วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 06:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 16, 17, 18, 19, 20, 21, 22 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 17:04
โพสต์: 47

แนวปฏิบัติ: สวดมนต์
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 20

 ข้อมูลส่วนตัว


พึงระมัดระวังในการเปล่งวาจา

..........วันหนึ่งๆ ถ้าเราคำนวณดูแล้ว จะพบว่าใช้ปากมากกว่าส่วนอื่นใดของ
ร่างกาย ตื่นเช้ามาก็ใช้ปากแล้ว ยิ่งคนที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน พอตื่นเช้าก็ต้อง
ใช้ปากแล้ว ต้องว่าคนนั้นคนนี้อยู่เรื่อยไป เวลาไปทำงานทำการก็ต้องใช้ปาก
อยู่ตลอดเวลา คนที่พูดมากก็เรียกว่าใช้ปากมาก ถ้าพูดน้อยก็ใช้ปากน้อยหน่อย
...........ผู้ใดพูดมาก...ก็อาจผิดพลาดมาก
...........แต่ถ้าพูดน้อยๆ...ก็อาจผิดพลาดน้อย
...........ผู้ใดสำรวมปากไว้มาก...ภัยอันจะเกิดขึ้นก็มีน้อยเป็นธรรมดา
แต่ถ้าหากว่าเราระวังปากของเราไม่ได้ พูดพล่อยๆ พูดเรื่อยๆไป ก็เป็นเหตุให้
เกิดความทุกข์เดือดร้อน คำพูดของคนเพียงคำเดียว อาจจะเป็นเหตุให้เป็นภัย
แก่ชาติ แก่บ้านเมือง แก่ทรัพย์สินเงินทองก็ได้ เพราะคำพูดเพียงคำเดียว
เพราะฉะนั้น
............จึงควรจะได้ระมัดระวังในการที่จะเปล่งวาจาออกไป...

พระพรหมมังคลาจารย์
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ



การกล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต (สุภาษิตา จะยา วาจา)

วาจา อันใดที่ไพเราะอ่อนหวานไม่รำคาญแก่โสต เป็นประโยชน์ทั้งในชาตินี้และชาติหน้า วาจานั้นชื่อว่าวาจาสุภาษิต วาจาสุภาษิตประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ และเว้นจากองค์ ๔ ประการ

ประกอบด้วยองค์ ๕ ประการคือ

๑. กล่าวในกาลอันสมควร

๒. กล่าวแต่คำสัตย์จริงไม่กล่าวคำเท็จ

๓. กล่าวคำอ่อนหวานสุขุมละเอียดไม่หยาบคายให้เคืองใจผู้อื่น

๔. กล่าวคำที่มีประโยชน์ในชาตินี้และชาติหน้า

๕.กล่าวคำที่ประกอบไปด้วยจิตเมตตาไม่มีความโกรธอิจฉาริษยาพยาบาท

วาจาสุภาษิตเว้นองค์ ๔ (วจีทุจริต)ก็คือ

๑. มุสาวาท คือการกล่าวคำเท็จ หลอกลวง ล่อลวง ด้วยเรื่องไม่จริง

๒. ปิสุณาวาท หรือเปสุญญวาท คือการกล่าวถ้อยคำส่อเสียดยุยงให้คนแตกกัน ให้ทะเลาะกัน ให้คนผิดใจกัน ให้คนแตกความสามัคคีกัน

๓. ผรุสวาท คือคำพูดหยาบคาย คำพูดเผ็ดร้อน คำพูดที่ประสงค์ให้ผู้ฟังเจ็บใจ

๔. สัมผัปปลาปะ คือคำพูดเพ้อเจ้อ พูดเหลวไหล พูดไม่เป็นประโยชน์ ไม่มีเหตุผล ไร้สาระ

การกล่าว วาจาสุภาษิตย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้กล่าวและผู้ฟัง นั่นคือยังประโยชน์ให้เกิดทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ยังประโยชน์ให้เกิดทั้งทางโลกียะและโลกุตตระ ฉะนั้นการกล่าว วาจาสุภาษิตจึงเป็นมงคลอันประเสริฐ



***** องค์ประกอบแห่งผรุสวาจา(คำพูดที่หยาบ) *****

๖. ผรุสวาจา (คำพูดที่หยาบ)

ผรุสวาจา คือการกล่าววาจาหยาบ เมื่อแยกบทแล้วได้ ๒ บทคือ

ผรุส แปลว่า อย่างหยาบ

วาจา แปลว่า คำพูด

เมื่อรวมกันแล้ว เป็นผรุสวาจา แปลว่า คำพูดที่หยาบ ได้แก่คำพูดบริภาษ หรือการกล่าววาจาสาปแช่ง ดังวจนัตถะว่า

"ผรุสํ กโรตีติ - ผรุสา"

แปลความว่า คำพูดใด ย่อมกระทำให้เป็นอย่างหยาบ ฉะนั้น การพูดนั้น ชื่อว่า ผรุสา ได้แก่ การด่า และการสาปแช่งต่างๆ อีกนัยยะหนึ่ง ผรุสวาจา แยกออกเป็น ๓ บท คือ

ผร แปลว่า แผ่ไป

อุส แปลว่า เดือดร้อน

วาจา แปลว่า คำพูด

เมื่อรวมกันแล้ว ผรุสวาจา คำพูดที่ทำความเดือดร้อนให้แผ่ไป มีวจนัตถะแสดงว่า

หทยํ ผรมานา อุสติ ทหตีติ - ผรุสา

แปลความว่า คำพูดอันใด ย่อมกระทำความเดือดร้อนให้แผ่ไปในหัวใจ ฉะนั้น คำพูดอันนั้น ชื่อว่า ผรุสา

วาจาที่เป็นอย่างหยาบ ที่เรียกว่า ผรุสวาจานี้ ได้แก่ เหตุแห่งการด่า และการสาปแช่ง ต่างๆ

องค์ประกอบแห่ง ผรุสวาจา มี ๓ ประการ คือ

๑. โกโป มีความโกรธ

๒. อุปกุฏโบ มีผู้ถูกด่า

๓. อกฺโกสนา มีการกล่าววาจา ด่า แช่ง ดังมีคาถาแสดงว่า

ผรุสาย ตโย โกโป อุปกฏฺโฐ อกฺโกสนา

มมฺมจฺเฉกรา ตคฺฆ - ผรุสา ผรุสา มตาฯ

แปลความว่า องค์แห่งผรุสวาจา มี ๓ ประการ คือ มีความโกรธ อย่างหนึ่ง มีผู้ถูกด่าอย่างหนึ่ง มีการกล่าววาจาด่าออกไปอย่างหนึ่ง บัณฑิตพึงทราบเจตนาอย่างหยาบ ที่ทำให้ผู้ฟังเจ็บใจ เหมือนฝีที่กำลังกลัดหนอง ที่ถูกกระทบกระทั่งให้แตก ฉะนั้น ชื่อว่า ผรุสวาจา

การกล่าวถ้อยคำให้สำเร็จเป็นผรุสวาจานั้ยสำคัญอยู่ที่เจตนาอย่างหยาบ อันประกอบในความโกรธ แม้ว่าคำพูดจะเป็นถ้อยคำ ที่เรียบๆสุขุมก็ตาม แต่ถ้ามีเจตนาหยาบแล้ว คำพูดนั้นก็จัดเป็นผรุสวาจาด้วย เช่น ผู้พิพากษากล่าวคำตัดสินชีวิตผู้ต้องหา แม้กล่าวด้วยวาจาที่สุภาพตามปกติ แต่เจตนาที่มุ่งให้ประหารชีวิตมีอยู่ ซึ่งจัดเป็นเจตนาอย่างหยาบ ฉะนั้นวาจาที่กล่าวนั้น จึงสำเร็จเป็นกรรมบทเป็นผรุสวาจาได้

ในอัฏฐสาลินีอรรถกถากล่าวไว้ว่า บิดา-มารดาแช่งด่าบุตร หรือครู อาจารย์ดุว่าศิษย์ ด้วยประสงค์ดีต่อบุตรหรือศิษย์ โดยไม่มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด ฉะนั้นการกล่าววาจาดุนั้นไม่จัดเป็นผรุสวาจา

การกล่าวผรุสวาจานี้ แม้ผู้ถูกแช่งด่าจะมิได้อยู่เฉพาะหน้า หรือตายไปแล้วก็ตาม การกล่าววาจานั้นย่อมสำเร็จเป็นกรรมบท ด้วยเหตุว่า ผู้น้อยกล่าวหาล่วงเกินผู้ใหญ่ เช่น บุตรกล่าวล่วงเกิน บิดา-มารดา หรือศิษย์กล่าวล่วงเกินครู อาจารย์ เป็นต้น ต่อมารู้ตัวกลัวผิด ยังขอขมา อภัยกันได้ แม้ท่านเหล่านั้นมิได้อยู่เฉพาะหน้า หรือจะตายไปแล้วก็ตาม การขอขมานั้น ย่อมสำเร็จประโยชน์ ทำใหโทษนั้นเป็นอโหสิกรรมได้ เมื่อการกล่าวขมา มิต้องกระทำเฉพาะหน้า ยังสำเร็จประโยชน์ได้ ฉะนั้นการกล่าวผรุสวาจา โดยไม่มีผู้ถูกแช่งด่าอยู่เฉพาะหน้า ก็ย่อมสำเร็จเป็นกรรมบทได้ เช่นเดียวกัน

(คัดจาก หนังสือพระอภิธรรมมัตถสังคหะ)



ถาม

ผรุสวาจา หมายความว่าอย่างไร

ตอบ

หมายความว่า การกล่าวหยาบ คำด่า คำแช่ง ได้แก่ ด่าด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ประการ มีด่าว่า ท่านเป็นอูฐ เป็นโค เป็นต้น


ถาม

ผรุสวาจานี้ สำคัญอยู่ตรงไหน ยกตัวอย่าง ประกอบอธิบายด้วย

ตอบ

ตรงเจตนา คือ ถ้าเจตนาหยาบ ได้แก่ เจตนาที่อยู่ในโทสมูลจิต ถึงแม้คำพูดที่พูดออกมานั้นเป็นถ้อยคำสุภาพก็ตาม คำพูดนั้นก็จัดเป็นผรุสวาจาเหมือนกัน เช่น ผู้พิพากษากล่าวคำตัดสินประหารชีวิตผู้ต้องหา แม้ในขณะที่กล่าวนั้นจะใช้วาจาสุภาพ หน้าตายิ้มแย้มก็ตาม แต่เจตนาที่มุ่งหมายให้ประหารชีวิตนั้น จัดเป็นเจตนาอย่างหยาบ ฉะนั้นวาจาที่กล่าวออกมานั้น จึงจัดเป็นผรุสวาจาได้




ถ้าเจตนาไม่หยาบ เจตนาดี ต้องการให้ผู้ฟังได้ประโยชน์ เช่น พ่อแม่ต้องการให้ลูกไม่มีอันตราย เมื่อลูกไม่เชื่อแล้ว กล่าววาจาไม่อ่อนหวาน ไม่น่าฟัง ตัวอย่าง กล่าวว่า "ถ้าเจ้าขืนไป จงถูกกระบือขวิดตาย" อย่างนี้ไม่จัดเป็น ผรุสวาจา เพราะพ่อแม้ย่อมปรารถนาดีต่อลูกเสมอ ไม่ว่ากาลไหนๆ




แม้พระอุปัชฌาย์ อาจารย์ ซึ่งมีความเมตตากรุณาต่อลูกศิษย์ อาจจะกล่าวคำบริภาษรุนแรง ต่อลูกศิษย์ผู้มีนิสสัยว่ายาก อบรมยาก โดยไม่มีความละอาย ไม่มีความเกรงกลัวต่อความผิด ซึ่งบางครั้งถึงกับขับไล่ไม่ให้อยู่ในอาวาสของท่านก็ตาม ก็ไม่จัดเป็นผรุสวาจา เพราะความจริงนั้น ท่านมีจิตหวังดีต่อศิษย์ อยู่เสมอ ปรารถนาอยากให้ศิษย์มีความรู้ความเจริญรุ่งเรือง ทั้งปริยัติและปฏิบัติตลอดจนถึงมรรค ผล นิพพาน




รวมความว่า การกล่าววาจาของผู้ใหญ่ เช่น มารดาบิดา อุปัชฌาย์ อาจารย์ นั้น ย่อมไม่ประกอบด้วยเจตนาร้าย ต่อบุตรธิดาและศิษย์ของตนเลย มีแต่ความปรารถนาดี ทั้งสิ้น คำกล่าวนั้นจึงไม่เป็นผรุสวาจา


ถาม

องค์ของผรุสวาจามีเท่าไร อะไรบ้าง

ตอบ

๑. โกโป
ความโกรธ
๒. อุปกุฏโฐ
บุคคลที่ถูกด่า
๓. อกฺโกสนา
กล่าวคำหยาบนั้น

ถาม
ผรุสวาจามีโทษมาก มีโทษน้อย เพราะเหตุไร

ตอบ
มีโทษมาก เพราะเหตุดังนี้

๑. เพราะผู้นั้นมีคุณมาก
๒. เพราะถึงความเป็นกรรมบถ
๓. เพราะกิเลสแรงกล้า
๔. เพราะความพยายามกล้า

มีโทษน้อย เพราะเหตุดังนี้
๑. เพราะผู้นั้นมีคุณน้อย
๒. เพราะยังไม่ถึงความเป็นกรรมบถ
๓. เพราะกิเลสอ่อน
๔. เพราะความพยายามอ่อน

เครดิต http://www.dharma-gateway.com/dhamma/mi ... _10_06.htm




ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ย่อมที่จะรู้ว่า ตนกำลังกระทำการอันใดให้เป็นที่เดือนร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นหรือเปล่า

.....................................................
เกิดดับ...
[จิ เจ รุ นิ]


จงทำใจให้นิ่ง....แล้วจะได้พบความสงบ เมื่อสงบ ความสุขย่อมจะตามมา....


ราตรีนาน สำหรับคนนอนไม่หลับ
ระยะทางโยชน์หนึ่งไกล สำหรับผู้ล้าแล้ว
สังสารวัฎยาวนาน สำหรับคนพาล
ผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม


คนพาลได้ความรู้มา
เพื่อการทำลายถ่ายเดียว
ความรู้นั้น ทำลายคุณความดีเขาสิ้น
ทำให้มันสมองของเขาตกต่ำไป


คนโง่ รุ้ตัวว่าโง่
ยังมีทางเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่โง่แล้ว อวดฉลาด
นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้

........What Goes Around... Comes Around........


แก้ไขล่าสุดโดย พลบค่ำ เมื่อ 16 เม.ย. 2010, 21:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


อ้างคำพูด:
พฤติกรรมของ Bwitch ที่ต้องการแฉ
viewtopic.php?f=1&t=29616
ได้เวลาประจานคนเลว(+โง่) พฤติกรรมติดผู้ชาย
ให้สังคมทั่วโลกได้รับรู้

กระทู้แฉ สันดานหยาบคายของ Bwitch ภาค 2
viewtopic.php?f=1&t=30713&st=0&sk=t&sd=a&start=90
(หน้าด้าน ไม่อาย ให้มันรู้ไป)

.......................................... :b35: ดีจ้ะ จะได้รู้ว่าใครสันดานหยาบคาย

enlighted เขียน:
เอ้า..

เร่เข้ามา เร่เข้ามา พ่อแม่พี่น้อง
สองมือล้วงกะเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามา
ความลังเลใจ เป้นบ่อเกิด กาลามาสูตรแห่งความ นิวรณ์
เร่เข้ามาเร่เข้ามา
ปูเสื่อ ปูกระดาษหนังสือพิมพ์ หอบหมอน หมอนข้าง มารอดูได้เลย
งานนี้ ไม่ได้โชว์ธรรมดาๆ แบบเมียงู หรือ สาวน้อยตกน้ำ

แต่เป็นการโชว์ การขย้อนพิษ สำรอกออกมา ของสามสาว

จะเปิดโชว์ โคโยตี้สามเกลอขย้อนพิษ
ผู้ได้รับยาพิษแผนโบราณนี้ จะสำรอกขย้อนออกมา โชว์พ่อแม่พี่น้อง
เด็ดสะระตี่ คร๊าบผม

งานนี้ พ่อแม่พี่น้องจะได้พบ และจะได้สัมผัส สามสาวโคโยตี้ของเรา
สามสาว สามวัยแต่โชว์สำรอกไม่ต่างกัน
ไม่มีใครเป็นต่อ ไม่มีใครเป็นรอง คร๊าบพ่อแม่พี่น้อง


โคโยตี้ สามเกลอหัวขวด จาแสดงการสำรอก ให้พ่อแม่พี่น้องได้รับชมเป้นขวัญตา

ด้วยโชว์ชุด ราคะ ตัณหา อรดี

นะบัดนาวด์

เชิญรับชมต่อ ได้เลยคร๊าบบบบบบบ

........................................................
enlighted เขียน:

อิอิ

คุณวัลลัยพร สำรอกความมั่ว และมิจฉาทิฎฐิ เปลี่ยนเป็นคุณบัลลัยพร อย่างเต็มตัวแล้ว
เหมารวมใบไม้ และคนอื่นๆ รวมมั่วไปหมด
สมาชิกที่เข้ามาในเวป ทั้งหมดเป็นคนเดียว แต่ใช้หลายยูสเซอร์ หลายไอพี
เว้นแต่สามเกลอหัวขวด แห่งลานนี้
บันลัยพร คานชวดเลิฟ และก็ วารินทร์ใจแตก



อะฮั้นไม่ขอใช้บริการกูเกิลหรอกฮ่า
อะฮั้นจะบริการเวปหาคู่ ให้นะฮ้า

จุ๊ปส์ๆๆ

............................................................

งานนี้หากความจริงปรากฎเมื่อไหร่
โจทก์เยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอบอก
ระวังยำ teen..ssssssssssssss นะจ๊ะ นะจ๊ะ
แม่สามเกลอหัวขวด

ถ้ากล้า ก็จงออกมาขอขมา
ถ้ายังโง่ดักดานอยู่อีก
ก็แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองมาสิ
ไม่ใช่เที่ยวพูดพล่อยๆ เสร็จแล้วมั่วนิ่มมุดหัวกลับลงนรกเหมือนที่เคยทำมา


...........ว่างัยจ๊าาาาา??!! เมื่อความจริงปรากฏแล้ว??!!

.........................จุ๊ จุ๊ อย่าลืม ดูแลกายใจตนเองก่อนนะจ๊ะ นะจ๊ะ



ว๊าาาา...อีกแระ
ปาหี่ สันดานเก่านี่นา

:b35: :b35: :b35:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


บีวิชสติแตก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่ อิแก่บีวิชตัณหากลับ

ถ้าจะไปดราม่าก็ไปตั้งกระทู้ใหม่ น่าสงสารจริงๆกระทู้เก่าถูกล๊อคไปแล้ว

นี่ท่าจะอาฆาตมากสิท่า ถึงได้เล่นงานไปทั่วราวกับหมาบ้า

ไม่เคยสำรวมกิริยาวาจา

ไปตายซะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: :b17: :b17:
มาส่ง Banner สามเกลอหัวขวดปทปรมะ~โง่ดักดาน~ของแท้และดั้งเดิม

รูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 17:04
โพสต์: 47

แนวปฏิบัติ: สวดมนต์
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 20

 ข้อมูลส่วนตัว


ความสงบ


พากันตั้งใจฝึกหัดปฏิบัติตามความสามารถของตน ถ้าหากคนเราไม่ปฏิบัติธรรมะ ก็จะไม่รู้จักธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ความสุขอันใดจะเสมอเหมือนความสงบไม่มี คำนั้นเป็นคำจริง ถ้าหากปฏิบัติไม่ถึง พอจะเดาๆ คิดนึกเอาเฉยๆ ก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อันความที่จะเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ จัง นี่เป็นของยากมาก ถึงหากเราเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ถ้าหากปฏิบัติลงไปถึงตรงนั้นแล้วจะเชื่อขึ้นมา อ๋อ! ตรงนี้หรอกคำที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้นั้นว่ามีความสุข ความสงบ อย่างนี้เป็นต้น

ความสงบนั้นมันมีจากไหน คนเราโดยส่วนมากมันยุ่งมันวุ่นวายสารพัดทุกสิ่งทุกอย่าง แส่ส่ายไปในที่ต่าง ๆ มันหาความสงบไม่ได้ เหตุนั้นคนที่เชื่อว่า ความสงบเป็นความสุข จึงค่อยมีน้อยนัก เพียงแต่เดาๆ คิดๆ นึกๆ ไปเฉยๆ ที่จะให้ถึงความสงบจริงๆ จังๆ มันต้องละทุกสิ่งทุกประการ อารมณ์ทั้งปวงวุ่นวี่วุ่นวายอยู่ในใจของตนหายหมด ไม่มีเกี่ยวข้อง ถึงซึ่งความสงบจริงๆ จังๆ ถ้ายังไปเกี่ยวข้องเรื่องต่างๆ อยู่มันยังไม่ถึงความสงบขึ้นมาได้ ความตรงนี้ละที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าไม่เชื่ออย่างจริงๆ จัง เราฝึกหัดนี้ฝึกหัดหาความสงบ ทุกอย่างทุกประการที่อบรมมาก็เข้าหาความสงบอย่างเดียว ความไม่สงบมันมีมาก อย่างเราตั้งแต่เกิดขึ้นมาก็หาความสงบไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งๆ ๒๔ ชั่วโมงจะเอาความสงบจริงๆ จังๆ สัก ๕ นาทีก็ยังดี ๑๐ นาทีก็ยังดี นั่นล่ะเห็นแจ้งความจริงของพระพุทธเจ้าที่ทรงเทศนาไว้จริงในใจของเราเลย

การฝึกหัดในทางพุทธศาสนา จะหัดวิธีใดก็ตาม ถึงกัมมัฏฐานจะหัดต่างครูต่างอาจารย์ก็ตาม ก็ลงสู่ความสงบอันเดียวกัน อย่างเขาหัดยุบหนอพองหนอก็ดี สัมมาอรหังก็ดี อานาปานสติ มรณสติอะไรก็ดี คือให้เข้าถึงความสงบนั่นเอง แต่แท้ที่จริงเมื่อถึงความสงบแล้ว ไม่รู้จักความสงบซ้ำอีก ยังหาว่าความสงบเป็นความโง่ไปโน่นซ้ำอีก ความโง่อย่างนี้เคยไหม? หัดให้ถึงความโง่อันนี้ ไม่ถึงความโง่ไม่ได้ความฉลาดหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างให้มันเสียก่อนนั่นแหละ มันไม่ฉลาดก่อนหรอก ความสงบ จึงว่า เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ ที่เราปฏิบัตินั่นจะใช้อุบายแยบคายใดก็เอาเถอะ ที่ฟังเทศน์ฟังธรรมฟังอุบายจากครูบาอาจารย์ ทุกสิ่งทุกประการนั้นเรียกว่า อุบาย ครั้นเมื่อเข้าถึงความสงบแล้วนั้นเป็น แยบคาย

"แยบคาย" กับ "อุบาย" นั้นมันต่างกัน แยบคายนั้นใครสอนไม่ถูกรู้เฉพาะตนเองเป็นแยบคาย เข้าถึงความสงบแล้วนั่นแหละเป็นแยบคายของเรา แยบคายนั้นเมื่อถึงความสงบแล้ว เราจะเอามาสอนคนอื่นว่า ต้องทำอย่างนั้นๆ มันจึงเข้าถึงความสงบ อันนั้นเป็นอุบายอีก แยบคายแล้วมาเกิดเป็นอุบายของคนนั้น สอนคนอื่นต่อไป คนอื่นได้ฟังอีกก็เป็นอุบาย ครั้นเมื่อฝึกฝนอบรมเข้าถึงความสงบจริงๆ จังๆ เป็นแยบคายของแต่ละคน แยบคาย ก็คือ ตัวปัญญานั่นเอง จึงว่าพระพุทธศาสนานี้สอนให้เข้าถึงความสงบเสียก่อน จึงเรียกว่า สมถะ ถ้าไม่เกิดสมถะ ก็ไม่มี ปัญญา สมถะคือความสงบ ความสงบเกิดขึ้นมาในใจของตน มองเห็นหมดทุกสิ่งที่มันไม่สงบนั่น โทษของความไม่สงบเห็นที่นี่ เห็นแจ้งประจักษ์ในใจของตนเลย ชัดขึ้นมา นั่นล่ะคือตัว ปัญญา

ถ้าไม่เข้าถึงความสงบจิตใจยังฟั่นเฝืออยู่ จิตใจยังกระวนกระวายเกี่ยวข้องอยู่ถึงชัดถึงจริงก็ไม่เป็นของชัดด้วยตนเอง มันยังปะปนด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ด้วยกิเลสทั้งปวง จึงต้องกระสับกระส่ายอยู่ร่ำไป เมื่อเข้าถึงความสงบนั่นเป็นต้น ชัดด้วยตนเองเลยที่เดียว อ๋อ!…อย่างนี้หรอกความความสงบ ที่ท่านว่า "ความสงบหาความสุขอันใดเสมอไม่ได้" มันอย่างนี้เอง ถ้าพูดโดยอนุมาน เมื่อไม่มีสิ่งใดๆ ทั้งปวงหมดมาเกี่ยวข้องกับจิตแล้ว มันจะมีอะไรเหลือในที่นั้น? มันก็ไม่มีอะไรน่ะสิ อันที่มีสิ่งต่างๆ เกี่ยวข้องนั้น จิตมีสิ่งต่างๆ นั้นเรียกว่ามันไม่สงบ ไม่เห็นความสงบ สงบจริงๆ นั้น ไม่มีอะไรเลย แต่รู้สึกตนว่าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องในที่นั้น นั่นล่ะความสงบแท้ แต่ว่าอันนี้พูดให้ฟังเพื่อเป็นอุบาย

ถ้าคนใดเข้าถึงความสงบแล้ว เห็นด้วยตนเองเลย คราวนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนไม่ว่าจะพูดจะคุยอะไรต่าง ๆ มองเห็นความสงบอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ในขณะนั้นจะไม่ได้ความสงบอย่างเต็มที่ มันก็คิดถึงความสงบ ระลึกถึงความสงบ เห็นความสงบอยู่ตลอดเวลา หากได้โอกาสเวลาว่างๆ เราทำความเพียร เดินจงกรม นั่งภาวนาก็ดี มันสงบ ยังเหลือแต่จิตอันเดียว ไม่มีสิ่งเกี่ยวข้อง มันก็สุขน่ะซีตรงนั้น มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง มันก็สุขนะซี คนที่ไม่เคยละสิ่งที่เกี่ยวข้อง เลยไม่เห็นความสุขเห็นว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องน่ะเป็นความสุขความสบาย โน่นละไปโน่นอีก มันยากที่รู้จักธรรมเห็นธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า

เหตุนั้นจึงว่าตั้งใจปฏิบัติไปเถิดไม่เป็นไรหรอก เราปฏิบัตินี่ถูกต้องแล้ว ปฏิบัติมุ่งหาความสงบนั้นถูกแล้ว ความไม่สงบมันมากมาย มันเป็นเองหรอก ความไม่สงบน่ะ มันเป็นตามเรื่องตามราวของมัน ของไม่สงบนั่นมันหากมีในนั้น ฉะนั้นสิ่งที่มันสงบน่ะมันหายาก สิ่งที่ไม่สงบน่ะมันหาง่าย ไปที่ไหนๆ ก็พบหรอกความไม่สงบ

เหตุนั้น ในชีวิตอันนี้ ขอให้ได้ความสงบสักพักหนึ่งเถิดในวันหนึ่งๆ ขอให้ได้ความสงบสักพักหนึ่ง ก็นับว่าดีอักโขแล้ว เอาละ

ขอบคุณ http://www.thewayofdhamma.org/page3_1_2/7.html



ความสุขจากการให้อภัย



“ ผู้ที่อ่อนแอไม่สามารถให้อภัยใครได้ เพราะการให้อภัยได้นั้นนับเป็นความเข้มแข็งแท้จริง ” มหาตมะคานธี



มาลองช่วยกันพิจารณาข้อความนี้นะครับ

หาก คุณให้ความรัก ความไว้วางใจ ช่วยเหลือใครสักคน แต่ภายหลังเขากลับไปคบคิดกับคนอื่นให้ร้ายคุณ พูดถึงคุณในทางที่เสียหาย จนคุณต้องได้รับความอับอาย คุณจะให้อภัยเขาคนนั้นได้ไหม

๑. ให้อภัยได้ ถ้าคนนั้นได้รับโทษอย่าสาสมเสียก่อน

๒. ให้อภัยได้ เพราะเป็นสิ่งดีที่จะให้อภัย ดังเช่นที่พ่อแม่ หรือศาสนาสั่งสอนมา

๓. ให้อภัยได้ เพราะจะช่วยให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข

๔. ให้อภัยได้ เพราะเป็นการแสดงออกของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

ท่านผู้อ่านจะเลือกข้อใดที่ตรงใจท่านมากที่สุด

ผม ได้ลองถามนักศึกษาแพทย์ปี ๕ ที่เรียนวิชาจิตเวชศาสตร์อยู่รวม ๓๓ คน คำตอบที่ได้จากลูกศิษย์แพทย์กลุ่มนี้น่าสนใจทีเดียวครับมีตอบข้อหนึ่งอยู่ ๑๓ คน ตอบข้อสองอยู่ ๑๒ คน ตอบข้อสามอยู่ ๕ คน และตอบข้อสี่อีก ๓ คน ที่กล่าวมานี้คงไม่ถึงกับเป็นโพลสำรวจนะครับ เพียงอยากจะให้เห็นว่าคนเราแต่ละคนมีมุมมองในเรื่องการให้อภัยที่แตกต่างกัน มาก

มนุษย์มีแนวโน้มในจิตใจแต่กำเนิดที่จะโต้ ตอบทางลบมากขึ้นต่อคนที่แสดงออกทางลบต่อเรา ธรรมชาตินี้เองเป็นที่มาของการแก้แค้นกันและตอบโต้กันจนไม่รู้จบสิ้น สิ่งนี้เกิดจากอะไร นอกจากมนุษย์แล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นมีพฤติกรรมการแก้แค้นเช่นมนุษย์หรือไม่ จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบปรากฏการณ์ของการแก้แค้น เกิดขึ้นได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูงบางชนิดด้วย เช่น ลิงชิมแปนซี และพบต่ออีกว่า เมื่อการแก้แค้นเกิดขึ้น การกระทำนั้นมักจะมีความรุนแรงมากกว่าที่ถูกกระทำในตอนแรก จึงมีแนวโน้มให้เกิดวงจรการล้างแค้น ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราพบเห็นตัวอย่างการโต้ตอบที่รุนแรงมากมายในสงครามและประวัติศาสตร์ ของมนุษยชาติ การให้อภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยตัดและลดทอนการแก้แค้น ซึ่งมีแต่จะเพิ่มความสูญเสียทั้งสองฝ่าย

พัฒนาการ ของการให้อภัยผู้อื่น เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการทางจิตใจด้วย พบว่า คนเราสามารถให้อภัยได้มากขึ้นตามอายุ คือคนในวัยสูงอายุจะให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายกว่าคนในวัยผู้ใหญ่และมากกว่าคนใน วัยรุ่น ซึ่งน่าจะสะท้อนถึงโลกทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปในคนที่ผ่านชีวิตมานานกว่า มีความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น นอกจากนี้พัฒนาการของการให้อภัยยังมีลักษณะที่เป็นลำดับขั้นเหมือนที่มนุษย์ เรามีพัฒนาการทางร่างกาย จากคลานเป็นนั่ง จนถึงการยืนและเดินตามลำดับ คือใน ขั้นต้น การให้อภัยจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ที่กระทำผิดได้รับการล้างแค้นหรือการลงโทษอย่างสาสมเสียก่อน ขั้นกลาง คือ การให้อภัย เป็นสิ่งควรทำเนื่อง จากเป็นสิ่งที่สังคมและคำสั่งสอนของพ่อแม่หรือศาสนาสอนไว้ ในขั้นสูงคือ การให้อภัยควรทำเพื่อให้เกิดความสงบสุขในสังคมและในขั้นสูงสุดคือเป็นการ แสดงออกของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ( Unconditional love )

ความ จริงแล้วการให้อภัยกลับกลายเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่ให้อภัย เอง เพราะการให้อภัยคือการปลดปล่อยตนเองจากซากอดีตที่เจ็บปวดเพื่อเริ่มต้นชีวิต ใหม่ ดังที่ คอร์รี่ เทน บูม ( Corrie ten Boom ) ผู้ช่วยเหลือชาวยิวจากค่ายกักกันของนาซีได้กล่าวว่า “ การให้อภัยคือการปลดปล่อยนักโทษ และนักโทษผู้นั้นก็คือคุณนั่นเอง ” และจากประสบการณ์ตรงของเธอเองที่ได้บันทึกไว้ว่า “ ใน ท่ามกลางเหยื่อที่ถูกนาซีทำทารุณกรรมนั้น ผู้ที่สามารถสร้างชีวิตใหม่ได้ดีและสามารถดำรงชีวิตที่เป็นสุขได้คือ ผู้ที่สามารถให้อภัยต่อความเลวร้ายเหล่านั้น ”

ผลดี อีกประการคือผู้ที่มักให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายจะมีความเป็นปฏิปักษ์น้อย ไม่หลงตัวเอง ไม่ชอบครุ่นคิดวนเวียน เป็นคนที่มีนิสัยพูดง่าย ไม่เรื่องมาก ทำให้กังวลและซึมเศร้าน้อยกว่า ป่วยเป็นโรคประสาทน้อยกว่า มีลักษณะที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากกว่า การให้อภัยจึงเป็นเสมือนภูมิคุ้มกันโรคทางจิต เพิ่มสุขภาพจิตที่ดีสำหรับตัวผู้ให้อภัยนั้นเอง ผมจึงอยากชวนท่านผู้อ่านได้ทบทวนไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งและตั้งใจอย่างแน่วแน่ เพื่อที่จะช่วยกันปลดปล่อยความเคืองแค้นที่ยังฝังใจ เพื่อให้จิตใจได้รับอิสรภาพและเกิดความสุขสงบทางใจ

การที่จะให้อภัยแก่บุคคลผู้ที่เคยทำให้เราเจ็บปวด แม่ชีเทเรซ่าสอนว่า

“ เพื่อ ที่จะให้อภัยใครบางคนที่ทำให้เราปวดร้าว เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่กับผู้ที่เคยทำให้เราผิดหวัง เพื่อที่จะคงความเสียสละไว้แม้เคยถูกหลอกลวง เหล่านี้แม้หากจะเจ็บปวด แต่เป็นการให้อภัยและเป็นรักที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ”


บทความจากนิตยสารซีเคร็ต


สันติกันเทอญ....

.....................................................
เกิดดับ...
[จิ เจ รุ นิ]


จงทำใจให้นิ่ง....แล้วจะได้พบความสงบ เมื่อสงบ ความสุขย่อมจะตามมา....


ราตรีนาน สำหรับคนนอนไม่หลับ
ระยะทางโยชน์หนึ่งไกล สำหรับผู้ล้าแล้ว
สังสารวัฎยาวนาน สำหรับคนพาล
ผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม


คนพาลได้ความรู้มา
เพื่อการทำลายถ่ายเดียว
ความรู้นั้น ทำลายคุณความดีเขาสิ้น
ทำให้มันสมองของเขาตกต่ำไป


คนโง่ รุ้ตัวว่าโง่
ยังมีทางเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่โง่แล้ว อวดฉลาด
นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้

........What Goes Around... Comes Around........


แก้ไขล่าสุดโดย พลบค่ำ เมื่อ 16 เม.ย. 2010, 21:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Bwitch เขียน:
:b17: :b17: :b17:
มาส่ง Banner สามเกลอหัวขวดปทปรมะ~โง่ดักดาน~ของแท้และดั้งเดิม

รูปภาพ


มามะ นังแก่ตัณหากลับ

เข้ามาๆ
กระทู้ดราม่าระหว่าง kanalove VS Bwitch
viewtopic.php?f=1&t=30879

ถ้ากล้านะ อิอิ

จัดที่ไว้ให้แล้ว


แก้ไขล่าสุดโดย kanalove เมื่อ 16 เม.ย. 2010, 21:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


kanalove เขียน:
นี่ อิแก่บีวิชตัณหากลับ

ถ้าจะไปดราม่าก็ไปตั้งกระทู้ใหม่ น่าสงสารจริงๆกระทู้เก่าถูกล๊อคไปแล้ว

นี่ท่าจะอาฆาตมากสิท่า ถึงได้เล่นงานไปทั่วราวกับหมาบ้า

ไม่เคยสำรวมกิริยาวาจา

ไปตายซะ



เงามัจจุราชมาเยือนแกแล้ว นาง kan-a-love ณ ลึกสุดนรก
กระทู้ใครหรือจ๊ะ ถูกล็อค ยังเห็นคนบ้าอารมณ์ร่านพุ่งพล่านยังไม่ทันมันเลยอ่ะ คิกคิก

สำรวมเหรอ ต้องใช้กับคนอย่างแกด้วยเหรอจ๊ะ 555++
เด๋วจิกเรียกคนอื่น ว่า ไอ้ อี นัง (ผู้ดีเหลือเกินนะจ๊่าาาาา นางนรกของพ่อแม่!!!!)
สำรอกออกมาเลยจร้า...เด๋วคงกระอักพิษตัวเองตาย คิกๆๆๆๆๆ


ตรงนี้มันกว่ามั้งจ๊ะ
เชิญเธอกระอักพิษไปคนเดียวเหอะจร้าาาาา
ทำอย่างที่เคยทำนะจ๊าาาาาาา
จะกี่กระทู้ก็ได้จร้าาาาาาา
ไม่เคยวอรี่อยู่แล้ว
เด๋วคงดีขึ้นนะจ๊าาาาาาา
ถ้าไม่ดี ก็กินยาเขย่าขวดซะหน่อย
แล้วค่อยมุดหัวลงนรกนะจ๊าาาาาาาา

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 17:04
โพสต์: 47

แนวปฏิบัติ: สวดมนต์
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 20

 ข้อมูลส่วนตัว


สันติกันเถอะ ทั้งสอง=_=


ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน (ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต)


ใครคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน
ฉะนั้นจิตจึงเป็นผู้สร้างและผู้รับ การกระทำใดๆจึงเนื่องด้วยจิตและจิตก็เป็นผู้รับผลของการกระทำนั้นๆ (การทำดีจึงย่อมได้ดีและการทำชั่วย่อมได้ชั่ว ซึ่งต่างกับทางโลกโดยส่วนใหญ่มักเข้าใจเอาเองว่า ผลของการกระทำมีวัตถุเป็นเครื่องหมาย)

การปฏิบัติธรรมก็คือการฝึกจิตให้เกิดปัญญา(แตกต่าง กับทางโลกฝึกคนให้มีปัญญาเนื่องด้วยสมอง) โดยปกติธรรมดาที่จิตยังไม่เกิดปัญญาความรู้แจ้ง จึงจำเป็นต้องอาศัยอยู่ด้วยตัณหาอุปาทานในทุกๆๆขณะจิต (แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี) หรืออยู่ด้วยความเป็นอัตตา (จิตที่ยังถูกครอบงำด้วยโมหะเนื่องด้วยว่ายังไม่เกิดปัญญา) หากผู้ปฏิบัติได้ปัญญาเห็นแจ้งย่อมเข้าใจความหมาย ของคำว่าอัตตาและอนัตตาอย่างหมดจด หมดความสงสัย(อัตตาและอนัตตามิใช่รู้ได้ด้วยอุปมาอุปไมย ในความเป็นรูปร่างสัณฐานใดๆ) เพราะคำว่าอัตตา และอนัตตา เป็นภาษาสมมุติซึ่งมีสัจจะหรือปรมัตถ์รองรับ (เป็นพุทธบัญญัติ เป็นนามธรรมที่หยั่งรู้ได้ด้วยปัญญา) ไม่ว่าจะเป็นความดีความชั่ว ความถูกความผิด ผู้มีสติปัญญาแนวพุทธ(วิปัสสนาปัญญา) ย่อมรู้และเข้าใจได้เองด้วยความรู้ ที่เนื่องด้วยความประพฤติตามธรรมอันถูกต้อง มิใช่จากบทความ จากการฟังหรือความคิด จะอย่างไรก็ตามแม้บทความหรือความคิด เราท่านทั้งหลายจะเข้าใจได้และสื่อความหมายได้อย่างถูกต้องตรงตามความเป็น ธรรมดาของธรรมชาติได้อย่างแท้จริง และให้ความหมายได้อย่างถูกต้องในธรรมทั้งหลายทั้งปวง แต่นั่นมิใช่ความจริงอันรู้ได้ด้วยปัญญาในปรมัตถ์ธรรม แต่เป็นเพียงสังขารที่ปรุงแต่ง ด้วยจินตนาการณ์อันกว้างไกลอย่างแหลมคม (แต่ความรู้ยังประกอบด้วยตัณหาอุปาทานด้วยศรัทธายังเป็นอัตตาอยู่) ได้ตรงต่อความเป็นจริงมีจริง ความคิดเมื่อคิดได้ว่าถูกต้องตามธรรม
(จะตรงจริงหรือไม่จริงก็ตามโดยปรมัตถ์) ย่อมเกิดความปิติปลาบปลื้มทำให้เกิดความหลงผิดได้ และยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ดังกล่าว แต่ถ้าหากท่านนักปฏิบัติมีสติมีปัญญาท่านย่อมเข้าใจในความถูกและความผิดได้ ว่าคือสังขาร (ที่จะให้ถูกต้องอย่างแท้จริงก็คือความมีสติระลึกได้และทำความรู้ด้วย สัมปชัญญะหรือปัญญา สามารถกำหนดรู้ได้ในขณะปัจจุบันนั้นๆ ที่เข้าใจว่าถูกหรือผิดก็ตาม) มองเห็นสภาพทุกขัง อนิจจัง และอนัตตา ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง (ต้องทำความรู้แจ้งตรงต่อความเป็นจริงให้ได้ไม่ใช่อุปมาอุปไมยด้วยความเข้า ใจ) หากไม่สามารถทำความรู้ได้ทันในสังขารที่ปรุงแต่ง ท่านก็อาจจะจับอารมณ์ของความปลื้มปิตินั้นได้ว่าเป็นสังขารที่ปรุงแต่งจิต และมีสติสัมปชัญญะหรือปัญญากำหนดรู้ได้ในอารมณ์อันปิตินั้นได้เช่นกัน
การประพฤติดังกล่าวก็เพื่อให้จิตรู้ จิตตื่นและเบิกบานเมื่อสามารถปล่อยวางสังขารลงได้ตามกำลังความประพฤติ ปฏิบัติ เราท่านทั้งหลายย่อมเข้าใจธรรมชาติที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้นั้นได้ และย่อมเข้าใจในพุทธดำรัสที่ว่า (ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต)


พระพุทธนี้หมายถึงผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เปรียบได้เหมือนกับดอกบัว ที่บานแล้วบานก็เพราะว่าได้รับแสงแดดชาวพุทธเราก็เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิก บานก็เพราะว่าได้รับธรรมะทีแรกก็เป็นธรรมะจากภายนอกที่เราเรียกว่าเสียงจาก ภายนอก ก็คือธรรมะจากพระพุทธเจ้าธรรมะจากครูบาอาจารย์ดูว่าธรรมะจากหนังสือจากตำรา จากหนังสือจากพระไตรปิฎก แต่ว่าธรรมะพวกนี้ภายหลังก็จะปลุกธาตุรู้ในตัวของเราให้ตื่นขึ้น แล้วก็จะกลายมาเป็นธรรมะภายในใจแล้วธรรมะภายในใจนี่แหละที่ทำให้เกิดการตื่น แล้วกลายเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานมนุษย์เราก็เปรียบเหมือนกับดอกบัวนะ มีทั้งดอกบัวที่อยู่ในน้ำ ที่อยู่ปริ่มน้ำ ที่อยู่เหนือน้ำ แล้วก็ยังมีดอกบัวที่บานออกมาแจ่มแจ้งเราพิจารณาดอกบัวในสระ ดอกบัวในสระเรียกว่าเป็นครูที่สอนธรรมะเราเมื่อดอกบัวบานความสว่างความแจ่ม แจ้งก็เกิดขึ้นกับเราที่เป็นผู้เห็นเวลาเห็นดอกบัวบานแล้วใจก็สบายแล้วเราก็ เบิกบานไปด้วยจิตใจก็เบิกบานไปด้วย....................................





ธรรมเทศนา
โดย
พระอาจารย์ ไพศาล วิสาโล


รูปภาพ



เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่เนื่องจากพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ทรงเกิดความท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรมโปรดมหาชน ต่อมาท่านได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง แล้วทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัว ๔ เหล่า ดังนั้นแล้วจึงดำริที่จะแสดงธรรมเพื่อมวลมนุษยชาติต่อไป
บัว ๔ เหล่า ได้แก่
บัวหลวง
๑.พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)
๒.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปจิตัญญู)
๓.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)
๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

.....................................................
เกิดดับ...
[จิ เจ รุ นิ]


จงทำใจให้นิ่ง....แล้วจะได้พบความสงบ เมื่อสงบ ความสุขย่อมจะตามมา....


ราตรีนาน สำหรับคนนอนไม่หลับ
ระยะทางโยชน์หนึ่งไกล สำหรับผู้ล้าแล้ว
สังสารวัฎยาวนาน สำหรับคนพาล
ผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม


คนพาลได้ความรู้มา
เพื่อการทำลายถ่ายเดียว
ความรู้นั้น ทำลายคุณความดีเขาสิ้น
ทำให้มันสมองของเขาตกต่ำไป


คนโง่ รุ้ตัวว่าโง่
ยังมีทางเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่โง่แล้ว อวดฉลาด
นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้

........What Goes Around... Comes Around........


แก้ไขล่าสุดโดย พลบค่ำ เมื่อ 16 เม.ย. 2010, 22:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พลบค่ำ เขียน:
สันติกันเถอะ ทั้งสอง=_=


ที่รักคะ นี่แหละตัวทดสอบกิเลสของเรา

อิอิ ^^~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 21:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองเอาไปต้มกินนะจ๊าาาาา
แก๊งค์สามเกลอหัวขวด~ณ ลึกสุดนรก


ธรรมปัจเวกขณ์
ประจำวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๒๕

ขอแนะนำคำว่า ปทปรมะ
คือคำว่า ปทปรมะ
เราเข้าใจกันผิดๆ เพี้ยนๆกันอยู่เยอะ
โดยเข้าใจเอาตัวความหมายต้น
ปทปรมะ ความหมายต้น
หมายความว่า
คนที่ไม่เจริญเลย
หรือคนที่ สอนไม่ได้แล้ว
ที่เขาสอน ไม่ได้แล้วนั้น
ก็เพราะเขาโง่นั้นหนึ่ง โง่จริงๆ
สอนยังไงก็ไม่รู้เรื่อง โง่ พูดกันก็ ไม่รู้เรื่อง
แนะนำ ยังไง ก็ทำตามไม่ได้
นั่นเรียกว่าคนโง่จนสุดที่ ปทปรมะ
ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้นั้น หนึ่ง---

สอง เป็นคนฉลาด ฉลาดเฉลียวทุกอย่าง
แต่มีกิเลส
ไม่พยายามละกิเลส
มีแต่ความฉลาด
ไปหากิเลสให้แก่ตัวเอง สะสมหากิเลสให้แก่ตัวเอง
แม้แต่เรียนศาสนา เรียนพระธรรม ของพระพุทธเจ้า
เรียนมาก รู้มาก ท่องจำได้ สดับมาก
ท่องจำคล่องปากขึ้นใจ สอนคนอยู่ด้วยซ้ำ
แต่เสร็จแล้ว ตัวเองก็ไม่ได้ธรรมะ
ไม่ได้เอามาประพฤติปฏิบัติให้เจริญ
ซ้ำมิหนำ กลับให้ตัวเองนั้น
เอากิเลส เข้าตัวเอง ซ่อนแฝงเล่ห์กล
ดังนี้ เป็นปทปรมะ ที่ประเภท
ที่ พระพุทธเจ้า ท่านอธิบายไว้

แต่ส่วนประเภทที่บอกว่าโง่อธิบายไม่ได้ สอนไม่ได้นั้น
ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าอธิบายไว้
แต่เห็นแต่เกจิอาจารย์ รุ่นอื่นๆ อธิบายไว้

แต่ในพระไตรปิฎกแล้ว
ปทปรมะ นั้นคือ ผู้ฉลาด
ท่องพระพุทธพจน์ได้มาก จำพระพุทธพจน์ได้มาก
สดับมาก จำได้คล่องปาก ขึ้นใจ
และสอน ประกาศธรรมอยู่
และก็มีข้อแม้ว่า ที่เรียกว่า ปทปรมะ
นั้นคือ แต่ไม่บรรลุธรรมเลย ไม่ว่าชาติใดๆ
ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นๆ---

ทีนี้ท่านบอกว่า
ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นๆ
ถ้าเราเข้าใจกำกวม
เข้าใจว่า เป็นชาติ คือการตายจาก ชาตินี้ ก็ถูกต้องด้วย
คือเกิดมา ชาตินี้ มันไม่ได้ธรรมะอะไร เลย
ชาตินี้ มันไม่ได้บรรลุ
มันเอาแต่ กิเลสใส่ตัวเอง
ดังที่ได้กล่าวแล้ว แม้จะเรียนมาก รู้มาก
อย่างไรก็ตาม จะมีมากยังไงก็ตาม
จะเปรียญ ๙ ประโยค
ปริญญาเอก ของศาสนาพุทธ ก็ตาม
แล้วมันก็มีแต่กิเลส ให้ตัวไปทั้งชาติ แล้วตายไป
บุคคล ผู้นั้น ก็ชื่อว่า ปทปรมะ จริงนะ---

แต่ทีนี้ถ้าเผื่อว่าเราเอง
ไปรอเอาอย่างนั้น
ชาติหนึ่งทั้งชาติ มันไม่เป็นการปฏิบัติ

ทีนี้ถ้าเราเข้าใจชาติ ถือชาติเกิด ของจิต
แล้วก็ เราพยายามที่จะเรียนรู้ให้ถี่ให้ละเอียด
แล้วแต่ละขณะ แต่ละเกิด
การเกิด ของจิต
จิตเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
พฤติกรรม ของมนุษย์
ถ้าแต่ละพฤติกรรม
กายกรรมของเราก็เจริญได้ละกิเลสได้
เพราะเราหยั่งรู้ว่า นี่เป็นกายกรรม
ที่เป็นไป เพื่ออกุศล เป็นไปเพื่อบาป
เป็นไปเพื่อ สะสมกองกิเลส เป็นไปเพื่อสะสมทุกข์
เราก็เลิกลดละ กายกรรมนั้น
วจีกรรมก็ เหมือนกัน
โดยเฉพาะยิ่ง มโนกรรม เราก็สามารถ
ที่จะอ่านรู้ แล้วก็ควบคุม ให้ชาติของจิต แต่ละชาติ
แต่ละดวง แต่ละขณะ ที่ให้เกิด เป็นชาติ
ที่เราละกิเลส ลดกิเลสได้ มากที่สุด
หรือว่า
ให้เกิดเสมอ นั่นแหละ
ตัวที่เกิดนั้น คือตัวที่ ไม่ปทปรมะ

ตัวใด ที่ไม่เกิด ตัวใดที่ สั่งสมกองกิเลส
ตัวใดที่สั่งสมทุกข์ ตัวนั้นของจิต เป็นปทปรมะ

ขอให้เข้าใจ ให้ละเอียด
แล้วเราต้อง พยายามสั่งสม
พยายามที่จะปรับปรุง
ให้ตัวเราเองนี้ มีความเจริญ
อย่าเป็น ปทปรมะ อย่าให้เป็นคนที่ไม่เจริญในจิต

พยายาม ให้เจริญ ให้มาก เท่าใดๆ
ชีวิตของเราทั้งชีวิต ก็จะเป็น ผู้ที่เจริญ
ในธรรม มากเท่านั้นๆ นะ----

ถ้าผู้ใดมีปัญญาอย่างนี้ แล้วพิจารณาอย่างนี้
ผู้นั้นก็จะละเอียดสุขุมประณีต
เข้าถึงปรมัตถ์ แล้ว
จะเป็น ผู้ที่ไม่เป็น ปทปรมะ

ถ้าเรามี อินทรีย์พละ และปฏิบัติถูกทาง
ถูกธรรมเพียงพอ ขอยืนยัน

http://www.asoke.info/09Communication/D ... _2525.html
รูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 17:04
โพสต์: 47

แนวปฏิบัติ: สวดมนต์
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 20

 ข้อมูลส่วนตัว


ทะเลาะกันแล้วได้่อะไีร เถียงกันแล้วได้อะไีร

มีคนสรรเสริญเยินยอเหรอ?

หรือเพียงเพื่อความพึงใจของตน...


สันติกันเทอญ ที่นี้บรอดธรรมะมิใช่หรือ

น่าจะสงบกันนะ....


เหมือนเวลาเข้่าวัดวา เรายังต้องสำรวมกายกริยาวาจา

ทำไมถึงไม่พึ่งใจคิดว่า ที่นี้ก็เป็นวัดเช่นกันเหล่า?....


สันติกันเทอญ....

.....................................................
เกิดดับ...
[จิ เจ รุ นิ]


จงทำใจให้นิ่ง....แล้วจะได้พบความสงบ เมื่อสงบ ความสุขย่อมจะตามมา....


ราตรีนาน สำหรับคนนอนไม่หลับ
ระยะทางโยชน์หนึ่งไกล สำหรับผู้ล้าแล้ว
สังสารวัฎยาวนาน สำหรับคนพาล
ผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม


คนพาลได้ความรู้มา
เพื่อการทำลายถ่ายเดียว
ความรู้นั้น ทำลายคุณความดีเขาสิ้น
ทำให้มันสมองของเขาตกต่ำไป


คนโง่ รุ้ตัวว่าโง่
ยังมีทางเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่โง่แล้ว อวดฉลาด
นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้

........What Goes Around... Comes Around........


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2010, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พลบค่ำ เขียน:
ทะเลาะกันแล้วได้่อะไีร เถียงกันแล้วได้อะไีร

มีคนสรรเสริญเยินยอเหรอ?

หรือเพียงเพื่อความพึงใจของตน...


สันติกันเทอญ ที่นี้บรอดธรรมะมิใช่หรือ

น่าจะสงบกันนะ....


เหมือนเวลาเข้่าวัดวา เรายังต้องสำรวมกายกริยาวาจา

ทำไมถึงไม่พึ่งใจคิดว่า ที่นี้ก็เป็นวัดเช่นกันเหล่า?....


สันติกันเทอญ....


สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม :b48:

เพราะมีตัวตน จึงไปยึดมั่นกับการกระทำทั้งฝ่ายดีและไม่ดี



อนุโมทนาสาธุจ้า
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2010, 00:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โอ้ อนิจจา ข้องจิต กลัวผิดใจกัน

ก็เพราะว่า จิตมันข้อง

อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2010, 00:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอมาที่กระทู้ตัวเองอีกที ก็พบว่ามีคนตอบให้เยอะจริงๆเลยคะ = ="
เราคิดว่าเราตอบไม่ไหวแน่ๆเลย แค่จะอ่านสงสัยต้องกินเวลานานแน่ๆ


อ้างคำพูด:
ผู้มีสติย่อมไม่มีคำพูดที่ดูแคลนผู้อื่น
ผู้มีสติย่อมไม่หมิ่นเกียรติผู้อื่น
ผู้มีสติย่อมพูดแต่สิ่งดีเป็นมงคลแก่ผู้อื่น
และผู้มีสติย่อมรับรู้ว่าตนกำลังทำอะไร

เป็นผุ้ปฏิบัติธรรมอันดีแก่กันในทางธรรม ใยต้องมาเถียงไปมาให้ ผู้อื่นดูแคลน
หากต่างฝ่ายต่างละ ต่างลด จะมิจบหรือ?

ไม่ต้องสนว่าใครเริ่มก่อน แต่เลิกแล้วต่อกันเสียเถอะ เป็นผู้ที่เจริญแล้ว น่าจะได้ "สติ" กันไม่มากก็น้อย


สาธุคะ เพื่อนรัก
เห็นเหย้วๆ แบบนั้นแต่ใจเป็นกุศลมากเลยนะนี่เพื่อนเรา

ลำบากใจเหมือนกันนะคะที่มีบุคคลที่เข้ามาทำให้กระทู้นี้เละด้วยกิเลสของเขา

แต่ขอดั่งใจเราเป็นใบบัวพ้นน้ำ น้ำก็ยากที่จะสัมผัสเราได้คะ

สาธุกับบทความที่พี่walaiporn มาโพสคะ
ทำให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมกระทู้นี้สามารถเก็บเกี่ยวความรู้ได้เพิ่มมากขึ้น


walaiporn เขียน:
อ้อ .. ตรงนี้สำหรับคนที่ชอบปรุงแต่ง ยามตากระทบรูป

คำสรรเสริญ เยินยอ คือ ยาพิษ หากเสพเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

คำพูดนี้ ให้น้องๆที่เข้ามาอ่าน และอาจจะมีการโพสข้อความธรรมะในบอร์ด

เมื่อมีคนไปกดอนุโมทนาให้กับเขา นั่นคือ หนึ่งคำสรรเสริญ
ใจเขาจะได้ไม่ฟู ไปปรุงแต่งว่า มีคนเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาโพส


เพราะมีบางคนไปกดอนุโมทนา เพื่อให้รู้ว่า เขาได้เข้ามาอ่านข้อความ

อีกอย่าง เขาจะได้ไม่ไปยึดติดกับการที่มีคนมากดอนุโมทนาให้
เพราะถ้าครั้งต่อไป เขามาโพสแล้ว ไม่มีคนมากดให้ ใจเขาจะได้ไม่ฝ่อ


ดีไม่ดี ไปสร้างยูสเซอร์ขึ้นมาใหม่ แล้วไปกดอนุโมทนาให้กับตัวเอง
นี่คือ การเพิ่มกิเลสให้กับตัวเอง หาใช่การทำให้กิเลสเบาบางลงไปไม่

[/color][/b]


อันนี้เรารู้สึกได้น่ะคะ ตอนแรกที่ลงก็ไม่ค่อยได้รับความสนใจเลย ก็เลยท้อใจนิดๆ แต่พอพี่บอกว่า ดูจำนวนคนอ่านสิ เยอะดีนะ เราก็คิดว่า ทำไมคนอ่านไม่มาแสดงตัวละ..
แล้วเราก็นึกขึ้นได้จากนิทานเรื่องหนึ่ง
ที่เล่าว่า มีกระรอกอยู่ตัวหนึ่งใช้พิณที่ประดิษฐ์จากไม้สนมาขับขานบทเพลงในยามดึกทุกวันๆ ด้วยเสียงดนตรีอันไพเราะที่กระรอกรู้ดีว่ามันเพราะจริงๆ แต่ทำไปหลายๆคืนก็ไร้วี่แววคนฟัง กระรอกจึงรู้สึกท้อใจและทิ้งพิณนั้นไป
กล่าวถึงอีกด้านหนึ่งที่จะมีหนูนาสองแม่ลูกจะมาคอยฟังเพลงที่กระรอกขับขานในเวลานี้ทุกวัน หากแต่วันนี้ทั้งสองจะไม่ได้ยินเสียงบทเพลงจากกระน้อยอีกแล้ว ทั้งสองแม่ลูกไม่รู้ว่าเพลงอันแสนไพเราะหายไปได้อย่างไร และไม่รู้ว่าจะไปหาตามฟังได้ที่ไหนอีก

ในฐานะที่เรามีความฝันอยู่อย่างหนึ่ง หากว่าใจเราอ่อนแอกับเรื่องแค่นี้เราคงไม่อาจก้าวหน้าต่อไปได้
ก็เลยตั้งใจจะลงบันทึกอย่างต่อเนืองคะ


walaiporn เขียน:
ในการปฏิบัติ ควรปฏิบัติตามแนวทางของตัวเองที่ตัวเองถนัด ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อใครสักคน
เหมือนเดินจงกรม ทำไมจึงรู้สึกเหมือนกับหุ่นยนต์ เพราะการทำตามใจคนอื่นๆ
แต่ไม่ใช่แบบที่ตัวเองถนัด มันก็เลยเหมือนหุ่นยนต์

[/color][/b]

เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้นน่ะคะ พออ่านของพี่แล้วจึงเข้าใจว่ามาจากสาเหตุแบบนั้นนี่เอง

ยังไม่ได้ทำกรรมฐานเลย ดึกอีกแล้วละสิ..

อิอิ.. ^^~

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 16, 17, 18, 19, 20, 21, 22 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร