วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 03:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 17, 18, 19, 20, 21, 22, 23 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2010, 01:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 16 เมษายน 2553
เดิน 6 นั่ง 1

ใจจริงแล้วคิดว่าวันนี้ไม่อยากจะทำเลย ดึกแล้ว แต่คิดไปคิดมาเพราะพี่บอกว่าควรเดินให้ต่อเนือง
ก็เลยต้องทำ

อย่างวันนี้เดินแล้ว พิจารณาไป
แล้วจิตก็ได้สลัดซึ่งความกังวลและความกลัวออกไป
และคิดว่า ชีวิตต่อจากนี้จะให้สติเป็นผู้นำทาง

คงต้องเจริญสติให้มากกว่านี้

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2010, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 17:04
โพสต์: 47

แนวปฏิบัติ: สวดมนต์
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 20

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าทำโดยปล่อยวางทุกสิ่งจะดีมากเลย

ค่อยๆเดิน ค่อยๆพิจารณา

เดินโดยไม่ตกในห้วงความคิด แต่ให้ตกอยู่ห้วงของจิตที่สงบ จะดีเยี่ยม

สิ่งใดดีก็ทำต่อไป...การทำดีนั้นทำยาก การทำเลวสิง่ายกว่า

ทำดี มิได้ตกที่ผู้ใด แต่ตกอยู่ตนเอง

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

การปฏิบัตินั้นไม่ใช่เข้าวัด ใส่บาตร ฟังเทศน์ ทำวัตรสวดมนต์เท่านั้น

ปฏิบัติที่แท้จริงนั้นคือ การพูด การคิด การกระทำ ให้อยู่ในทำนองคลองธรรม สำหรับบางคนไม่เคยเห็นพระ แต่การพูด การคิด การกระทำ แล้วมีโทษน้อยๆ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ จิตใจบริสุทธิ์นั่นแหละกรรมดี

ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า
เมื่อใจดี ใจบริสุทธิ์
พูดก็ดี ทำก็ดี ดีไปหมด มีความสุข


ในความเป็นชาวพุทธ ต้องมีสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ เชื่อหลักวัฏฏสงสารมีจริง เชื่อหลักกฎแห่งกรรม เชื่อหลักอริยสัจ 4

บางคนที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ แต่ยังใจร้อน เข้าใจหลักธรรมดีพอสมควร และพยายามปฏิบัติธรรมอยู่ แต่สติปัญญาที่จะคุ้มครองอารมณ์ก็ยังไม่เพียงพอ เลยกระทบคนอื่น รู้สึกตัวอยู่ว่าผิด พยายามแก้ไขอยู่ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติคงจะแย่กว่านี้มาก บุคคลประเภทนี้ควรแก่การยกย่อง กำลังพัฒนาตน ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ แต่คนอื่นอาจจะมองไม่เห็น เพราะกระทบอารมณ์และกำลังถูกดูหมิ่น ดูถูก นินทา อยู่

บางคนตั้งแต่กำเนิดมีนิสัยเรียบร้อย ใจเย็น ใจดี อยู่ในสังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่ค่อยกระทบกับใคร ไม่ได้ศึกษาธรรม ก็เหมือนรักษาศีลอยู่ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานบางตัวก็เหมือนกัน เช่น หมา นิสัยดี ว่าง่าย สอนง่าย เรียบร้อย น่ารัก
มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง สมัยก่อน มีคุณนายผู้ดีคนหนึ่ง นิสัยดี ใจดี ใจมีเมตตา ใครมีทุกข์ลำบาก ก็ช่วยเหลือทุกคน ชาวบ้านต่างก็ชม สรรเสริญว่า คุณนายใจดี วันหนึ่งสามีเสียชีวิตไป เด็กรับใช้นึกสงสัยขึ้นมาว่า นายของเราเป็นคนดีจริงหรือเปล่า เลยลองดู ไม่เชื่อฟัง และด่านาย คุณนายใจดีแสดงอาการโกรธ โมโห เลยเข้าใจว่า คุณนายทำตัวเป็นคนดี ใจดีได้เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีเงินมีทองมากมาย สามีรัก ใครๆ ก็เอาใจดูแล ชื่นชม สรรเสริญ

เราจะรู้จักตัวเองได้เมื่อเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ทำใจได้ดีจึงจะเป็นคนดีจริง ถ้าพูดถึงตามหลักทั่วๆ ไปแล้ว การปฏิบัติธรรมเป็นประจำดีกว่า เพราะการฟังธรรมตามกาล การสนทนาธรรมตามกาล เป็นมงคลอันยิ่งใหญ่ เพราะมีโอกาสที่จะมีความเห็นถูกต้อง มีโอกาสที่จะอบรมสัมมาทิฏฐิ กิเลสหรืออารมณ์ร้อนเป็นคนละเรื่องกัน

สรุปแล้ว คนที่ไม่ปฏิบัติ แต่ใจดีแล้ว ก็น่ายินดีอนุโมทนา คนที่ชอบเข้าวัด ฟังเทศน์ ปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนา น่าสรรเสริญทั้ง 2 ฝ่าย

ธรรมเป็นสิ่งอัศจรรย์ มหาโจรองคุลีมาลฆ่าคนถึง 999 คน ยังสามารถกลับใจเป็นดี เป็นพระอรหันต์ได้ เป็นสุดยอดคนดี เพราะอาศัยธรรมะ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การปรารภความเพียรเพียงราตรีเดียวมีค่ามากกว่ามีชีวิต 100 ปีแต่ปราศจากความเพียร คนที่เห็นธรรม 1 นาที มีค่ามากกว่าคนอายุ 100 ปีแต่ไม่เห็นธรรม





ที่มา ขอบคุณลานธรรมจักร

++++++++++++++++++++++++++++++++++

อยากจะบอกกันอีกว่า...



อภัยทาน คืออย่างไร ?

คือ การไม่ถือความผิด หรือการล่วงเกินกระทบกระทั่งว่าเป็นโทษ อภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ เช่นเดียวกับทานทั้งหลายเหมือนกัน คืออภัยทานหรือการให้อภัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด จะยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่องใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ

อันใจที่แจ่มใส กับใจที่มืดมัว


ไม่อธิบายก็น่าจะทราบกันอยู่ทุกคนว่าใจแบบไหนที่ยังความสุขให้เกิดขึ้นแก่เจ้าของ ใจแบบไหนที่ยังความทุกข์ให้เกิดขึ้น และใจแบบไหนที่เป็นที่ต้องการ ใจแบบไหนที่ไม่เป็นที่ต้องการเลย

ความจริงนั้น ทุกคนที่สนใจบริหารจิต

จะต้องสนใจอบรมจิตให้รู้จักอภัยในความผิดทั้งปวง ไม่ว่าผู้ใดจะทำแก่ตน แม้การให้อภัยจะเป็นการทำได้ไม่ง่ายนัก สำหรับบางคนที่ไม่เคยอบรมมาก่อน แต่ก็สามารถจะทำได้ด้วยการอบรมไปทีละเล็กละน้อย เริ่มแต่ที่ไม่ต้องฝืนใจมากนักไปก่อนในระยะแรก

ตัวอย่างเช่น

เวลาขึ้นรถประจำทางที่มีผู้โดยสารคอยขึ้รถอยู่เป็นจำนวนมาก หากจะมีผู้เบียดแย่งขึ้นหน้า ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ถ้าเกิดโกรธขึ้นมาไม่ว่าน้อยหรือมาก ก็ให้ถือเป็นโอกาสอบรมจิตใจให้รู้จักอภัยให้เขาเสีย

เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรถือโกรธกันหนักหนา

เป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกินควรจะอภัยให้กันได้ แต่บางที่ไม่ตั้งใจคิดเอาไว้ก็จะไม่ทันให้อภัยจะเป็นเพียงโกรธแล้วจะหายโกรธไปเอง โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น

ผู้ดูแลเห็นความสำคัญของจิต

จึงควรมีสติทำความเพียรอบรมจิตให้คุ้นเคยต่อการให้อภัยไว้เสมอ เมื่อเกิดโทสะขึ้นในผู้ใดเพราะการปฏิบัติล้วงล้ำก้ำเกินเพียงใดก็ตาม พยายามมีสติพิจารณาหาทางให้อภัยทานเกิดขึ้นในใจให้ได้ ก่อนที่ความโกรธจะดับไปเสียเองก่อน

ทำได้เช่นนี้จะเป็นคุณแก่ตนเองมากมายนัก

ไม่เพียงแต่จะทำให้มีโทสะลดน้อยลงเท่านั้น และเมื่อปล่อยให้ความโกรธดับไปเอง ก็มักหาดับไปหมดสิ้นไม่ เถ้าถ่านคือความผูกโกรธมักจะยังเหลืออยู่ และอาจกระพือความโกรธขึ้นอีกในจิตใจได้ในโอกาสต่อไป

ผู้อบรมจิตให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับการให้อภัย

แม้จะไม่ได้รับการขอขมา ก็ย่อมอภัยให้ได้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจให้คุ้นเคยกับการให้อภัยเลย โกรธแล้วก็ให้หายเอง แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะไม่อภัยให้ได้ เป็นเรื่องของการไม่ฝึกใจให้เคยชิน

อันใจนั้นฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างไดก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายก็จะร้าย...






ขอขอบข้อมูลจาก
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

.....................................................
เกิดดับ...
[จิ เจ รุ นิ]


จงทำใจให้นิ่ง....แล้วจะได้พบความสงบ เมื่อสงบ ความสุขย่อมจะตามมา....


ราตรีนาน สำหรับคนนอนไม่หลับ
ระยะทางโยชน์หนึ่งไกล สำหรับผู้ล้าแล้ว
สังสารวัฎยาวนาน สำหรับคนพาล
ผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม


คนพาลได้ความรู้มา
เพื่อการทำลายถ่ายเดียว
ความรู้นั้น ทำลายคุณความดีเขาสิ้น
ทำให้มันสมองของเขาตกต่ำไป


คนโง่ รุ้ตัวว่าโง่
ยังมีทางเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่โง่แล้ว อวดฉลาด
นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้

........What Goes Around... Comes Around........


แก้ไขล่าสุดโดย พลบค่ำ เมื่อ 17 เม.ย. 2010, 17:17, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2010, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


12 กพ. 51
ความศรัทธาและความเชื่อ

หลายวันมานี้ เราก็รู้สึกว่ามันจะย่ำๆๆๆๆ อยู่กับที่ แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากมาย รู้สึกเบื่อๆ
ก็ไม่ต้องปฏิบัติอะไรมากมาย เอาแค่ว่ารู้ว่าทำแค่นั้นเอง ทำเพราะรู้ว่ามันเป็นการสร้างกุศล
ที่ได้กุศลมากกว่าใช้เงินทำ รู้แค่นั้นเอง

ดูหนังช่อง 7 มาหลายวัน ชอบมากเลย เรื่อง " เสียงกระซิบจากมิติลี้ลับ " นี่หนังก็จบลงแล้ว
ไม่รู้ว่าจะมีตอนที่ 2 อีกเมื่อไร ดูแล้วทำให้เราคิดถึงวิญาณต่างๆที่เราไม่สามารถติดต่อกับเขาได้
พูดกับวิญญาณ สอนวิญญาณ เราคิดว่าง่ายกว่าพูดคุยกับคน นี่เป็นความคิดที่เกิดขึ้นนะ
เพราะวิญาณเขาไม่มีทางเลือก ใครก็ได้ที่ช่วยเขาได้ เขาจะไปตามนั้น

ดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้คิดถึงความศรัทธาและความเชื่อ เราย้อนกลับมาดูที่ตัวเอง
ว่าที่เราปฏิบัติทุกวันนี้เพราะอะไร เรารู้แค่ว่าปฏิบัติแล้วดีเท่านั้นเอง คำอธิษฐาน บอกตามตรง
ว่าแค่สักว่าอธิษฐานไปแค่นั้นเอง เพราะถูกสอนมาว่าให้อธิษฐานหลังปฏิบัติ หรือหลังสวดมนต์ทุกครั้ง
ให้อธิษฐานว่า " ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ขออำนาจผลบุญกุศลที่เกิดจากการปฏิบัติภาวนานี้ ขอผลบุญกุศลหนุนนำให้ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติ ได้เกิดปัญญญาณ ได้บรรลุมรรคผล ล่วงพ้นบ่วงมาร
เห็นแจ้งในพระนิพพานด้วยเทอญ " นี่คือคำอธิษฐานที่เราใช้มาตลอด

ถามว่าขณะที่อธิษฐานรู้สึกอย่างไร เรารู้สึกเฉยๆ ไม่เคยสนใจ ไม่เคยให้ค่าความหมายในการอธิษฐาน
รู้แต่เพียงว่าต้องทำ เพราะเป็นสิ่งที่ควรทำแค่นั้นเอง ใครอย่าได้มาคุยกับเรื่องพระนิพพานเลย
ไม่มีประโยชน์ เพราะเราไม่เคยสนใจหรือให้ความหมายที่มีความรู้สึกพิเศษกับคำว่า " พระนิพพาน "

ปัจจุบันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่คุยกัน ไปคุยกับสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสหรือรับรู้เลยได้อย่างไร
มันจะกลายเป็นฟุ้งไปเสียเปล่าๆ เอาตำรามาตะแบง มางัดกันเสียส่วนมาก เราเองก็เคยคุยด้วย
กับคนที่มาถาม เราบอกเลยว่า นี่นำมาจากคิริมานนทสูตรนะ ส่วนจะใช่หรือไม่ใช่นี่ไม่รู้
ก็ว่ากันไปตามตำรา

กลับมาย้อนไปที่เรื่องคำว่า " ศรัทธา " และ " ความเชื่อ " ใครจะว่าเราดูหนังแล้วบ้าก็ช่าง
เมื่อวานเราดูตอนจบ แหมมันโดนใจ เราต้องมีความศรัทธาและเชื่อมั่น เราจึงจะพบสิ่งที่เป็นจริงได้
คือ แสงสว่าง ( อันนี้คำพูดในหนังนะ ตอนที่นางเอกพูดกับเหล่าดววิญญาณที่เครื่องบินตก )

เราเองก็ปฏิบัติไปโดยไม่ได้มีความศรัทธาหรือความเชื่ออะไรมากมายอย่างที่บอก เราปฏิบัติ
เพราะเห็นว่าดีและเห็นว่าเป็นการสร้างกุศลที่ได้กุศลแรง พูดง่ายๆก็คือว่า ไม่ต้องเสียเงิน แต่ได้บุญเยอะ
มากกว่าบุญที่ต้องเสียเงิน แค่นั้นเองที่เราคิด

การปฏิบัติของเราจึงไม่มีความสงสัยแบบที่เขามาสงสัยกัน ถ้าจะบอกว่าไม่มีสงสัยทั้งหมดเลยก้คงไม่ใช่
เสียทีเดียว มีเหมือนกัน แต่มีน้อย เป็นบางครั้ง เพราะเราไม่ได้มุ่งหวังที่จะได้อะไร ยิ่งได้มาได้ยิน
หลวงพ่อจรัญท่านสอนบ่อยๆเรื่อง " การกำหนด " ทำไมต้องกำหนด ยิ่งไปได้ไว

" อย่าส่งจิตออกนอก " ให้กลับมารู้ที่ตัวทุกครั้งว่ากำลังทำอะไรอยู่ นี่ทำให้สติ สัมปชัญญะเกิดขึ้น
ได้เร็วมากๆ เมื่อก่อนอ่านคำสอนหลวงพ่อจรัญ อ่านแล้วก้ยังมองไม่ค่อยออก รู้แค่พื้นๆตัวหนังสือ
ที่เขียนไว้ จริงๆแล้ว หลวงพ่อท่านสอดแทรกเรื่องการปฏิบัติ และการกำหนดไว้ในทุกคำพูด เพียงแต่ว่า
ตอนนั้นเรายังไม่รู้ เราเลยอ่านแล้วตีความได้แค่ที่เรารู้ มันได้เท่านั้นเองจริงๆ

หลังจากที่ดูหนังจนจบแล้ว เราเกิดความคิด เรื่องความคิดนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว เรื่องการติดต่อ
กับวิญญาณ เราอยากช่วยเขานะ ใจมันคิดอย่างนั้นจริงๆ เมื่อคิดอย่างนั้นก้ทำให้นึกไปถึงช่วง
การปฏิบัติก่อนที่ผ่านอุทยัพพยญาณ ใช้เวลาปฏิบัติ 10 ช.ม. ต่อวัน

เมื่อคืนเราก็เริ่มใหม่เรา เราขึ้นห้องพระตั้งแต่ 2 ทุ่มครึ่ง สวดมนต์เสร็จก็นั่งอ่านธรรมะให้ผีบ้านผีเรือน
ฟังก่อน เป็นเวลาครึ่งช.ม. แล้วก็มาเดินจงกรม นั่งสมาธิ สลับกันไป ช่วงไหนง่วงมากๆจนมันทนไม่ไหว
ก็นั่งเอาหลังพิงตู้เสื้อผ้าเอา ไม่ยอมนอนลงกับพื้นเด็ดขาด เพราะถ้านอนแล้วยาวแน่ นั่งหลับแบบนี้ดี
อย่างมากครึ่งช.ม. ก็ตื่นแล้ว ตื่นแล้วอาจจะง่วงนิดหน่อยก็เดินจงกรมเอา สักพักอาการง่วงจะคลายลง

วันนี้คือวันแรกที่เราเริ่มปฏิบัติ เมื่อคืนอยู่ได้ถึงตี4 แล้วก็มานั้งหลับต่อแป๊บนึง มันเกิดจากแรงบันดาลใจ
นะ ทำให้หันกลับมาปฏิบัติแบบนี้ใหม่ อยากช่วยเขา เท่าที่เราจะสามารถช่วยเขาเหล่านั้นได้
ไม่ได้หวังที่จะได้อะไรกับเขาหรอก

บทเรียนเพิ่ม ดูตามความเป็นจริง
15 ก.พ.'51

วันนี้เดินจงกรม มีอาการแปลกๆอีกแล้ว เราไม่ได้กำหนดอะไร เดินแล้วก็รู้ตัวลงไปทุกย่างก้าวที่เดิน
ที่ว่าแปลกก็คือ ยิ่งเดิน ยิ่งละเอียด ยิ่งแยกข้อปลีย่อยออกมาให้เห็นเด่นชัด กายส่วนกาย ลมหายใจ
ส่วนลมหายใจ มันไม่ใช่ความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนที่เราเดิน

เมื่อก่อนมันจะรู้พร้อมไปทั้งตัว เราถึงว่ามันแปลกๆ มันรู้สึกวาบๆขึ้นมาเหมือนเป็นภาพที่มองเห็นทุกขณะ
ที่ก้าวเดิน มันผุดขึ้นมาในใจ อธิบายไม่ถูก

เราก็เลยโทรฯหาหลวงพ่อพระครูภาวนา ถามท่านว่า ทำไมมันเป็นแบบนี้ มันรู้สึกเสียววาบๆทุกขณะ
ที่ย่างก้าว ขนหัวลุก ขนลุกไปทั้งตัว ภาพมันจะผุดขึ้นมาในใจ เห็นภาพชัดเลย

หลวงพ่อถามว่า ที่เห็นน่ะ เห็นที่ตาหรือเห็นที่ข้างใน เราบอกว่า เห็นข้างใน ตาไม่ได้มองที่ปลายเท้า
แต่มองไปข้างหน้า ขณะที่เดิน ถามท่านว่า ควรทำอย่างไร ในเมื่อรู้สึกก็เลยหยุดเดิน แล้วกำหนด
รู้หนอๆๆๆ ก้ยังไม่หาย อาการเสียวแบบนั้น มันเสียวๆอยู่อย่างนั้น อธิบายไม่ถูก โดยเฉพาะที่ฝ่าเท้านี่
ชัดเจนมาก มันเสียวๆวาบๆบอกไม่ถูก

หลวงพ่อบอกว่า ไม่มีอะไร มันมีสติ สัมปชัญญะเกิดขึ้น ( เกือบจะถามหลวพ่อแล้วว่า คราวก่อน
ที่รู้ตัวทั่วพร้อมกับอาการเดิน ท่านก็บอกว่า นั่นแหละเรียกว่า สติ สัมปชัญญะ แต่พอนึกขึ้นได้ว่า
หลวงพ่อปรีชา ท่านบอกไว้ว่า มันจะมี 3 ระยะ ก็เลยไม่ถามหลวงพ่อปรีชา ว่าทำไมมันถึงแตกต่าง
จากคราวแรก )

หลวงพ่อบอกว่า ภาษา พระปฏิบัติ การดูลงไปในอาการที่เกิดก็คือการกำหนด แต่เป็นการกำหนด
โดยกริยา ไม่ใช้บัญญัติ ท่านบอกว่า ให้ดูไปตามความเป็นจริงที่เกิด ไม่ให้ใช้รู้หนอที่เป็นสมมุติบัญญัติ
ดูลงไปจนอาการนั้นหายไปในที่สุด แล้วค่อยเดินต่อ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 17 เม.ย. 2010, 20:39, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2010, 22:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 17 เมษายน 2553
เดิน 30 นั่ง 5 นาที

ในขณะที่เดินสามระยะ ก็มีบางช่วงที่ฟุ้งไปบ้าง แล้วก็กลับมาดูที่เท้าใหม่
ตอนนี้เริ่มเข้าใจว่าการปล่อยจิตปล่อยกายไปกับธรรมชาติ นั้นดีกว่าไปบังคับหรือขัดขืนมัน
คนเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นกายหรือจิตนั้นมาจากธรรมชาติ ตายไปก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติเหมือนดั่งเดิม
ตอนเดินนั้นคิดอยู่เหมือนกันว่า ทำกรรมฐานไม่ทันคนอื่นเขา คนอื่นเขาไปเร็วกว่า
รู้สึกเสียใจและก็ผิดหวังในตัวเอง
แต่พอมาคิดอีกที ก็พบว่าต่างคนต่างมีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง
ไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกันเลย

รู้สึกว่าตัวเองใจเย็นขึ้น และก็เข้าใจเรื่องอกุศลจิตเกือบทั้งหมด
ถ้าสติดีก็คงจะห้ามอกุศลได้ดีชะงัก

ตอนนั่งก็ฟุ้งอยู่ ทั้งๆที่คิดว่าจะนั่งให้นานกว่านี้ พอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าครบ 5 นาที

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

---------------------------------------------------------------

มีบางอย่างที่อยากจะบันทึกด้วย
ก็คือรักพี่มากนะ เราน่ะเป็นเด็กที่ไม่ดีเลย อะไรก็ดื้อๆๆๆ หัวแข็งชนฝา
ความคิดก็ไม่ได้บริสุทธิ์อะไรเลย
แถมยังเชื่อใจคนยากอีก
ถึงการแสดงออกของเราจะดูไม่ดีเลย
พอได้ยินว่าพี่เจอนิมิตว่าจะจากกัน
เราก็อยากจะรักพี่ให้มากกว่านี้
เรารู้สึกเสียใจกับหลายๆเรื่องที่ผ่านมา เราน่ะผิดหวังในตัวเอง
ดังนั้นเราก็เลย อยากแต่งนิยายที่เคยให้พี่อ่านทั้งสองเรื่องให้จบ ก่อนที่จะจากกัน
นี่คือความปรารถนาที่ความกล้าของเราไม่เคยพอ

แต่เราก็ขอบันทึกไว้ ณ ที่นี่
(ปล. อายนะ)

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2010, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



สวัสดียามเช้าค่ะ cool

อิอิ .... เพิ่งตื่นนอนค่ะ หลับยาวเป็น 10 กว่าชม.เลย
วันอาทิตย์นี่เป็นวันที่ชอบมากๆ เพราะได้หลับยาว เหมือนคนอดหลับอดอดนอนมาจากไหน
แต่เพราะเป็นพฤติกรรมปกติมากกว่า เคยหลับตั้งแต่ 2 ทุ่มอีกวัน แล้วมาตื่น 2 ทุ่มอีกวัน
ไม่เคยเข้าห้องน้ำ ไม่กินข้าวกินปลา หลับแบบหลับลึก
น้องที่บ้านถามว่า หลับได้ไง เขาเองยังต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำเป็นพักๆ

การนอนหลับแบบนี้เป็นปกติมากๆ เพราะเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ แม่บอกว่า ถ้าไม่ปลุก ไม่มีตื่น
มีผู้รู้ท่านหนึ่งบอกไว้ว่า คุณน้ำนี่สงสัยเป็นฤาษีมาแล้วหลายๆชาติ ถึงได้มีพฤติกรรมการหลับแบบนี้
หลับแบบเข้าฌาน คือ ดับสนิท ไม่มีการรับรู้ใดๆทั้งสิ้น เสียงดังแค่ไหนก็ไม่ตื่น

ฟังเขาพูดแล้วก็เฉยๆนะ ไม่มีตื่นเต้น ไม่มีดีใจ เพราะนี่เป็นพฤติกรรมส่วนตัว
เป็นมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาเป็น ถ้าวันหยุด น้องจะรู้กัน จะไม่มีการปลุก เขาจะปล่อยให้นอน

ฉะนั้นอย่าแปลกใจนะคะเวลาเขียนบันทึก เรื่องการเล่นสมาธิ
เพราะทำแบบนั้นจนชิน เมื่อเวลาที่เกิดความเบื่อ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2010, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



น้องวา ... cool
สิ่งที่น้องวาพูดมานั้นพี่เข้าใจนะคะ
เมื่อเกิดการเปรียบเทียบ ความคิด เป็นตัวทำให้เราทุกข์
ฝึกนอนหลับแบบพี่น้ำสิคะ สมองจะได้คิดน้อยลง แล้วดูตามความเป็นจริง

เรื่องดื้อนี่เรื่องปกติค่ะ มีเหมือนกันหมดทุกๆคน ดื้อมาก ดื้อน้อย มันเป็นเรื่องของกิเลสมานะ
ทุกๆการกระทบ คือ สภาวะกิเลส ต้องเรียนรู้กันเอง พี่รู้ว่า ถึงห้ามไปไม่ฟังพี่หรอก
ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง เรียนรู้ที่จะหยุด หรือจะต่อยอดกิเลสออกไปเรื่อยๆ นั่นอยู่ที่สติ สัมปชัญญะ

ทุกๆการกระทบ คือ หนึ่งความรู้นะคะ เราจะได้ความรู้ทุกๆครั้งที่มีการกระทบ
และเมื่อเรามีสติรู้เท่าทันสภาวะมากขึ้น นั่นก็ได้อีกหนึ่งความรู้

แต่หนึ่งความรู้นั้น เลือกที่จะก่อภพชาติ หรือ ทำให้ภพชาติน้อยลง อันนี้ก็อยู่ที่สติ สัมปชัญญะนะ
รู้ทันไหม ถ้าไม่ทัน ก็ไปตามกิเลส ถ้าทันก็หยุดได้ ไม่ตอบโต้ใดๆ

ให้กลับมามองในตัวเรา ทุกอย่างล้วนเกิดจากการปรุงแต่งของจิตเราเอง
เกิดจากอุปทานของตัวเราเอง ความยึดมั่นถือมั่น ทำให้มีตัวตนเกิดขึ้นมา

ทั้งๆที่มีแต่กิเลส มีแต่บัญญัติ
แต่ความไม่รู้ของเรา ทำให้มันมีตัวตน มีค่า มีความหมายขึ้นมาเอง

สู้ๆนะคะ เจริญสติต่อไป วันนี้อาจจะต้องนับหนึ่งใหม่ แต่ยังดีที่มีโอกาสได้นับ
นับว่ากุศลยังมี ยังดีกว่าขาดโอกาสที่จะนับต่อไปหรือ ไม่เคยนับเลยในชีวิตที่เกิดมา

พี่น้ำน่ะ นับหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่แล้ว แต่ไม่เคยท้อ เพราะตราบใดที่ยังมีลมหายใจ
ยังดีกว่าหมดสิ้นลมหายใจ แล้วหมดโอกาสที่จะนับ วันนี้ยังคงนับอยู่
แต่การนับ เริ่มหายไปเรื่อยๆ เหลือแค่รู้มากขึ้น เหลือแค่ดูในบางครั้ง

การจากกัน เราทุกคนต้องจากกัน ไม่วันนี้หรือวันไหนๆ เราก้ต้องจากกัน
จากกันตอนเป็นหรือตอนตาย ยังไงเราก็ต้องจากกัน ฝึกไว้ตั้งแต่ตอนนี้
เพราะเมื่อถึงเวลาจริงๆ จะได้ไม่ต้องมาเสียใจแบบที่เราเห็นเขาเสียใจยามที่ต้องจากกัน

ฝึกใจให้แกร่งดุจดังหิน เมื่อถึงเวลา จะได้ไม่มีการมาอาลัยอาวรณ์หรือคร่ำครวญโศกาอาดรูแต่อย่างใด
ฝึกใจให้แน่นดุจแผ่นดิน ใครจะเหยียบ ใครจะย่ำยังไง ปล่อยไป เพราะนั่นคือ การปรุงแต่งของจิตเราเอง
ไม่ใช่เกิดจากคนอื่นๆนะ เกิดจากความที่ยังมีเราอยู่ทั้งนั้น

ไม่มีเราเมื่อไหร่ ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็จะไม่มีเราออกมาเพ่นพ่านแสดงตัวอีกต่อไป
คงอยู่กับรูป,นาม มากกว่าจะออกมาแสดงตัว
ตราบใดที่ยังมีการแสดงตัว นั่นคือ ยังมีเรา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 18 เม.ย. 2010, 21:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2010, 17:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 17:04
โพสต์: 47

แนวปฏิบัติ: สวดมนต์
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 20

 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดแก่เจ็บตาย

พบและการจากลา ย่อมมีเป็นธรรมดา

ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแต่มีเหตุผลของมัน


จะพบจะจากย่อมมีเหตุผลตามกาลสมควรแต่ละบุคคล

ฝึกเพื่อปลง ฝึกเพื่อปล่อยวาง

จากไปแต่เพียงกาย แต่หลักคำสอนอันดีและถ้อยคำอันดี ยังคงดำรงอยู่ตราบนาน

จงจดจำสิ่งดีๆไว้ จนตราบลมหายใจ

.....................................................
เกิดดับ...
[จิ เจ รุ นิ]


จงทำใจให้นิ่ง....แล้วจะได้พบความสงบ เมื่อสงบ ความสุขย่อมจะตามมา....


ราตรีนาน สำหรับคนนอนไม่หลับ
ระยะทางโยชน์หนึ่งไกล สำหรับผู้ล้าแล้ว
สังสารวัฎยาวนาน สำหรับคนพาล
ผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม


คนพาลได้ความรู้มา
เพื่อการทำลายถ่ายเดียว
ความรู้นั้น ทำลายคุณความดีเขาสิ้น
ทำให้มันสมองของเขาตกต่ำไป


คนโง่ รุ้ตัวว่าโง่
ยังมีทางเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่โง่แล้ว อวดฉลาด
นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้

........What Goes Around... Comes Around........


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2010, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 17:04
โพสต์: 47

แนวปฏิบัติ: สวดมนต์
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
อายุ: 20

 ข้อมูลส่วนตัว


จุดมุ่งหมายแห่งการสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คืออะไร ?

ในพระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงเป็นครั้งแรก คือ พระธัมมจักกัปป-
วัตตนสูตร พระสูตรว่าด้วยการหมุนวงล้อ คือ พระธรรม พระพุทธเจ้าทรงชี้ว่า
ทางสายกลาง ซึ่งทำให้เกิดดวงตา ทำให้เกิดปัญญาเป็นไปเพื่อความสงบระงับ
เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อการตรัสรู้ (คือรู้อย่างแจ่มแจ้ง) และเพื่อนิพพาน (สภาพที่
ดับกิเลสและทุกข์ทั้งปวง) จุดมุ่งหมายแห่งการสอน จึงอยู่ที่ความสงบ
ระงับความรู้ยิ่ง การตรัสรู้และนิพพาน
พระพุทธเจ้าทรงสรุปคำสั่งสอนของพระองค์
ด้วยคำว่า "วิมุตติ คือ ความหลุดพ้นทางจิตจากกิเลสและทุกข์ทั้งปวงอัน
ไม่กลับมากำเริบอีก เป็นจุดหมายปลายทาง"
เมื่อทรงส่งพระสาวกรุ่นแรก ๖๐ รูป ไปประกาศพระศาสนาพระพุทธเจ้า
ตรัสว่า
"ภิกษุทั้งหลาย ! บัดนี้เราพ้นแล้วจากบ่วง ทั้งที่เป็นของทิพย์และ
ของมนุษย์ แม้ท่านทั้งหลายก็พ้นแล้ว จากบ่วงที่เป็นของทิพย์และของ
มนุษย์ ท่านทั้งหลายจงจาริกไป เพื่อเกื้อกูลแก่คนเป็นอันมาก เพื่อ
ความสุขแก่คนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์
เพื่อเกื้อกูล และเพื่อความสุขแก่เทพและมนุษย์ทั้งหลาย"


จากพระพุทธวจนะข้างต้น อาจกล่าวได้ว่า นิพพาน หรือ วิมุตติ
เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญแห่งการสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงส่งเสริม
พระสาวกให้ปฏิบัติทางสายกลาง หรือ มัชฌิมาปฏิปทา เพื่อขจัดกิเลสและ
กองทุกข์ทั้งปวง แล้วให้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความกรุณา

โดยย่อ พระพุทธเจ้าทรงสอนประชาชนถึงวิธีที่จะมีความสุขความเจริญ
ทั้งทางโลกและทางธรรม ผู้ดำเนินตามคำสอนของพระองค์ อาจเลือกวิถีชีวิต
ที่ตนสามารถปฏิบัติได้




ความดับทุกข์ (นิโรธ) คือ นิพพาน ( เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา ) อันเป็น แก่นของพระพุทธศาสนา เป็นความสุขสูงสุด หรือเรียกอีกอย่างว่า

วิราคะปราศจากกิเลส
วิโมกข์พ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
อนาลโย ไม่มีความอาลัย
ปฏินิสสัคคายะการปล่อยวาง
วิมุตติ การไม่ปรุงแต่ง
อตัมมยตา ไม่หวั่นไหว
และสุญญตา ความว่าง
เนื่องจากธรรมดาของสัตว์โลกมีปกติทำความชั่วมากโดยบริสุทธิ์ใจในความเห็นแก่ตัว ทำดีน้อยซึ่งไม่บริสุทธิ์ใจ ซ้ำหวังผลตอบแทน จึงมีปกติรับทุกข์มากกว่าสุข ดังนั้น ถ้าเป็นผู้มีปัญญาหรือเป็นพ่อค้าที่ฉลาดยอมรู้ว่าขาดทุนมากกว่าได้กำไร และ สุขที่ได้เป็นเพียงมายา ย่อมปรารถนาในพระนิพพาน เมื่อ ขันธ์5 แตกสลาย เจตสิกที่ประกอบกันให้เกิดเป็นจิตนั้นก็แตกสลายตามเช่นเดียวกัน เพราะไม่มีเหตุปัจจัยจะประกอบกันให้เกิดเป็นจิตนั้น กรรมย่อมไม่อาจให้ผลได้อีก (อโหสิกรรม) เหลือเพียงแต่พระคุณความดีเมื่อมีผู้บูชาย่อมส่งผลกรรมดีให้แก่ผู้บูชาเหมือนคนตีกลอง กลองไม่รับรู้เสียง แต่ผู้ตีได้รับอานิสงส์เสียงจากกลอง

วิถีทางดับทุกข์ (มรรค) คือ มัชฌิมาปฏิปทา (หลักการดำเนินชีวิตของพุทธศาสนา) ทางออกไปจากสังสารวัฏมีทางเดียว โดยยึดหลักทางสายกลาง อันเป็นอริยมรรค คือ การฝึกสติ (การทำหน้าที่ของจิตคือตัวรู้ให้สมบูรณ์) เป็นวิธีฝึกฝนจิตเพื่อให้ถึงซึ่งความดับทุกข์หรือมหาสติปัฏฐาน โดยการปฏิบัติหน้าที่ทุกชนิดอย่างมีสติด้วยจิตว่างตามครรลองแห่งธรรมชาติ มีสติอยู่กับตัวเองในเวลาปัจจุบัน สิ่งที่กำลังกระทำอยู่เป็นสิ่งสำคัญกว่าทุกสรรพสิ่ง ทำสติอย่างมีศิลปะคือรู้ว่าเวลาและสถานการณ์เช่นนี้ ควรทำสติกำหนดรู้กิจใดเช่นไรจึงเหมาะสม จนบรรลุญานตลอดจน มรรคผล เมื่อจำแนกตามลำดับขั้นตอนของการบำเพ็ญเพียรฝึกฝนทางจิต คือ

1 ศีล (ฝึกกายและวาจาให้ละเว้นจากการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น รวมถึงการควบคุมจิตใจไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำด้วยการเลี้ยงชีวิตอย่างพอเพียง)
2 สมาธิ (ฝึกความตั้งใจมั่นจนเกิดความสงบ (สมถะ) และทำสติให้รับรู้สิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง) (วิปัสสนา) ด้วยความพยายาม
3 ปัญญา (ให้จิตพิจารณาธรรมชาติจนรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา) และตื่นจากมายาที่หลอกลวงจิตเดิมแท้ (ฐิติภูตัง))

.....................................................
เกิดดับ...
[จิ เจ รุ นิ]


จงทำใจให้นิ่ง....แล้วจะได้พบความสงบ เมื่อสงบ ความสุขย่อมจะตามมา....


ราตรีนาน สำหรับคนนอนไม่หลับ
ระยะทางโยชน์หนึ่งไกล สำหรับผู้ล้าแล้ว
สังสารวัฎยาวนาน สำหรับคนพาล
ผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรม


คนพาลได้ความรู้มา
เพื่อการทำลายถ่ายเดียว
ความรู้นั้น ทำลายคุณความดีเขาสิ้น
ทำให้มันสมองของเขาตกต่ำไป


คนโง่ รุ้ตัวว่าโง่
ยังมีทางเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่โง่แล้ว อวดฉลาด
นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้

........What Goes Around... Comes Around........


แก้ไขล่าสุดโดย พลบค่ำ เมื่อ 18 เม.ย. 2010, 17:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2010, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


19 ก.พ.'51

เดินจงกรม ตั้งแต่เริ่มเดินมันจะเสียวๆที่ฝ่าเท้ายังไม่หาย แล้วเดี๋ยวนี้มันแปลกๆ
เหมือนฝ่าเท้าเรามีชีวิต เรารู้สึกไปกับมันทุกระบบที่กระทบ มันเสียวๆอยู่อย่างนั้น

เราก็ทำแบบที่หลวงพ่อบอก เดินมันไป เอาสติ จิตจดจ่ออยู่กับการเดิน
พอเดินถึงช่วงยืน อยู่ๆมันก็เกิดเป็นสมาธิขึ้นมา
แต่เราไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นักเรื่องสมาธิ
เพราะเดี๋ยวนี้สมาธิเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของเราบ่อยมากๆ

20 ก.พ.'51

วันนี้เป็นสมาธิเกือบทั้งวัน ทั้งๆที่บางทีแค่นั่งคิดอะไรบางอย่าง
จู่ๆมันก็สว่างพรึ่บขึ้นมา เป็นเกือบทั้งวันเลยวันนี้
สว่างมากๆ ทั้งๆที่โอภาสแบบนี้ เราแทบจะไม่ค่อยเกิดให้เห็นด้วยซ้ำ

21 ก.พ.'51

เดินจงกรม นั่งสมาธิ เป็นระยะๆ เบื่อมากๆเลย ไม่รู้ว่าเบื่ออะไร นั่งก็เบื่อ เดินก็เบื่อ

22 ก.พ.'51

เดินบ้าง นั่งบ้าง กำหนดดูอริยาบทย่อย ก็เกิดสมาธิอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่สนใจละ
มันออกจะรำคาญไปด้วยซ้ำ แต่พยายามทำจิตไม่ให้ชอบ ไม่ให้ชัง
เพราะหลวงพ่อพระครูภาวนานุกูลสอนไว้ว่า อย่าไปเบื่อ อย่าไปเกิดความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ
มันเป็นสภาวะของมัน ให้พิจรณาดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอย่างเดียว
ไม่ต้องไปใส่ใจว่าอะไรเป็นอะไร ทำไป เดี๋ยวมันจะแจ้งขึ้นมาเอง

25 ก.พ.'51

ความรู้สึกที่ฝ่าเท้า นับวันมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดใส่รองเท้าเดินแท้ ไม่ใช่เท้าเปล่าเลยนะ
มันก็ยังรู้สึกกระทบทุกย่างก้าวที่เดิน เหมือนมันรู้สึกเข้าไปถึงในจิตของเรา มันชัดมากๆ
แม้แต่นั่งบนเก้าอี้ เท้าวางอยู่บนพื้นเฉยๆ มันจะชัดมากๆตรงที่เท้ากระทบถูกพื้น

โทรฯหาหลวงพ่อ ถามท่านตั้งแต่ เรื่องฝ่าเท้าที่เป็นอยู่ ท่านบอกว่า ให้ดูลงไปอย่างเดียว
ไม่ต้องไปทำอะไร และเรื่องที่เป็นสมาธิบ่อยๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็เกิดสมาธิตลอดเวลา
ท่านบอกว่า ให้เดินจงกรมเพิ่ม อย่างน้อย 2 ช.ม. เพื่อเจริญสติให้มากขึ้น อย่านั่งมาก
ถึงไม่ใช่นั่งขณะที่ทำสมาธิก็ตาม ไม่ให้นั่งมาก ให้เน้นเดิน

26 ก.พ.'51

ฟังพระท่านเทศน์ เรื่อง ศิล และเรื่องการเจริญภาวนา
สาเหตุที่ทำให้ไม่ก้าวหน้าเพราะศิลยังพร่องอยู่
ถ้าศิลบริสุทธิ์ การเจริญภาวนาจะก้าวหน้ามากๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2010, 23:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อวานเดินไปราว 5 นาที เพราะปวดตาก็เลยไม่ได้เล่นเน็ต

วันที่ 19 เมษายน 2553
เดิน 15 นาที

วันนี้กระวนกระวายอยากรีบเดิน คิดพิจารณาอยู่บางเรื่องสลับกับการเดินดูเท้าไป ช่วงหลังๆจึงจะเห็นเท้าได้ชัดขึ้น
มีความรู้เกิดขึ้นว่า สติจะเป็นตัวคอยเตือนตัวเองในเรื่องต่างๆ หรือก็คือ สติช่วงยับยั้งกิเลสได้นั้นเอง

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

คิดเหมือนเดิมว่าวันพรุ่งนี้จะดีขึ้น~
แต่วันนี้ก็ได้จัดของที่โต๊ะของตัวเองด้วยละนะ ดีจัง แต่ว่าปริมาณของมันมากกว่าปริมาณเนื้อที่ที่จัดสรรได้นี่สิ
ปัญหาใหญ่... ทำไงดี อิอิ~~

เวลากำลังจะเคลื่อนที่ต่อไป~~~
และก็ดีใจที่ตัวเองเริ่มปล่อยเวลาให้เคลื่อนที่ไปอีกครั้ง~

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


แก้ไขล่าสุดโดย varinne เมื่อ 19 เม.ย. 2010, 23:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2010, 22:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บันทึกความรู้สึกระหว่างวัน

รูปภาพ
รู้สึกผิดในหลายๆเรื่อง หลายๆการกระทำที่ได้ทำลงไป ถึงแม้ว่ามันจะกลายเป็นอดีต
คิดมาตลอดว่า คนเราน่ะถ้ารู้แล้วความผิดก็คงจะไม่เกิดขึ้น ที่ทำร้ายกันก็เพราะความไม่รู้
เราเองก็เป้นหนึ่งในความไม่รู้นั้น
ช่วงนี้ คำว่าขอโทษ นั้นตรึงอยู่ในความรู้สึกของเรา
(ต้องขออภัยที่เขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น มันเป็นจินตนาการระหว่างคาบเรียนน่ะนะ...)

เพราะว่าเราไม่ใช่คนดี เราก็เลยต้องมาเจริญสติ~~
แต่ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือไม่ดี การเจริญสติก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่ดี
อิอิ~

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้จะเป็นแรงผลักดันให้อนาคตต่อไป
ความผิดก็คือการเรียนรู้อย่างหนึ่ง เพื่อที่จะได้ไม่ทำความผิดพลาดซ้ำ
การสำนึกในความผิดได้นั้น ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีของมนุษย์เลยทีเดียว

นี่คือ การออกแบบลายเซ้นต์ของเรา ^ ^

รูปภาพ

จากนี้ไปคงใช้ภาพนี้แทนตัว

ลืมบอกไปว่า ทั้งสองภาพนี้ลงสีตอนที่เมาส์ไม่อยู่
ก็เลยเลื่อนๆที่ช่องสี่เหลี่ยมของโน้ตบุ๊คแทน
ก็เลยเป็นฉะนี้แล~~~


จะกลับมาอีกทีเมื่อเจริญสติเสร็จคะ


.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2010, 23:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 20 เมษายน 2553
เดิน 20 นั่ง 2 นาที

วันนี้เดินแล้ว ส่วนใหญ่จะฟุ้งเหมือนล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆ
แต่ก็พยายามกำหนดรู้ กลับมาดูที่เท้าต่อ
มีความรู้สึกว่า สงสัยจะอีกนานแน่ๆเลยเรา
แต่ก็ทำต่อไป อย่างที่พี่บอกว่าไม่ต้องไปคาดหวังผลอะไรหรอก ทำไปเรื่อยๆนี่แหละดีแล้ว
ก็เลยคิดว่า ท่าทางจะอีกนานแน่ๆเลย
แต่กลับกลายเป้นว่า เดินไปสักพักหนึ่ง จิตมันไวต่อความรู้สึกที่ผันแปรตามโลกธรรม
จิตทัน ก็เลยรู้ว่ากำลังคิดอะไรที่ไม่ดีอยู่ มองเห็นมันทันจึงละมันได้
แล้วพอสักพักหนึ่ง จิตทำงานเป็นไปโดยอัตโนมัติ รับรู้ว่าอะไรเป็นกุศลอะไรเป็นอกุศลจากประสบการณ์ครั้งที่ผ่านๆมา
ทำให้เริ่มเข้าใจในอกุศลจิตและปล่อยวางใจ ไม่ให้ไปชอบไปติดใจมัน
การมีชีวิตโดยปราศจากอกุศลถือเป็นอิสระสูงสุดในการมีชีวิตที่แท้จริง
ใจระรื่นอยู่เหมือนกันช่วงนี้

แต่ใจส่วนลึกบอกให้ระวังความประมาท...

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

----------------------------------------------------------------------

ตอนที่บันทึกด้านบนนั้น ลืมบอกไป ว่าชื่อของเรา
Varinne(วารินเน่)
นั้นจริงๆแล้วมีความหมายที่ลึกซึ้งแฝงอยู่
สามารถไขปริศนาได้หากคุณชอบเล่นปริศนาตัวอักษร
^^

ส่วนเรื่องลายเซ็นต์

รูปภาพ

V ตัวแรก เป็นสัญลักษณ์รูปปีก หมายถึงอิสระภาพ
ส่วน E ตัวหลัง ขอเก็บไว้เป็นความลับก่อนละกัน

^^

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


แก้ไขล่าสุดโดย varinne เมื่อ 20 เม.ย. 2010, 23:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2010, 23:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 21เมษายน 2553
เดิน 30 นาที นั่ง 2 นาที

เมื่อได้เขียนวันที่บันทึกก็พบว่า วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริงๆ...

วันนี้เดินแล้วช่วงแรกฟุ้งมาก คือเหมือนๆกับเมื่อวานที่ว่าเหมือนล่องลอยอยู่บนก้อนเมฆ
ก็คิดแปลกใจว่าช่วงนี้ตัวเองเบลอๆ เหมือนไปติดสุขอะไรหรือเปล่า?
พอจะไปดูเท้าก็รู้สึกอึดอัดในใจ ทนไม่ไหวจิตเลยต้องฟุ้งต่อ เดินไปเดินมาไปมองดูนาฬิกาก็พบว่าผ่านไป10นาที
ที่รู้สึกเหมือนผ่านไปแค่ไม่กี่นาทีเอง ยืนงงอยู่แปปหนึ่งว่าตัวเองจำเวลาเริ่มผิดหรือเปล่า
ต่อมาเดินไปก็เลยได้รู้ว่า จิตมันไปพึงพอใจกับสภาวะช่วงนี้ ก็เลยฟุ้งไป (อธิบายไม่ถูกนะ ถ้าไม่ได้เจริญสติคงไม่เจอสภาวะนี้ หรือจริงๆแล้วมันมีอยู่ในใจอยู่แล้วแต่มองไม่เห็นเอง)
พอคิดไป จึงได้รู้ว่า มันเป็นสุขทางความคิด ไม่ได้เป็นสุขทางความจริง ก็เลยละออกมา
ต่อจากนั้นก็เริ่มดูเท้าได้ชัดขึ้น

มองเห็นอารมณ์ต่างๆที่มากระทบ
จำคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้ว่า การจำสภาวะที่ถูกต้องในการเจริญสติได้จะทำให้ก้าวหน้าได้เร็วขึ้น
ตอนนี้เราก็มีปัญหาอยู่ที่ว่า
ถ้าจิตไม่พึงพอใจ จิตมันจะตกลงไปกดดันตัวเองเลย
มันอยู่ตรงกลางไม่ค่อยเป็นเท่าไหร

ตอนนี้สิ่งที่ถูกต้องสำหรับการเจริญสติคงเป็นการทำให้จิตอยู่ตรงกลาง
ไม่ไปอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง มองดูเท้าที่เดินสามระยะ
มองเห็นเลยว่า สภาวะฟุ้งที่เจอ ตอนนี้หายไป
สภาวะเกิด และก็ดับไป

ส่วนตอนที่นั่งนั้น มัวแต่คิดว่าอยากจะบันทึกการเจริญสติที่คิดได้ให้หมด
อันนี้ก็ถือเป็นข้อเสียของเราละกัน~

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 เม.ย. 2010, 23:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 22 เมษายน 2553
เดิน 7 นาที

เบื่ออารมณ์ที่แปรปรวนได้ตลอดเวลาของตัวเอง
เข้าใจว่าการใช้จิตข่มอารมณ์นั้นทำไม่ได้เลย
ต้องดูการก้าวเดินของเท้าให้มากที่สุด

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


04 มีนาคม 51
เพิ่มเวลา

ตั้งแต่เพิ่มเวลาเดินจงกรม บางวันเดิน 2 ช.ม. บางวันเดิน 3 ช.ม.แต่ละรอบจะเดินอย่างนี้ตลอด
ทำไปเรื่อยๆแล้วแต่สะดวก สมาธิที่เกิดถี่ๆเริ่มลดน้อยลง ไปเกิดขณะที่ยืนเป็นพักๆไม่มากเท่าเมื่อก่อน
แต่การเข้าออกสมาธิยังคล่องเหมือนเดิม คือแค่ดูท้องพองยุบ 2หรือ 3 ครั้งก็เข้าสู่สมาธิได้เลย
อาการเสียวๆที่ฝ่าเท้ายังมีอยู่แต่น้อยลง แต่ความรู้สึกในการที่ฝ่าเท้าหรืออาการที่เคลื่อนย้ายอริยาบท
ที่เท้านี้ชัดมากๆ มันจะรู้ขึ้นมาในจิตแบบอธิบายไม่ถูก แต่ก็ไม่ถามหลวงพ่อ
เพราะเชื่อว่า ปฏิบัติไป เดี๋ยวก็จะรู้เอง

8 มีค.
ยิ่งปฏิบัติ ก็ยิ่งเห็นทุกข์ มองไปทางไหนก็มีแต่ทุกข์ ทำไมทุกข์มันช่างมากมายอย่างนี้หนอ
เมื่อก่อนเข้าใจว่า เมื่อเห็นทุกข์ ย่อมเข้าใจในทุข์ ย่อมอยู่ในทุกข์ได้โดยไม่ต้องไปทุกข์กับทุกข์นั้นๆ

แต่ทุกข์ครั้งนี้เราเห็นมันคนละอย่างกับทุกข์ที่เราเคยเห็น เคยเข้าใจ ทุกข์ครั้งก่อนคือทุกข์ทั่วๆไป
ที่เกิดขึ้นในครองชีวิต ในการมีชีวิตอยู่ แต่ทุกข์ครั้งนี้เป็นทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิด
ไม่อยากเกิดมาทุกข์แบบนี้อีกแล้ว เกิดมานี่มันช่างวุ่นวาย วุ่นวายทั้งข้างนอกและข้างใน
มันดูวุ่นวายไปหมด

เมื่อคืนปฏิบัติ เจอเวทนา ตัดใจเลยสู้กับเวทนา พิจรณาลงไปว่าเวลาตายเราจักต้องทรมาณมากกว่านี้
เวทนาที่เคยเจอมีทั้งหนักและเบา ครั้งนี้ก็หนักหนาสาหัส ปวดจนหลังมากๆร้าวมาที่ก้นกบ
เหมือนมันจะหลุดออกมาเป็นชิ้นๆ บังคับตัวเองเลย ตั้งหลังให้ตรง แล้วสู้กับเวทนาที่เกิด
ใจก็คิดพิจรณาไปด้วย เพราะเรายังมีอุปทานยึดมั่นถือมั่นในกายของเรา มันจึงยังมีเวทนา
เกิดอยู่ตลอด มันเกิดแล้วก็หายอยู่อย่างนั้น หนักเบาไม่เท่ากัน มันไม่เที่ยง เราไปบังคับว่า
ให้เกิดหรือไม่ให้เกิดไม่ได้

พิจรณาหนักๆ พิจรณาว่ามันไม่เที่ยง แล้วจากที่ปวดสุดๆมันก็รู้สึกซ่าๆไปทั้งขา ซ่าๆไปตามส่วนที่ปวด
แล้วมันก็ค่อยๆหายปวดไป แล้วนั่งต่อไปจนกระทั่งครบเวลาที่ตั้งไว้

เวทนานี่เจอมาหลายรอบละหนักๆทั้งนั้น แต่ครั้งนี้หนักกว่าทุกครั้งเหมือนร่างกายเรามันจะแตก
ออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ตั้งใจไว้แล้ว ต่อไปนี้จะปฏิบัติ เพื่อเตรียมตัวตาย เมื่อถึงเวลาที่ต้องตายจริงๆ
จะได้มีสติรู้ตัวตลอดเวลาจนกระทั่งหมดลมหายใจ

13 มีค.
มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทุกข์ มันน่าเบื่อเสียจริงๆ

14 มีค.
วันนี้เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
คนทำไมช่างวุ่นวายเสียจริงๆ แต่ละคนก็รักห่วงตัวเอง จนไม่มองผลเสียที่ผู้อื่นได้รับ
วันนี้อดทนจนผ่านเวทนา ครบตามกำหนดเวลาที่ตั้งไว้ รู้ลงไปในอาการที่ปวด
ปวดมากๆเลย แล้วมันก็ซ่าๆหายไป แล้วก็ปวดอีก

15 มีค.
เดิน 11/2 ชม. นั่ง 11/2 ชม.
คิดว่า การปฏิบัติเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เพราะครั้งที่แล้วเคยเจอสภาวะแบบนี้ แต่ไม่หนักเท่าครั้งนี้
ครั้งนี้หนักกว่า ปวดบริเวณก้นกบและแผ่นหลังทั้งหมด ปวดมากๆ พยายามนั่งให้หลังตรงที่สุด
แล้วพิจรณาดูอาการที่ปวด

คิดถึงแต่ความตาย ว่าสักวันเราต้องตาย ตายแบบนี้เพื่อเตรียมตัวตายในวันหน้า
เราจะได้ไม่ตายแบบขาดสติ จะได้รู้สึกตัวตลอดเวลาจนกระทั่งหมดลมหายใจ

เราเชื่อว่าเป็นแบบนั้น นี่ถือว่าคือ พาสปอร์ตแห่งความตาย ด่านแรกที่เราได้ผ่านทางเที่ยวแรก
นับ 1 มาตลอด ที่ผ่านๆมาแล้วช่างมัน นี่คือชีวิตใหม่ที่เราเกิดใหม่

18 มีค.
เราห่างไกลครูบาฯเสียเหลือเกิน แล้วที่เราเข้าใจอยู่ตอนนี้มันถูกต้องไหม
หรือว่าเราควรเดินหน้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ เราไม่รู้อะไรเลย ทั้งเรื่องเรียนนักธรรม
ว่าเราคิดแบบที่เราคิดถูกต้องหรือไม่ คือ เราคิดว่า การที่เราท่องจำ มันก็ได้แต่ท่องจำ
แต่มันไม่สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้ตลอดไป แต่การที่เรารู้แจ้งออกมาจากจิต
มันทำให้เราระงับกิเลสไปได้หลายอย่าง เนื่องจากกเรามองเห็นเหตุและผล

เฮ้อ .. นี่ขนาดแค่คิดนะ ยังเหนื่อยเลย เพราะมัวหาคำตอบ

20 มีค.
นั่งฟังพระธรรมเทศนาจากสถานีหลวงตา มันนิ่งและสงบมากๆ
จะลองไปวัดกระโจมทอง หลวงพ่อสุทัศน์ ถ้าเราทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ คงไม่ก้าวหน้าแน่เรา

เดิน 45 นั่ง 1/20 ชม.
นั่งมีเวทนาตลอด ทนเวทนาไม่ไหว มันเบื่อที่จะต้องนั่งดูเวทนาอยู่อย่างนั้น
เบื่อแบบบอกไม่ถูก สมาธิเรายังมีกำลังไม่มากพอ ออกก่อนเวลา 6 นาที สติในการกำหนดยังไม่ทัน


22 มีนาคม

จากพระสุตันตปิฎก ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้
[๑๐๐] เธอครั้นละนิวรณ์ ๕ ประการ อันเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมอง ทำปัญญาให้ถ้อยกำลังนี้ได้แล้ว
จึงสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่

จากข้อความตรงนี้ ปฐมฌาน หรือฌาน 1


วิตก คืออุบายในการทำให้จิตจดจ่อ อาจจะมีการบริกรรมภาวนาต่างๆ หรือไม่มีการบริกรรมภาวนา
แต่ดูตามอาการที่เกิดตามเป็นจริง เช่น อาการของท้อง พองหรือ ยุบ ตามลมหายใจเข้าและออก
( ธรรมชาติของร่างกาย เวลาหายใจเข้า ท้องจะพอง เวลาหายใจออก ท้องจะแฟ่บหรือยุบ )
หรือการเพ่ง จับจ้อง อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ( เช่น กสิณต่างๆ )

วิจาร คือ อาการที่จิตจดจ่อ อยู่กับสิ่งใด สิ่งหนึ่ง

ปีติ มีอาการที่เกิดแตกต่างกันไป

1.ขุททกาปีติ มีอาการเยือกเย็นจนขนลุกขนพอง ผู้ปฏิบัติมักมีอาการขนลุกจนซู่ซ่า ขึ้นตามตัวและศรีษะ

2.ขณิกาปีติ มีอาการคัน เหมือนมดไต่ ไรคลาน ยุบๆยิบๆ ตามหน้าและตามตัว

3.โอกกันติกาปีติ มีอาการเหมือนโต้คลื่น ตัวโยก ตัวโคลง

4.อุพเพงคาปีติ มีอาการเหมือนตัวเบา ตัวลอยสูงขึ้น บางครั้งมีอาการสัปหงก โงกข้างหน้า โงกข้างหลัง

5.ผรณาปีติ มีอาการเย็นซาบซ่าน วูบวาบไปทั่วกาย

สุข เมื่อเกิดปีติ สุข ย่อมตามมา

อุปสรรคในการฝึกสมาธิ


นิวรณ์ เป็นอุปสรรคโดยตรงของการฝึกสมาธิ เพราะจิตที่ถูกนิวรณ์ครอบงำ ย่อมไม่สามารถตั้งมั่น
เป็นสมาธิได้ ในอกุสลราสีสูตร สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ได้กล่าวถึงนิวรณ์ว่าเป็นกองอกุศล
ดังพุทธพจน์ว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อจะกล่าวว่ากองอกุศล จะกล่าวให้ถูกต้อง กล่าวถึงนิวรณ์ ๕ เพราะว่ากองอกุศล
ทั้งสิ้นนี้ได้แก่ นิวรณ์ ๕ เป็นไฉน? คือ กามฉันทนิวรณ์ ๑ พยาบาทนิวรณ์ ๑ ถีนมิทธนิวรณ์ ๑
อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ๑ วิกิจฉานิวรณ์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อจะกล่าวว่ากองอกุศล จะกล่าว
ให้ถูก ต้องกล่าวถึงนิวรณ์ ๕ เหล่านี้ เพราะกองอกุศลทั้งสิ้นนี้ ได้แก่ นิวรณ์ ๕
( พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ ๒๕๒๕:๑๑๖ )

กามฉันทะ ความพอใจในกาม ความต้องการกามคุณ จัดเป็นโลภะ

พยาบาท ความคิดร้าย จัดเป็นโทสะ

ถีนมิธทะ ความหดหู่ ความเซื่องซึม

อุทธัจจกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน และความร้อนใจ

วิกิจฉา ความลังเล สังสัย


(อันนี้ขอเสริม จากประสพการณ์โดยตรง คือ ให้เราระลึกไว้อยุ่เสมอว่า หน้าที่เราคือทำอะไร
ขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยุ่ ให้เอาจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำ อย่าไปส่งจิตออกนอก นอกอะไร
นอกกายนั่นเอง เพราะการทำสมาธิ เป็นเรื่องของกายและจิต ซึ่งมีสติ สัมปชัญญะ ประกอบอยู่ด้วย
ตลดเวลา หากบางครั้ง ขณะที่ปฏิบัติอยู่ อาจจะมีจิตฟุ้งซ่าน ไปทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้าง
ก็ให้เอาสติจับกลับมารู้ที่กาย ว่ากำลังทำอะไรอยู่ หรือกลับมาจับที่องค์บริกรรมภาวนา
หรือหายใจให้ยาวๆ เพื่อจะได้สติรู้ตัว ว่ากำลังฟุ้งแล้วนะ มันออกไปนอกตัวแล้วนะ
ทำบ่อยๆจิตมันจะค่อยๆสงบลงไป )

นิมิต


ขณะที่ทำสมาธิ อาจจะเห็นภาพ หรือมีภาพต่างๆเกิดขึ้น ไม่ต้องไปสนใจหรือให้ค่าให้ความหมาย
ในสิ่งที่เห็น เพราะเมื่อเราไปให้ค่า ให้ความหมายในสิ่งที่เห็น ต่อมเอ๊ะ จะถูกทำงานทันที ต่อมเอ๊ะก็คือ
ความสงสัย เมื่อความสงสัยเกิดขึ้นแล้ว มันจะเกิดขึ้นไม่รู้จบ จะต้องคอยเทียวไปถามหาคำตอบ
ถาม 100 คนก็ได้ 100 คำตอบ เพราะคำตอบแต่ละคำตอบก็อยู่ที่คนจะให้ค่าให้ความหมายในสิ่งที่เห็น
นั้นๆ การปฏิบัติแทนที่จะก้าวหน้าต่อไปก็เลยสะดุด หยุดไปชั่วคราว บางคนก็หยุดยาวไปเลย
เพราะมัวค้นหาคำตอบ บางคนก็ไปสวรรค์นรกทางนิมิต สุดท้ายการปฏิบัติเลยไม่ก้าวหน้า
ติดอยู่แค่นิมิต



วิธีแก้ เมื่อเกิดนิมิต คือ ไม่ต้องไปสงสัยในสิ่งที่เห็น อาจจะกำหนดตามสิ่งที่เกิดหรือที่เห็น คือ
เห็นหนอๆๆ หายใจยาวๆ รู้หนอๆๆๆ หายใจยาวๆ โดยใช้จิตกำหนด ไม่ใช้ปากกำหนด หรือ เอาจิตปัก
ที่ลิ้นปี่ หายใจยาวๆ กำหนดรู้หนอๆๆๆ คือสักแต่ว่ารู้ แต่ไม่ให้ค่าหรือความหมายในสิ่งที่รู้หรือเห็น
หรือ กลับมารู้ที่กาย โดยการดูอาการของท้องพอง ยุบ หรือหายใจยาวๆเพื่อจะได้มีสติรู้ตัว
นิมิตนั้นก็จะดับไป บางคนก็ไปสวรรค์นรกทางนิมิต สุดท้ายการปฏิบัติเลยไม่ก้าวหน้า ติดอยู่แค่นิมิต


โอภาส บางคนเห็นแสงสีต่างๆ หรือความสว่างเจิดจ้ามากๆ ไม่ว่าจะเป็นแสงสี หรือแม้แต่จะความสว่าง
มากหรือน้อย ก็ไม่ต้องไปสนใจ ให้กลับมารู้ที่กาย โดยเอาสติเข้าจับความรู้สึกว่า ขณะนี้เรากำลังทำอะไร
อยู่ เรากำลังส่งจิตออกนอก ไปสนใจสิ่งนอกตัว ให้กลับมารู้ที่กาย วิธีแก้ ก็ทำแบบเดียวกับการเกิดนิมิต


ปีติ สุข ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเกิดสมาธิ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น อย่าไปดื่มด่ำหรือซึมซับอารมณ์ตรงนั้น
ให้กลับมารู้ที่กาย วิธีแก้ ก็ทำแบบเดียวกับเวลาเกิด นิมิต เกิดโอภาส เพราะสิ่งเหล่านี้ มีผลต่อการ
เจริญสมาธิในขั้นต่อไป หากยังละสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ สมาธิจะก้าวหน้าถึงจตุตถฌาน ไม่ได้
เพราะแต่ละขั้น มีแต่จะละไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีแต่สภาวะปรมัติล้วนๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้
จะไม่มีเหลือในจตุตถฌาน


สิ่งเหล่านี้ ถ้าสามารถผ่านไปได้ อย่างน้อยเมื่อเข้าสู่วิปัสสนาญาณบังเกิด จะได้ไม่ไปติดอยู่ที่อุปกิเลส

25 มีค.
เริ่มกลับมาทำแบบเดิม เดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม. ทำแบบนี้เราไม่เครียด

27 มีค.
ไปปฏิบัติที่วัดมหาธาตุมา 2 วัน

31 มีค.
ยังคงเดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม. ทุกวัน
เวทนาครั้งนี้หนักมากๆ หนักกว่าครั้งที่แล้ว จิตเห็นจิต ย่อมปล่อยวาง เมื่อรู้แล้วว่ามันไม่มีอะไร
มันย่อมปล่อยวางทุกสิ่งลงไป

มันเป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้นเอง เลิกฟุ้งได้แล้ว

วันนี้เจอเวทนาที่หลัง สุดๆเลย เหมือนจะเป็นตะคริวที่หลัง แต่ยังไม่ทันจะเป็น ปวดมากๆ
กำหนดรู้ตลอด หายใจยาวๆ ( กลัวเป็นบ้าเลยเราตอนนั้นน่ะ กลัวเป็นอัมพาต )
ค่อยๆเอามือลงไว้ข้างๆตัว จะยกมือไปข้างหน้าก็ยกไม่ได้ ปวดหลังมากๆ ยกมือไม่ขึ้นเลย
หายใจยาวๆรู้ลงไปในเวทนาตลอด ยืนนิ่งๆ แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นกุมไว้ข้างหน้า พอจะยกได้บ้าง
ก็ค่อยๆเอามือลง และยกไปไว้ข้างหลังเหมือนเดิม มันมีเสียงดังเปรี๊ยะ
แล้วเหมือนกายเราแยกระเบิดออกจากกัน

ในตอนนั้นเหมือนกายแตก แยกออกเป็นเสี่ยงๆ ความรู้สึกเป็นแบบนั้น แต่มีสติรู้ตัวตลอดเวลา
สักพัก รู้สึกหัวโล่งไปหมด เหมือนสมองไม่มีอะไรเลย ทั้งตัวนี่เบาไปหมด

แล้วพอมานั่งสมาธิต่อ แค่หย่อนตัวนั่งลง ยังไม่ทันจะหายใจเข้าเลย มันเข้าสู่สมาธิทันที
ไม่ได้คิดว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นมันคืออะไร เพียงแต่มองว่า เวทนาแต่ละครั้งนี่ มันช่างสุดๆจริงๆ

ครั้งที่ 1 ที่จำได้คือ เวทนาที่เกิดตอนนั่งสมาธิ อันนี้เกิดที่ขา แต่ที่เหมือนกันคือมันหฤโหดสุดๆ
เหมือนๆกัน เหมือนกายมันระเบิดแยกออกจากกันเหมือนกัน แต่ตรงนี้พอมันแตกออกมา
มันกลับมีตัวรู้เกิดขึ้น

ผลที่ตามมาจากการเดินจงกรมแล้วเกิดเกิดเวทนาเวทนาครั้งนี้ โห ... จากที่เราเคยเดินหลังค่อมๆ
คือจะเป็นคนไหล่งุ้ม เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นว่า เดินได้หลังตรงแหนวเลย อาการที่ชอบปวดหลังบ่อยๆ
มันหายไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น โรคปวดหลังนี่ เป็นมาตั้งแต่สมัยทำงาน
ส่วนมากจะเป็นกัน ยกคนไข้ประจำ มันก็เลยเป็นเรื้อรังมาตลอด ( หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท )

ความที่ว่าเจอเวทนาบ่อยๆ แบบโหดๆ เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นว่า สามารถมีสติพิจรณาเวทนาที่เกิดได้ดี
ขึ้นกว่าเมื่อก่อน วันนั้นเจอเวทนาสองชั่วโมงเต็มๆ ( วันไปปฏิบัติที่วัดมหาธาตุ ) พระอาจารย์ท่าน
บอกว่า ขณะที่เดินจงกรม สมาธิเราเกิดมากเกินไป ให้เรารู้ไปในอริยบทย่อยให้บ่อยๆ เพื่อจะได้มีสติ
ให้มากขึ้นกว่านี้ มิน่า ... สังเกตุเห็นหลายครั้งละ ว่าหลังจากเดินจงกรม พอมานั่งสมาธิต่อ
ทำไมเราถึงเข้าสู่สมาธิได้เร็ว เพราะอย่างนี้นี่เอง

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ต้องถามพระอาจารย์ละ เดี๋ยวนี้เลิกถาม เพราะท่านบอกไว้แล้วว่า
ไม่ต้องไปให้ค่าความหมายในสิ่งที่เกิดหรือเห็น ให้ตัดความสงสัยออกไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 24 เม.ย. 2010, 19:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 17, 18, 19, 20, 21, 22, 23 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 33 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron