วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 03:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 226 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 16  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ธรรมภูต เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
จิต เป็นสังขตธาตุ หรือ อสังขตธาตุ


คุณหลับอยู่ ตื่นซะแล้วลองอ่านที่ผมเขียนไปสักหลายเที่ยว และเทียบเคียงกับพระพุทธพจน์แล้วจะเข้าใจเอง
ผมยังไม่ตื่นหรอกครับ ในนี้ก้ยังไม่มีคนตื่น :b1:
หรือถ้ายังไม่เข้าใจเพราะเหตุอะไรก็ตามแต่ ช่วยบอกที่ตัวเองเข้าใจมาด้วยก็จะดี
cool
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรมก็ดี(โลกียจิตสามัญสัตว์โลก) อสังขตธรรมก็ดี(ธาตุรู้หรือจิต) มีประมาณเท่าใด

วิราคะ(โลกุตรจิตที่พ้นโลกหรือจิตที่ได้รับความบริสุทธิ์) คือ ธรรมเป็นที่บรรเทาความเมา นำเสียซึ่งความกระหาย ถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย

ตัดซึ่งวัฏฏะ สิ้นไปแห่งตัณหา สิ้นกำหนัด ดับ นิพพาน

บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสังขตธรรมและอสังขตธรรมเหล่านั้น

:b39:

อสังขตธรรมก็ดี(ธาตุรู้หรือจิต) :b10: ช่วยอธิบายโดยละเอียดได้ไหมครับ

อสังขตธรรม คือสิ่งที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น

จิตเองก็เช่นกันมีพระพุทธพจน์รับรองไว้ชัดเจนว่ามีอยู่ก่อนนานมาแล้ว

เช่นแม่ธาตุทั้งหลายที่ยังไม่ได้ผสมปนกันจนเป็นสังขตธรรมไป

มี ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ(ธาตุรู้หรือจิต)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด

ก็แสดงว่า ทั้งสังขตธรรม และอสังขตธรรมนั้น เป็นพหูพจน์ พระองค์จึงกล่าวว่ามีประมาณเท่าใด

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 09:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภัทรพงศ์ เขียน:
อ้างคำพูด:
ผมไม่ได้คิดเองเออเองนะครับ

มีพระพุทธพจน์กล่าวไว้ชัดเจนแล้ว โลกุตรจิตชั้นพระโสดาบันนั้น เป็นผู้เที่ยง และตรงต่อพระนิพพานแล้วใช่มั้ย?

ส่วนโลกียจิตหรือจิตสังขารนั้น ไม่เที่ยงแท้แน่นอนแปรเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลาใช่มั้ย?

เรื่องวิญญาณนั้น ไปศึกษาให้ดีๆ ระหว่างวิญญาณขันธ์กับวิญญาณธาตุ คนละเรื่องกันเลย

ในพระสูตรก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า พระสาติเข้าใจผิดคิดไปเองว่า จิตกับวิญญาณขันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน

ถ้าจิตกับวิญญาณเป็นสิ่งเดียวกัน เราคงต้องได้อ่านเจอมาบ้างหละว่า มีคำว่าโลกุตรวิญญาณ

แต่เท่าที่พบเจอนั้นมีแต่ การปฏิเสธขันธ์๕ว่า นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

เมื่อมีที่ไม่ใช่ แล้วที่ใช่หละ จะไม่ให้มีเลยหรือ ถ้าอะไรๆ ไม่มีอยู่จริง ก็แสดงว่าโกหกกันสิ


เมื่อโลกุตตรกุศลจิต(มัคคจิตมีนิพพานเป็นอารมณ์)เกิดขึ้นและดับไปแล้วโลกุตตรวิบากจิต(ผลจิต)ก็เกิดสืบต่อทันทีโดยไม่มีระหว่างคั่น ท่านว่าพระโสดาบันเป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะบรรลุพระอรหัตตผล ไม่เกี่ยวกับจิตเที่ยง ไม่เที่ยงครับ

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้สดับ พึงเบื่อหน่าย คลายกำหนัดและพ้นไปในกาย อันประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้งสี่นี้ได้. เพราะเหตุไร ? เพราะความก่อขึ้น ความสลายตัว การรวมตัว การแยกตัว ของกายอันประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้งสี่นี้ อันบุคคลเห็นได้. เพราะเหตุนั้น บุถุชนผู้มิได้สดับจึงพึงเบื่อหน่ายคลายกำหนัดและพ้นไปในกายนั้นได้."

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แต่ธรรมชาติที่เรียกว่าจิตบ้าง ใจ (มโน) บ้าง วิญญาณบ้าง อันใด,๓ บุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่ (สามารถ) พอที่จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด และพ้นไปในธรรมชาตินั้นได้ เพราะเหตุไร ? เพราะธรรมชาตินัน อันบุถุชนผู้มิได้สดับ ฝังใจ ยึดถือ ลูบคลำ (ด้วยใจ) มานานแล้วว่า "นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา." เพราะเหตุนั้น บุถุชนผู้มิได้สดับ จึงไม่ (สามารถ) พอที่จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด และพ้นไปได้ในธรรมชาตินั้น."

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุถุชนผู้มิได้สดับ พึงถือกายอันประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้งสี่นี้ว่า เป็นตนดีกว่า. การถือว่า จิตเป็นตนไม่ดีเลย. เพราะเหตุไร ? เพราะกายอันประกอบขึ้นด้วยธาตุ ๔ นี้ ที่ตั้งอยู่ ๑ ปี, ๒ ปี, ๓ ปี, ๔ ปี, ๑๐ ปี, ๒๐ ปี, ๓๐ ปี, ๔๐ ปี, ๕๐ ปี, ๑๐๐ ปี แม้ตั้งอยู่เกิน ๑๐๐ ปี ก็ยังเห็นได้. แต่ธรรมชาติที่เรียกว่าจิตบ้าง ใจบ้าง วิญญาณบ้างนั้น ในกลางคืนกับกลางวัน ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งก็ดับไป."

สังยุตตนิกาย นิทานวัคค์ ๑๖/๑๑๔


[๑๔๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระกุมารกัสสปมีอายุครบ ๒๐ ปีทั้งอยู่ในครรภ์ จึงได้
อุปสมบท. ต่อมาท่านได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า บุคคลมีอายุหย่อน
๒๐ ปี ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ก็เรามีอายุครบ ๒๐ ทั้งอยู่ในครรภ์ จึงได้อุปสมบท จะเป็นอัน
อุปสมบทหรือไม่หนอ. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค
ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตดวงแรกใดเกิดแล้วในอุทรมารดา วิญญาณ
ดวงแรกปรากฏแล้ว อาศัยจิตดวงแรก วิญญาณดวงแรกนั้นนั่นแหละเป็นความเกิดของสัตว์นั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อุปสมบทกุลบุตรมีอายุครบ ๒๐ ปี ทั้งอยู่ในครรภ์.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔
มหาวรรค ภาค ๑

ใน ปฏิสัมภิทาพระบาลีมหาวัคค กล่าวว่า
"ยํ จิตฺตํ มโน มานสํ หทยํ ปณฺฑรํ มนายตนํ มนินฺทริยํ วิญญาณํ วิญญาณกฺขนฺโธ ตชฺชา มโน วิญญาณธาตุ อิทํ จิตฺตํ "
คำว่า จิต มโน มนัส หทัย ปัญฑระ มนายตนะ มนินทรีย์ วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุ เหล่านี้เป็นศัพท์เดียวกันกับจิตทั้งนั้น

หากผิดพลาดประการใดได้โปรดอดโทษและอโหสิกรรมด้วยครับ

คุณลองตอบผมหน่อยครับว่า โลกุตรกุศลจิตมาจากไหน?

คุณลองหาโลกุตรจิตที่เป็นอกุศลมาให้ดูหน่อยสิ

โลกุตรจิตไม่ว่าระดับไหนล้วนเป็นกุศลจิตทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องบวกกุศลเข้าไปก็ได้

คุณพูดว่า "ท่านว่าพระโสดาบันเป็นผู้เที่ยงแท้ที่จะบรรลุพระอรหัตตผล ไม่เกี่ยวกับจิตเที่ยง ไม่เที่ยงครับ"

ความเป็นพระโสดาบันนั้น เค้าเป็นกันที่ไหน?????

กายที่ตายเน่าเข้าโลงได้นี่หรือที่เรียกว่า พระโสดาบัน

หรือจิตของท่าน ที่บรรลุโลกุตรธรรมแล้วกันแน่ ที่เรียกว่า พระโสดาบัน ที่เป็นผู้เที่ยง

ส่วนปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมตรงข้ามกลับพระอริยสาวกผู้ที่ได้สดับใช่มั้ย???????

ผมจะเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นได้ง่ายขึ้นดังนี้ครับ

ถ้าเราเปรียบจิตที่บริสุทธิ์ เป็นเช่นเดียวกับน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่มีสิ่งใดๆเจือปนอยู่เลยนั้น

การที่เราเรียกน้ำว่า น้ำแดงบ้าง แกงสมบ้าง โค้กบ้าง กล้วยบวชชีบ้างฯลฯ

น้ำเป็นต้นนั้น
ชนิดหนึ่งเกิดขึ้น ขนิดหนึ่งดับไป

จิตที่กล่าวไว้ในพระสูตรนี้ พระองค์ทรงหมายถึงจิตสังขารทั้งสิ้น

ที่เกิดดับไปตามอารมณ์ที่เข้ามาปรุงแต่งจิต อยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ก็แค่นั้นแล

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 09:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภัทรพงศ์ เขียน:
จิตปรมัตถ์

ลักษณะของจิต
จิตมีความหมายเข้าใจสับสนกันอยู่ ปุถุชนส่วนมากเข้าใจว่าเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง
สิงสถิตย์อยู่ในร่างกายของคนและสัตว์ คืออยู่ที่หัวใจ
หรือบางท่านก็ว่าอยู่ที่มันสมอง ไม่เกิดไม่ดับคงสภาพอยู่ ดังนั้นเป็นนิตย์นิรันดร
เมื่อเกิดขึ้นครั้งแรกนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องประภัสสร ไม่มีมลทินมัวหมอง
ต่อ ๆ มาจึงมีกิเลสตัณหา เข้าครอบงำเป็นเหตุให้เศร้าหมองหมกหมุนอยู่ในโลภโกรธหลง
ทำให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสาร (ผู้ที่ยังต้องเกิดอีก)
เที่ยวล่องลอยไปเพื่อหาโอกาสที่จะเกิดหรือปฏิสนธิใหม่
เหมือนดังบุคคลที่สละทิ้งบ้านเก่าท่องเที่ยวไปหาบ้านใหม่อยู่ฉะนั้น
นี้เป็นความเข้าใจของปุถุชนเป็นส่วนมาก
ซึ่งเป็นความเข้าใจห่างไกลจากความแท้จริงของสภาวธรรมที่เรียกว่าจิต

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่า จิตเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง
ไม่มีรูปร่าง ไม่ใช่รูปธรรม คือไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ด้วยตา
หรือสัมผัสถูกต้องได้ด้วยกาย จึงเป็นเรื่องที่ปุถุชนเข้าใจได้ยากอยู่เอง
เพราะไม่มีลักษณะที่จะหยิบยกจับถูกต้องมองเห็นได้
แต่ถึงกระนั้นก็ดี ก็ยังมีลักษณะที่จะ รู้จักจิตได้ในทางอาการที่แสดงออก
เช่นเมื่อตาสัมผัสกับรูป จิตก็รู้คือเห็นและรู้ว่าสวยงามดีไม่ดีเหล่านี้
และเป็นอาการของจิต จิตมีคุณลักษณะ รู้ซึ่งอารมณ์ที่มากระทบ
"อารมฺมณวิชานนลกฺขณํ" รู้ในเมื่อขณะกระทบอารมณ์ คือ รูปารมณ์ (รูป)
กระทบจักขุปสาท รู้ "เห็น" สัททารมณ์ (เสียง) กระทบโสตปสาท รู้ "ได้ยิน"
คันธารมณ์ (กลิ่น) กระทบฆานปสาท รู้ "กลิ่น"
รสารมณ์ (รส) กระทบชิวหาปสาท รู้ "รส"
โผฏฐัพพารมณ์ (สัมผัสถูกต้อง) กระทบกายปสาท รู้ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง
ธรรมารมณ์ (เรื่องราว) กระทบใจ รู้ "คิดนึก"
ธรรมชาติที่รู้หรือธาตุรู้นี้แหละเรียกว่า จิต


จิตมีปรมัตถสภาวะเช่นเดียวกับสภาวธรรมอีก 3 อย่าง
(เจตสิก รูป นิพพาน) คือเป็นธรรมชาติที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งสมมุติบัญญัติขึ้น
การรู้ธรรมชาติของจิตที่ถูกต้องแน่นอนได้
ก็ด้วยพระสัพพัญญุตญาณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
ฉะนั้นการที่เข้าใจเรื่องของจิตได้ถูกต้อง จึงจำต้องอาศัยการศึกษาจากคำสอน
ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่า พระอภิธรรมปิฎก
แต่พระอภิธรรมปิฎกนี้เป็นธรรมที่ลึกซึ้งสุขุม
ต้องมีความเพียรจึงจะทำความเข้าใจได้พอประมาณตามอุปนิสัย
อย่างไรก็ดี นับว่าเป็นโชคลาภอย่างประเสริฐที่ท่านพระอนุรุทธาจารย์ปรารถนาจะ
อนุเคราะห์ให้ปวงชนทั้งหลายได้ศึกษาวิชานี้ง่ายขึ้น
ท่านจึงได้เก็บความสำคัญในพระอภิธรรมปิฏกมาย่อ
แล้วรวบรวมและเรียบร้อยให้ง่ายขึ้น เรียกว่า อภิธรรมมัตถสังคหะ
ซึ่งนักศึกษาพระอภิธรรมได้ใ้เป็นคู่มืออยู่ในปัจจุบันนี้


สภาวะของจิต
สภาวะของจิต มีดังต่อไปนี้คือ :-

๑.มีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะ คือรู้ขณะที่อารมณ์กระทบ
ต้องมีอารมณ์มากระทบ จึงจะเกิดการรู้ขึ้น
ถ้าไม่มีอารมณ์กระทบแล้วจิตจะเกิดขึ้นเองหาได้ไม่ เช่น
เมื่อรูปกระทบกับจักขุปสาท จึงเกิดการเห็นคือ รู้ขึ้น เรียกว่าจุกขุวิญญาณ
เสียงกระทบกับโสตปสาทก็เกิดการได้ยินคือ รู้ ขึ้น รียกว่า โสตวิญญาณ ฯลฯ
การรู้นี้เรียกว่าเป็น ลักษณะ ของจิต

๒.มีการเป็นหัวหน้าและเป็นประธานในธรรมทั้งปวง
หมายความว่าในสัมปยุตตธรรม(ธรรมที่เข้าประกอบอันได้แก่เจตสิก) ทั้งหลาย
ต้องมีจิตเป็นหัวหน้าและเป็นประธาน(มโน ปุพฺพงฺคมาธมฺมา)
สัมปยุตตธรรมเกิดไม่ได้ถ้าจิตไม่เกิด เช่น ขณะเมื่ิอหลับสนิทอยู่ไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง
จิตมนขณะนั้นคือ การได้ยินอันเป็นอารมณ์ปัจจุบันมิได้เกิดขึ้น
สัมปยุตตธรรม เช่น เวทนาความเสวยอารมณ์ชอบและไม่ชอบ (เวทนาเจตสิก)
สัญญาความจำเสียง(สัญญาเจตสิก) ฯลฯ ก็มิได้เกิดขึ้น เป็นต้น
. นอกจากนั้นแล้วยังทำให้จิตดวงหนึ่งต่อดวงหนึ่งเกิดขึ้นติดต่อกัน
หมายความว่า เมื่อจิตดวงแรกเกิดขึ้นแล้ว เป็นปัจจัยอุดหนุนใ้ห้จิตดวงหลังๆ
เกิดขึ้นสืบต่อกันไปโดยไม่ว่าง คือจิตเกิดดับ เกิดดับ ติดต่ิอเรื่อยไปเ็ป็นสาย
ตามที่ได้กล่าวนี้เรียกว่าเป็น กิจ ของจิต



๓.มีการเห็นหรือได้ยินเป็นต้น เป็นความปรากฏหรือเป็นผลของจิต
หมายความว่า เมื่อจิตเกิดขึ้นหรือเมื่อจิตขึ้นรับอารมณ์ก่ารเห็นหรือการได้ยินนั้น
ก็เป็นผลปรากฏแก่จิต เช่น เมื่อรูปารมณ์กระทบกับจักขุปสาทก็เกิดจักขุวิญญาณคือการเห็น
หรือสัททารมณ์(เสียง) กระทบโสตปสาทก็เกิดโสตวิญญาณคือการได้ยิน
การเห็นหรือการได้ยินนี้เรียกว่า็เป็น ความปรากฏหรือผลของจิต


๔.มีนามและรูปเป็นเหตุใกล้ให้เกิดขึ้น
หมายความว่าจิตจะเกิดขึ้นก็ต้องอาศัยนามและรูปเป็นเหตุใ้ห้เกิด
จิตจะเกิดขึ้นโดยลำพังไม่อาศัยนามและรูปนั้นไม่ได้
เช่นเมื่อรูปคือรูปารมณ์ไม่มีแล้ว จิตจะเกิดขึ้นเห็นรูปหรือรูปารมณ์ไม่ได้
เมื่อเสียงคือสัททารมณ์ไม่มี จิตจะเกิดขึ้นได้ยินเสียงหรือสัททารมณ์ย่อมไม่ได้
ดังผู้ตาบอดหรือหูหนวกมาแต่กำเนิด ย่อมแลเห็นสิ่งใดๆ ไม่ได้ หรือได้ยินเสียงใดๆไม่ได้
จิตที่รู้ในการเห็นรูปคือจักขุวิญญาณ หรือจิตที่รู้ในการได้ยินคือ โสตวิญญาณ
ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ผู้นั้นได้ เป็นต้น
นามคือเจตสิกต้องเข้าประกอบจิต นี้เรียกว่ามีนามรูป เป็นเหตุใกล้ให้เกิด


ความวิจิตรของจิต

ความวิจิตรหรือธรรมชาติที่ทำให้เป็นไปของจิต คือ :-
๑.กระทำให้วิจิตต่าง ๆ สิ่งที่ไม่มีชีวิตทั้งหมดที่วิจิตรพิสดารนั้น
ก็เพราะอำนาจแห่งจิตเป็นผู้ทำให้วิจิตร เช่น สรรพวัตถุที่เกิดขึ้น มีเครื่องยนต์กลไก
ประดิษฐกรรม ศิลปลวดลาย วิจิตรกรรมต่่าง ๆ ล้วนแต่เกิดด้วยจิตทั้งสิ้น
สัตว์ทั้งหลายที่กำเนิดขึ้นวิจิตร ก็เพราะการกระทำทาง กาย วาจา ใจ วิจิตร
การกระทำวิจิตรก็เพราะตัณหาความพอใจวิจิตร ตัณหาความพอใจวิจิตรก็เพราะความจำวิจิตร
และสัญญาความจำวิจิตร ก็เพราะจิตวิจิตร

๒.วิจิตรด้วยตนเอง หมายถึงจิตเป็นไปได้ต่าง ๆ เช่นจิตเป็นบุญเป็นกุศล
เป็นบาปเป็นอกุศลได้ เป็นวิบากคือผลของบุญของบาป
ทำให้สัตว์โลกทั้งหลายต่างกันด้วยกรรม ต่างกันด้วยเพศ ต่างกันด้วยสัญญาและคติก็ได้ เป็นต้น
(ต่างกันด้วยกรรมคือ วิจิตรในกุศลกรรมทาง กาย วาจา ใจ ในทาน ศีล ภาวนา
และในอกุศลกรรมถึงวิหิงสา มายาสาไถ เป็นต้น สภาวะต่างกันแห่งกรรม
เป็นอุปนิสัยปัจจัยให้เกิดต่างกันแห่งลิงค์ คือสัณฐานมีมือเท้าเป็นอาทิ
เกิดสำคัญในจิตว่าเป็นหญิงเป็นชาย อันควรแก่ชื่อตามโลกียะกำหนด
อันเป็นต่างกันโดยสัญญาจึงมีโวหารเรียกว่าชาย หญิง
ส่วนคตินั้นคือ เปตคติ ติรัจฉานคติ นิริยคติ มนุษยคติ และเทวตาคติ )

๓.สั่งสมกรรมและกิเลส หมายความว่า กรรมคือการงานที่บังเกิดด้วยเจตนา (เจตนาเจตสิก)
ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงใด แม้แต่เพียงอารมณ์หนึ่งมากระทบจิตเกิดรู้ขึ้น
เช่น เมื่อตาห็นรูป เจตนาเจตสิกเกิด แลกรรมคือการงานบังเกิดขึ้น
จิตก็ย่อมเก็บเอาการงานนั้นประทับเข้าไว้ จึงเป็นอันว่าไม่ว่าการกระทำคือ
กุศล หรือ อกุศลกรรมใดๆ จะมากเล็กน้อยประการใดก็ตามย่อม จะเก็บประทับไว้ในจิตทั้งสิ้น
ในทำนองนี้สรรพกุศลกรรมคือทาน ศีล ภาวนา หรืออกุศลกรรมคือกิเลส เช่น
โลภะ โทสะ และโมหะ ที่เกิดขึ้นมากมายก็ย่อมถูกประทับสั่งสมไว้ที่จิต


๔.รักษาไว้ซึ่งวิบากของกรรมและกิเลสที่สั่งสมไว้
หมายความว่ากรรมและกิเลสที่สั่งสมไว้ในจิตนั้นไม่สูญหายไป จิตคงรักษาวิบากของกรรม
และกิเลสนั้นไว้ให้นอนเนืองอยู่ในสันดาน เมื่อถึงคราวใดที่มีโอกาส
วิบากก็จะเกิดขึ้นแสดงไปตามอำนาจของกรรมนั้นๆ วิบากคล้ายกับพลังงาน
คอยหาโอกาสแสดงออกอยู่เสมอ เมื่อได้ช่องก็จะแสดงออกในทันที
ดังนี้แหละบุคคลจึงได้รับวิบากผลในปัจจุบันภพต่างๆ นานา

๕.สั่งสมสันดานตนเอง หมายความว่า จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับลง
เป็นปัจจัยอุดหนุนให้จิตอีกดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับ และอีกดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับ
ติดต่อกันไปไม่ขาดสาย คือ เกิดดับเกิดดับ เป็นสันตติต่อเนื่องสืบกัน
ลงภวังค์แล้วก็เกิดขึ้นใหม่อีกดับไปเสมอเป็นนิตยกาล
ไม่ใช่แต่เพียงการเกิดดับสืบเนื่องกันเท่านั้น ยังส่งมอบรับช่วงบรรดากรรม
และกิเลสที่จิตได้รับและเก็บสั่งสมไว้แล้วนั้นต่อไปอีกด้วย


๖.มีการวิจิตรด้วยอารมณ์ต่างๆ หมายความว่า จิตนี้ย่อมรู้อารมณ์ต่างๆ
ไม่ว่าอารมณ์นั้นจะเกิดกระทบในทางทวารใด จิตเป็นสามารถไปรับรู้รับเห็นได้ทั้งสิ้น
เช่น รูปกระทบจักขุทวาร จิตก็แล่นไปรู้คือ เห็น
ครั้นเสียงกระทบโสตทวาร จิตก็แล่นไปรู้คือ ได้ยิน
เมื่อกายถูกต้องปถวีของแข็ง จิตก็แล่นไปรู้การกระทบนั้น
อย่างนี้แหละจึงเรียกว่า จิตนั้นวิจิตรด้วยอารมณ์ต่างๆ
ความวิจิตรทั้งหลายต้องมีจิตเป็นประธาน ตัณหาความปรารถนาพอใจ
ทำให้บังเกิดความวิจิตร กรรมคือการงานที่กระทำขึ้น ก็ประณีตวิจิตรไปตาม
ความเรียกร้องของตัณหา และโยนิคือการปฏิสนธิเป็นวิบากกำหนดให้สัตว์กำเนิดในภพภูมิต่างๆ
มีวิจิตรเป็นไปสมคล้อยตามเจตนารมณ์ของกรรมที่กระทำ
อันเนื่องมาแต่ตัณหาซึ่งมีจิตเป็นประธาน

:พระอภิธรรมสังเขปและธรรมบางประการที่น่าสนใจ ;พระนิติเกษตรสุนทร;๒๕๐๕


ส่วนพวกที่เข้าใจว่า เมื่อตายลงไปแล้วนั้น
จิตที่บันทึกกรรมครั้งสุดท้ายที่มาประชิดจิต เป็นคติเครื่องไปสู่ภพภูมิต่างๆ
ตามกรรมดี กรรมชั่ว ที่บันทึกลงที่จิตในวาระสุดท้ายก่อนตาย
จิตที่ไปเกิดนั้น ก็เป็นจิตใครจิตเค้าที่ทำกรรมดี กรรมชั่ว
เป็นคติเครื่องไปของสัตว์(ผู้ข้องในอารมณ์)ทั้งหลาย
ความเข้าใจอย่างนี้ย่อมเป็น สัมมาทิฐิ

เหมือนน้ำที่สะอาดได้รับการปนเปื้อนจากสิ่งต่างๆ
ถ้าน้ำปนเปื้อนสิ่งที่ดี ก็ได้อยู่ในที่ๆหรือภาชนะที่ดี
ถ้าปนเปื้อนสิ่งสกปรกโสมม ก็ต้องอยู่ที่ๆหรือภาชนะที่ไม่ดี(ไม่ประณีต)
น้ำที่ถูกปนเปื้อนนี้เราเรียกได้ต่างๆนานาว่าน้ำแดงบ้าง แกงสมบ้าง โค้กบ้าง กล้วยบวชชีฯลฯ น้ำเป็นต้นนั้น
ก็เหมือนกับจิตเป็นตันนั้นเช่นกัน ล้วนเป็นจิตสังขารที่ได้รับการปปรุงแต่งไปแล้วทั้งสิ้น


ส่วนความเข้าใจที่ว่า การไปเกิดนั้น เป็นจิตดวงใหม่
ที่ได้รับการสืบต่อจากจิตดวงเก่าที่ดับไป เพื่อไปเกิดใหม่นั้น
เป็นพวกมิจฉาทิฐินอกพุทธศาสนา
ความหมายของคำว่า "เกิด" สิ่งนั้นไม่เคยมีอยู่ก่อน แล้วเกิดชึ้นมา เราเรียกว่า "เกิด"
ความหมายของคำว่า "ดับ" สิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว ดับหายไป เราเรียกว่า "ดับ"

ขอถามว่า การจะสืบต่อได้นั้น ถ้าพิจารณาตามหลักความเป็นจริงแล้ว
ไม่ใช่เชื่อแต่ตัวหนังสือที่เขียนเอาไว้ให้เราเชื่อ ซึ่งขาดเหตุผลสิ้นดี
ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาแห่งเหตุและผล พระพุทธองค์จึงได้ชื่อว่าเป็นศาสดาเอกของโลก

การจะสืบต่อกันได้ จิตดวงเก่าต้องยังไม่ดับไปในทันทีใช่มั้ย?
เพื่อรอจิตดวงใหม่ให้เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว
จึงจะสามารถส่งต่อหรือสืบต่อกรรมดี กรรมชั่วให้กันได้
เมื่อดวงเก่าได้ดับไปแล้ว โดยที่ดวงใหม่ยังไม่เกิดขึ้นมาเลยจะถ่ายทอดกันตอนไหน
เป็นความเชื่อที่ขาดเหตุผลอย่างมาก คนที่รักเหตุผลย่อมรับไม่ได้หรอก

เมื่อจิตเกิด-ดับไปแล้วจะเอาช่วงเวลาตรงไหน มาถ่ายทอดกรรมดี กรรมชั่วกันล่ะ
ก็อย่างที่บอกไว้ในตอนต้นว่า จิตดวงเก่ายังจะดับไปไม่ได้หรอก
ต้องรอจิตดวงใหม่เกิดขึ้นมาก่อน จึงสืบต่อกรรมดี กรรมชั่วกันได้
ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะจะมีจิตพร้อมกัน ๒ ดวงในเวลาเดียวกันไม่ได้

อีกเหตุผลนึงที่รองรับว่า จิตมีดวงเดียวเท่านั้นของใครของเค้า
เพราะ อวิชชาจะเกิด-ดับไปตามจิตไม่ได้เลย ก็ผิดหลักความเป็นจริงสิ
อวิชชาจะดับได้เพียงสถานเดียวเท่านั้น คือต้องปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา
จนกระทั่งจิตเกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง มีวิชชาเกิดขึ้นที่จิต
เมื่อวิชชาเกิดขึ้นที่จิตแล้ว อวิชชาจึงจะดับไปจากจิตนั่นเอง
ถ้าจิตเกิด-ดับจริง อวิชชาก็ต้องเกิดดับไปตามจิตด้วยสิ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ขาดเหตุผล

ดังมีพุทธวจนะรับรองไว้ว่า จิตไม่เคยดับตายหายสูญ
มีพุทธพจน์ในมหาปรินิพพานสูตร ว่าไว้ดังนี้:

“จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ ยถาภูตํ อทสฺสนา,
สงฺสริตํ ทีฆมทฺธานํ ตาสุตาเสว ชาติสุ
ความเวียนว่ายของเรา
เข้าไปในชาติน้อยใหญ่ทั้งหลายอันยาวนานนับไม่ถ้วนนั้น
เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ดังนี้”

หมายความว่า
จิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เข้าไปเวียนว่ายในภพนัอยใหญ่
จากพระชาติหนึ่งไปยังอีกพระชาติหนึ่งติดต่อกันไปหลายพระชาติ
เป็นเวลาอันยาวนานนับไม่ถ้วนก่อนทรงตรัสรู้
และจิตของพระองค์ได้ยืนตัวเป็นประธานทุกภพทุกชาติ
ไม่ว่าจะเปลี่ยนพระชาติไปอีกกี่ครั้งกี่หนก็ตามที.

ทั้งนี้แสดงว่า จิตเป็นสภาพธรรมที่ไม่ได้ดับตายหายสูญ
พระพุทธองค์ทรงระลึกพระชาติได้ทุกพระชาติก่อนที่จะตรัสรู้
เป็นการแสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่า
จิตดวงเดียวกันนี้ที่เวียนว่ายเข้าไปสู่ภพน้อยใหญ่อันยาวนานนับไม่ถ้วน
ถ้าเป็นจิตคนละดวงแล้ว พระองค์จะทรงระลึกชาติของจิตดวงอื่นได้หรือครับ???
แล้วพระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้ด้วยจิตดวงไหนหละ?

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 14:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 10:07
โพสต์: 86

แนวปฏิบัติ: เงียบๆคนเดียว
งานอดิเรก: ฟังธรรมของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย&หลวงพ่อปราโมทย์.
สิ่งที่ชื่นชอบ: ตามดูจิต,หลวงปู่ฝากไว้,สติปัฏฐาน ๔
ชื่อเล่น: Mulan ;)
อายุ: 0
ที่อยู่: ปัจจุบัน

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48:


แก้ไขล่าสุดโดย ลิ้มธรรม เมื่อ 24 เม.ย. 2011, 04:20, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




abc%20(7).gif
abc%20(7).gif [ 18.74 KiB | เปิดดู 3928 ครั้ง ]
จะเห็นจิตต้องมีฌาณ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 16:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
จะเห็นจิตต้องมีฌาณ





มีแต่....ชาม...จะได้เห็นไหมหนอ

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




43.gif
43.gif [ 7.47 KiB | เปิดดู 3897 ครั้ง ]
ชิวว์ เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
จะเห็นจิตต้องมีฌาณ





มีแต่....ชาม...จะได้เห็นไหมหนอ


หรือว่า ต้องตอบ ว่า ไหลก็รู้ ไม่ไหลก็รู้ ล่ะครับ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
ชิวว์ เขียน:
หลับอยุ่ เขียน:
จะเห็นจิตต้องมีฌาณ





มีแต่....ชาม...จะได้เห็นไหมหนอ


หรือว่า ต้องตอบ ว่า ไหลก็รู้ ไม่ไหลก็รู้ ล่ะครับ


.......ถ.......ถ........ถ......ถูกต้องนะคร้าบบบบบบบบบบ..........







รู้ก็รู้ ไม่รู้ก็รู้ แต่พูดไม่ได้ ทำได้แค้รู้

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




abc%20(0).gif
abc%20(0).gif [ 16.32 KiB | เปิดดู 3874 ครั้ง ]
อืมมมมม

อิอิ

ไม่อนุโมทนาจ้า :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 21 พ.ค. 2010, 17:49, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 10:07
โพสต์: 86

แนวปฏิบัติ: เงียบๆคนเดียว
งานอดิเรก: ฟังธรรมของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย&หลวงพ่อปราโมทย์.
สิ่งที่ชื่นชอบ: ตามดูจิต,หลวงปู่ฝากไว้,สติปัฏฐาน ๔
ชื่อเล่น: Mulan ;)
อายุ: 0
ที่อยู่: ปัจจุบัน

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48:


แก้ไขล่าสุดโดย ลิ้มธรรม เมื่อ 24 เม.ย. 2011, 04:20, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลิ้มธรรม เขียน:
smiley

อ่ะน่ะ..อย่ามาถกเถียงกันให้เสียเวลาเลย รู้เเล้วจะเอาไปสอบเปรียญกันหรอ?? ท่านเจ้าคุณฯ :b12:
เก่งๆด้วยกัน ทั้งคู่เเหละ :b35:

จำได้มั้ย..เวลาเราเรียนหนังสือ..ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกะ..จิต เลยซักกะติ๊ด
เราเรียนหนังสือ..อ่าน..เเล้วก็.จำ เเล้วก็เอาไปสอบ จำได้เเม่นก็สอบผ่าน จำไม่ได้ก็สอบตก
เรียนปริยัติ.ก็เหมือนๆๆกันกับการเรียนหนังสือนั่นเเหละ

อ่านเเล้ว..เราน่ะเป็นคนรู้ ขอถามหน่อยเหอะว่า...จิต เขารู้เรื่องกะเรา อ๊ะป่าว??
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้..ด้วยการเจริญมหาสติปัฏฐาน ถึงได้รู้เเจ้งเเทงตลอด
ท่านเอาพระไตรปิฎก คัมภีร์ มากางอ่านหรือ?...

ท่านเจ้าคุณฯทั้งสอง จับจุดสำคัญของธรรมได้เเล้ว...ท่านที่ยังสงสัยอยู่ ลองเจริญสติฯ
เเล้วเข้าไป..ตามดูจิต.. ซิว่า....จิต เป็นอย่างไร? จุดเเรกของจิตดั้งเดิมเเท้ที่จะพบนั้น..
ครู อาจารย์ท่านว่า...เป็น ปฐมจิต ปฐมฌาน มโนธาตุ..ดูดิ๊ว่า..จิตนัันลักษณะอย่างไร?
เเล้วค่อยมาเม้าท์กันต่อดีกว่าน่า...โอเค๊?? :b12:


ถกกันไม่เสียเวลาหรอกครับ ถ้าถกด้วยเหตุด้วยผลที่เป็นจริง

เอาไปปฏิบัติตามได้ด้วย ไม่ใช่เพื่อเอาชนะคะคานกันทางคำพูดเท่านั้น

การรู้ จำ คิดนึก ที่เกิดขึ้นล้วนเกี่ยวข้องกับจิตทั้งสิ้น

ถ้าอ่านแล้วรู้ แต่ไม่ใช่จิตรู้ แล้วใช้อะไรรู้???

พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้..พระพุทธเจ้าท่านใช้อะไรตรัสว่ารู้???

ด้วยการเจริญมหาสติปัฏฐาน...ใช้อะไรในการเจริญมหาสติปัฏฐาน???

ถึงได้รู้เเจ้งเเทงตลอด...ใครที่รู้แจ้งแทงตลอด พระวรกายของพระองค์??? หรือจิตของพระองค์เองหละ???

อยากรู้จักจิต ก็เริ่มต้นที่จิต ด้วยจิตของตนเอง เราจะต้องฝึกตนคือจิตใช่มั้ย??? แล้วเราคือใครหละ???

ธรรมทั้งหลายล้วนรวมลงที่จิต อยากรู้อะไรให้ค้นดูเอาที่จิตใช่มั้ย???

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 10:07
โพสต์: 86

แนวปฏิบัติ: เงียบๆคนเดียว
งานอดิเรก: ฟังธรรมของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย&หลวงพ่อปราโมทย์.
สิ่งที่ชื่นชอบ: ตามดูจิต,หลวงปู่ฝากไว้,สติปัฏฐาน ๔
ชื่อเล่น: Mulan ;)
อายุ: 0
ที่อยู่: ปัจจุบัน

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมภูต เขียน:
ถกกันไม่เสียเวลาหรอกครับ ถ้าถกด้วยเหตุด้วยผลที่เป็นจริง
เอาไปปฏิบัติตามได้ด้วย ไม่ใช่เพื่อเอาชนะคะคานกันทางคำพูดเท่านั้น
การรู้ จำ คิดนึก ที่เกิดขึ้นล้วนเกี่ยวข้องกับจิตทั้งสิ้น
ถ้าอ่านแล้วรู้ แต่ไม่ใช่จิตรู้ แล้วใช้อะไรรู้???
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้..พระพุทธเจ้าท่านใช้อะไรตรัสว่ารู้???
ด้วยการเจริญมหาสติปัฏฐาน...ใช้อะไรในการเจริญมหาสติปัฏฐาน???
ถึงได้รู้เเจ้งเเทงตลอด...ใครที่รู้แจ้งแทงตลอด พระวรกายของพระองค์??? หรือจิตของพระองค์เองหละ???
อยากรู้จักจิต ก็เริ่มต้นที่จิต ด้วยจิตของตนเอง เราจะต้องฝึกตนคือจิตใช่มั้ย??? แล้วเราคือใครหละ???
ธรรมทั้งหลายล้วนรวมลงที่จิต อยากรู้อะไรให้ค้นดูเอาที่จิตใช่มั้ย???:b39:

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
จุ๊ๆๆๆๆๆ....อาการน่าเป็นห่วง!!!....
:b21: :b21: :b21:


Download



:b7: :b7: :b7:


แก้ไขล่าสุดโดย ลิ้มธรรม เมื่อ 22 พ.ค. 2010, 14:56, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจาก จะมีความเห็นว่า
มีจิตที่ไม่ดับ รู้เจตสิกที่เกิดดับ
ยังมีความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า มีจิตอีกดวงหนึ่ง ค้นจิตอีกดวงหนึ่งที่ไม่ดับ
แสดงว่าตอนนี้ มีจิต 3 ดวงในขณะเดียวกัน

คุณธรรมภูต.... จิต เป็นสังขตะธาตุ หรืออสังขตะธาตุ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 00:37
โพสต์: 86

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley smiley smiley

:b16: :b16: :b16: :b16:

...โคตรภู...มีความเห็นว่า....
........จุติจิต กับ ปฏิสนธิจิต......
.......เป็นจิตชนิดเดียวกัน........
........มีคุณภาพจิตคล้ายกัน......


......ดังนั้นจิตจึงไม่เที่ยง.....เกิดดับตลอดเวลา.....
......... ขันธ์ 5 คือจิต .....เป็นสิ่งเดียวกัน......

.....................................................
....ถ้าไม่ทำสัญญาให้เป็นปัญญา ทำอย่างไรก็เป็นกามสัญญา......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2010, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
นอกจาก จะมีความเห็นว่า
มีจิตที่ไม่ดับ รู้เจตสิกที่เกิดดับ
ยังมีความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า มีจิตอีกดวงหนึ่ง ค้นจิตอีกดวงหนึ่งที่ไม่ดับ
แสดงว่าตอนนี้ มีจิต 3 ดวงในขณะเดียวกัน

คุณธรรมภูต.... จิต เป็นสังขตะธาตุ หรืออสังขตะธาตุ

เอก จรํ ดวงเดียวเที่ยวไป

พระพุทธพจน์ชัดเจนอยู่แล้วว่า จิตมีดวงเดียว ที่เกิดดับตามเจตสิกอยู่นั้น คืออาการของจิต

จิตเปรียบเหมือนบ้าน เวลาจะค้นอะไร ที่หาไม่พบ

คุณจะค้นบ้านตัวเองหรือบ้านคนอื่นหละ?

คุณจะถามเพื่ออะไรอีกหละ ผมว่าผมตอบทั้งคุณและคุณหลับอยู่ไปมากพอแล้วนะ

กลับไปอ่านของเก่าดูบ้างนะ หรือคิดว่ามีความคิดเห็นที่ดีกว่า ก็อย่าอมไว้เลย...

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 226 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 16  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร