมา
นั้นคือสภาวะของเธอ

สำหรับคุณที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

ไปไกลๆคะ


วารินเน่ซัง ไม่ได้โกหกละจ้า ตัวตนล้วนๆ ละจ้า

เธอแสดงออกมาด้วยความขาดสติเท่านั้นเองละจ้า

เธอไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่สำรอกออกมาเป็นอกุศลจิตจ้า

เธอไหลตามมิจฉาทิฏฐิไปอย่างรื่นเริงเท่านั้นเองละจ้า

varinne เขียน:

ปล. ตอนนี้เราเองก็รอสภาวะที่จะมาสอนให้เราสามารถลดละความอาฆาตแค้นได้น่ะคะ บางทีแล้วบางเหตุการณ์เองก็ต้องการที่จะให้เราเรียนรู้ถึงอารมณ์พวกนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อได้เรียนรุ้กิเลสแล้วก็จะสามารถรู้ได้ว่ากิเลสตัวนี้เป็นยังไงหรืออะไร
แต่ว่า ณ เวลานี้

เราพอใจที่จะได้เป็นตัวของตัวเองคะ

^ ^ อิอิ ขอบคุณอีกครั้ง
ตอนนี้เรารื่นเริงและสะใจมากๆ


และก็เธอยังยินดีพอใจที่จะไหลตามต่อไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆ

เป็นบันทึกขาดสติที่สมบูรณ์แบบละจ้า



อนุโมทนาสาธุจ้า :b4:

:b17: :b17: :b17:


เชิญโง่ต่อไปนะคะคุณ

ในเมื่อคุณกล้าดูถูกการเจริญสติของผู้อื่นเช่นนี้

สติของคุณก็จะขาดตามที่คุณได้ดูถูกผู้อื่นด้วยนั้นแหละคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 02:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 14เมษายน 2553
เดิน 10 นั่ง 1 นาที

ทำช่วงเวลาที่ดึกเกินไปอีกแล้ว ต้องขออภัยจริงๆ...
อากาศร้อนมากมาย ตอนนี้ก็เหงื่อออกแล้ว พัดลมตั้งสามตัว..

วันนี้ที่เดินก็คิดถึงบทสนทนาที่ได้พูดกับเพื่อนไปเมื่อช่วงเที่ยง
พบว่า เพื่อนที่เป็นห่วงเป็นใยเราบางทีเก่งธรรมะมากกว่าเราด้วยซ้ำมั้ง
เพื่อนบอกว่า ไม่ว่าใครก็ต้องการสมาธิแหละ
เราก็คิด.. ว่า เราไม่เห็นต้องการเลย
และที่เราบอกว่าเราไม่ต้องการนั้น เป็นเพราะเราไม่รู้สินะว่าสมาธิมีประโยชน์อย่างไรบ้าง....

สำหรับตอนนี้จะขอสรุปสั้นๆ
ว่าตอนนี้เราได้มองเห็นกิเลสที่เรียกว่า ความแค้น เราได้มองเห็นมันแล้ว
เมื่อรู้จักกิเลสจากการเจริญสติ ก็จะสามารถละกิเลสได้ โดยใช้สติเป็นเครื่องตัดมันออกไป
เรารู้สึกร่มเย็นขึ้น

แต่ปฎิฎานของเรานั้นยังมีอยู่
และด้วยปฎิฏานอันแรงกล้านั้น เราจึงตั้งใจจะสานต่อให้ถึงที่สุด
แม้ว่ามือของเราอาจจะต้องเปื้อนขี้โคลนบ้างก็ตาม

ตอนที่นั่ง เราสัมผัสได้คร่าวๆว่า
เมื่อเราเข้าใจถึงสมาธิและนำสมาธิมาใช้จริงๆจังๆละก็
เส้นทางที่เราจะเดินต่อไปอาจจะไม่มีทางห้วนกลับมาได้อีก...
เราพร้อมหรือยัง ที่จะก้าวข้ามกำแพง(แห่งความกลัว)นั้นไป..

ในตอนนี้ ในใจของเราบอกว่า เราไม่พร้อมเลย
เรายังคงกลัว
อะไรบางอย่างที่ก่อสร้างขึ้นมาเป็นกำแพง
ขังเราไว้อยู่

และยังคงเชื่อว่าอีกไม่นาน เราจะออกจากสภาพแบบนี้ได้

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

---------------------------------

ทิ้งท้าย

ผู้ใดดูหมิ่นการเจริญสติของเรา ผู้นั้นขาดสติชิบหายวายวอดแน่ๆ..
นี่ไม่ใช่การแช่ง
แต่มันจะเป็นความจริง ที่เวรกรรมจะจัดสรรเอง

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 03:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


*รู้เมื่อ เราอ่านสิ่งที่เขาพูดแล้วใจเราไม่กระเพื่อม ไม่ว่าเขาจะว่าหรือจะทำอะไรก็ตาม
*คือไม่ไปโกรธหรือเกลียดเขา
*ส่วนเขายังไม่เลิก นั่นคือ เหตุที่เขาก่อ เขารับผลเองไม่เกี่ยวกับเรา



varinne เขียน:


ทิ้งท้าย

ผู้ใดดูหมิ่นการเจริญสติของเรา ผู้นั้นขาดสติชิบหายวายวอดแน่ๆ..
นี่ไม่ใช่การแช่ง
แต่มันจะเป็นความจริง ที่เวรกรรมจะจัดสรรเอง


อกุศลจิต ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


อนุโมทนาสาธุจ้า :b8:

:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 03:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


noohmairu เขียน:
รูปภาพ


*รู้เมื่อ เราอ่านสิ่งที่เขาพูดแล้วใจเราไม่กระเพื่อม ไม่ว่าเขาจะว่าหรือจะทำอะไรก็ตาม
*คือไม่ไปโกรธหรือเกลียดเขา
*ส่วนเขายังไม่เลิก นั่นคือ เหตุที่เขาก่อ เขารับผลเองไม่เกี่ยวกับเรา



varinne เขียน:


ทิ้งท้าย

ผู้ใดดูหมิ่นการเจริญสติของเรา ผู้นั้นขาดสติชิบหายวายวอดแน่ๆ..
นี่ไม่ใช่การแช่ง
แต่มันจะเป็นความจริง ที่เวรกรรมจะจัดสรรเอง


อกุศลจิต ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


อนุโมทนาสาธุจ้า :b8:

:b4: :b4: :b4:


มายุ่งอะไรกับกระทุ้นี้คะ

เชิญกลับไปนิพพาน ที่คุณบอกว่า ความคิดดับ อะไรของคุณนั้นน่ะ

อย่าเอาน้ำลายเลวๆของคุณมาพ่นยังที่แห่งนี้

หากคุณสามารถดับความคิดได้จริงละก็ เชิญออกไปซะ

ไม่ต้อนรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 เม.ย. 2010, 03:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:


มายุ่งอะไรกับกระทุ้นี้คะ

เชิญกลับไปนิพพาน ที่คุณบอกว่า ความคิดดับ อะไรของคุณนั้นน่ะ

อย่าเอาน้ำลายเลวๆของคุณมาพ่นยังที่แห่งนี้

หากคุณสามารถดับความคิดได้จริงละก็ เชิญออกไปซะ

ไม่ต้อนรับ


ปทปรมะ

"ผู้มีบท (คือถ้อยคำ) เป็นอย่างยิ่ง" , บุคคลผู้ด้อยปัญญาเล่าเรียนได้อย่างมากที่สุดก็เพียงถ้อยคำ หรือข้อความ ไม่อาจเข้าใจความหมาย ไม่อาจเข้าใจธรรม


อนุโมทนาสาธุจ้า :b17:

:b53: :b53: :b53:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร