วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 226 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 16  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก

[๔๔๐] ...ฯลฯ...สมัยนั้น ภิกษุชื่อสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร (บุตรชาวประมง)
มีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไปไม่ใช่อื่น

[๔๔๒] ...ฯลฯ...พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?

สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า
วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร?

สาติภิกษุทูลว่า
สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย
ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ


พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า

ดูกรโมฆบุรุษ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น
เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ
ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี

ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วยขุดตนเสียด้วย
จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว

ดูกรโมฆบุรุษก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์
เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.

ปัจจัยเป็นเหตุเกิดแห่งวิญญาณ

[๔๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้นก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ

วิญญาณอาศัย จักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ
วิญญาณอาศัย โสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ
วิญญาณอาศัย ฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ
วิญญาณอาศัย ชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ชิวหาวิญญาณ
วิญญาณอาศัย กายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ
วิญญาณอาศัย มนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ

ส่วนหนึ่งจาก มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก

◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆

^
● พระสาติ มีทิฐิลามก กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระสาติมีความเห็นผิดว่า
วิญญาณ(ขันธ์)นี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น
วิญญาณ(ขันธ์)ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลายทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่ว


● พระพุทธองค์จึงตรัสแก้ให้ฟังว่า
วิญญาณ(ขันธ์)อาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น
ความเกิดแห่งวิญญาณ(ขันธ์) เว้นจากปัจจัย ไม่ได้

วิญญาณ(ขันธ์)อาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้นก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ


วิญญาณอาศัย จักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ
วิญญาณอาศัย โสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ
วิญญาณอาศัย ฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ
วิญญาณอาศัย ชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ชิวหาวิญญาณ
วิญญาณอาศัย กายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ
วิญญาณอาศัย มนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ


● ซึ่งตรงกับ ฉฉักกสูตร ที่กล่าวไว้ถึง หมวดวิญญาณ ๖

[๘๑๔] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า
พึงทราบหมวดวิญญาณ ๖ นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว คือ

บุคคลอาศัยจักษุและรูป จึงเกิด จักษุวิญญาณ
อาศัยโสตะและเสียง จึงเกิด โสตวิญญาณ
อาศัยฆานะและกลิ่น จึงเกิด ฆานวิญญาณ
อาศัยชิวหาและรส จึงเกิด ชิวหาวิญญาณ
อาศัยกายและโผฏฐัพพะ จึงเกิด กายวิญญาณ
อาศัยมโนและธรรมารมณ์ จึงเกิด มโนวิญญาณ


● และตรงกับ มหาปุณณมสูตร ที่กล่าวว่า
นามรูป เป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ วิญญาณขันธ์ ฯ

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


● สรุป มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก

พระสาติ มีทิฐิลามก กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระสาติมีความเห็นผิดว่า
วิญญาณ(ขันธ์)นี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น
วิญญาณ(ขันธ์)ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลายทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่ว


เพราะ พระสาติ เข้าใจผิดว่า จิต คือ วิญญาณขันธ์ นั่นเอง
เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีความเห็นว่า จิต คือ วิญญาณขันธ์
ก็น่าจะเข้าข่ายมีทิฐิลามก กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าแบบพระสาติ

เพราะ จิตคือตัวเสวยวิบากกรรมทั้งดีทั้งชั่ว
ไม่ใช่วิญญาณขันธ์เสวยวิบากกรรมทั้งดีทั้งชั่ว



● โดยอธิบาย

★ วิญญาณขันธ์ เป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕

วิญญาณขันธ์เป็นอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์
คือการรับรู้อารมณ์ของจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

วิญญาณขันธ์ จึงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามเหตุปัจจัย

และนามรูป เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดวิญญาณขันธ์ นั่นคือ
ตา+รูป เกิดวิญญาณทางตา
หู+เสียง เกิดวิญญาณทางหู
จมูก+กลิ่น เกิดวิญญาณทางจมูก
ลิ้น+รส เกิดวิญญาณทางลิ้น
กาย+กายสัมผัส เกิดวิญญาณทางกาย
ใจ+ธัมมารมณ์ เกิดวิญญาณทางใจ


★ วิญญาณขันธ์ จึงไม่ใช่ตัวรองรับวิบากของกรรม

จิตคือตัวบันทึกกรรม ตัวเสวยวิบากของกรรมทั้งหลายทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่ว
จิตจุติ(เคลื่อน)ออกจากร่างกายที่ตายไป ไปเกิดตามอำนาจกรรมดีกรรมชั่ว
โดยจิตเกาะกุมอารมณ์สุดท้าย(มโนวิญญาณ)ในเวลาใกล้จะตาย
เป็นปฏิสนธิวิญญาณพาไปเกิดในภพภูมิใหม่ตามแรงกรรม


★ จิต ไม่ใช่ วิญญาณ(ขันธ์)

จิตคือวิญญาณธาตุ(ธาตุรู้) ไม่ใช่วิญญาณขันธ์
จิตมีดวงเดียว (เอกจรํ=ดวงเดียวเที่ยวไป) ไม่เป็นกอง แต่ขันธ์เป็นกอง

วิญญาณขันธ์ มี ๖ แบ่งตามวิถีทางที่อารมณ์เข้ามา
คือ วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จัดเป็นสสังขาริก...อาศัยทวารทั้ง ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
วิญญาณทางใจ จัดเป็นอสังขาริก...ไม่อาศัยทวารทั้ง ๕


★ จิตคือธาตุรู้ ทรงความรู้ทุกกาลสมัย

ธาตุรู้ยังไงก็เป็นธาตุรู้วันยังค่ำ ไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นธาตุดิน น้ำ ลม หรือ ไฟ

แต่สิ่งที่ถูกจิตรู้ต่างหากที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปจากจิตตลอดวันตลอดคืน นั่นคือ


★ จิตไม่เกิดดับ

แต่ขันธ์ ๕ ซึ่งรวมถึงวิญญาณขันธ์ เกิดขึ้นที่จิต และดับไปจากจิต

ไม่ว่าวิญญาณทางตาจะเกิดขึ้นแล้วดับไป
เกิดวิญญาณทางหูขึ้นแทนแล้วดับไป
เกิดวิญญาณทางอื่นๆขึ้นแทน...ฯลฯ...
จิตย่อมรู้ตลอดเวลาที่วิญญาณเหล่านั้นเกิดขึ้นและดับไปจากจิต

ถ้าจิตเกิดดับ หรือจิตคือวิญญาณขันธ์
ตอนที่จิตดับคือรู้ดับ ก็ต้องไม่รู้ไรเลย แต่ทำไมยังรู้ล่ะว่าวิญญาณทางตาดับ
เกิดวิญญาณทางหูแทน วิญญาณทางหูดับ เกิดวิญญาณทางอื่นขึ้นแทน...ฯลฯ...
ถ้าไม่รู้ไรเลย ย่อมบอกออกมาไม่ได้!!!


★ จิตคือธาตุรู้ รู้ผิด หรือ รู้ถูก

ปุถชน จิตรู้ผิดจากความเป็นจริง ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
เพราะจิตมีอวิชชาครอบงำ หลงผิดยึดขันธ์ ๕ เป็นตน
เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป จิตก็แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไป


พระอริยสาวก จิตรู้ถูกตามความเป็นจริง รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง
เพราะจิตหลุดพ้นจากการครอบงำของอวิชชา เกิดวิชชาขึ้นแทนที่
จิตไม่หลงผิด จิตปล่อยวางการยึดขันธ์ ๕ เป็นตน
เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป จิตก็ไม่แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไป


ดังมีกล่าวไว้ใน นกุลปิตาสูตร ว่า

ปุถุชน กายกระสับกระส่าย จิตกระสับกระส่าย
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรปรวน ทุกข์จึงเกิดขึ้นที่จิต


พระอริยสาวก กายกระสับกระส่าย จิตหากระสับกระส่ายไม่
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรปรวน ทุกข์ไม่เกิดขึ้นที่จิต

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ธรรมภูต เขียน:
อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
หลับอยุ่ เขียน:
[๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อย
กิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ
บ้าง จิตเป็นต้นนั้น
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉัน
นั้นแล ฯ


ผมจะเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นได้ง่ายขึ้นดังนี้ครับ

ถ้าเราเปรียบจิตที่บริสุทธิ์ เป็นเช่นเดียวกับน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่มีสิ่งใดๆเจือปนอยู่เลยนั้น

การที่เราเรียกน้ำว่า น้ำแดงบ้าง น้ำแกงบ้าง น้ำปานะบ้างฯลฯ

น้ำเป็นต้นนั้น ชนิดหนึ่งเกิดขึ้น ขนิดหนึ่งดับไป

จิตที่กล่าวไว้ในพระสูตรนี้ พระองค์ทรงหมายถึงจิตสังขาร

ที่เกิดดับไปตามอารมณ์ที่เข้ามาปรุงแต่งจิต อยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ก็แค่นั้นแล


:b39:


สวัสดีครับคุณธรรมภูต smiley
ที่คุณอธิบายมาหมายถึงจิตเดิมเป็นประภัสสร ที่มัวหมองเพราะกิเลสจรเข้ามาหรือครับ

ครับ หมายถึงจิตเดิมที่ประภัสสร แต่ยังไม่ได้รับความบริสุทธิ์

เมื่อมีกิเลสเป็นแขกจรเข้ามา จึงเศร้าหมองไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆเหล่านั้น

เพราะยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติอริยมรรคมีองค์แปดอย่างจริงจัง

เพื่อขจัดขัดเกล้าให้จิตบริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
จิต ..
เป็นสังขตะธาตุ หรือ อสังขตะธาตุ


ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจ อสังขตะธรรม กับสังขตะธาตุ ต่างกันอย่างไรก่อนนะครับ

อสังขตสูตร
[๔๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อสังขตลักษณะของอสังขตธรรม ๓ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ

ไม่ปรากฏความเกิด ๑
ไม่ปรากฏความเสื่อม ๑
เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน ๑


สังขตสูตร
[๔๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สังขตลักษณะ ของสังขตธรรม ๓ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ

ความเกิดขึ้นปรากฏ ๑
ความเสื่อมปรากฏ ๑
เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนปรากฏ ๑

โลกกุตรจิตชั้นพระอรหันต์นั้น
ปรากฏการเกิดมั้ย?
ปรากฏความเสื่อมมั้ย
ยังมีความแปรปรวนปรากฏให้เห็นมั้ย?

ส่วนโลกียจิตของปุถุชนคนนั้น
ปรากฏการเกิดไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมั้ย?
ปรากฏความเสื่อมไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมั้ย?
ย่อมแปรปรวนไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมั้ย?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด

วิราคะ คือ ธรรมเป็นที่บรรเทาความเมา นำเสียซึ่งความกระหาย ถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย
ตัดซึ่งวัฏฏะ สิ้นไปแห่งตัณหา สิ้นกำหนัด ดับ นิพพาน
บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น


:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลิ้มธรรม เขียน:
ธรรมภูต เขียน:
ตรงไหนครับ ที่เขียนว่า จิตเป็นอนัตตา

มีแต่อย่าเห็นผิดว่าจิตสังขารและวิญญาณขันธ์ เป็นอัตตาตัวตน

หรือเป็นของตัวตน เพราะการเห็นผิดอย่างนี้

ถ้าไม่ได้สดับในธรรมของพระองค์แล้วย่อมจะไม่รู้ความจริงได้เลย

เพราะจิตย่อมละเอียดอ่อนนอนเนื่องจนไม่รู้ตัว ใครที่ไม่รู้ตัว??????


onion เพราะ..ความไม่รู้..จึงเปนเช่นนี้เเล..

รูปภาพ

เพราะความไม่รู้ ไม่มีหรอกนะครับ

มีแต่รู้ถูก หรือรู้ผิดเท่านั้นครับ

ก็ดูอย่างคนบ้าสิครับ เพราะไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด

จึงไม่รู้สึกทุกข์ร้อน ไปกับการกระทำของตนใช่มั้ย?

แม้แต่คนบ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลย เพียงแต่ไม่รู้จักแยกแยะเท่านั้นเอง

อย่าไปบอกว่าไม่รู้อะไรเชียวหนะ มีแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลยครับ

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามคือ จิต เป็นสังขตธาตุ หรืออสังขตธาตุ

สิ่งที่ไม่ได้ถาม คือ ลักษณะความแตกต่าง ของสังขตะ และอสังขตะ
ถามอีกครั้งหนึ่ง

จิต เป็นสังขตธาตุ หรือ อสังขตธาตุ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 17 พ.ค. 2010, 22:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
คำถามคือ จิต เป็นสังขตธาตุ หรืออสังขตธาตุ

สิ่งที่ไม่ได้ถาม คือ ลักษณะความแตกต่าง ของสังขตธาตุ และอสังขตธาตุ

ถามอีกครั้งหนึ่ง

จิต เป็นสังขตธาตุ หรือ อสังขตธาตุ


อิอิ

สังขตธาตุ หรือ อสังขตธาตุ ก็ไหลออกมาจาก จิต

ละจ้าๆ


อนุโมทนาสาธุจ้า
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมภูต เขียน:
ลิ้มธรรม เขียน:
ธรรมภูต เขียน:
ตรงไหนครับ ที่เขียนว่า จิตเป็นอนัตตา

มีแต่อย่าเห็นผิดว่าจิตสังขารและวิญญาณขันธ์ เป็นอัตตาตัวตน

หรือเป็นของตัวตน เพราะการเห็นผิดอย่างนี้

ถ้าไม่ได้สดับในธรรมของพระองค์แล้วย่อมจะไม่รู้ความจริงได้เลย

เพราะจิตย่อมละเอียดอ่อนนอนเนื่องจนไม่รู้ตัว ใครที่ไม่รู้ตัว??????


onion เพราะ..ความไม่รู้..จึงเปนเช่นนี้เเล..

รูปภาพ

เพราะความไม่รู้ ไม่มีหรอกนะครับ

มีแต่รู้ถูก หรือรู้ผิดเท่านั้นครับ

ก็ดูอย่างคนบ้าสิครับ เพราะไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด

จึงไม่รู้สึกทุกข์ร้อน ไปกับการกระทำของตนใช่มั้ย?

แม้แต่คนบ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลย เพียงแต่ไม่รู้จักแยกแยะเท่านั้นเอง

อย่าไปบอกว่าไม่รู้อะไรเชียวหนะ มีแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลยครับ

:b39:


อิอิ

รู้ถูก รู้ผิด เพราะไม่รู้เจ๋ยๆ ละจ้าๆ

คนบ้า ก็ ดีใจ เสียใจ เพราะไม่รู้เจ๋ยๆ ละจ้าๆ

จิตเดิมแท้ ไม่เกิด ไม่ตาย ละจ้าๆ


อนุโมทนาสาธุจ้า
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 15:07
โพสต์: 313

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมภูต เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
ธรรมภูต เขียน:
อ้างคำพูด:
อ้างอิงคำพูด:
หลับอยุ่ เขียน:
[๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อย
กิ่งนั้น ยึดเอากิ่งอื่น ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด ร่างกาย
อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ
บ้าง จิตเป็นต้นนั้น
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉัน
นั้นแล ฯ


ผมจะเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นได้ง่ายขึ้นดังนี้ครับ

ถ้าเราเปรียบจิตที่บริสุทธิ์ เป็นเช่นเดียวกับน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่มีสิ่งใดๆเจือปนอยู่เลยนั้น

การที่เราเรียกน้ำว่า น้ำแดงบ้าง น้ำแกงบ้าง น้ำปานะบ้างฯลฯ

น้ำเป็นต้นนั้น ชนิดหนึ่งเกิดขึ้น ขนิดหนึ่งดับไป

จิตที่กล่าวไว้ในพระสูตรนี้ พระองค์ทรงหมายถึงจิตสังขาร

ที่เกิดดับไปตามอารมณ์ที่เข้ามาปรุงแต่งจิต อยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ก็แค่นั้นแล


:b39:


สวัสดีครับคุณธรรมภูต smiley
ที่คุณอธิบายมาหมายถึงจิตเดิมเป็นประภัสสร ที่มัวหมองเพราะกิเลสจรเข้ามาหรือครับ

ครับ หมายถึงจิตเดิมที่ประภัสสร แต่ยังไม่ได้รับความบริสุทธิ์

เมื่อมีกิเลสเป็นแขกจรเข้ามา จึงเศร้าหมองไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆเหล่านั้น

เพราะยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติอริยมรรคมีองค์แปดอย่างจริงจัง

เพื่อขจัดขัดเกล้าให้จิตบริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย

:b39:


อิอิ

เอา..ที่ประภัสสร ออกก็เหลือแต่ จิตเดิมแท้ๆๆ ละจ้าๆ

ไม่มีกระจกเงาใส ฝุ่นจะเกาะอะไร ละจ้าๆ


อนุโมทนาสาธุจ้า
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 22:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 10:07
โพสต์: 86

แนวปฏิบัติ: เงียบๆคนเดียว
งานอดิเรก: ฟังธรรมของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย&หลวงพ่อปราโมทย์.
สิ่งที่ชื่นชอบ: ตามดูจิต,หลวงปู่ฝากไว้,สติปัฏฐาน ๔
ชื่อเล่น: Mulan ;)
อายุ: 0
ที่อยู่: ปัจจุบัน

 ข้อมูลส่วนตัว


onion เพราะ..ความไม่รู้..จึงเปนเช่นนี้เเล..

อ้างคำพูด:
เพราะความไม่รู้ ไม่มีหรอกนะครับ

มีแต่รู้ถูก หรือรู้ผิดเท่านั้นครับ

ก็ดูอย่างคนบ้าสิครับ เพราะไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด

จึงไม่รู้สึกทุกข์ร้อน ไปกับการกระทำของตนใช่มั้ย?

แม้แต่คนบ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลย เพียงแต่ไม่รู้จักแยกแยะเท่านั้นเอง

อย่าไปบอกว่าไม่รู้อะไรเชียวหนะ มีแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลยครับ:b39:


onion
ด้วย....อยากได้ ให้ผู้อื่นเห็นด้วยกับตนเอง
เมื่อไม่ได้ดังต้องการ..ก็บันดาล..โทสะ....ตัณหา..อุปทานที่หนาเเน่น...ร้อนรน เดือดพล่าน
เเจ้งเกิด..ทันที
นี่เเหละ..คือ..ความไม่รู้ ไม่รู้เเจ้ง คือ อวิชชา :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2010, 23:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


noohmairu เขียน:

สังขตธาตุ หรือ อสังขตธาตุ ก็ไหลออกมาจาก จิตละจ้าๆ
เอา..ที่ประภัสสร ออกก็เหลือแต่ จิตเดิมแท้ๆๆ ละจ้าๆ
ไม่มีกระจกเงาใส ฝุ่นจะเกาะอะไร ละจ้าๆ


สังขตะธาตุ หรือ อสังขตธาตุ ไหลออกจากจิต
อะไร คือความออกจากจิต
อะไรไหล

จิตเดิมแท้ มีจริงหรือ... มีอะไรที่ไหลออกมาได้หรือ?

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 17 พ.ค. 2010, 23:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 08:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
คำถามคือ จิต เป็นสังขตธาตุ หรืออสังขตธาตุ

สิ่งที่ไม่ได้ถาม คือ ลักษณะความแตกต่าง ของสังขตะ และอสังขตะ
ถามอีกครั้งหนึ่ง

จิต เป็นสังขตธาตุ หรือ อสังขตธาตุ


คิดว่าได้ตอบไปแบบ คนที่ผ่านการปฏิบัติมาก่อน ย่อมเข้าใจได้

และพยายามชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของโลกุตรจิตและโลกียจิต

ในคำตอบก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่า

จิตที่ไม่ได้รับความบริสุทธิ์โลกียจิตนั้น เป็นสังขตะธรรม

เพราะเกิดตายไปตามความรู้สึกนึกคิดต่างๆที่เข้ามาปรุงแต่งจิตครอบงำอยู่ในขณะนั้น

ส่วนจิตที่ได้รับความบริสุทธิ์หรือโลกุตรจิตนั้น

สังขตะธรรมถูกขจัดออกไปจากจิต เผยให้เห็นความเป็นอสังขตะธรรมที่ได้รับความบริสุทธิ์

เป็นวิราคะธรรมเกิดขึ้นที่จิต คือ ธรรมเป็นที่บรรเทาความเมา นำเสียซึ่งความกระหาย

ถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย ตัดซึ่งวัฏฏะ สิ้นไปแห่งตัณหา สิ้นกำหนัด ดับ นิพพาน

เฉพาะพระสูตรก็น่าจะชัดเจนอยู่แล้ว ไม่น่าจะถามซ้ำ หรือไม่รู้จริงๆ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด
วิราคะ คือ ธรรมเป็นที่บรรเทาความเมา นำเสียซึ่งความกระหาย ถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย
ตัดซึ่งวัฏฏะ สิ้นไปแห่งตัณหา สิ้นกำหนัด ดับ นิพพาน
บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น


:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 08:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


noohmairu เขียน:
ธรรมภูต เขียน:
ลิ้มธรรม เขียน:
ธรรมภูต เขียน:
ตรงไหนครับ ที่เขียนว่า จิตเป็นอนัตตา

มีแต่อย่าเห็นผิดว่าจิตสังขารและวิญญาณขันธ์ เป็นอัตตาตัวตน

หรือเป็นของตัวตน เพราะการเห็นผิดอย่างนี้

ถ้าไม่ได้สดับในธรรมของพระองค์แล้วย่อมจะไม่รู้ความจริงได้เลย

เพราะจิตย่อมละเอียดอ่อนนอนเนื่องจนไม่รู้ตัว ใครที่ไม่รู้ตัว??????


onion เพราะ..ความไม่รู้..จึงเปนเช่นนี้เเล..

รูปภาพ

เพราะความไม่รู้ ไม่มีหรอกนะครับ

มีแต่รู้ถูก หรือรู้ผิดเท่านั้นครับ

ก็ดูอย่างคนบ้าสิครับ เพราะไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด

จึงไม่รู้สึกทุกข์ร้อน ไปกับการกระทำของตนใช่มั้ย?

แม้แต่คนบ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลย เพียงแต่ไม่รู้จักแยกแยะเท่านั้นเอง

อย่าไปบอกว่าไม่รู้อะไรเชียวหนะ มีแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลยครับ

:b39:


อิอิ

รู้ถูก รู้ผิด เพราะไม่รู้เจ๋ยๆ ละจ้าๆ

คนบ้า ก็ ดีใจ เสียใจ เพราะไม่รู้เจ๋ยๆ ละจ้าๆ

จิตเดิมแท้ ไม่เกิด ไม่ตาย ละจ้าๆ


อนุโมทนาสาธุจ้า
:b8:


อิอิ

รู้เฉยๆนั่นหนะ เค้าเรียกว่ารู้ถูก จึงแล้วก็เฉยไว้

ที่คนบ้า ดีใจหรือเสียใจ เพราะรู้ผิดไปจากความเป็นจริง

ใช่จ้า จิตเดิมแท้จริง ไม่สูญหายเกิดตายไปไหน

แต่ส่วนใหญ่ ยังเดิมแท้ไม่จริงก็เท่านั้น

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลิ้มธรรม เขียน:
onion เพราะ..ความไม่รู้..จึงเปนเช่นนี้เเล..

อ้างคำพูด:
เพราะความไม่รู้ ไม่มีหรอกนะครับ

มีแต่รู้ถูก หรือรู้ผิดเท่านั้นครับ

ก็ดูอย่างคนบ้าสิครับ เพราะไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด

จึงไม่รู้สึกทุกข์ร้อน ไปกับการกระทำของตนใช่มั้ย?

แม้แต่คนบ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลย เพียงแต่ไม่รู้จักแยกแยะเท่านั้นเอง

อย่าไปบอกว่าไม่รู้อะไรเชียวหนะ มีแต่คนตายเท่านั้นที่ไม่รู้อะไรเลยครับ:b39:


onion
ด้วย....อยากได้ ให้ผู้อื่นเห็นด้วยกับตนเอง
เมื่อไม่ได้ดังต้องการ..ก็บันดาล..โทสะ....ตัณหา..อุปทานที่หนาเเน่น...ร้อนรน เดือดพล่าน
เเจ้งเกิด..ทันที
นี่เเหละ..คือ..ความไม่รู้ ไม่รู้เเจ้ง คือ อวิชชา :b8:


เห็นด้วยไม่เห็นด้วยนั้น ขึ้นอยู่กับเหตุผลครับ

ส่วนอยากหรือไม่อยาก ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

ถ้าลองเชื่อ จนเป็นอนุเสติ

ต่อให้คนพูดมีเหตุผล ก็ถอนอนุเสติที่ฝังแน่นไม่ได้หรอกครับ

อย่าบอกนะว่ารู้แจ้ง เรื่องง่ายๆยังไม่ผ่านเลย

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ค. 2010, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในการเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธี
เฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช ๒๕๕๒
ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย
วันเสาร์ ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒
(ฉบับไม่เป็นทางการ)
ขอขอบพระทัย และขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกัน มาให้พรวันเกิด ด้วยถ้อยคำที่เลือกสรรมาจากใจ ซึ่งปรารถนาดี มุ่งหมายให้ข้าพเจ้า มีความสุข ความสวัสดีโดยประการต่าง ๆ

ความสุขความสวัสดีของข้าพเจ้า จะเกิดมีขึ้นได้ ก็ด้วยบ้านเมืองของเรา มีความเจริญมั่นคงเป็นปกติสุข ความเจริญมั่นคงทั้งนั้น จะสำเร็จผลเป็นจริงได้ ก็ด้วยทุกคน ทุกฝ่ายในชาติ มุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน ให้เต็มกำลัง ด้วยสติรู้ตัว ด้วยปัญญารู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ยิ่งกว่าส่วนอื่น

จึงขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญ อยู่ในสถาบันหลักของประเทศ และชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง แล้วตั้งจิตตั้งใจให้เที่ยงตรง หนักแน่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมอันไพบูลย์ คือชาติบ้านเมือง อันเป็นถิ่นที่อยู่ที่ทำกินของเรา มีความเจริญมั่นคงยั่งยืนไป


ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่าน ให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวยสุขสิริสวัสดิ์ พิพัฒนมงคล ให้สัมฤทธิ์ แก่ท่านทั่วหน้า


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 226 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11 ... 16  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร