วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 17:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 18:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
พงพัน เขียน:
ถ้าวางผู้รู้เสียแล้ว ก็ไม่มีทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ จึงจะเข้าสภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวได้ไม่ใช่หรือครับ

ถ้าพิจารณาเช่นนี้ก็น่าจะเข้าถึงสภาวะของจิตหนึ่งที่หลวงปู่ดุลย์กล่าวไว้ได้ใช่มั้ยครับ


วางยังไง...คะ...

ยังไง...จึงเรียกวาง...คะ...

วางเพื่ออะไร...

ผลของการวางแล้วเป็นเช่นไร...

ทำไม...ขึ้นต้นเป็น...มายากล...(ขันธ์)....แต่พอลงท้ายกลับกลายเป็น อวิชา กะ วิชา

ความเห็นของทั้ง...จานป้อ...และ...ท่านอ๊บ อ๊บ...
สะท้อนไปถึงนัย...เดียวกัน...
แม้แต่ท่านพงพัน...ที่นำคำกล่าวหลวงปู่ดุลย์มากล่าว...

ในคืนวันที่นอนหลับฝันอยู่ในรั้วศรีธัญญา...
เอกอน...ก็ฝันเห็นวงจรของขันธ์ ไล่มาเรื่อย ๆ จนกระทั้ง... :b1:

ขันธ์ มันเป็นเช่นนั้น... อวิชานี่ล่ะ...ที่... :b1:

ใครมีพุทธพจน์งาม ๆ ของพระพุทธองค์...ที่ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้มั๊ยคะ...

:b1: :b1:


มีคำตอบอยู่ในกระทู้ยาวๆที่ผมตอบไว้แล้วน่ะครับคุณเอรากอน
ขออภัยที่ไม่ได้พิมพ์ตอบให้อีกทีนึงนะครับ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 19:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
การวิปัสสนานั้น เป็นการตามดูตามรู้ด้วยสติ เพื่อให้ทันในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในกายใจของเรา

เมื่อพิจารณาจนเกิดปัญญาขึ้นเรื่อยๆ ถึงสภาวะไม่หลงติดหลงเกาะความคิด ความจำ ความรู้สึกใดๆแล้ว มันก็ไม่มีอะไร

แต่ทำไมมันถึงยังรู้สึกว่ายังไม่หลุดพ้น ก็เพราะว่าเราไม่ได้วางมันทั้งหมด

เพราะในสภาวะนั้นๆเราไม่ได้พิจารณาตัวผู้ที่ไปดูไปรู้ ว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่นด้วย

การมัวแต่ตามดูตามรู้อยู่นั้น มันก็ไม่จบ มันมีให้ดูให้รู้จนวันตายนั่นแหละครับ

จะคิดว่า ความรู้สึก ความคิด ต่างๆนั้นต้องหายไปจึงจะถือว่าสำเร็จ มันก็ไม่ใช่ครับ

เพราะขันธ์๕ นั้นมันก็ติดตัวไปจนตาย ไม่มีทางดับได้อย่างเด็ดขาด อย่างสิ้นเชิงได้

ต้องเลิกกิจการในขันธ์ทั้ง๕ นั่นแหละ แม้แต่ความคิดที่จะไปวาง ไปดู ไปรู้ ก็ต้องเลิกล้มมันทั้งหมด

หยุดความคิดๆๆๆ เสียทุกอย่าง แล้วใช้จิตดูที่จิต จึงจะเกิดผลที่เป็นปัญญาหลุดพ้นได้

ความมีอยู่แม้กระทั่งตัวรู้ ก็ยังไม่ใช่ ความว่างนั้นก็ยังไม่ใช่

ความไม่มีอะไรเลยจึงจะใช่ แล้วจะรู้ว่ามันไม่มีอะไร ...แต่มีอยู่...

ปล.การดับหรือการวางนั้น ไม่ใช่การคิดที่จะไปดับไปวาง ไม่ใช่การพยายามใดๆทั้งสิ้น

แต่จะเป็นผลของการพิจารณา โดยใช้จิตดูจิต เมื่อจิตเห็นว่ามันไม่อะไรน่าเชื่อน่ายึดแล้ว

จะเป็นสภาวะที่จิต ล้มเลิกทุกอย่างเอง ขันธ์๕ จะคืนสู่ธรรมชาติ ไม่มีเราในขันธ์ ไม่มีขันธ์ในเรา
การที่จะเข้าใจในสิ่งที่ผมบอกนั้น ย่อมไม่เกิดจากการใช้ความคิดแน่นอนครับ
ไม่ได้เป็นปัญญาที่เกิดจากความคิดเทียบเคียงสิ่งใดๆทั้งสิ้น
แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากการภาวนาเท่านั้น
ทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่ผมต้องการจะอธิบายครับ



เมื่อพิจารณาจนเกิดปัญญาขึ้นเรื่อยๆ ถึงสภาวะไม่หลงติดหลงเกาะความคิด ความจำ ความรู้สึกใดๆแล้ว
มันก็ไม่มีอะไร
แต่ทำไมมันถึงยังรู้สึกว่ายังไม่หลุดพ้น ก็เพราะว่าเราไม่ได้วางมันทั้งหมด



ถามหน่อยนะครับ :b1:

ทำไมเราจะต้องวางมันอีกครับ ในเมื่อมันรู้ความจริงแล้วมันก็วาง ที่มันวางเพราะมันรู้ คือรู้แล้วจึงวาง

หากยังไม่รู้ความจริงก็วางไม่ลง ที่วางไม่ลงเพราะไม่รู้

ดังนั้น เราไม่ต้องวางๆ ตามภาษานักเทศน์หรือนักพูดอีกหรอกครับ

ปฏิบัติให้ถูกวิธีจนมันรู้ รู้แล้วมันวาง วางเพราะมันรู้ความจริง


ขออนุญาตถามคุณใช้วิธีปฏิบัติยังไงครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 19:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 19:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพงพันขอรับ วางยังไงขอรับเนี่ย =>



ฝึกสมถะมาก่อน ตอนนี้นั่งวิปัสนาค่ะ และสวดมนต์ด้วย บางครั้ง ก็แค่สวดมนต์
แต่จะทำสมาธิหรือวิปัสสนาไปด้วย

แรกๆ ตั้งแต่ปฏิบัติ แผ่เมตตา ก็รับรู้ได้ว่ามีเจ้ากรรมนายเวร หรือวิญญาณมาขอส่วนบุญ เหตุการณ์ จะเกิดแตกต่างกัน แรกๆ แรงมากๆ ค่ะ แต่เราจะรู้ด้วยตัวเองว่า เค้าเดือดร้อนมา บางทีก็มาบอกเรา คล้ายๆ ให้เราทราบว่าเค้าคือใคร เป็นอะไรเสียชีวิต บอกชื่อก็มีค่ะ (รู้เองในความฝัน) จากที่ได้เรียนถามครูบาอาจารย์ หลายๆ ท่าน ท่านก็แนะนำว่าดีแล้ว เป็นบารมีของแล้ว ให้แผ่เรื่อยๆ บางท่านก็ให้ บทสวดมาสวดทุกครั้งหลังแผ่เมตตา ตอนนี้อาการบางอย่างหายๆไป แต่ที่ยังเกิดทุกครั้ง ก็คือ กระสับกระส่าย ร้อนรุ่ม กระวนกระวายทุกครั้งหลังแผ่เมตตาเสร็จแล้วเข้านอน ในตอนกลางคืน นอนไม่หลับเลยค่ะ ทั้งๆ ที่อากาศเย็น หรือแม้กระทั่งค่อนข้างหนาว บางครั้ง คนรอบข้างก็รับรู้ได้ด้วย คือนอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปด้วย บางทีเป็นเอามากๆ (จริงๆ เป็นคนหลับไม่ยากค่ะ แต่จะเป็นทุกครั้งที่ ปฏิบัติเสร็จ)

ตอนนี้ก็ใช้ิวิธี อธิษฐานจิตไปด้วย ตอนแผ่เมตตาบอกเค้าว่าขอให้ได้รับถ้วนหน้า และอย่าได้สร้างความลำบากให้กับเรา แต่ก็ยังมีอยู่นะคะ มีวิธีอื่นๆ อีกไหมคะ ที่จะช่วยให้การแผ่เมตตาไม่ทำให้เราเป็นแบบนี้

http://board.palungjit.com/f4/ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ-สวดมนต์แผ่เมตตา-จะต้องเกิดแบบนี้ทุกครั้ง-ทำยังไงดีคะ-40338.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 19:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ขออนุญาตถามคุณใช้วิธีปฏิบัติยังไงครับ


การวางนี้ มันคือผลจากการไปรู้นั่นแหละครับ ที่สำคัญคือ "รู้หรือไม่ว่าตัวรู้นี้ก็ไม่ใช่เรา ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน"


ส่วนการปฏิบัติของผมนั้น การฝึกสติโดยฝึกระลึกรู้ในฐานทั้ง๔(การทำสติปัฏฐาน)

ฝึกระลึกรู้อยู่ในฐาน เมื่อมีสติอยู่ในฐานก็พิจารณาความเป็นจริงนั้นๆของมัน สู่ความเป็นไตรลักษณ์

และพิจารณาขันธ์๕ ตามความเป็นจริง สู่ความเป็นไตรลักษณ์เช่นกัน

ส่วนใหญ่จะเริ่มจากรูป ไล่ไป เวทนา สังขาร สัญญา ตามลำดับ เมื่อพิจารณาแจ้งถึงความเป็นไตรลักษณ์ของรูปนามดังกล่าวแล้ว สภาวะของคำว่าวางจึงเกิดขึ้น เหลือแต่ความว่างที่มีวิญญาณขันธ์เป็นผู้รู้

สุดท้าย กำหนดดูตัวรู้(วิญญาณขันธ์) ตัวมันเองดูตัวมันเอง เมื่อยอมรับในความเป็นไตรลักษณ์ของตัวผู้รู้
ก็จะเกิดสภาวะของคำว่าวางอีกเช่นกัน จึงไม่มีผู้วางหรือผู้ถูกวาง แต่เป็นผลจากการพิจารณาครับ


อธิบายโดยคร่าวๆ ผมก็ปฏิบัติเช่นนี้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ส่วนใหญ่จะเริ่มจากรูป ไล่ไป เวทนา สังขาร สัญญา ตามลำดับ



เรานั่ง หรือ เรานอนเป็นต้นอยู่ตรงนั้น ณ ขณะนั้นๆ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

มันเกิดขึ้นตามลำดับอย่างที่ว่า=> เริ่มจากรูป ไล่ไป เวทนา สังขาร สัญญา ตาม

ลำดับ...สุดท้าย กำหนดดูตัวรู้(วิญญาณขันธ์) ตัวมันเองดูตัวมันเอง


หรือขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอมีคำแนะนำวางอารมณ์นี้ไหมขอรับ =>

กรัชกาย เขียน:
คุณพงพันขอรับ วางยังไงขอรับเนี่ย =>

ฝึกสมถะมาก่อน ตอนนี้นั่งวิปัสนาค่ะ และสวดมนต์ด้วย บางครั้ง ก็แค่สวดมนต์ แต่จะทำสมาธิหรือวิปัสสนาไป

ด้วย

แรกๆ ตั้งแต่ปฏิบัติ แผ่เมตตา ก็รับรู้ได้ว่ามีเจ้ากรรมนายเวร หรือวิญญาณมาขอส่วนบุญ เหตุการณ์ จะเกิดแตกต่าง

กัน แรกๆ แรงมากๆ ค่ะ แต่เราจะรู้ด้วยตัวเองว่า เค้าเดือดร้อนมา บางทีก็มาบอกเรา คล้ายๆ ให้เราทราบว่าเค้าคือ

ใคร เป็นอะไรเสียชีวิต บอกชื่อก็มีค่ะ (รู้เองในความฝัน)

จากที่ได้เรียนถามครูบาอาจารย์ หลายๆ ท่าน ท่านก็แนะนำว่าดีแล้ว เป็นบารมีของแล้ว ให้แผ่เรื่อยๆ

บางท่านก็ให้ บทสวดมาสวดทุกครั้งหลังแผ่เมตตา ตอนนี้อาการบางอย่างหายๆไป

แต่ที่ยังเกิดทุกครั้ง ก็คือ กระสับกระส่าย ร้อนรุ่ม กระวนกระวายทุกครั้งหลังแผ่เมตตาเสร็จแล้ว

เข้านอน ในตอนกลางคืน นอนไม่หลับเลยค่ะ ทั้งๆ ที่อากาศเย็น หรือแม้กระทั่งค่อนข้างหนาว

บางครั้ง คนรอบข้างก็รับรู้ได้ด้วย คือนอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปด้วย

บางทีเป็นเอามากๆ (จริงๆ เป็นคนหลับไม่ยากค่ะ แต่จะเป็นทุกครั้งที่ ปฏิบัติเสร็จ
)

ตอนนี้ก็ใช้ิวิธี อธิษฐานจิตไปด้วย ตอนแผ่เมตตาบอกเค้าว่าขอให้ได้รับถ้วนหน้า และอย่าได้สร้างความลำบากให้

กับเรา แต่ก็ยังมีอยู่นะคะ มีวิธีอื่นๆ อีกไหมคะ ที่จะช่วยให้การแผ่เมตตาไม่ทำให้เราเป็นแบบนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 20:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ส่วนใหญ่จะเริ่มจากรูป ไล่ไป เวทนา สังขาร สัญญา ตามลำดับ



เรานั่ง หรือ เรานอนเป็นต้นอยู่ตรงนั้น ณ ขณะนั้นๆ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

มันเกิดขึ้นตามลำดับอย่างที่ว่า=> เริ่มจากรูป ไล่ไป เวทนา สังขาร สัญญา ตาม

ลำดับ...สุดท้าย กำหนดดูตัวรู้(วิญญาณขันธ์) ตัวมันเองดูตัวมันเอง


หรือขอรับ :b1:




การรู้อาการต่างๆ ของรูปเป็นเพียงการฝึกเรียกสติกลับสู่ฐานครับ แต่จะเกิดปัญญาต่อเมื่อพิจารณาด้วยว่ารูปที่มีอาการต่างๆนั้น ภายในของมันประกอบด้วยอะไร มีเราหรือไม่

การเริ่มจากรูป ไล่ไป เวทนา สังขาร สัญญา ตามลำดับที่ว่านั้น เป็นการพิจารณาเมื่อตั้งใจจะพิจารณาเองครับ โดยกำหนดดูทีละตัวครับ

แต่สภาวะของมันที่เกิดขึ้นโดยแท้จริงแล้ว มันทำงานร่วมกัน พร้อมกันหมด แล้วแต่ว่าจะเลือกพิจารณาอย่างไร เริ่มจากตัวไหนก่อนครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
พอมีคำแนะนำวางอารมณ์นี้ไหมขอรับ =>

กรัชกาย เขียน:
คุณพงพันขอรับ วางยังไงขอรับเนี่ย =>

ฝึกสมถะมาก่อน ตอนนี้นั่งวิปัสนาค่ะ และสวดมนต์ด้วย บางครั้ง ก็แค่สวดมนต์ แต่จะทำสมาธิหรือวิปัสสนาไป

ด้วย

แรกๆ ตั้งแต่ปฏิบัติ แผ่เมตตา ก็รับรู้ได้ว่ามีเจ้ากรรมนายเวร หรือวิญญาณมาขอส่วนบุญ เหตุการณ์ จะเกิดแตกต่าง

กัน แรกๆ แรงมากๆ ค่ะ แต่เราจะรู้ด้วยตัวเองว่า เค้าเดือดร้อนมา บางทีก็มาบอกเรา คล้ายๆ ให้เราทราบว่าเค้าคือ

ใคร เป็นอะไรเสียชีวิต บอกชื่อก็มีค่ะ (รู้เองในความฝัน)

จากที่ได้เรียนถามครูบาอาจารย์ หลายๆ ท่าน ท่านก็แนะนำว่าดีแล้ว เป็นบารมีของแล้ว ให้แผ่เรื่อยๆ

บางท่านก็ให้ บทสวดมาสวดทุกครั้งหลังแผ่เมตตา ตอนนี้อาการบางอย่างหายๆไป

แต่ที่ยังเกิดทุกครั้ง ก็คือ กระสับกระส่าย ร้อนรุ่ม กระวนกระวายทุกครั้งหลังแผ่เมตตาเสร็จแล้ว

เข้านอน ในตอนกลางคืน นอนไม่หลับเลยค่ะ ทั้งๆ ที่อากาศเย็น หรือแม้กระทั่งค่อนข้างหนาว

บางครั้ง คนรอบข้างก็รับรู้ได้ด้วย คือนอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปด้วย

บางทีเป็นเอามากๆ (จริงๆ เป็นคนหลับไม่ยากค่ะ แต่จะเป็นทุกครั้งที่ ปฏิบัติเสร็จ
)

ตอนนี้ก็ใช้ิวิธี อธิษฐานจิตไปด้วย ตอนแผ่เมตตาบอกเค้าว่าขอให้ได้รับถ้วนหน้า และอย่าได้สร้างความลำบากให้

กับเรา แต่ก็ยังมีอยู่นะคะ มีวิธีอื่นๆ อีกไหมคะ ที่จะช่วยให้การแผ่เมตตาไม่ทำให้เราเป็นแบบนี้


ถ้าเป็นการพิจารณาอารมณ์ สำหรับผมในตอนนี้ ผมจะน้อมสติระลึกอยู่ที่กายครับ ไม่สนใจกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นและต้นเหตุของอารมณ์นั้น


แต่ถ้าให้แนะนำผู้ที่ไม่เคยวิปัสสนา ควรพิจารณาดูอารมณ์นั้นๆตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่พยายามวิ่งหนีหรือไล่ดับ จนมันดับไปเองครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 22:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
ถ้าเป็นการพิจารณาอารมณ์ สำหรับผมในตอนนี้ ผมจะน้อมสติระลึกอยู่ที่กายครับ ไม่สนใจกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นและต้นเหตุของอารมณ์นั้น

แต่ถ้าให้แนะนำผู้ที่ไม่เคยวิปัสสนา ควรพิจารณาดูอารมณ์นั้นๆตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่พยายามวิ่งหนีหรือไล่ดับ จนมันดับไปเองครับ


การ..ไม่สนใจกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นและต้นเหตุของอารมณ์นั้น..เป็นสมถะ..มิใช่หรือ??
เพราะไม่เห็น..พิจารณาอะไรด้วยปัญญา..เลยนิ
:b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 00:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่พี่ทักทายได้เจอ รู้สึกคล้ายๆบันทึกการปฎิบัติกรรมฐานของคนหนึ่งๆที่เราได้เคยอ่านเลยน่ะคะ ดังนั้นเลยเข้าใจว่า แบบนี้ก็มีด้วยยยยยย
แต่ว่าเรื่องได้ยินเพลง หรืออะไรดีๆ ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีนะคะ... จะว่าไปแล้วก็อยากเจอแบบนั้นบ้างจัง...

taktay เขียน:

ทุกอย่างคือกิเลสทั้งนั้น...เขามาทดสอบ...มาลวงเรา...แต่ละคนจะประสบ พบเจอไม่เหมือนกัน
เห็นสิ่งที่ไม่น่ารื่นรมย์...ก็อย่าไปรังเกียจ...อย่าไปกลัว...เห็นสิ่งที่สวยงาม...ก็อย่างไปหลงใหล
รับรู้เพียงอย่างเดียว....อย่าจดจ้อง...อย่าคาดหวังว่าจะต้องเจออย่างนั้นอย่างนี้...สิ่งที่เราเจอ
เราเห็นในนิมิตนั้น...เราอาจจะเห็นจริง...แต่อาจจะไม่ใช่ของจริง.... :b14:

ยกตัวอย่างง่ายๆคือ...เราขับรถจากเชียงใหม่จะไปกรุงเทพฯ...ถนนสายเดียวกัน...ผ่านภูเขา
ทุ่งนาป่ากว้าง....ผ่านบ้านเมือง...มีป้ายโฆษณา...มีสะพาน...เหมือนกัน...แล้วแต่ว่าใครจะเก็บภาพ
อะไรมาในระหว่างทาง....ทั้งๆที่ภาพเหมือนๆกัน...แต่เก็บภาพหรือเห็นภาพไม่เหมือนกัน.....
แต่สิ่งเหล่านี้หาใช่สาระสำคัญไม่....เราจะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางอย่างไร?...ให้เร็วและ
ไม่เสียเวลาหลงทางต่างหากที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด..... :b4:

อันนี้เรื่องจริงคะ ขออนุโมทนาด้วย :b8:

ด.ช. ฉันทะ เขียน:
ครับผม... ขออนุโมทนาสาธุด้วยคนครับ และขออนุญาตแนะนำสักเล็กนอยนะครับ หากสิ่งเป็นประโยชน์ก็โปรดนำไปใช้ หากสิ่งใดไม่เกิดประโยชน์ก็กรองทิ้งไว้นะครับ
ท่านขึ้นต้นว่า "การเจริญสติของข้าพเจ้า" เนื่องด้วยการเจริญกัมมัฏฐานนั้นแบ่งออกเป็น
1.การเจริญสมถปัฏฐานกัมมัฏฐาน คือการทำสมาธิโดยทั่วไปให้เข้าถึงฌาน
2.การเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน หรือ การเจริญสติปัฏฐานกัมมัฏฐาน คือการทำสมาธิด้วยการระรึกรู้ เพื่อนำทางไปสู่ปัญญาการรู้แจ้ง
สิ่งที่กระผมจะแนะนำท่านคือ
1.ก่อนที่ท่านจะทำสมาธิให้ท่านเตรียมกาย ใจ สถานที่ให้พร้อมก่อน
2.ให้ท่านสวดมนต์ และทำการแผ่เมตตา ก่อนทำสมาธิ
3.ขณะท่านเข้าสู่สมาธินั้น รู้สึกจงสักต่วรู้สึก ได้ยินจงสักแต่ว่าได้ยิน ได้เห็นจงสักแต่ว่าเห็น ...จงสักแต่ว่า
4.กำหนดแบ่งสติออกเป็นสองส่วน
4.1.สติหนดรู้ที่ลมหายใจ
4.2.สติส่วนกำหนดรู้ความคิด จิตคิดอย่างไรก็ให้กำหนดรู้ว่ามันคิด (ความคิดถูกเรารู้ว่ามันคิด ก็จะหยุดคิด) ให้ตามรู้คามคิดให้ได้ตลอด รู้ว่ามันคิด รู้ว่ารู้ว่ามันคิด และรู้ว่ามันกำลังจะคิด
หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นขอท่านจงอย่าทิ้งลมหายใจ อย่าเข้าไปดู อย่าเข้าไปฟัง ขอให้จงสักแต่ว่า.
การทำลายความกลัว1.กลัวผี 2.กลัวความตาย
ให้ท่านนึกถึงมรณานุสสติ เพื่อข่มความกลัวในใจท่าน เมื่อจิตที่กลัวเกิดอ่อนตัวลงจนเข้าสู่จิตปกติ ก็ให้เข้าสู่การเจริญสมาธินั้นดังเดิม
อย่าอยากได้ อย่าอยากรู้ อย่าอยากเห็น เมื่อปัญญาเกิดและมีพลังพอท่านจะได้มาเอง

การเจริญสติของเรา อาจเรียกได้ว่าไม่มีรูปแบบตายตัวน่ะคะ... ชอบทำแบบไหนก็ทำ อยากทำอะไรหรือว่าอยากดูจิต หรือดูกาย ก็เปลี่ยนไปมาได้ตามใจชอบ ทั้งนี้เพราะไม่ต้องการให้จิตเครียดที่ต้องมีกำหนดรูปแบบมา ทำตามนั้นเปะๆๆๆ
แบบนี้เราทำไม่ได้น่ะคะ ที่เราเจริญสตินั้นดูหลักแค่ดูเท้า (คือตอนนี้เราดูสามระยะ) ดูจิตไม่ก็พิจารณา เราหนักไปด้านพิจารณาหน่อย แล้วก็จะพยายามเป็นผู้ดูน่ะคะ
บางทีเราก็ทิ้งลมหายใจไปอะคะเพราะว่าเราฟุ้ง แต่บางทีเราใช้การฟุ้งของเราให้มีประโยชน์ก็คือเราได้พิจารณาไปด้วย ทำให้เราเริ่มมองเห็นถึงเหตุ และผลได้ดีขึ้น
ส่วนเรื่องนึกถึงมรณานุสสติ เราเคยทำแล้วน่ะคะ ตอนที่อยู่สายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แต่ว่าเราทำจิตให้กลัวแบบนั้นไม่ได้ผลเท่าไร พอบังคับจิตตัวเองมากๆก็กลายเป็นการหลอกตัวเองไปเลย
ส่วนตอนนี้เราไม่ค่อยได้กลัวเรื่องความตายเท่าไรน่ะคะ แต่ถ้าจะตายละก็รู้สึกยังมีห่วงอยู่มากกว่า คงเพราะว่าเราปฎิบัติมานานพอดูแล้วน่ะคะ ดังนั้นถ้าได้นึกถึงมรณานุสสติ ในตอนนี้คงจะรู้สึกเฉยๆ ไม่ก็เบื่อแทน เพราะว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่เราจะพิจารณาได้น่ะคะ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
อย่าอยากได้ อย่าอยากรู้ อย่าอยากเห็น เมื่อปัญญาเกิดและมีพลังพอท่านจะได้มาเอง
ถูกแล้วอะคะสำหรับประโยคนี้ ถ้าไงก็ขอบคุณมากนะคะ :b8:

พงพัน เขียน:
varinne เขียน:

เราตกใจมากเลยคะ เกิดอะไรขึ้น???
มีดราม่าเกิดขึ้นในกระทู้ตัวเองหรือเปล่า!!!
(แต่ท่าทางไม่มีนะคะ.. รอดตัวไป :b20: )



ดราม่าไม่มีหรอกครับ แต่แอ็คชั่นน่ะไม่แน่ครับ :b32:

ก่อนอื่นต้องขออภัยเจ้าของกระทู้ก่อนนะครับ ที่มารบกวนในบันทึกการทำสมาธิของท่าน

พอดีสนทนาติดพันอยู่ จึงรบกวนขอยืมพื้นที่กระทู้หน่อย คงไม่ว่ากันนะครับ :b12:

คะ... ถ้าเราจะไม่ตอบบางคอมเม้นต์ที่มีจิตเมตตาพิมพ์มา คงไม่ว่ากันนะคะ...


ปล. เราว่าคุณพังพัน กับคุณกรัชกาย ตั้งกระทู้ถามตอบกันไปเลยส่วนตัวกันดีกว่าไหมอะคะ... รู้สึกจะเยอะเกิน แถมมีกองเชียร์อีกต่างหาก
ผิดเป้าหมายของกระทู้นี้คะ

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 00:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 12 มีค. 2553
เดิน 30 นั่ง 5

วันนี้เดินแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากเดินเท่าไร แล้วก็ขี้เกียจพิจารณา ก็เลยไม่ค่อยพิจารณาอะไรเท่าไรในการเดินวันนี้
เดินดูเท้าบางทีมันก็ฟุ้ง... เพราะว่าความคิดไม่ได้ใช้ในการพิจารณาก็เลยไม่มีอะไรทำก็เลยฟุ้ง พี่เคยบอกว่าสติของเรายังไม่พอ เราหนักไปทางพิจารณา ซึ่งเมื่อวันนี้เราไม่ได้พิจารณา (เพราะขี้เกียจ) มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ

ได้ความรู้อะไรเล็กๆน้อยๆ ในวันนี้ จากการที่บางทีฟุ้งไปแล้วพิจารณาตามไปด้วยนิดหน่อย
ก็คือ เมื่อกิเลสเหลือน้อยลงมาก(จนถึงไม่มีเลย)
มันจะเหลือแต่คำว่า รัก ทุกคน โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเขาจะเคยเป้นใคร ทำอะไรกับเราหรือมีความไม่พอใจอะไรมาก่อนหรือเปล่า
ซึ่งนั้นก็คือพรหมวิหารสี่

เราเดินแล้วเจอจิตที่ไม่ประสงค์ดีกับผู้อื่น เราก็ดูมัน เหมือนว่าตอนแรกเราไม่ได้ยอมรับว่าเรามีมันเราก็เลยเชื่อว่าเราไม่มี
แต่วันนี้เรายอมรับแล้วว่าเรามีความคิดแบบนั้น วันนี้เราก็เลยดูมัน แล้วมันก็เริ่มๆอ่อนความคิดไม่ดีลง

ช่วงที่เดินกลางๆเกือบท้ายมันมีความรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา แบบเศร้ามากๆน้ำตาจะซึม แต่เกิดความรู้สึกนั้นเพียงไม่นานก็หายไป โดยที่ไม่แน่ใจเท่าไรเลยว่าเป็นเพราะอะไร
มีบ้างที่เบื่อ ไม่อยากเดินต่อ แต่ก็ต้องเดินจนหมดเวลา

นั่ง
ไม่มีอะไรมาก เริ่มมองเห็นการประสานของลมหายใจที่จมูกและท้องว่าประสานยังไง โดยรวมแล้วขี้เกียจนั่ง แต่ก็ต้องนั่ง

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 00:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:

ไม่มีอะไรมาก เริ่มมองเห็นการประสานของลมหายใจที่จมูกและท้องว่าประสานยังไง โดยรวมแล้วขี้เกียจนั่ง แต่ก็ต้องนั่ง

จบการบันทึกเพียงเท่านี้


หากมีเวลา..ก็ลองมองดู..

เจ้าตัว..ขี้เกียจนั่ง..นี้

มาจากไหน???
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 01:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 22:46
โพสต์: 167

แนวปฏิบัติ: buddhism
อายุ: 0
ที่อยู่: nontaburi

 ข้อมูลส่วนตัว


varinne เขียน:
สิ่งที่พี่ทักทายได้เจอ รู้สึกคล้ายๆบันทึกการปฎิบัติกรรมฐานของคนหนึ่งๆที่เราได้เคยอ่านเลยน่ะคะ ดังนั้นเลยเข้าใจว่า แบบนี้ก็มีด้วยยยยยย
แต่ว่าเรื่องได้ยินเพลง หรืออะไรดีๆ ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีนะคะ... จะว่าไปแล้วก็อยากเจอแบบนั้นบ้างจัง...



อนุโมทนากับการปฏิบัติครับ
อาจารย์ในนี้มีเยอะมาก มีแต่ดี ๆ ขอนั่งฟังแล้วกัน

ขอแจมเรื่องนี้นิดนึง หนุก ๆ เพลิน ๆ

เรื่องเสียงลอยมา เคยเจอเหมือนกัน เป็นประสบการณ์ ครั้งแรกที่เริ่มปฏิบัติธรรม
เล่าสู่ฟังนิด ๆ


ประมาณปี 2525 หรือ 2526 ประมาณนี้ ไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำตอง จ.เชียงใหม่
อยู่กับพระอาจารย์สุชิน (พระอาจารย์ที่ไปด้วยครั้งนั้น วันนี้เป็นพระอาจารย์ผู้ใหญ่มากในสายหลวงพ่อชา)


สมัยนั้น มีศรัทธามาก ๆ สถานที่ตรงนั้น มีเรื่องเล่ามากมาย ท่านที่มองไม่เห็นมีมาก ๆ

"วันหนึ่ง ตั้งใจจะเดินจงกรม วันนั้นเดินในกุฏิเล็ก ๆ นานมาก นานเกิน 4 ชั่วโมง
แทบหมดแรง ต้องเอามือค้ำฝากุฎิเดิน กลางวันแสก ๆ เดินลืมตา ไม่ได้หลับ ก็มีเสียงคนตรีไทย
ลอยมา ลอยมา ตามสายลม ดังมาก จนนึกว่า ใครหนอมาแห่นาคแถวนี้ แต่แห่นานจัง
ออกมา ชะเง้อ ชะแง้ แลหา ก็ไม่มี เฮ้อ เดินต่อ ได้ยินอยู่นาน
พอตอนเย็น มาสอบอารมณ์ ถามใคร ก็ไม่มีใครได้ยิน อ้าว จิต หลอกตัวเอง หรือ สิ่งที่มองไม่เห็นบันดาล
ยากจะเดา"


ภายหลัง มาได้รู้อย่างหนึ่งว่ามีเรื่องมากมาย ที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่มีอยู่
อาจจะมีอยู่จริงโดยสภาวะ หรือ สมมุติก็ตาม แต่ก็มีเงื่อนไขแห่งการคงอยู่ของมัน


ผมไม่ใช่พระนะครับ ห้ามใครมาปรับอาบัติ เล่าได้สบาย ๆ

ไวโรจนมุเนนฺทระ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
มันจะเหลือแต่คำว่า รัก ทุกคน โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเขาจะเคยเป้นใคร
ทำอะไรกับเราหรือมีความไม่พอใจอะไรมาก่อนหรือเปล่าซึ่งนั้นก็คือพรหมวิหารสี่


ความคิดของพี่นะค่ะ ถูกผิดอย่างไร? ต้องขออภัย
พี่คิดว่ายังไม่ใช่ "พรหมวิหารสี่" ตัวจริงหรอกค่ะ แค่สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น
ถ้าตัวจริงต้องมีอยู่ในใจเราตลอดเวลา...มิใช่จะเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่ปฏิบัติ
หรือเรียกง่ายๆว่า กิเลสกำลังลวงเรา....แต่จะอะไรก็ตาม...รู้อย่างเดียว


อ้างคำพูด:
วันนี้เดินแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากเดินเท่าไร แล้วก็ขี้เกียจพิจารณา
ก็เลยไม่ค่อยพิจารณาอะไรเท่าไรในการเดินวันนี้


ตัวที่จะทำให้เราก้าวหน้าในการปฏิบัติที่สำคัญคือ
ความเพียร...ถ้าขาดตัวนี้ก็แทบจะไม่ไปไหนเลย....พี่ทักทายจะเป็นบ่อยมากๆ
วันนี้ปวดหัวจังเลย...ยังไม่ปฏิบัติดีกว่า ขืนทำไปก็ไม่ได้อะไร...วันนี้เดินแค่
ยี่สิบนาทีพอ..เพราะทำท่าจะเจ็บเท้า....วันนี้นั่งสิบนาทีพอ...เพราะฟุ้ง
ขืนทำไปก็ไม่มีประโยชน์... :b5:

พอเราทำตามที่กิเลสมันเรียกร้อง...พรุงนี้มัน
ก็จะมาในรุปแบบใหม่...และเพิ่มมากขึ้น....มีทุกวัน..อ้างโน่นอ้างนี่ได้
ทุกวัน...จนเกือบจะเลิกปฏิบัติไปเลยก็มี....แต่มานึกถึงคำที่อาจารย์
ย้ำนัก ย้ำหนาว่า...มากหรือน้อย...ทำไปเรื่อยๆ....อย่าหยุด..เพราะถ้า
หยุด...ก้าวต่อไปก็คือเลิกทำ.... :b7:

พี่ก็พยายามตะล่อม "ใจ" เรื่อยๆ...มายามา..เราก็มายากลับ...
เช่น...วันนี้ไม่เข้าปฏิบัติเพราะคัดจมูก..หายใจไม่ออก
อีกใจก็จะสอดแทรกขึ้นมาแบบ..นุ่มๆว่า...ลองเดินสักแป๊ปดูก่อนซิ..ถ้าไม่ไหว
ค่อยเลิก...เดินน่าจะหายใจโล่งมากกว่านอนเฉยๆนะ...หวัดจะได้หาย
เดินสักห้านาทีก็ได้...พอเดินได้ห้านาที...ก็จะผลัดว่าต่ออีกนิดดูซิ...
กำลังดีเลย...หายใจก็โล่งขึ้น....ดีกว่านอนเฉยๆ ไม่ได้อะไรเลย... :b14:

จะเป็นอย่างนี้ทุกวัน...จะมีสองฝ่ายที่เถึยงกัน...ได้สักสองสามวัน
ตัวขึ้เกียจจะหายไป...ที่นี้พอถึงเวลาก็จะเข้าปฏิบัติเอง โดยที่เจ้าตัวงอแง
จะหายหน้าไปเป็นพักๆ....คือถ้าวันไหนมันชนะเรา...อีกวันมันก็จะเสนอหน้า
รอก่อนปฏิบัติ...คอยขัดขวางอยู่เรื่อย....แต่ถ้ามันแพ้มันก็จะหายไป..เพื่อ
ไปรวบรวมกำลังตัวใหม่กลับมาหลอกลวงเรา..... :b23:

อย่ายอมแพ้ซิค่ะต่อรองมันก่อน....เจรจากัน...ผลัดผ่อน
เราต้องรุ้ให้ทันกิเลสตัวขึ้เกียจนี้...มันร้ายกาจมากค่ะ :b30:

อนุโมทนา สาธุ...ขอให้มีความเพียรกำหนดอย่างต่อเนื่องนะค่ะ :b8:

เจริญในธรรม :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 141


 ข้อมูลส่วนตัว


จริงอย่างพี่ทักทายพูดเลยค่ะ ทุกวันนี้ตั้งใจจะตื่นตี 5 มาเดินจงกรม แต่ไ่ม่เคยทำได้สักทีพอนาฬิกาปลุก ก็จะไม่ยอมลุกเป็นมาเป็นเดือนแล้วค่ะต้องมีข้ออ้างสำหรับตัวเองมาตลอด เลยต้องอาศัยเวลาเดินตอนเย็น

เมื่อก่อนจะเป็นคนที่ชอบเดินมาก เดินเท่าไหร่ก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ ไม่ค่อยชอบนั่ง แต่ทุกวันนี้กลับกัน ไม่อยากเดินเลย เวลาเดินก็ต้องพยายามกำหนดว่าเบื่อหนอ เบื่อหนอ ตลอด แต่ก็เดินจนครบเวลา ทุกวันนี้ชอบนั่งมาก เวลานั่งก็พยายามกำหนดว่าชอบหนอ ชอบหนอ พยามยามปฏิบัติให้ได้ทุกวัน แต่บางวันก็มีเหตุให้ไม่ได้ทำเหมือนกัน

:b41: :b41:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร