วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 22:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 18, 19, 20, 21, 22, 23, 24 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2010, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


2 เมย.51
ท่านมหาธัมมาปาลเถระอาจารย์ชาวลังกา กล่าวไว้ในวิสุทธิมัคคมหาฏีกาว่า :-

นนุ จ ตชฺชา ปญฺญตฺติวเสน สภาวธมฺโม คณฺหายตีติ สจฺจํ คณฺหายตีติ
ปุพฺพภาเค ภานาย ปน วฒฺฑมานาย ปญฺญตฺตี สมติกฺกมิตฺวา สภาเวเยว จิตฺตํ ติฏฺฐตีติ

ถามว่า ท่านเอาปรมัตถธรรมโดยอำนาจบัญญัติที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆมิใช่หรือ
ตอบว่า ใช่ ถือเอาแต่ตอนต้นๆเท่านั้น แต่เมื่อเจริญวิปัสสนาภาวนานานเข้าๆ
จิตจะก้าวล่วงบัญญัติเสีย ตั้งอยู่ในปรมัตถสภาวะล้วนๆดังนี้

อธิบายว่า ในการเจริญวิปัสสนานั้น ขั้นต้นๆเมื่อตั้งสติกำหนดพองหนอ,ยุบหนอ เดินจงกรมก็ให้กำหนด
ซ้ายย่างหนอ,ขวาย่างหนอ,ยกหนอ,เหยียบหนอเป็นต้น คนทั้งหลายก็อาจสงสัยในวิธีการว่า การกำหนด
อย่างนี้เป็นการกำหนดบัญญัติ เมื่อกำหนดบัญญัติอยู่จะจัดเป็นการเจริญวิปัสสนาได้อย่างไร

ความจริง ความสงสัยอันนี้ก็ถูกต้องอยู่ แต่ว่าถูกไม่หมดทีเดียว คือว่าในชั้นแรกนั้นจะต้องให้โยคีผู้ปฏิบัติ
ทำการกำหนดอารมณ์บัญญัติไปก่อน มิฉะนั้นจิตจะไม่มีที่กำหนด

เพราะปรมัตถสภาวะเป็นสิ่งที่จะเห็นได้โดยยาก ต่อเมื่อปัญญาภาวนาแก่กล้าขึ้น อารมณ์บัญญัติเหล่านี้
จะหายไป เหลือแต่ปรมัตถสภาวะล้วนๆ

ในที่นี้จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึงญาณที่ ๔ อย่างอ่อน โยคีบุคคลต้องกำหนดอารมณ์บัญญัติทั้งสิ้น
ยังไม่เข้าถึงปรมัตถสภาวะ แต่พอเจริญวิปัสสนามาเรื่อยๆ ปัญญาภาวนาแก่กล้าเข้า จนถึง
อุทยัพพยญาณอย่างแก่ อารมณ์บัญญัติก็จะหายไปตามลำดับ อารมณ์ปรมัตถ์จะปรากฏขึ้นแทน
และเมื่อถึงญาณที่ ๕ คือภังคญาณแล้ว ก็จะมีแต่อารมณ์ปรมัตถ์ล้วนๆ

ในเรื่องนี้เปรียบเหมือนกับบุคคลที่กำลังต้องการข้าวสารบริสุทธิ์เพื่อเอามาหุงต้ม เมื่อตักข้าวสารสกปรก
ออกจากที่เก็บ ก็จะต้องเอามาใส่กระด้ง,ตะแกรง ค่อยๆร่อน ค่อยๆฝัดอยู่หลายๆครั้ง เพื่อเลือกเก็บ
เอาสิ่งสกปรกที่ปะปนอยู่ในข้าวสาร เช่น ขี้หนูหรือยากเยื่อออกให้หมดแล้ว จึงจะได้ข้าวสารบริสุทธิ์
ที่ตนต้องการ

โยคีผู้ปฏิบัติก็เหมือนกัน ในครั้งแรกๆก็ต้องอาศัยอารมณ์บัญญัติไปก่อน เมื่อค่อยร่อนค่อยฝัด
โดยการพยายามปฏิบัติไปเรื่อยๆ ปัญญาภาวนาแก่กล้าเข้า ก็จะได้ปรมัตถสภาวะล้วนๆ


อาจมีการสงสัยต่อไปอีกว่า ที่ว่าพอผ่านบัญญัติก็เห็นปรมัตถ์นั้น เห็นได้ตอนไหน?

จะเห็นได้ในขณะที่กำหนดพอง,ยุบ,นั่ง,ถูกไม่มีคือหายไปหมด และการกำหนดอยู่ว่ารู้หนอๆนั้นแหละ
เป็นปรมัตถสภาวะล้วนๆที่เดียว เพราะไม่มีอะไร คือหายไปหมดอันเป็นลักษณะของ ภังคญาณ

สรุปได้ความว่า ในขั้นต้นๆการกำหนดอารมณ์ยังเป็นบัญญัติอยู่ อัตตาก็ปรากฏ อนัตตาก็หายไป
ต่อมาปัญญาภาวนาแก่กล้าเข้า อารมณ์บัญญัติก็หายไป อารมณ์ปรมัตถ์เกิดขึ้นแทน
ระยะอารมณ์ปรมัตถ์เกิดขึ้นนี้แหละ อนัตตาก็ปรากฏอัตตาก็หายไปฉะนี้

จากหนังสือ วิปัสสนาทีปนีฎีกา รจนาโดย ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหกัมมัฏฐาน ธัมมาจริยะ

หมายเหตุ ที่ว่ารู้หนอๆนั้น เพื่อให้จิตไม่ไปหลงติดในความนิ่งของสภาวะปรมัตถ์ที่ปรากฏ
พอสติ สัมปชัญญะมีมากขึ้น คำว่า รู้หนอๆๆๆ จะหายไปเอง จะเป็นแค่รู้ขึ้นมาจากจิตเอง
แล้วกลับมารู้ที่สภาวะปัจจุบันที่เกิดขึ้น กลับมารู้ที่กายต่อ


05 เมษายน
ความอยาก

เพราะความอยากรู้ตัวเดียวแท้ๆ จึงเที่ยวหาหนทางด้วยความอยากรู้ จริงๆแล้ว ปรมัตถสภาวะล้วนๆนี่
เราเกิดมาตั้งนานแล้ว เราได้แต่รู้หนอๆมาตลอด ขนาดมีหนังสือเรื่องสภาวะต่างๆอยู่ในมือแท้ๆ
ก็เคยเปิดอ่านอยู่ แต่ทำไมตอนนั้นถึงอ่านแล้วยังไม่รู้เรื่อง หรือไม่ได้สนใจที่จะอ่าน จนคุณนุ บอกว่า
ที่คุณพูดมาทั้งหมดนั้น หลวงพ่อภัททันตระ ท่านเขียนไว้ในหนังสือ ให้ไปอ่านดีๆ

ที่แท้การปฏิบัติเราก้าวหน้า แต่เราไม่รู้ว่าก้าวหน้า มันผ่านแต่ละสภาวะผ่านไปไวมากๆ
เคยท้อเหมือนกัน มันน่าเบื่อ แต่ถึงจะเบื่อยังไงให้เราเลิกปฏิบัติ เราก็เลิกไม่ได้ มีเวลาเมื่อไหร่
ต้องเก็บเล็กผสมน้อยตลอดเวลา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

เพิ่งมาถึงบางอ้อ ว่าที่แท้ อาการที่เกิดนั้นมันเป็นเพียงสภาวะเมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่จะต้องเจอ
เรื่องเกี่ยวกับสภาวะญาณต่างๆที่เกิด เมื่อก่อนเคยรู้สึกนะ รู้สึกปลื้มปีติกับผลที่ได้รับจากการปฏิบัติ
แต่เดี่ยวนี้ มันแปลกๆ เราเองยังแปลกใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไม เดี๋ยวนี้ถึงไม่ใส่ใจในคำเรียก
หรือสมมุติบัญญัติที่มีไว้ให้รู้ เพียรหาวิธีแก้สิ่งที่ติดอยู่ตั้งนาน

ที่แท้ติดอยู่ที่คิดแค่นั้นเอง แต่ดีอย่างที่เรายังมีวาสนามีครูบาอาจารย์ที่เมตตาต่อเรามากๆ
เดี๋ยวนี้อยู่ต่อหน้าท่าน คิดอะไรไม่ได้เลย ( ใช้คิดหนอๆ อย่างเดียว เวลาอยุ่ต่อหน้าท่าน ) กลัวผิดศิล

เดี๋ยวนี้ก็แปลกอีกอย่างเรื่องศิลนี่ ทั้งๆที่เราไม่ได้สมาทานอะไร แต่ทำไมต้องระวังไม่ให้ตัวเองผิดศิล
ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้าศิลเราพร่องการปฏิบัติเราจะไม่ก้าวหน้า

เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว ตั้งแต่ผ่านเวทนาหนที่สองนี่ เรามองเห็นความกลัวที่เรามีอยู่
ไม่เคยกลัวเท่าครั้งไหนๆเลย ครั้งนี้กลัวมากๆ เหมือนความกลัวอันนี้ที่แท้มันมีอยู่แล้ว
เพียงแต่มันถูกซ่อนเอาไว้ แล้วถ้าเกิดต้องตายจริงๆมิขาดสติไปหรือนี่ รู้แต่ว่า ประมาทไม่ได้แล้ว
ความสงสัยต่างๆที่เคยมีมากมาย เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีเลย มันสงบมากๆจนตัวเราเองก็ยังแปลกใจเลย

กราบเท้าพ่อแม่ ครูบาอาจารย์

ถ้าวันนี้เราไม่มีพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิด ไม่มีครูบาอาจารย์คอยสั่งสอน แนะนำทาง ไม่มีกัลยาณมิตรที่ดี
( อันนี้ยกความดีให้คุณสายันต์ อ่ำสุวรรณ เป็นพิเศษ ) กับพ่อแม่ ครูบาฯ นี่ยกไว้เหนือเกล้า
รู้สึกตื้นตันใจมากๆ จนกล่าวไม่ถูก

ขอกราบนมัสการ และกราบขอบพระคุณผู้มีพระคุณที่เมตตามาตลอดเวลา
สิ้นสงสัยแล้วเรื่องการปฏิบัติ เหลือแค่ปฏิบัติไปอย่างต่อเนื่องเท่านั้นเอง
ไม่ต้องไปสนใจอะไรอีกแล้ว ถ้าปัญญายังไม่เกิดขึ้นจริง หรือสภาวะยังไม่เกิดขึ้นจริง

หนังสือหลวงพ่อภัททันตะนี่จะอ่านไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร เพราะอ่านแล้ว
อาจจะทำให้เข้าข้างความคิดตัวเอง จนกว่าจะเต็มที่ เข้าที่เข้าทาง เพราะมันจะทบทวนสภาวะ
อยู่อย่างนั้น วันใดเต็มที่แล้ว จึงจะอ่านรู้เรื่อง เพราะสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นจะตรงกับที่หลวงพ่อภัททันตะ
ได้รจนาไว้ทั้งหมด เราเองก็ไม่ค่อยจะเปิดอ่าน จนคุณนุ บอกว่าให้อ่าน ถึงได้อ่าน


สาธุ สาธุ สาธุ

6 เมย.

ย่อมเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า การเจริญวิปัสสนาตามพุทธประสงค์ก็คือการกำหนดรูป,นามเป็นอารมณ์
ถ้าผิดจากการกำหนดรูป,นามเสียแล้ว ก็หาใช่วิปัสสนากัมมัฏฐานไม่ นี้เป็นกฏตายตัวที่ใครจะโต้เถียง
ไม่ได้ ก็การกำหนดรูป,นามอันเป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น

เฉพาะการกำหนดรูป ถ้ากำหนดรูปใหญ่ไม่ได้ผลหรือได้ผลน้อยที่สุด ท่านก็สอนให้กำหนดรูปที่ละเอียด
รูปที่ละเอียดก็ได้แก่ รูปที่ลมหายใจถูกต้อง คือลมหายใจเข้าออกไปถูกที่ใดให้กำหนดที่นั้น
ในที่นี้สถานที่ที่ลมหายใจถูกต้องอยู่เสมอมี ๒ แห่ง คือที่จมูกและที่บริเวณท้อง ใน ๒ แห่งนั้น
ปรากฏว่า สำหรับที่จมูกจะกำหนดได้ชัดเจนก็เพียงในระยะเริ่มแรกเท่านั้น

ครั้นนานเข้าเมื่อลมละเอียดลงจะปรากฏไม่ชัดเจน ส่วนที่บริเวณท้องที่มีอาการ พอง - ยุบ นั้น
กำหนดได้ชัดเจนสม่ำเสมอ ถึงจะนานเท่าใดก็กำหนดได้ และแสดงสภาวะได้แจ้งชัดกว่าที่จมูกมาก

ในเรื่องนี้ ผู้ที่ทำการปฏิบัติแล้วย่อมทราบได้ดีทุกคน ฉะนั้น รูปที่ลมถูกต้องบริเวรท้อง คืออาการที่
พองขึ้นและยุบลง จึงเหมาะอย่างยิ่งแก่การตั้งสติกำหนดเพื่อเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน ซึ่งต้องอาศัย
การกำหนดรูป,นามเป็นสำคัญ ที่กล่าวมาแล้วนี้เรียกว่าเป็น สภาวยุตติ
( อธิบายให้เข้าใจเรื่องสภาวะล้วนๆ )

ต่อไป อาคมยุตติ ( ยกพระบาลีอรรถาฎีกาขึ้นมารับรองเป็นพยานหลักฐานของสภาวยุตติ )

มีอยู่ว่า บริเวณที่ท้องนั้น พองก็ดี ยุบก็ดี ที่มีอาการเคลื่อนไหวชัดเจนอยู่นั้น เรียกว่า วาโยโผฏฐัพพรูป
ฉะนั้น พองหนอ ยุบหนอ ซึ่งกำหนดอยู่นั้น โยคาวจรบุคคลรู้อยู่แต่ปรมัตถสภาวะวาโยธาตุที่มีอาการ
เคลื่อนไหว

รูปํ ภิกฺขเว โยนิโส มนสิกโรถ รูปานิจฺจตญฺจ ยถาภูตํ สมนุปสฺสถ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีโยนิโสมนสิการตั้งสติกำหนดที่รูปแล้ว รูปนั้นอนิจจังก็ดี
ทุกขังก็ดี อนัตตาก็ดี ย่อมเห็นได้ชัดเจนแน่นอน

อนึ่ง พระพุทธองคืทรงเทศนาไว้ในสังยุตตนิกายพระบาลีว่า -

โผฏฐพฺเพ อนิจฺจดต ชานโต อวิชฺชา ปหียติ วิชฺชา อุปปชฺชติ

โยคาวจรบุคคลที่โผฏฐัพพารมณ์ถูกต้องสัมผัสนั้น ตั้งสติกำหนดรู้เห็นอยู่ว่าไม่เที่ยง บุคคลนั้น
อวิชชาหายไป วิชชาญาณปรากฏ

ดังนั้น โยคีบุคคลที่กำหนดอาการพอง อาการยุบอยู่นั้น รู้อยู่แต่ว่าโยโผฏฐัพพรูปเช่นนี้แสดงว่า
สัมมาทิฏฐิวิชชาญาณเกิดขึ้น มิจฉาทิฏฐิวิชชาหายไป และสามารถบรรลุถึงมรรค,ผล,นิพพาน
ได้เหมือนกัน อนึ่ง พระศาสดาทรงเทศนา ไว้ในสติปัฏฐานพระบาลีว่า -

ยถา ยถา วา ปนสฺส กาโย ปณิหิโต โหติ ตถา ตถา นํ ปชานาติ

ร่างกายของโยคีบุคคลนั้นตั้งอยู่ในอาการใดๆก็ตาม ตั้งสติกำหนดรู้อาการนั้นๆ
ในที่นี้อรรถกถาจารย์แก้ว่า -

ยถา ยถา วาปนสิส เป็นต้น บาลีนี้เป็น สพฺพสงฺคาหิกวจน คือเอาทั้งหมด หมายความว่า ร่างกาย
ของโยคีบุคคลนี้ อาการเดินอยู่ก็ตั้งสติกำหนดว่า ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ถ้าอาการยืนอยู่ก็ดี
นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี ก็ตั้งสติกำหนดอยู่ว่า ยืนหนอ นั่งหนอ นอนหนอ

ถ้าหากกำลังกำหนดเดินอยู่ก็ดี กำลังยืนอยู่ก็ดี กำลังนั่งอยู่ก็ดี กำลังนอนอยู่ก็ดี ตามร่างกายนั้น
มีอาการอย่างไรเกิดขึ้นก็ตั้งสติกำหนด เช่น ตัวยืนอยู่ก็กำหนดว่า ยืนหนอ ตัวเอน เอนหนอ ก้มหนอ
เงยหนอ ตัวสั่นหนอ คู้หนอ เหยียดหนอ เย้นหนอ ร้อนหนอ ปวดท้องหนอ ท้องแน่นหนอ

ถ้าท้องพองขึ้น พองหนอ ยุบลง ยุบหนอ เป็นต้น อาการเล็กๆน้อยๆก็ต้องกำหนดด้วย
เพราะอาการเล็กๆน้อยๆเหล่านั้น ถ้าไม่ได้กำหนดก็จะเข้าใจผิดยึดถือว่าเป็น นิจจะ สุขะ อัตตะ ได้
ถ้ากำหนดก็จะได้เห็น อนิจจะ ทุกขะ อนัตตะ อันเป็นอาการของรูป,ตามความเป็นจริง

ธรรมดากฏเกณฑ์ของวิปัสสนานี้ อารมณ์ไหนกิเลสเกิดขึ้นได้ เมื่อตั้งสติกำหนดอารมณ์นั้นกิเลสหายไป
ฉะนี้ วิปัสสนานี้ ทำลายอนุสัยภูมิ สร้าง ปัญญาภูมิ ให้เจริญขึ้น ดังนั้น ยืน เดิน นั่ง นอน อริยาบททั้ง ๔
และพร้อมด้วยอริยาบทเล็กน้อยซึ่งเอาทั้งหมดนี้ เรียกว่า สพฺพสงฺคาหิกวจน ดังนี้

ในที่นี้ควรทราบ ในอริยาบทเล็กๆน้อยๆนั้น พอง-ยุบ คือ อัสสาสะปัสสาสะวาโยธาตุชนิดหนึ่ง
ในวาโยธาตุทั้ง ๖ อย่าง เพราะอัสสาสะปัสสาสะนี้เป็น กายปฏิพัทธะ เกี่ยวเนื่องกับหนังท้องจึงเป็น
วาโยโผฏฐัพพรูป กายสังขารและพองยุบนี้โดยตรงเข้าอยู่ใน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดังนั้น
พระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในสติปัฏฐานพระบาลีว่า กาเข กายานุปสฺสี วิหรติ เป็นต้น

อีกนัยหนึ่ง โยคาวจรบุคคลเมื่อนั่งลงแล้ว ที่บริเวณท้องนั้น อัสสาสะปัสสะวาโยธาตุเป็นเหตุเป็นปัจจัย
วาโยโผฏทัพพรูปนี้ปรากฏชัดเจนอยู่เสมอ ในขณะนั้นตั้งสติกำหนดว่า พองหนอ ยุบหนอ
ดังนั้น ท่านอัคคมหาบัญฑิตโสภณเถระ แสดงไว้ในวิสุทธิญาณกถาว่า -

อถ วา ปน นิสินฺนสฺส โยคิโน อุทเร อสฺสาสปสฺสาสปจฺจยา ปวตฺตํ วาโยโผฏสพฺพรูปํ
อุนฺนมนโอนมนากาเรน นิรนฺตรํ ปรากฏํ โหติ ตมฺปิ อุปนิสฺสาย อุนฺนมติ โอนมตีติ อาทินา สลฺลกฺเขตพฺพํ

โยคาวจรบุคคลเมื่อนั่งลงแล้ว ในบริเวณท้องนั้น อัสสาสะปัสสาสะวาโยธาตุเป็นเหตุปัจจัย
วาโยโผฏฐัพพรูปนี้ปรากฏชัดเจนอยู่เสมอ ในขณะนั้นตั้งสติกำหนดเจริญวิปัสสนาภาวนาว่า พองหนอ
ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ ดังนี้

พรรณามาเพื่อให้นักปฏิบัติทั้งหลายได้เข้าใจในกัมมัฏฐานภาวนาว่า พองหนอ ยุบหนอ พอสมควร
ด้วยประการฉะนี้

จากหนังสือ วิปัสสนาทีปนีฎีกา รจนาโดย ดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหกัมมัฏฐาน ธัมมาจริยะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 24 เม.ย. 2010, 20:13, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 01:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 24 เมษายน 2553
เดิน 10 นั่ง 2

เมื่อวานทำไปนิดเดียว (นิดเดียวจริง)
ส่วนวันนี้ก็เท่าที่เห็น
ที่เป็นแบบนี้เพราะไปติดนิยาย(จากเกม)เรื่องหนึ่ง
ปริศนาเยอะมาก ก็เลยนั่งอ่านถึงตี1-2 ก็ยังไม่จบน่ะ.. (ตอนนี้ก็ยังอ่านต่อ)

วันนี้เดินแล้วไม่มีอะไรมาก พยายามเดินดูเท้า และดูความคิด
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฟุ้งแล้วจู่ๆ ได้ยินเสียงแว่วแบบลำโพงพัง น่าปวดหูอยู่
เหมือนเป็นช่วงที่นอนดึกติดต่อกันนานไป จะเจอแบบนี้

-----------------------------------------------

การทำกรรมฐานแบบ หยุ่มๆ หย่อมๆ แบบนี้ และเอามาลงบันทึกด้วยเนี่ยเป็นเรื่องที่น่าอายหรือเปล่า?


แต่พอคิดอีกที... ทำไปก็ดีกว่าไม่ได้ทำ
บันทึกก็ดีกว่าไม่ได้บันทึก...
ใครจะรู้เล่าว่าบันทึกของเราอาจจุดประกายความคิดและเป็นแรงใจให้คนอื่นได้

คิดไป ตัวเราเองก็ไม่ได้ดีอะไร
บางทีทำแบบนี้ก็น่าอายออก

แต่... อย่างที่บอกเหตุผลไป

ใช่แล้วละ ใครจะรู้...

ดังนั้นก็เลยมีแต่ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 00:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 25 เมษายน 2553

เดินไปได้แค่ 5 นาที ช่วงที่กำลังฟุ้งนั้นได้ยินเสียงคนฮัมเพลงตอนใกล้ตี 1
จิตใจสั่นไหว นึกถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์
น่ากลัวจัง..

เอาเป็นว่า แค่นี้สำหรับวันนี้ละกัน...

ความรู้สึกในใจก็คือ
อยากเดินกรรมฐานให้เต็มเวลา.. แต่เป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า..

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 26 เมษายน 2553
เดิน30 นอน 5 นาที

หลงไปกับความคิดและพิจารณานิดหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกตัวว่าให้ดูที่เท้าเป็นหลัก
ในช่วงที่ดูเท้านั้น เกิดมโนภาพเป็นรูปต้นโพธิ์ต้นน้อยกำลังแตกใบอ่อนขึ้นมาจากดิน
จากนั้นก็เดินต่อไป
มีความรู้สึกสงบขึ้นมาบ้าง สลับกับกิเลสที่ผุดขึ้นมาเป็นระยะ
เดินไป20นาทีรู้สึกเบื่อ แต่ก็ต้องเดินต่อไปเพราะความมุ่งมั่นมีมากกว่าความเบื่อหน่าย
แล้วพอเดินไปช่วงหนึ่งก็ นึกถึงเรื่องที่ไม่ชอบใจที่ผ่านมา
จิตเลยถอนความยึดมั่น เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่ได้ไปให้ค่าให้ความหมายมัน
สัมผัสได้ถึงกิเลสมานะผุดขึ้นในใจ หัวใจเต้นรัวๆ
ก็รู้สึกหน่ายที่ยังมีกิเลสพรรคนี้อยู่ในใจ

เพราะว่าเดินเสร้จแล้วปวดหลัง ก็เลยนอนราบกับพื้นแล้วใช้มือประสานกันที่หน้าท้อง
จากนั้นก็ภาวนา ยุบหนอพองหนอ แล้วก็มีคนในบ้านมาขัดจังหวะ

อุทิศส่วนกุศลแผ่บุญในใจ

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2010, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 27 เมษายน 2553
เดิน 30 นอน 3

เดินดูเท้า ฟุ้งบ้าง แต่ก็พยายามดูที่เท้าเป็นหลัก
คนที่เคยกล่าวหากระทู้นี้ว่า เป็นการเจริญสติที่ไร้สติ นั้น
ถือว่าเป็นผู้ที่สติยังไม่ถึงขั้น เพราะอ่านอารมณ์การปฎิบัตินี้ไม่ออก
วันนี้ได้รู้ว่า ถ้าได้ทำต่อเนืองไปเรื่อยๆมันจะลงตัว และสามารถหาคำตอบด้วยตัวเองได้
ตอนนี้ก็เลยจะใช้สติดูการเคลื่อนไหวของร่างกายให้มากที่สุด
พยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลง เกิดความรู้สึกที่ไม่อยากทำต่อ เพราะทำไปไม่เห็นมีอะไร ก็เลยรู้ว่าเพราะว่าสติยังไม่ทัน
ยังมองไม่เห็น พอได้เห็นถึงสิ่งที่ขาดพร่องไปจึงได้รู้ว่าควรเพียรพยายามให้มากกว่านี้
เมื่อวานเพลียมากเลย ทำเสร็จแล้วแล้วไปนอน ไม่ได้มาบันทึก

ส่วนตอนที่นอนทำนั้น สักพักหนึ่งก็หลับยาวไปราวๆ20นาที
ถ้าเดินแล้วไม่ปวดหลังก็ดีสิ จะได้นั่งสมาธิได้

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 00:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 28 เมษายน 2553
เดิน 15 นั่ง 1

วันนี้ส่วนใหญ่จะฟุ้ง คิดไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ จับเท้าไม่ค่อยได้
เจอตัว โทสะ อย่างแรง...
คิดว่าไม่อยากจะมีมัน แต่ก็ใช้จิตดูตามมันไป
คิดได้หลายๆเรื่องเหมือนกัน คิดว่าการไม่มีโทสะคงจะดีกว่าการมีเป็นไหนๆ
เราเป็นคนที่อารมณ์ค่อนข้างรุนแรงอยู่ แต่ก็ควบคุมได้ในระดับหนึ่ง
ดังนั้นมันค่อนข้างส่งผลที่ไม่ดีต่อการดำรงชีวิตเสียเท่าไหร
ถ้าลดมาอยู่ในระดับที่พอดีได้ก็คงจะดีไม่น้อย

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 00:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาติ..นิดหนึ่ง

เมื่อวานนี้เจอความโง่ของตัวเอง

วัน ๆ ก็คิดนั้น..คิดนี้..ไม่พอใจตรงนี้..ตรงนั้น..ก็คิดต่อ..ทำงัยจะได้อย่างพอใจ
นี้ก็ว่า..แบบนี้มันดีนะ..เพราะคนต้องทำมาหากินอยู่..เลี้ยงร่างกาย

ตกเย็น..จะมาทำมาหา..ความสงบของใจ..หาที่พึ่งของใจ..เลี้ยงใจของตน..

ไอ้ความคิดที่คิดมาทั้งวัน..คิดเพื่อเลี้ยงสังขารอันไม่ใช่ของเรา..ก็ฟุ้งเต็มไปหมด..

บดบังความสงบอันที่จะหล่อเลี้ยงใจ..ไปซะยังงั้น..

ก็ได้คิดว่า..โง่เน๊าะ..คนเรา..ทำแต่เรื่องไร้สาระ..จนเรื่องไร้สาระมากวนความมีสาระของตัวเอง..จนได้

คลื่นแทรก..แค่นี้แหละครับ :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 00:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ขออนุญาติ..นิดหนึ่ง

เมื่อวานนี้เจอความโง่ของตัวเอง

วัน ๆ ก็คิดนั้น..คิดนี้..ไม่พอใจตรงนี้..ตรงนั้น..ก็คิดต่อ..ทำงัยจะได้อย่างพอใจ
นี้ก็ว่า..แบบนี้มันดีนะ..เพราะคนต้องทำมาหากินอยู่..เลี้ยงร่างกาย

ตกเย็น..จะมาทำมาหา..ความสงบของใจ..หาที่พึ่งของใจ..เลี้ยงใจของตน..

ไอ้ความคิดที่คิดมาทั้งวัน..คิดเพื่อเลี้ยงสังขารอันไม่ใช่ของเรา..ก็ฟุ้งเต็มไปหมด..

บดบังความสงบอันที่จะหล่อเลี้ยงใจ..ไปซะยังงั้น..

ก็ได้คิดว่า..โง่เน๊าะ..คนเรา..ทำแต่เรื่องไร้สาระ..จนเรื่องไร้สาระมากวนความมีสาระของตัวเอง..จนได้

คลื่นแทรก..แค่นี้แหละครับ :b9: :b9: :b9:


โมทนากับคุณกบด้วยคะ ที่ยอมรับกิเลสที่ตัวเองมีได้ :b8:

ตอนนี้เจริญสติแบบไหนอยู่อะคะ
ถ้าเจริญสติอย่างต่อเนืองได้ละก็ก็จะสติทันความคิด ทันกิเลสน่ะคะ

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 00:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ดูใจ..ตัวเอง

หาก..เป็นอกุศล..ก็ระงับหยับหยั้ง..การนั้น

หาก..เป็นกุศล..จึงกระทำการนั้นต่อ

แต่ประสิทธิภาพ..ยังได้ไม่ 100 นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5975

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อคืนได้ฟังหลวงตาเทศน์เรื่อง กิเลส
ตอนแรกคิดว่าเรื่องกิเลสนี่คงจะไม่มีการกล่าวถึงในสมัยพุทธกาล
จริงๆแล้วมี แต่ไม่เคยฟัง เป็นเรื่องของพระโปฐิละ หรือพระใบลานเปล่า
เรื่องที่หลวงตาเล่านี่ นำมาจากการฟังหลวงปู่มั่นใช้ในการสอนพระสงฆ์ที่ดื้อ


ก็เพิ่งรู้อีกว่า คำกล่าวที่ว่า เมื่อจิตเห็นจิต ให้ทำลายจิต มาจากเรื่องนี้นี่เอง

จิตในที่นี้คือ ตัวเหี้-ย ที่เขานำมาเปรียบเทียบกับจิตที่ชอบปรุงแต่งทั้งดีและชั่ว
ว่าถ้าเจอจิตตัวนี้ ให้ทำลายเสีย ดั่งในนิทานเรื่องนี้


http://www.dhammahome.com/front/webboar ... p?id=05885

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 21:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องนี้ก็เคยฟังจากเทศน์ของหลวงตาเช่นกันครับ

นี้แหละครับ..ดูจิต..ของจริง
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 21:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผู้ที่กำลังออนไลน์
กำลังดูบอร์ดนี้: noohmairu, Yahoo [Bot], กบนอกกะลา และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


โอ๊ะ..โอ่..

คุณ noohmairu กรุณา..เว้นกระทู้นี้..ใว้สัก อันนะท่าน..ให้ของเขาสงบร่มรื่นแบบนี้..ดีที่สุดแล้ว
:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 21:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
ผู้ที่กำลังออนไลน์
กำลังดูบอร์ดนี้: noohmairu, Yahoo [Bot], กบนอกกะลา และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


โอ๊ะ..โอ่..

คุณ noohmairu กรุณา..เว้นกระทู้นี้..ใว้สัก อันนะท่าน..ให้ของเขาสงบร่มรื่นแบบนี้..ดีที่สุดแล้ว
:b9: :b9: :b9:


คะคุณกบ ก็ภาวนาอยู่ ขอที่สงบๆตรงนี้ให้ร่มเย็นต่อไปเถอะ รูปภาพ

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 23:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เราชื่อ นักเรียน
นั่งสมาธิวันละ ๒ รอบ เช้า และ ดึกครั้งละประมาณ 50 นาทีขึ้นไป
นั่งแล้วพิจารณา ร่างกายทุกส่วนทั้ง นอก และ ใน นั่งเองที่บ้าน ไม่มีครูฝึก
ช่วงไม่นั่งสมาธิจะเดินก็รู้จะหยิบก็รู้ ให้มากที่สุด
ความคิดตัวเองพยายามอยู่ในพระไตรลักษณ์ เกิดเป็นเหตุ ตาย เปลี่ยนแปลง เอาสี่งรอบตัวมากำหนดแม้ไม่ได้นั่งสมาธิ
ชอบอ่าน หนังสือธรรมะ อ่านได้เสมอไม่มีเบื่อ
มีอารมณ์ทั่วไปเหมือนคนอื่นแต่ชอบแยกแยะ ทำผิดก็จะตำหนิตัวเองว่าให้พยายามลด หาแรงจูงใจให้ลดลง ทำถูกก็จะพยายามรักษาไว้ ชอบกำหนดอารมณ์ไม่จำเป็นจะทำตัวให้อยู่ในอุเบกขาให้มากที่สุด
เริ่มนั่งได้ 10 ปีแล้ว แต่ จริงจังได้3 ปีแล้ว
ขอให้ทุกคนมีความตั้งใจ และตั้งมั่น
อ้อ..ตั้งแต่นั่งสมาธิมาไม่เคยเห็นภาพนิมิต

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 00:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:38
โพสต์: 193

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 29 เมษายน
เดิน 10 นั่ง 3

ก่อนที่จะบันทึกนั้นก็คิดอยู่ ว่าควรเล่าดีไหม
แต่ถ้าไม่บันทึกลงไป ก็คงจะไม่ได้เห็นสภาวะที่เรากำลังเผชิญ
อะไรที่เกิดขึ้นจริง ก็สมควรที่จะบันทึกไว้ :b48:


วันนี้เจอความทุกข์อย่างหนักหน่วง
ความจริงก็คือ ได้มองเห็นตามความเป็นจริงเพราะว่าได้คนมาบรรยายให้ฟัง
เคยคิดนะว่า ถ้าสามารถร้องไห้ไปได้ตลอดชีวิตเลยก็ดี จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก
สำหรับความทุกข์นั้นมีสติสลับเข้ามาบ้าง ช่วงที่สติวูบขึ้นมาเหมือนความทุกข์จะหายไปหมดเลย
แต่เพราะใจยังพะวงกับปัญหาอยู่ก็เลยยังทุกข์ต่อ
เหมือนคนหัวใจสลาย... ทำนองนั้น
แต่ก็ไม่เท่าไหรหรอก เพราะเมื่อก่อนก็เคยเป็นแบบนี้มาแล้ว
ตอนนี้แค่เจอแบบนี้อีกครั้ง อาจจะเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเราที่เคยเผชิญมาแล้วก็ทำได้แค่เผชิญกับมันต่อไป
ทำไมต้องเจออะไรแบบนี้ด้วย เมื่อไหรจะใช้กรรมหมดสักทีนะ?
ท้อใจมากเหลือเกิน แต่ก็รู้ว่าถ้าคิดกดดันตัวเองต่อไปมันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย
ตอนนี้รู้ชัดขึ้นว่าตัวเองเป้นอะไร แต่ด้วยสติตอนนี้ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้

ตอนที่เดิน ก็ได้รู้ว่า คิดพิจารณาไปก็เท่านั้น ไม่เห็นได้อะไรจริงๆเลย
ควรที่จะดูเท้ามากกว่า ดูเท้าแบบไม่ต้องคิดอะไร แค่เอาสติไปจับไว้ที่เท้า
ตอนที่เดินนั้นมีวูบฟุ้งไปบ้าง อะไรบ้าง แต่ด้วยการหลงทางครั้งที่ผ่านๆมานั้นได้สั่งสมสติขึ้นมาย่อมหนึ่ง
จึงทำได้ดีกว่าผู้ที่เริ่มต้น

ไม่เป็นไรถ้าจะกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ในเมื่อตอนนี้ก็ถือว่ามีพื้นฐานที่ดีแล้ว

จบการบันทึกเพียงเท่านี้

.....................................................
หากไม่สนใจหลักธรรมปลีกย่อย แล้วจะบรรลุหลักธรรมใหญ่ได้ยังไง -- กวนอู

"ทรัพยกรมนุษย์หากตายไป บริษัทฯ สามารถหามาแทนได้ แต่ทรัพยากรครอบครัวนั้น ครอบครัวไม่สามารถหามาแทนได้"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 18, 19, 20, 21, 22, 23, 24 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร