วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 05:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูอีกแนวหนึ่ง ความจริง แตกต่างกันไปตามพื้นจิตนิสัยของผู้นั้นว่าโน้มเอียงไปทางใด

หนักไปทางไหน





เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว

แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือ เจ็บลอยมาให้เห็น

คือแปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมาก บางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำครับ ซึ่งบางทีนึกถึง

ยังนึกไม่ออกเลยครับ เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย


http://fws.cc/whatisnippana/index.php?board=3.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 11 มี.ค. 2010, 18:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีอยู่นิดเดียวที่บกพร่องสำหรับโยคีทั่วไป คือ ไม่กำหนดรู้ตามที่เห็น ตามที่เป็น ตามที่รู้สึก ตามที่ได้ยิน

ฯลฯ แค่นี้เอง :b1:

เมื่อไม่กำหนดรู้อย่างนั้นทุกขณะ ความคิดก็หมุนวนไปวนมา แล้วก็ยึดติดถือมั่นต่อสิ่งหรือภาพนั้นๆที่

สังขารสร้างสรรค์ปรุงแต่งขึ้น สรุปง่ายๆก็คือโดนนักมายากลหลอกเอานั่นเอง :b14:

กำหนดตามนั้นๆเสียก็จบ หยุดการปรุงแต่งต่อ เพราะวงจรกิเลสขาด

แต่ผู้เริ่มปฏิบัติอาจต้องกำหนดรู้ตามนั้นหลายๆ ครั้ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เมื่อไม่กำหนดรู้อย่างนั้นทุกขณะ ความคิดก็หมุนวนไปวนมา แล้วก็ยึดติดถือมั่นต่อสิ่งหรือภาพนั้นๆที่

สังขารสร้างสรรค์ปรุงแต่งขึ้น สรุปง่ายๆก็คือโดนนักมายากลหลอกเอานั่นเอง :b14:

กำหนดตามนั้นๆเสียก็จบ หยุดการปรุงแต่งต่อ เพราะวงจรกิเลสขาด


สวัสดีครับผม ผมขอถามคุณกรัชกายหน่อยนะครับ

การกำหนดรู้ ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร

ที่อุปมาเหมือนฟูมฟองน้ำ ฟองน้ำฝน พยับแดด ต้นกล้วย ที่ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่จีรัง ไม่เที่ยง

ตัวผู้ไปกำหนดรู้นั้นก็เป็นวิญญาณขันธ์ ที่อุปมาเหมือนมายากล

ผู้กำหนดรู้เป็นมายากล แล้วสมควรเชื่อตัวมายากลนี้ด้วยหรือครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พี่ชื่อจุฬาภินันท์ค่ะ ปฏิบัติที่บ้านเหมือนกัน ขอไล่เรียงตรงๆนะคะ พี่ไม่สนใจว่าใครปฏิบัติของอาจารย์ท่านไหน สำหรับพี่ พี่ตอบได้เต็มปากว่าเข้าใจธรรมโดยแท้ ปัจจัยที่ทำให้รู้ว่าเข้าถึงธรรมคือได้ปัญญาธรรมคือสุตตมยปัญญาค่ะ และได้จินตามนยปัญญาตามสุตตมยปัญญา พี่อธิบายในบล็อกของพี่ไว้ตามลิงค์ข้างล่างนะคะ คนเข้าใจปัญญญาสองตัวนี้ผิดกันเยอะมากน่ะค่ะ ปัญญาธรรมเป็นปัญญาประมาณว่ารู้อดีตรู้อนาคตอย่างที่เราๆคงพอรู้กัน

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chularaa&month=01-2010&date=25&group=25&gblog=7

การได้มายึ่งฌาน ฌานแรกคือโสดาบันคือเข้าใจในธรรมที่ลึกซึ้งอย่างแท้ๆ เข้าใจแบบรู้ทางที่จะไปสู่พระนิพพานได้น่ะค่ะ รู้หลักปฏิบัติไม่ให้ตัวเองทุกข์ ไม่ใช่ให้สุข พระนิพพานเป็นสภาวะไม่ทุกข์ไม่สุขแต่อยู่เหนือกว่านั้นเหนือสัจธรรม การจะเข้าถึงก็ด้วยศีลและสมาธิค่ะที่ใส่ความเพียรพยามอย่างพอดีๆ สมถะสมาธิก็พอเพ่งลมหายใจก็พอค่ะ

การจะรู้ว่าได้โสดาบันนั้นมีสิ่งบ่งชี้ค่ะคือ ในตอนทำสมาธิอยู่หัวจะมีความคิดสารพันสารเพตีกันยุ่งเลยค่ะ แต่ก็ต้องนั่งจนจบตามเวลาที่ตั้งใจไว้ พอออกจากสมาธิความคิดที่ตีกันยุ่งนั่นจะหายไปค่ะ แล้วความเข้าใจก็เกิดขึ้นเองเข้าใจว่าพระนิพพานคืออะไร เข้าใจว่าทางสายกลางคือสายไหน เข้าใจว่าธรรมสอนกี่อย่าง ฯลฯ ซึ่งมันผิดไปจากที่เราๆเข้าใจกันพอสมควรค่ะ

โสดาบันเป็นขั้นแรก ก่อนจะได้โสดาบันจิตเราจะลงถึงนรก ได้ยินเสียงอย่างเดียวค่ะแล้วแต่ว่าจะมาแบบไหน ได้ยินตลอดเวลาและมารก็กวนให้ได้ยินเสียงดังจนแทบนอนไม่ได้ มีดวงจิตของวิญญาณเร่ร่อนกระโดดเข้าใส่แบบไม่เห็นอะไรเลยแค่รู้สึก ที่ไม่เห็นเพราะวิญญาณพวกนั้นไม่มีร่างแล้ว

การปลงอสุภะที่น้องเห็นน้องรู้สึกนั่นเป็นไปด้วยกิเลสของน้องค่ะ กิเลสมันหลอกน้อง จินตนาการและความคิดคนเรามันร้ายนะคะ น้องไม่ต้องไปนั่งสมาธิหรือเดินก็ปลงได้ ของพี่ๆแค่ทำความสะอาดหูแล้วดมดูพี่ก็ปลงได้แล้วค่ะ เคยได้กลิ่นเหมือนกันกลิ่นศพแต่เบาบางมากเพราะพี่ปลงได้ก่อน และเหมือนเดิมคือไม่มีทางเห็นเด็ดขาดเพราะจิตพาไปค่ะไม่ใช่ตาพาไป

นั่นแหละค่ะขั้นแรกแห่งการเข้าถึงปัญญาธรรม ขั้นต่อไปเป็นสกิทาคามีซึ่งจะเป็นขั้นที่ได้ปัญญาหลั่งไหลแบบสุดๆ รู้อดีตชาติและรู้อนาคตของตัวเองค่ะ อย่างที่พี่อธิบายในบล็อกของพี่ตามลิงค์แหละค่ะ แล้วจากนั้นก็ปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ ปัญญาธรรมก็จะได้ลึกลงเห็นแจ้งมากขึ้นได้ญาณต่างๆ อะไรแบบนั้นน่ะค่ะ

พอได้ขั้นแรกแล้วมารจะกวนตลอดเวลาทั้งตอนที่ทำสมาธิและไม่ทำ มันไม่โผล่มาให้เห็นตัวเหมือนเดิมเพราะเราไปนรกไม่ใช่มันมาหาเรา กวนจุดอ่อนของเราซะด้วยว่าอดีตชาติเราโดนเรื่องไม่ดีอะไรมา เราก็ต้องพยายามเอาสมาธิชนะมัน พอชนะแล้วเราจะรู้ล่วงหน้าว่ามันจะมาค่ะ แบบชะเอะใจว่าเออนะมันจะโผล่แล้ว และเหมือนเดิมไม่มีการเห็นใดๆ คนกลัวผีจะเลิกกลัวผีกันก็คราวนี้แหละ

ลำดับฌานมีตามนี้ค่ะ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ พระมหาโพธิสัตว์ และพระบรมโพธิสัตว์ สองฌานหลังนั่นแหละค่ะที่เหนือสัจธรรม และไม่จำเป็นต้องเป็นแต่พระที่ได้ คนธรรมดาก็เป็นได้ค่ะ ได้ถึงระดับพระมหาโพธิสัตว์เลยทีเดียว ในหลวงเราพระองค์เดียวค่ะที่เป็นพระมหาโพธิสัตว์ การผ่านด่านยากอยู่ที่อรหันต์ค่ะยากที่การละวางตัวตนอย่างแท้จริง จากนั้นก็ปฏิบัติเพื่อให้ถึงสัมมาสัมโพธิญาณ ความยากไม่มีแต่ต้องใช้ความเพียรมากหน่อย เวลาถูกลิขิตไว้แล้วด้วยบุญกรรมของแต่ละคนค่ะ บวกถือศีลบริสุทธิ์และทำสมาธิด้วยความเพียรพยายาม การได้มาซึ่งฌานและญาณเป็นไปได้สำหรับทุกคนค่ะ

หกอย่างที่สำคัญที่สุดของการได้ฌาน - ปฐมบรมเทศนาและโอวาทปาติโมกข์ค่ะ
- ศีลบริสุทธิ์
- สมาธิ แค่สมถะสมาธิก็พอ (วิปัสสนาเอาไว้ได้ปัญญาธรรมก่อนแล้วค่อยทำ)
- ปัญญาธรรม
- ทำดี
- ละชั่ว
- ใจเบิกบาน (ใจที่บริสุทธิ์ด้วยพรหมวิหารสี่ค่ะ)


แก้ไขล่าสุดโดย chulapinan เมื่อ 15 เม.ย. 2010, 19:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 22:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผู้กำหนดรู้เป็นมายากล แล้วสมควรเชื่อตัวมายากลนี้ด้วยหรือครับ


ขณะใดไม่กำหนดรู้ ขณะนั้นเป็นมายากล ถูกหลอกถูกลวง

แต่เมื่อกำหนดรู้ตามที่มันเป็นก็เป็นองค์ธรรม มีสติและสัมปชัญญะ เป็นต้นเป็นตัวรู้หรือวิชชาขอรับ

สรุปก็มีแค่ อวิชชา ความไม่รู้ กับ วิชชาความรู้เท่านั้นเอง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ผู้กำหนดรู้เป็นมายากล แล้วสมควรเชื่อตัวมายากลนี้ด้วยหรือครับ


ขณะใดไม่กำหนดรู้ ขณะนั้นเป็นมายากล ถูกหลอกถูกลวง

แต่เมื่อกำหนดรู้ตามที่มันเป็นก็เป็นองค์ธรรม มีสติและสัมปชัญญะ เป็นต้นเป็นตัวรู้หรือวิชชาขอรับ

สรุปก็มีแค่ อวิชชา ความไม่รู้ กับ วิชชาความรู้เท่านั้นเอง :b1:


ผมว่าที่พระพุทธองค์อุปมาว่าวิญญาณขันธ์(ตัวผู้รู้)เปรียบเหมือนมายากล

น่าจะตรงตัวอยู่แล้วนะครับ ตัวผู้รู้นี่แหละที่เป็นมายากล

ในส่วนของนาม ถ้าแจ้งในความเป็นไตรลักษณ์ของ เวทนา สัญญา สังขารแล้ว

แต่ยังติดอยู่กับตัวที่ตามดูตามรู้นี้

มันก็เปรียบเสมือนมายากลจริงๆ

รู้หมดแล้ว รู้ในทุกอย่างแล้วว่าเป็นไตรลักษณ์ ไม่มีอะไรเป็นตัวเราของเรา

แต่ไม่รู้ว่าตัวรู้นี้ก็ไม่ใช่เรา เป็นไตรลักษณ์เหมือนกัน

ถ้ายังมีผู้รู้แสดงว่าต้องยังมีสิ่งที่ถูกรู้ เป็นสภาวะที่มีสองสิ่ง

ถ้าวางผู้รู้เสียแล้ว ก็ไม่มีทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ จึงจะเข้าสภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวได้ไม่ใช่หรือครับ

ถ้าพิจารณาเช่นนี้ก็น่าจะเข้าถึงสภาวะของจิตหนึ่งที่หลวงปู่ดุลย์กล่าวไว้ได้ใช่มั้ยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 23:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:

แต่ยังติดอยู่กับตัวที่ตามดูตามรู้นี้

มันก็เปรียบเสมือนมายากลจริงๆ

รู้หมดแล้ว รู้ในทุกอย่างแล้วว่าเป็นไตรลักษณ์ ไม่มีอะไรเป็นตัวเราของเรา

แต่ไม่รู้ว่าตัวรู้นี้ก็ไม่ใช่เรา เป็นไตรลักษณ์เหมือนกัน


ตัวรู้..ตัวแรกที่รู้สึก..มันเป็นขันธ์..มี..วิญญาณขันธ์..สัญญาขันธ์..สังขารขันธ์..ล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์

อันนี้ก็ถูกแล้ว
อ้างคำพูด:
ถ้ายังมีผู้รู้แสดงว่าต้องยังมีสิ่งที่ถูกรู้ เป็นสภาวะที่มีสองสิ่ง

ถ้าวางผู้รู้เสียแล้ว ก็ไม่มีทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ จึงจะเข้าสภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวได้ไม่ใช่หรือครับ

ถ้าพิจารณาเช่นนี้ก็น่าจะเข้าถึงสภาวะของจิตหนึ่งที่หลวงปู่ดุลย์กล่าวไว้ได้ใช่มั้ยครับ


ผู้รู้..ที่หลวงปู่ให้วาง..นี้..เป็นผู้รู้..ของอวิชชา..เป็นธาตุรู้..ที่อวิชชาบงการ

ลอง..ทบทวน..ปฏิจจสมุปบาท..ดู

ที่หลวงปู่ให้วาง..ก็ด้วยเหตุนี้..เพราะเชื่อมัน..ยังไม่ได้..ยังไม่เป็นธรรม

ความคิดที่จะวาง..ที่จะไม่เอา..นี้..เป้นลักษณะของ..วิชชา..

เมื่อ..สว่างมา..มืดก็สลาย..วิชชามา..อวิชชาก็มลาย..ไม่ต้องไปปิดไปบัง..ไปเข่นไปฆ่า

หลวงปู่ให้วาง..คือหลวงปู่ให้วิชชา

ผู้รู้..เป็นธาตุรู้..ก็รู้อย่างเป็นธรรม..หรือจะเรียก..ธรรมธาตุ..ก็ได้

:b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 01:42, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 01:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขมาทุกท่านด้วย...

เนืองจากเมื่อวานเรามาดูกระทู้ของตัวเองแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า ก็เลยไม่ได้มาดูต่อ จนเมื่อถึงเวลาที่เราจะกลับมาบันทึกอีกที เราตกใจเหลือเกินที่จากคอมเม้นต์แค่ 4 อัน มันกลายเป็นกระทุ้นี้มีหน้าสองเกิดขึ้นแล้ว

เราตกใจมากเลยคะ เกิดอะไรขึ้น???
มีดราม่าเกิดขึ้นในกระทู้ตัวเองหรือเปล่า!!!
(แต่ท่าทางไม่มีนะคะ.. รอดตัวไป :b20: )

เราจะเริ่มไล่อ่านทีละคอมเม้นต์นะคะ

หลังจากที่พี่ทักทาย บอกว่าไม่กลัวผีแล้วทั้งๆที่ยังมองเห็นผีอยู่ เราก็เลยเริ่มเข้าใจคะว่าผีทำอะไรเราไม่ได้น่ะคะ.... ตอนนี้(ที่ทำในวันนี้) เห็นแค่นิมิตอะคะ... แต่ถ้าผีตัวจริงโผล่ออกมา เราจะกลัวหรือเปล่าเรายังไม่รู้เลยคะ :b14:
แต่พี่ทักทายเห็นนิมิต น่ากลัวจริงๆคะ.... แอบดีใจนิดหนึ่งที่ไม่ได้เจอถึงขนาดนั้น :b20:


taktay เขียน:
หนูวาไม่ต้องกลัวนะค่ะ...
ต้องคิดว่าเราปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ...เราเป็นลูกพระตถาคต...ต่อให้พญามารมาเอง...
ก็ทำอะไรลูกตถาคตไม่ได้....ท่องไว้...อีกสองสามวัน..เชื่อว่าหนูวาคงจะเลิกกลัวผีได้เอง..
ถ้าไม่หนีเสียก่อน.... :b4:
[/i]

จริงๆแล้วตอนนี้เราเชื่อตัวเองมากกว่าน่ะคะ... ดังนั้นเราคิดว่าเราจะต้องพึ่งตัวเองให้ได้ก่อนคะ...
สักวันเราอาจจะมีศรัษธาที่แรงกล้าเชื่อมั่นในพระตถาคตจริงๆ แต่ตอนนี้เรายังไม่ถึงขั้นนั้นน่ะคะ เรารู้ตัวดี....
สักวันหนึ่งเราจะมีศรัษธาที่แรงกล้าและเต็มเปี่ยมให้ได้คะ :b16:


taktay เขียน:
ยินดีมากค่ะ หาเพื่อนคุยเรื่องนี้ด้วยอยู่แล้ว
จะได้เหมือนกับทบทวนสภาวะไปในตัวด้วย บางทีตอนบันทึก..นึกไม่ออก
พอได้มาแชร์กันแบบนี้ กลับนึกได้ทีหลังก็มี ถ้าหนูวาไม่เบื่อ :b48:

วันนี้ขอปรบมือให้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอีก ฉอง..นาที :b35:

อนุโมทนาสาธุ เจริญในธรรมค่ะ :b8:

ขอบพระคุณมากคะ เรื่องของพี่ก็ให้ประโยชน์เราได้มากเลยคะ ตอนนี้เราเริ่มเพลาๆกลัวภาพนิมิตแล้ว ขอบคุณคะ :b8:
สาธุ :b39: :b39: :b39:


ประยุทธ์ เขียน:
เป้นสิ่งที่ดีมากเลยที่เล่าการปฏิบัติให้ทราบ
ทำไมต้องกลัวด้วยละครับ
สิ่งที่เรียกว่าผีนั้น เป็นสิ่งที่อยู่นอกภพภูมิของเรา
เขาจะไม่มาหลอกเราหลอกนะ เขามาขอส่วนบุญกับเรามากกว่า
อุทิศส่วนบุญให้เขาสิ ทำทุกวัน
ผมก็เคยพบเขาได้พูดคุยกับเขาโดยไม่รู้ว่าเป็นเขาถ้าตอนกลับเขาไม่แสดงปาฏิหารไม่รู้เลยว่าเป็นเขา
อุทิศบูญให้เขาไปเขาก็ไม่มากวนอีก
ให้คิดว่าสิ่งทุกสิ่งที่เราพบเจอ มีกรรมร่วมกับเรามาทั้งนั้นเมื่อเขาลำบากเขามาหาเราให้เราช่วย
เราต้องช่วยเขาได้บ้างตามอัตภาพของเรา

ขอบคุณมากเลยคะ เราเองก็พอรู้ว่าเขามาขอบุญ... แต่บางทีมันอดไม่ได้อะคะ :b2:
บอกไม่ถูกว่ากลัวเพราะอะไรเหมือนกัน ถ้าได้เจอก็อาจจะดีนะคะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนเราจะยังไม่พร้อม :b27:
ขอบพระคุณมากคะ :b39:


taktay เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หากเสน่ห์แรงดังว่า กรัชกายคงได้รับการต้อนรับจาก
จขกท.บ้างแล้วล่ะครับ แต่นี่...ดังนั้น จึงไม่น่ามีอันตราย :b32:



หนูวา..ระวังตัวด้วย แถวนี้มีระเบิด :b5:

ไม่น่ามาโปรยเสน่ห์แถวนี้เลยนะคะ ที่นี่เวปธรรมะ เรามีจุดประสงค์ด้วยเรื่องธรรมะเลยมาที่นี่น่ะคะ

Rosarin เขียน:
tongue
Kiss
:b37:
...Happy Birthday คุณน้องวาวา...
...ขออนุโมทนาบุญกุศลด้วยค่ะ...
...นั่งสมาธิถ้ากลัวผี...มีวิธีแก้...ผีไม่เข้าใกล้ด้วย...
...ฟังพระธรรมเทศนาไปด้วยขณะนั่งสมาธิ...
...ใจอยู่กับตัว...ใช้หูฟังเสียง...ระลึกพุทโธ...
...เท่านี้ก็โอเค...ใจก็จะไม่วอกแวกไปไหนค่ะ...
...ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยนะคะ
onion onion onion

จะปลื้มมาก... ถ้าไม่เขียนชื่อของเราแบบนั้นน่ะคะ

nuttida เขียน:
สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้ัจักนะคะ

วันนี้เ้ข้ามาอ่าน เจอเรื่องของพี่ทักทายน่ากลัวมากเลยค่ะ ปกติตัวเองเป็นคนกลัวผีมากๆๆๆ แต่ตอนหลังมาหัดปฏิบัตินั่งกรรมฐานโรคกลัวผีก็ดีขึ้นแต่ยังไม่หาย ทุกวันนี้เวลานั่งหรือเดินจะไม่เคยเห็นอะไร บางทีเห็นเค้าพูดกันก็เกิดอาการอยากเห็นเหมือนคนอื่น แต่ก็จะพยามยามห้ามตัวเอง มีคนบอกว่าที่ได้เห็นเป็นบททดสอบจิตใจ ทุกวันนี้ถ้าวันไหนถือศีลแปดก็จะไม่ค่อยกล้าลงมานอนที่พื้นเท่าไหร่ กลัวมองไปใต้เตียงแล้วจะเห็นอะไร

น้องวา ขออนุโมทนาบุญกุศลด้วยอีกคนนะคะ แล้วจะเข้ามาอ่านเรื่อย ๆ ขอให้เจริญในธรรมค่ะ
:b8:

ขอบพระคุณมากคะคุณ nuttida
เราเองคิดแบบคุณเลยน่ะคะ แต่ว่าเราไม่ได้ถือศีลแปดด้วย (แต่ตอนนี้ถือศีลห้า) นอกจากจะไปวัดแล้วนุ่งผ้าขาวรับศีลแปดน่ะคะ เลยไม่มีช่วงที่กลัวผีมากเป็นพิเศษ :b12:
อนุโมทนาบุญด้วยเช่นกันคะ ขอบคุณคะ :b39:

เราอยากให้คุณกรัชกายใช้ภาษาพูดธรรมดานี่แหละคะ มาบอกเล่าสู่กันฟัง ภาษาของคุณกรัชกายปริยัติเกินไปน่ะคะ เราไม่ชอบตีความประโยคยากๆเท่าไร เพราะบางทีนอกจากจะมึนแล้วยังสามารถทำให้เนื้อความเพี๊ยนได้คะ เพราะการตีความของคนเราแตกต่างกัน
อย่างเช่น can ยังสามารถแปลได้ว่าเป็น กระป๋อง และ สามารถ ได้เลย

-------------------------------------
คั่น คอมเม้นต์เยอะจริงๆ เรามึนแล้วน่ะคะ... แต่จะพยายามอ่านให้เข้าใจ และตอบต่อไป
-------------------------------------


chulapinan เขียน:
พี่ชื่อจุฬาภินันท์ค่ะ ปฏิบัติที่บ้านเหมือนกัน ขอไล่เรียงตรงๆนะคะ พี่ไม่สนใจว่าใครปฏิบัติของอาจารย์ท่านไหน สำหรับพี่ พี่ตอบได้เต็มปากว่าเข้าใจธรรมโดยแท้ ปัจจัยที่ทำให้รู้ว่าเข้าถึงธรรมคือได้ปัญญาธรรมคือสุตตมยปัญญาค่ะ และได้จินตามนยปัญญาตามสุตตมยปัญญา พี่อธิบายในบล็อกของพี่ไว้ตามลิงค์ข้างล่างนะคะ คนเข้าใจปัญญญาสองตัวนี้ผิดกันเยอะมากน่ะค่ะ ปัญญธรรมเป็นปัญญาประมาณว่ารู้อดีตรู้อนาคตอย่างที่เราๆคงพอรู้กัน

ขอบคุณมากเลยคะ แต่เราแยกปัญญาไว้แค่สองอย่าง จำได้ง่ายๆน่ะคะ
คือปัญญาทางโลก
กับปัญญาทางธรรม

ต่อไปเป็นรายงานการปฎิบัติกรรมฐานของเราในวันนี้คะ :b39:

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 01:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 11 มีนาคม 2553
เดิน 30 นอน 5 นาที

วันนี้เดินแล้ว
ช่วงแรกนั้นรู้สึกไม่อยากที่จะเดินเลย เดินไปได้สองสามนาที ใจเริ่มเข้าสู่ความสงบ ก็เดินต่อไป เดินสามระยะที่เคยฝึกมา

แล้วสักพัก รู้สึกเหมือนกำลังรักษาใจตัวเองที่เจ็บปวดกับอะไรบางอย่าง และนิสัยที่ไม่ดีอยู่ มันคิดอะไรสักอย่างแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจ น้ำตาซึม แต่มีสติรับรู้ รู้ว่าน้ำตาซึมอยู่หลายครั้ง

แต่ยังมองออกไม่ชัดว่าเสียใจเรื่องอะไร แต่วันนี้องค์ความรู้ที่ได้รับนั้นก็คือ ตัวเรามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น มั่นใจที่จะเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง มีความรับผิดชอบและเริ่มมองเห็นตามความเป็นจริงได้มากขึ้น
วันนี้เดินแล้ว เห็นกิเลสนานา เข้ามาหาตัวเรา... มีเกือบครบ... ทุกกิเลส

เราเริ่มยอมรับว่าเรามีมัน มันก็เลยมา เรื่องที่เจออันดับแรกของการเดินครั้งนี้ เป็นเรื่องของกาเม ที่ที่ผ่านมาเราไม่เจอสักเท่าไหร และก็ไม่คิดว่าจะได้เจอด้วย เราเริ่มมองเห็นภาพอะไรต่างๆ เราเคยปฎิเสธว่าเราไม่มีมัน แต่จริงๆแล้วมันก็ยังมีอยู่ในตัว ถ้าเราไม่ยอมรับ มันจะไม่มาและเราจะไม่ผ่าน ดังนั้นเราก็เลยต้องยอมรับ เรามองเห็นภาพต่างๆที่เข้ามาในหัวของเรา มีทั้งที่รับได้ แปลกใจ และรับไม่ได้ แต่เราจะดูเพียงแค่เป็นผู้ดู
ช่วงที่เดินช่วงนี้รู้สึกเพ่งที่ดั้งจมูกมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมานานเลย คือตรงดั้งจมูกจะรู้สึกตึงๆปวดๆ เราคิดว่าเราคงสมาธิเยอะไปแหละช่วงนั้น เราก็เลยส่งสมาธิไปให้พี่คนหนึ่ง เมื่อสมาธิผ่อนแรงลงเราก็เดินต่อได้ตามปกติ
(ซึ่งเราไม่รู้ว่าเกิดจากการที่สมาธิมากไปหรือเปล่า แต่อาจไม่ใช่ก็ได้)

แต่หลังจากเห็นไปได้สักพัก เรากลับเริ่มมองเห็นว่าร่างกายของเราเป็นกระดูก สีขาวๆอยู่ในตัวของเรา แล้วจากนั้นเหมือนตอนที่กำลังเรียกชีววิทยาเลย เราน่ะเป็นคนที่กลัวพวกเครื่องในมากกกกก ตอนที่วิชาชีวะผ่ากบนั้นเราโดดเรียนเลย เพราะเรากลัว หรือตอนที่ให้ลงสีภาพเครื่องในที่อยู่ในร่างกายของคนนั้น เรายังยอมขยำกระดาษแผ่นนั้นทิ้งแล้วไม่ส่งอาจารย์ เราไม่กินเครื่องในของสัตว์ใดๆทั้งสิ้น กินแค่เนื้ออย่างเดียวก็พอ แต่คราวนี้ภาพกระดูก เรามองเห้นว่ามันอยู่ในกายของเรา แล้วจากนั้นก็เป็นภาพเครื่องใน หัวใจ ตับ ไต ไส้พุง ไล่ตั้งแต่เนื้อเยื่อสมองไปจนถึงกล้ามเนื้อ น้ำเหลืองที่อยู่ใต้แผ่นหนังของร่างกาย แผ่นเนื้อแผ่นไขมัน เรามองเห็นแบบนี้เราก็แค่มองแล้วก็พิจารณาไปด้วย ใจเราก็คิดว่าถ้าได้เห็นแบบนี้แล้วเราก็อยากจะปลงในกาย ปลงร่างกายของตัวเอง แต่เรายังไม่ได้รู้สึกถึงขั้นนั้น

บางทีเหมือนเห็นภาพหลอนว่ามีกระโหลกอยู่ตรงหน้า เห็นรอยยับของเสื้อผ้าคือเครื่องใน ตอนนี้เราทำหน้าที่เพียงแค่มอง มอง แล้วก็มอง รับรู้ว่าร่างกายมีสิ่งเหล่านั้นที่เราไม่พึงประสงค์อยู่
สิ่งที่เรามองเห็นอาจจะแปลก แต่นั้นก็คือวิธีพิจารณาของเรา
ตอนนี้เราเริ่มมองออกแล้วว่า การสนใจผู้อื่นนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

ช่วงหลังของการเดิน เดินแล้วปวดหลังมากๆแบบว่า ไม่รู้จะปวดอะไรนักหนา เราก็เลยตัดสินใจไม่นั่งสมาธิ แต่จะนอนสมาธิแทน

ช่วงที่นอนสมาธิ ใจของเราก็มองดูลมหายใจที่จมูกและท้อง เราอยากรู้ว่ามันทำงานประสานกันยังไง
หายใจเข้า ท้องพอง
หายใจออก ท้องยุบ

เราว่าเราดูออกค่อนข้างยากนะ ต้องใจสงบจริงๆจึงจะแยกถูก (คนอื่นดูได้ง่ายอะเปล่า ไม่รู้เหมือนกัน)
ได้ความรู้ว่า การจะกระทำอันใดนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมจะดีกว่านึกถึงผลประโยชน์ที่ตัวเองพึงได้รับ

จากนั้นเราก็เริ่มฟุ้ง คิดนู้นคิดนี้ แต่มีสติรู้ว่ายังนอนสมาธิอยู่ จากนั้นก็เลิกทำสมาธิเมื่อหมดเวลา

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


แก้ไขล่าสุดโดย varinne เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 01:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 03:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


nuttida เขียน:
วันนี้เ้ข้ามาอ่าน เจอเรื่องของพี่ทักทายน่ากลัวมากเลยค่ะ :b8:


ไม่ใช่จะมีแต่สิ่งที่น่ากลัวอย่างเดียว...เคยเห็นตัวเองเป็นเทวดา..
แล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นพระอินทร์...จากองค์ผอมๆ...ตัวก็เริ่มอ้วนขึ้นๆ...
จนกลายเป็นพระอินทร์ที่อ้วนฉุ...แล้วหน้าจากยิ้มๆอยู่...ก็ค่อยๆหุบและเปลี่ยนเป็นถมึงทึง...ก็มี
บางทีกำลังกำหนดพองยุบอยู่...ลมหายใจขาดช่วง..และหายไปเหมือนเราลืมหายใจ...ทุกอย่าง
หายไปหมด...เหลือแต่ทรวงอกที่กระพืมพองยุบ...รึบกลับมาดูกายที่นั่งอยู่...แทนที่จะเห็นตัวเอง
กลับเห็นเป็นชายหนุ่มนั่งอยู่แทน...แล้วก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นฤาษี...หนุ่มใหญ่...ก็มี :b1:

บางครั้ง...เดินๆอยู่...เหมือนพื้นยกขึ้นมารองรับเท้า...บางที่ก็ได้กลิ่นหอมของอะไรไม่รู้..ไม่เคย
ได้กลิ่นมาก่อนเลย...หอมมากๆ หรือบางทีก็ได้ยินเสียงบรรเลงเพลง...ฟังไม่ออกว่าเป็นเพลงอะไร..
รู้แต่ว่าเหมือนมโหรีวงใหญ่ เพลงเพราะมากๆ....เกือบกำหนดไม่ทัน...เพราะมัวฟังเพลินก็มี.... :b20:

ทุกอย่างคือกิเลสทั้งนั้น...เขามาทดสอบ...มาลวงเรา...แต่ละคนจะประสบ พบเจอไม่เหมือนกัน
เห็นสิ่งที่ไม่น่ารื่นรมย์...ก็อย่าไปรังเกียจ...อย่าไปกลัว...เห็นสิ่งที่สวยงาม...ก็อย่างไปหลงใหล
รับรู้เพียงอย่างเดียว....อย่าจดจ้อง...อย่าคาดหวังว่าจะต้องเจออย่างนั้นอย่างนี้...สิ่งที่เราเจอ
เราเห็นในนิมิตนั้น...เราอาจจะเห็นจริง...แต่อาจจะไม่ใช่ของจริง.... :b14:

ยกตัวอย่างง่ายๆคือ...เราขับรถจากเชียงใหม่จะไปกรุงเทพฯ...ถนนสายเดียวกัน...ผ่านภูเขา
ทุ่งนาป่ากว้าง....ผ่านบ้านเมือง...มีป้ายโฆษณา...มีสะพาน...เหมือนกัน...แล้วแต่ว่าใครจะเก็บภาพ
อะไรมาในระหว่างทาง....ทั้งๆที่ภาพเหมือนๆกัน...แต่เก็บภาพหรือเห็นภาพไม่เหมือนกัน.....
แต่สิ่งเหล่านี้หาใช่สาระสำคัญไม่....เราจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางอย่างไร?...ให้เร็วและ
ไม่เสียเวลาหลงทางต่างหากที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด..... :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าวางผู้รู้เสียแล้ว ก็ไม่มีทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ จึงจะเข้าสภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวได้ไม่ใช่หรือครับ

ถ้าพิจารณาเช่นนี้ก็น่าจะเข้าถึงสภาวะของจิตหนึ่งที่หลวงปู่ดุลย์กล่าวไว้ได้ใช่มั้ยครับ



ต้องขอประทานอภัยคุณพงพันขอรับ กรุณาอย่าอ้างหลวงปู่นั่น หลวงพ่อนี่ อาจารย์โน่นเลยขอรับ

หากจะสนทนากับกรัชกาย ก็เป็นเรื่องของเราสองคนที่จะสนทนากันตามภูมิรู้ และความเข้าใจของตนๆ

อ้างหลักฐานในคัมภีร์พุทธศาสตร์ได้ แต่อย่าอ้างคำพูดของหลวงปู่ หลวงพ่อหรืออาจารย์นั่นนี่ ท่านว่างั้น

ว่า งี้ :b1: อ้างกันเป็นสายเป็นทางเชียว อ้างไปอ้างมาก็จะแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระอริยะชั้นนั้นชั้นนี้

เพราะอะไร ? เพราะกรัชกายขี้เกียจตามไปสนทนากับหลวงพ่อหลวงปู่ดังกล่าว เป็นต้น

พวกเราถกเถียงกันเฉพาะในตำราคือพระไตรปีฏกก็มากเกินพอแล้ว ยังไม่ลากไปเอาคำพูดของพระอื่นๆมาอีก

ก็ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ :b1:

ต้องขออภัยหากพูดตรงไปตรงมาเกินไปขอรับ :b1: :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 08:50, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 08:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครับผม... ขออนุโมทนาสาธุด้วยคนครับ และขออนุญาตแนะนำสักเล็กนอยนะครับ หากสิ่งเป็นประโยชน์ก็โปรดนำไปใช้ หากสิ่งใดไม่เกิดประโยชน์ก็กรองทิ้งไว้นะครับ
ท่านขึ้นต้นว่า "การเจริญสติของข้าพเจ้า" เนื่องด้วยการเจริญกัมมัฏฐานนั้นแบ่งออกเป็น
1.การเจริญสมถปัฏฐานกัมมัฏฐาน คือการทำสมาธิโดยทั่วไปให้เข้าถึงฌาน
2.การเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน หรือ การเจริญสติปัฏฐานกัมมัฏฐาน คือการทำสมาธิด้วยการระรึกรู้ เพื่อนำทางไปสู่ปัญญาการรู้แจ้ง
สิ่งที่กระผมจะแนะนำท่านคือ
1.ก่อนที่ท่านจะทำสมาธิให้ท่านเตรียมกาย ใจ สถานที่ให้พร้อมก่อน
2.ให้ท่านสวดมนต์ และทำการแผ่เมตตา ก่อนทำสมาธิ
3.ขณะท่านเข้าสู่สมาธินั้น รู้สึกจงสักต่วรู้สึก ได้ยินจงสักแต่ว่าได้ยิน ได้เห็นจงสักแต่ว่าเห็น ...จงสักแต่ว่า
4.กำหนดแบ่งสติออกเป็นสองส่วน
4.1.สติหนดรู้ที่ลมหายใจ
4.2.สติส่วนกำหนดรู้ความคิด จิตคิดอย่างไรก็ให้กำหนดรู้ว่ามันคิด (ความคิดถูกเรารู้ว่ามันคิด ก็จะหยุดคิด) ให้ตามรู้คามคิดให้ได้ตลอด รู้ว่ามันคิด รู้ว่ารู้ว่ามันคิด และรู้ว่ามันกำลังจะคิด
หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นขอท่านจงอย่าทิ้งลมหายใจ อย่าเข้าไปดู อย่าเข้าไปฟัง ขอให้จงสักแต่ว่า.
การทำลายความกลัว1.กลัวผี 2.กลัวความตาย
ให้ท่านนึกถึงมรณานุสสติ เพื่อข่มความกลัวในใจท่าน เมื่อจิตที่กลัวเกิดอ่อนตัวลงจนเข้าสู่จิตปกติ ก็ให้เข้าสู่การเจริญสมาธินั้นดังเดิม
อย่าอยากได้ อย่าอยากรู้ อย่าอยากเห็น เมื่อปัญญาเกิดและมีพลังพอท่านจะได้มาเอง


แก้ไขล่าสุดโดย ด.ช. ฉันทะ เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 08:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ไม่น่ามาโปรยเสน่ห์แถวนี้เลยนะคะ ที่นี่เวปธรรมะ เรามีจุดประสงค์ด้วยเรื่องธรรมะเลยมาที่นี่น่ะคะ


ใจเย็นๆ ค่อยๆกำหนดไป ตามทีมันเป็น คือ รู้ตามทีมันเป็น เป็นยังไง กำหนดยังงั้น

ยิ่งลุกลี้ลุกลน นั่นไม่ใช่ทาง ต้องค่อยๆ หมั่นสังเกตกายใจ ตามที่เป็น มิใช่เราต้องการให้มันเป็น :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
ถ้าวางผู้รู้เสียแล้ว ก็ไม่มีทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ จึงจะเข้าสภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวได้ไม่ใช่หรือครับ

ถ้าพิจารณาเช่นนี้ก็น่าจะเข้าถึงสภาวะของจิตหนึ่งที่หลวงปู่ดุลย์กล่าวไว้ได้ใช่มั้ยครับ


วางยังไง...คะ...

ยังไง...จึงเรียกวาง...คะ...

วางเพื่ออะไร...

ผลของการวางแล้วเป็นเช่นไร...

ทำไม...ขึ้นต้นเป็น...มายากล...(ขันธ์)....แต่พอลงท้ายกลับกลายเป็น อวิชา กะ วิชา

ความเห็นของทั้ง...จานป้อ...และ...ท่านอ๊บ อ๊บ...
สะท้อนไปถึงนัย...เดียวกัน...
แม้แต่ท่านพงพัน...ที่นำคำกล่าวหลวงปู่ดุลย์มากล่าว...

ในคืนวันที่นอนหลับฝันอยู่ในรั้วศรีธัญญา...
เอกอน...ก็ฝันเห็นวงจรของขันธ์ ไล่มาเรื่อย ๆ จนกระทั้ง... :b1:

ขันธ์ มันเป็นเช่นนั้น... อวิชานี่ล่ะ...ที่... :b1:

ใครมีพุทธพจน์งาม ๆ ของพระพุทธองค์...ที่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้มั๊ยคะ...

:b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:

เราตกใจมากเลยคะ เกิดอะไรขึ้น???
มีดราม่าเกิดขึ้นในกระทู้ตัวเองหรือเปล่า!!!
(แต่ท่าทางไม่มีนะคะ.. รอดตัวไป :b20: )



ดราม่าไม่มีหรอกครับ แต่แอ็คชั่นน่ะไม่แน่ครับ :b32:

ก่อนอื่นต้องขออภัยเจ้าของกระทู้ก่อนนะครับ ที่มารบกวนในบันทึกการทำสมาธิของท่าน

พอดีสนทนาติดพันอยู่ จึงรบกวนขอยืมพื้นที่กระทู้หน่อย คงไม่ว่ากันนะครับ :b12:


กบนอกกะลา เขียน:

ตัวรู้..ตัวแรกที่รู้สึก..มันเป็นขันธ์..เรียก..วิญญาณขันธ์..ตกอยู่ในไตรลักษณ์

อันนี้ก็ถูกแล้ว


หวัดดีครับคุณกบ ผมขอตอบคุณกบดังนี้นะครับ

ตัวรู้ ไม่ว่าจะรู้แรกหรือรู้สอง ก็คือวิญญาณขันธ์ครับ

มันรู้ซ้อนๆๆๆๆกันอยู่ เพราะตัวเก่าดับตัวใหม่ก็เกิดขึ้นทันที ตัวรู้มันก็เกิดดับเกิดดับอย่างนี้ตลอดเวลาล้วนเป็นไตรลักษณ์ทั้งสิ้น

ตัวที่ตามดูตามรู้อยู่นี่แหละ เราต้องทันตัวนี้ว่ามันไม่มีอะไรครับ


กบนอกกะลา เขียน:

ผู้รู้..ที่หลวงปู่ให้วาง..นี้..เป็นผู้รู้..ของอวิชชา..เป็นธาตุรู้..ที่อวิชชาบงการ

ลอง..ทบทวน..ปฏิจจสมุปบาท..ดู

ที่หลวงปู่ให้วาง..ก็ด้วยเหตุนี้..เพราะเชื่อมัน..ยังไม่ได้..ยังไม่เป็นธรรม

ความคิดที่จะวาง..ที่จะไม่เอา..นี้..เป้นลักษณะของ..วิชชา..

เมื่อ..สว่างมา..มืดก็สลาย..วิชชามา..อวิชชาก็มลาย..ไม่ต้องไปปิดไปบัง..ไปเข่นไปฆ่า

หลวงปู่ให้วาง..คือหลวงปู่ให้วิชชา

ผู้รู้..เป็นธาตุรู้..ก็รู้อย่างเป็นธรรม..หรือจะเรียก..ธรรมธาตุ..ก็ได้

:b12: :b12:


ก็ตัวรู้นี้เป็นหนึ่งในปฏิจจสมุปบาทนี่ครับ

ถ้ายังไม่แจ้งในตัวรู้นี้ ปฏิจจสมุปบาทจะขาดได้อย่างไรครับ

ถ้ายังไม่แจ้งใน"ความคิดที่จะวาง/หรือตัวที่ว่าจะไม่เอา/หรือตัวรู้ " หรืออะไรต่างๆ ในปฏิจจสมุปบาทว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นธรรมชาติของเขาอย่างนั้น
ไม่มีความเป็นเราเลยแม้แต่ตัวผู้รู้ มีแต่การทำงานที่เป็นไปตามธรรมชาติของธรรมชาติทั้งสิ้น

แล้วจะดับอวิชชาอย่างถาวรได้อย่างไรครับ

วิชชาที่เกิดขึ้นเมื่อตรัสรู้แล้วนั้น คือวิชชาที่ทำให้จิตออกจากวงจรปฏิจจสมุปบาทได้อย่างถาวร

ตราบใดที่ยังไม่ดับ"เรา"ในตัวรู้หรือวิญญาณขันธ์ แล้วจะหลุดจากวงจรได้อย่างไรครับ

ลองพิจารณาดูก่อนก็ได้นะครับ ถ้าพิจารณาความไม่ใช่เราของขันธ์ตัวต่างๆแล้วก็ใช้จิตดูจิตอีกที ว่ามีอะไรใช่เราหรือเปล่า ถ้าไม่มีเราแล้วยึดอะไร

ที่จริงมันก็ดับไม่ได้หรอกครับ แต่มันจะเป็น"ผล"ที่เกิดจากการพิจารณาไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากการใช้สัญญา สังขารหรือความจำ ความคิดอยู่

ตราบใดที่ยังใช้สัญญา สังขาร จะไม่เห็นสภาวะจิตหนึ่งความเป็นหนึ่งเดียวที่เหนือรูปนาม อย่างแน่นอน

หยุดสาละวนอยู่กับสภาวะต่างๆของขันธ์ เลิกอาลัยอาวรณ์ไอ้ตัวผู้รู้อยู่นี้ว่าเป็นเรา ความจริงก็อยู่ข้างหน้าแล้วครับ



กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ถ้าวางผู้รู้เสียแล้ว ก็ไม่มีทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ จึงจะเข้าสภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวได้ไม่ใช่หรือครับ

ถ้าพิจารณาเช่นนี้ก็น่าจะเข้าถึงสภาวะของจิตหนึ่งที่หลวงปู่ดุลย์กล่าวไว้ได้ใช่มั้ยครับ



ต้องขอประทานอภัยคุณพงพันขอรับ กรุณาอย่าอ้างหลวงปู่นั่น หลวงพ่อนี่ อาจารย์โน่นเลยขอรับ

หากจะสนทนากับกรัชกาย ก็เป็นเรื่องของเราสองคนที่จะสนทนากันตามภูมิรู้ และความเข้าใจของตนๆ

อ้างหลักฐานในคัมภีร์พุทธศาสตร์ได้ แต่อย่าอ้างคำพูดของหลวงปู่ หลวงพ่อหรืออาจารย์นั่นนี่ ท่านว่างั้น

ว่า งี้ :b1: อ้างกันเป็นสายเป็นทางเชียว อ้างไปอ้างมาก็จะแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระอริยะชั้นนั้นชั้นนี้

เพราะอะไร ? เพราะกรัชกายขี้เกียจตามไปสนทนากับหลวงพ่อหลวงปู่ดังกล่าว เป็นต้น

พวกเราถกเถียงกันเฉพาะในตำราคือพระไตรปีฏกก็มากเกินพอแล้ว ยังไม่ลากไปเอาคำพูดของพระอื่นๆมาอีก

ก็ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ :b1:

ต้องขออภัยหากพูดตรงไปตรงมาเกินไปขอรับ :b1: :b12:


ไม่เป็นไรหรอกครับที่พูดตรงๆ ไม่เกินไปเลย

ดีเสียอีกครับ ผมจะได้ไม่ต้องเทียบเคียงกับสภาวะของหลวงปู่หลวงตาองค์ไหนแล้ว

เป็นสิ่งดีที่คุณกรัชกายให้เกียรติผม พูดในภูมิธรรมของตัวเอง การจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมนั้นก็อีกเรื่องนึงแล้วกันครับ



การวิปัสสนานั้น เป็นการตามดูตามรู้ด้วยสติ เพื่อให้ทันในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในกายใจของเรา

เมื่อพิจารณาจนเกิดปัญญาขึ้นเรื่อยๆ ถึงสภาวะไม่หลงติดหลงเกาะความคิด ความจำ ความรู้สึกใดๆแล้ว มันก็ไม่มีอะไร

แต่ทำไมมันถึงยังรู้สึกว่ายังไม่หลุดพ้น ก็เพราะว่าเราไม่ได้วางมันทั้งหมด

เพราะในสภาวะนั้นๆเราไม่ได้พิจารณาตัวผู้ที่ไปดูไปรู้ ว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่นด้วย

การมัวแต่ตามดูตามรู้อยู่นั้น มันก็ไม่จบ มันมีให้ดูให้รู้จนวันตายนั่นแหละครับ

จะคิดว่า ความรู้สึก ความคิด ต่างๆนั้นต้องหายไปจึงจะถือว่าสำเร็จ มันก็ไม่ใช่ครับ

เพราะขันธ์๕ นั้นมันก็ติดตัวไปจนตาย ไม่มีทางดับได้อย่างเด็ดขาด อย่างสิ้นเชิงได้

ต้องเลิกกิจการในขันธ์ทั้ง๕ นั่นแหละ แม้แต่ความคิดที่จะไปวาง ไปดู ไปรู้ ก็ต้องเลิกล้มมันทั้งหมด

หยุดความคิดๆๆๆ เสียทุกอย่าง แล้วใช้จิตดูที่จิต จึงจะเกิดผลที่เป็นปัญญาหลุดพ้นได้

ความมีอยู่แม้กระทั่งตัวรู้ ก็ยังไม่ใช่ ความว่างนั้นก็ยังไม่ใช่

ความไม่มีอะไรเลยจึงจะใช่ แล้วจะรู้ว่ามันไม่มีอะไร ...แต่มีอยู่...

ปล.การดับหรือการวางนั้น ไม่ใช่การคิดที่จะไปดับไปวาง ไม่ใช่การพยายามใดๆทั้งสิ้น

แต่จะเป็นผลของการพิจารณา โดยใช้จิตดูจิต เมื่อจิตเห็นว่ามันไม่อะไรน่าเชื่อน่ายึดแล้ว

จะเป็นสภาวะที่จิต ล้มเลิกทุกอย่างเอง ขันธ์๕ จะคืนสู่ธรรมชาติ ไม่มีเราในขันธ์ ไม่มีขันธ์ในเรา



การที่จะเข้าใจในสิ่งที่ผมบอกนั้น ย่อมไม่เกิดจากการใช้ความคิดแน่นอนครับ
ไม่ได้เป็นปัญญาที่เกิดจากความคิดเทียบเคียงสิ่งใดๆทั้งสิ้น
แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากการภาวนาเท่านั้น
ทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่ผมต้องการจะอธิบายครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 40 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร