วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 04:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2011, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรกฎาคม 4, 2011


เดินรู้เท้า จิตคิดโน่นนี่ตามปกติ จิตบางช่วงเบาขึ้น (ก่อนเดินมีเรื่องทุกข์ใจ)
เวลาที่จิตคิดอะไรในแง่ร้ายๆ และกำลังจะทุกข์ พอรู้แล้วหยุด มีความคิดว่านิสัยแบบนี้ที่ทำให้ทุกข์ แล้วมันก็เบาขึ้น

บางช่วงมีความน้อยใจ พอรู้แล้วก็หยุด จิตมันก็คิดประมาณเดิมว่านิสัยแบบนี้ทำให้ทุกข์ คือให้หยุด แล้วก็รู้เท้าไป

ก็รู้เท้าแล้วก็คิดโน่นนี่ตามปกติ พอมานั่งก็มีง่วงๆ ข้างใน จิตคิดอะไรของมันแบบบังคับให้มาจับกายไม่ได้ จะคิดอะไรของมันไปแบบสะปะสะปะ แต่ มีจิตหลงไปแล้วรูตัวเป็นระยะตอนกรวดน้ำมีจิตหลงไปด้วย


กรกฎาคม 6, 2011


เดินแล้วฟุ้ง การรู้เท้าก็รู้ แต่หมกม่นกับความคิดมากกว่า มันก็มัวๆ

พอสักพักใหญ่ก็รู้ว่าฟุ้งไปนานมากแล้วเลยมาตั้งใจรู้เท้าใหม่แต่ก็ยังมีคิดๆอยู่


พอนั่งรู้การหายใจและท้องเคลื่อนไหวได้เงียบๆ แล้วหลังๆก็มีคิดคลอๆด้วย แต่ว่ายังรู้กายเป็นหลักได้อยู่ไม่ได้ฟุ้งหรือหลงไป จนจบ




กรกฎาคม 11, 2011


เดินรู้เท้า ทุกข์เรื่องความเสื่อมทางกาย ใจทุกข์แต่ไม่ลงไปจนสุด รู้ว่ามีอารมณ์ทุกข์เกิดขึ้นจาก การพบกับความเสื่อมทางกาย

ระหว่างนั้นก็พิจารณาถึงความเสื่อม เห็นจิตทีมันกำลังจะไปอยากจะพ้นจากสภาวะนี้ ดิ้นรน ทุรนทุราย แต่ไม่ได้ลงไปดิ้นรนกับมันต่อ

จิตมีคำพูดพิจารณาให้ปลง แต่ความไม่พอใจและความทุกข์มีอยู่ตลอดเพียงแต่ไม่ลงไปคลุกมาก


พอมานั่งก็ยังคิดๆเรื่องนี้อยู่แล้วก็รู้การหายใจไปด้วยแล้วก็ไปเรื่องอื่นๆไร้สาระไปเรื่องอื่นจนหมดเวลา





กรกฎาคม 12, 2011


เดินตอนต้นก็รู้เท้ายังไม่ฟุ้งแล้วก็เริ่มคิดโน่นคิดนี่ เวลาคิดปรุงที่จะทุกข์ก็มีความคิดมาชี้แจงแล้วหยุดคิดเรื่องปรุงนั้นต่อแล้วก็เปลี่ยนเป็นเรื่องอื่นๆไป

กิเลสที่เกิดปรุงแต่งขึ้นก็พวกความโลภ เรื่องเงิน คิดเรื่องการสะสม ความอยากเรื่องกิน ความไม่พอใจเรื่องร่างกาย หรือการกระทบกับภาพ ในจิต ที่แวบ

ภาพพริบตาเดียวในสิ่งที่มีที่ป็นในอดีต แล้วจิตทุกข์อย่างรวดเร็วว่า สิ่งนั้นไม่มี ไม่เป็นในปัจจบัน

แล้วก็มีตัวความนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าความทุกข์ และฟุ้งซ่านที่เกิดจากการอาลัยถึงรูป ที่มีในอดีตมันเป็นแบบนี้ แล้วก็ปล่อยอารมณ์ทุกข์นั้นไป แล้วมารู้เท้าต่อ

หลังๆก็เห็นพวกกิเลสหยาบคาย อวดดี ปรามาสในจิต การเพ่งโทษผู้มีพระคุณ แล้วรีบหยุดแต่จิตก็ยังไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นแบบนี้ หาทางปฎิเสธเมื่อรูก็ปล่อยแล้วมารู้เท้า ต่อ

พอมานั่ง จิตหลงไปอยู่กับความคิดปรุงแต่งไร้สาระล้วก็ ระลึกได้แล้วมารู้สึกตัวต่อ จิตที่หลงไปนั้นจะแทรกมากับความคิดข้างในจิตเป็นระยะ แต่ไม่นานนัก

ก็จะสลับกับรู้แล้วกลับมารู้สึกตัวต่อ มีสีม่วงๆเล็กน้อยแต่ไม่สนใจ จิตหลงสลับกับรู้ตัวจนจบ



analai says:60/15 ค่ะ

ก็ ฟังธรรมมะไปด้วยค่ะ ก็รู้เท้าไปด้วย แล้วก็ มันก็มีพวก อดีตกระทบน่ะค่ะ

พวกเหตุการณ์ เก่าๆ ที่เคยสร้างความไม่พอใจ แล้วก็มีความโกรธ ฝังอยู่ ก็รู้ มันก็ยังมีอยู่ มีปรุงบ้างกับ คนบางคน ยังปรุงเป็นความไม่พอใจอยู่ว่าเขาไม่ควรพูดแบบนั้นกะเรา เพราะเขาไม่เข้าใจสภาพของเรา แล้วก็ความคิดมันก็มาอธิบายต่อว่านี่เรายังพยาบาทเขาอยู่

มีแต่ความคิดน่ะค่ะ แต่ยังรู้เท้าคลอๆได้อีก มีมดกัดบ้าง พอมานั่ง ก็รู้อกขยับ รู้ความคิด แล้วก็รู้การหายใจไปด้วย

อีกจิตก็มองว่า คือ สภาวะนี้มันยังไงหลงอยู่หรือเปล่า แล้วก็รู้กายใจ ก็รู้การหายใจไป คิดไปของมัน จนจบค่ะ


walai lo says
เข้าใจค่ะ จงยอมรับไปตามนั้น เรื่องปกติ อย่าไปหนี
ยอมรับไปว่ามี แล้วจะทุกข์น้อยลง ยิ่งรับไม่ได้ ยิ่งหนี ยิ่งทุกข์

พี่จะบอกว่า สภาวะจริงๆแล้ว มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ
แค่เราทำต่อเนื่อง แล้วยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตเรา รู้สึกยังไง ยอมรับไปตามนั้น

แต่ระวังการกระทำ ต้องผิดพลาดก่อนที่จะรู้ ผิดพลาดแล้วจะเข็ด ทำให้มีสติรู้ทันมากขึ้นเรื่อยๆ ความผิดพลาดจะน้อยลง

เพราะสภาวะจะเดิมๆซ้ำๆ แค่เปลี่ยนฉาก เปลี่ยนตัวละครมาแสดงให้ได้เห็น ให้ได้ผลรับตามเหตุปัจจัยที่ทำไว้กับสิ่งๆนั้น

เวลาเกิดการกระทบแล้วเป็นเหตุให้เกิดความพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม รู้สึกไปตามนั้น เพราะกิเลสยังมี ยอมรับไปตามนั้น

หากสติทัน ความรู้สึกนั้นจะดับได้ไว หากสติยังไม่ทัน ให้อดทน อดกลั้นพยายามอย่าแก้ไข หรือไปตอบโต้

หากมีการแก้ไข นั่นคือการไม่จบ เหตุมี ผลย่อมมี เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2011, 22:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๓ สค.๕๔

analai says
สวัสดีค่ะพี่น้ำ
ไม่เจอกันหลายวัน สบายดีไหมคะ เห็นเขียนนบล็อกว่าไม่สบาย

walai lo says
ค่ะ ดีขึ้นแล้ว เวลาผ่านร้านอาหาร คิดถึงหมู

analai says
หนูแย่แล้วค่ะ ตอนนี้ กิเลส เรื่องอยากกินแรงมาก

walai lo says
พอกันๆ โลภะด้านอาหารกำเริบ ต้องกินให้หายอยาก
ฉะนั้น ต้องชวนคนที่มีกิเลสเหมือนๆกัน เลยคิดถึงหมู

พี่กะว่าจะนัดหมูเดือนละครั้ง กินมากๆ เดี๋ยวเบื่อไว ต้องกินแค่เดือนละครั้งพอ

analai says
ค่ะ ก็อ้วนและจนด้วยค่ะถ้ากินบ่อย ดีไม่ดำอีกอย่าง

walai lo says
ใช่ ทุกคนล้วนมีทุกข์ มีแต่สภาวะที่ไม่ชอบใจ มันจะเป็นไปตามสภาวะเอง
พี่เองก็ทุกข์เวลาเจอสภาวะเบื่อ ทุกข์เพราะทำอะไรไม่ได้ เหมือนทุกๆคนน่ะแหละ แต่พี่ใช้วิธีดูหนังเกาหลี

ดูเพื่อไม่ให้ทุกข์กับสภาวะเบื่อ บางทียืนดูจนถึง ๒ ชม.แล้วค่อยนั่ง ช่วยได้เยอะนะ

analai says
ไม่เมื่อยเหรอคะ ยืนตั้ง 2 ชม.

walai lo says
ไม่อ่ะ เพราะพอนั่งจิตเป็นสมาธิทันที มันเป็นไปตามสภาวะ

analai says
เวลาดูไม่หลงใช่ไหมคะ แบบรู้ว่าสนุก แต่ไม่ลืมตัว

walai lo says
ไม่หลง แต่ติดดดด ติดหนังดีกว่าเจอสภาวะเบื่อ

analai says
หมูดูแล้วมัน จะหงุดหงิดก็สนุกนะคะแต่ใจมันหลงไปกับอารมณ์ของหนัง แล้วกิเลสมันเกิดตามหนังน่ะค่ะ

walai lo says
อ๋อ พี่ไม่เป็นนะ หนังเกาหลีไม่เหมือนหนังไทย หนังไทยดูแล้วกิเลสกำเริบง่าย

ทำไปนะคะ มันไม่มีอะไรจริงๆ แค่ยอมรับในสิ่งที่เรายังมีอยู่ และพยายามระงับในการสร้างเหตุ ทำต่อเนื่อง มีแค่นี้เอง

แต่ใจน่ะสำคัญที่สุด แรกๆหนักหน่อย พอชินมากขึ้นจะเริ่มชิวๆ

analai says
ค่ะพี่ ก็ยังทำทุกวันค่ะ

walai lo says
นั่นแหละ
คุณเก๊ะ ใช้วิธีดูหนังเหมือนกัน หลบทุกข์

ใครๆว่าแกกลัวเมีย แต่จริงๆคือคนไม่เข้าใจเรื่องสภาวะ

analai says
อ่อค่ะ ไม่ต้องการก่อเหตุ

walai lo says
ใช่ค่ะ ยอมทุกอย่าง เมียเลยได้ใจ

คุณเก๊ะเขาบอกว่า เขาจำคำพูดพี่ขึ้นใจ คนที่รู้แล้วย่อมหยุด คนที่ไม่รู้ห้ามเขาไม่ได้
ต้องแก้และดับเหตุที่ตัวเราเอง ไม่ใช่นอกตัว

analai says
มันก็สมเหตุสมผลนะคะพี่ กว่าจะผ่านแต่ละขั้นตอน ต้องยอมขนาดไหน

walai lo says
ใช่ค่ะ ทั้งชดใช้เหตุเก่า ทั้งสร้างเหตุใหม่ของการไม่เกิดอีกต่อไป

อย่าไปกังวลเรื่องบล็อกนะคะ ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นๆอ่านก็ได้ หมูจะได้มีอิสระในการดูจิตของตัวเอง
คนเข้ามาอ่าน ถ้าไม่เข้าใจเรื่องสภาวะ จะกลายเป็นเข้ามาว่าเราเหมือนที่พี่โดน ทั้งๆที่มันเป็นกิเลสของเราเองแท้ๆ

analai says
เขาต้องว่าหมูเลวแหงๆ ด่าน้องซะเละเลย

walai lo says
พี่เข้าใจนะ พี่เฉยๆ อ่านแล้ว เข้าใจ ถึงบอกว่าไม่ต้องไปสนใจคนอื่นๆ ว่าจะให้ใครอ่าน

analai says
ค่ะพี่ อารมณ์มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เด๋วชัง เด๋วสงสาร เด๋วเฉยๆ วนไปวนมา

walai lo says
ใช่ จะแบบนั้น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมันจะตีกัน
พี่เคยนะ เมื่อก่อนน่ะ ด่าเลย แช่งด้วย เขียนแบบหยาบๆ

ตอนนั้นยังไม่รู้จักบล็อก เขียนใส่สมุด พอไปอ่านเจอ โอ้โห เรานี่มันร้ายจริงๆ จับฉีกทิ้งหมดเลย

หยาบคายมากๆ จิตในสมัยก่อน แต่ตอนนั้นยังไม่รู้จักว่านี่คือกิเลส
โง่จัง เพราะไม่เคยมีใครบอก

เลยไปไม่ถูก ทำแบบลูบๆคลำๆ ดีที่มาถูกทาง หาทางด้วยตัวเอง พี่ถึงบอกไง ใครหยุดก่อเหตุได้ แค่อยู่กับปัจจุบัน รอดแน่นอน
แต่ส่วนมาก ไม่ยอม ตบมาตบตอบ ด่ามาด่าตอบ นี่แหละเหตุ

analai says
ค่ะพี่ มันต้องมีสติตลอด ถึงจะทัน

walai lo says
ใช่ค่ะ สติสำคัญ

การทำต่อเนื่องสำคัญ

สมาธิสำคัญ

แต่หลายๆคน พูดยากนะ เหตุของใครของคนนั้น ต้องปล่อยไป

analai says
คือหมูรู้แต่ว่าถ้าไม่ทำแย่แน่เพราะว่าจะทุกข์มาก เวลาเจออารมณ์มันจะโง่ ไม่รู้จักปล่อยวาง

walai lo says
อดทนนะ ทำต่อไป อย่าหยุด แล้วสักวันหนึ่งจะเข้าใจ

analai says
ค่ะพี่ ไม่ทำก็จะทุกข์เวลาเจออะไรกระทบถ้าทำมันยังมีแรงหรือมันจะวางเร็วมากขึ้น

walai lo says
นั่นแหละ จะหยุดได้ไวมากขึ้น ทุกข์ไม่นาน

analai says
ใช่ค่ะ นี่ละค่ะคือสุดยอดแล้วสำหรับหมู เป็นยาแก้โรคจิต ไม่งั้นก็เป็นโรคจิตแน่ๆ

walai lo says
พี่ก็ยังป่วย คนมีกิเลสคือคนที่ยังป่วย โรคจิต

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2011, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๑๖ สค.๕ถ

says
หมูยังทำทุกวันนะคะ เพียงแต่หลังๆ ไม่ค่อยได้ลง เพราะจะดึก
ช่วงนี้ แย่ค่ะ ติดหนัง ทวิภพ

walai lo says
ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ

says
สภาวะหลักๆ ช่วงนี้ก็วนๆน่ะค่ะ คือแสบๆเเท้า
แล้วก็พวก พวกหลงไปตามอารมณ์ ต่างๆ อันนี้ยังปกติค่ะค่ะ
ส่วนนั่งก็ จะอยู่ที่ 15 นาทีค่ะ ถ้าเกินจากนี้ จะเบื่อ หรือง่วง

walai lo says
ไม่เป็นไรค่ะ
ให้ดูผลการปฏิบัติเวลาเจอผัสสะ

ไม่ต้องไปกังวลอะไร ทำต่อเนื่อง
แล้วสภาวะจะนำทางให้เอง หมูมีหน้าที่เพียงคอยปรับเปลี่ยนอินทรีย์

แล้วระวังเรื่องเหตุ

says
ค่ะ ตรงนี้ก็กลัว ๆ ค่ะ ต้องพยายามต่อไป

walai lo says
ค่ะ ถ้าไม่อยากทุกข์ พยายามระวังเหตุใหม่

ทางจะสั้นจะยาว อยู่ที่ตัวเราเองนะ ไม่ใช่ใครหรืออะไร
ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะพูดดีหรือไม่ดี ถูกใจหรือไม่ถูกใจ พยายามแค่รู้
มันอาจจะยากหน่อย เพราะยังมียึดติด ได้แต่ฟังแค่ตำบอกเล่าของพี่ ไม่ได้เห็นด้วยตัวเอง

อย่างที่บอก ถ้าไม่อยากเกิด การเกิดคือทุกข์
ไม่อยากทุกข์ ต้องดับทุกข์ที่ต้นเหตุคือตัวเราไม่ใช่ที่คนอื่น

says
ค่ะพี่น้ำ เข้าใจค่ะ

walai lo says
นั่นแหละ
สิ่งที่พี่พยายามบอกกับทุกๆคน ทีนี้สุดแต่ว่าใครจะเลือกทำเอาเอง
พี่ห้ามหรือบอกให้ใครมาเชื่อไม่ได้

says
ค่ะพี่ เข้าใจ แต่เหมือนมันน้ำท่วมปากนะคะ คือมันรู้ท้งรู้

walai lo says
พี่เข้าใจนะ เพราะผ่านตรงนั้นมาแล้ว กว่าจะทำใจให้ยอมรับในสิ่งที่คนอื่นๆมาว่าเรา ทั้งๆที่ไม่ใช่เราทำ
หลายๆเรื่อง
ต้องยอมทุกอย่าง
ทั้งๆที่ไม่ใช่การกระทำของเราสักนิด

says
ค่ะ เอาแค่เราทำผิดเอง เรายังไม่อยากจะยอมรับเลยค่ะ เอาแบบเบื้องต้นก่อนนะคะ

walai lo says
ผ่านมาแล้วสบาย
ไม่ต้องไปวิวาทะหรือไปสร้างเหตุกับใครๆอีก

says
ค่ะ มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร พอเรามีสติเราถึงจะเห็นโทษย้อนหลัง

walai lo says
ทุกอย่าง ตัวสภาวะจะเป็นเหตุให้เราเข้าที่เข้าทางเองพอเพียงหยุดตัวเองในการสร้างเหตุเท่านั้นแหละ
ยากแรกๆ
ต้องใช้คำว่ายากมากๆ

says
ค่ะ จริง

walai lo says
แต่พอทำได้แล้วมันไม่ยาก
แค่มอง แค่รู้ แต่ไม่ลงไปร่วม
บางครั้งสติไม่ทัน มีบ้างหลงไป
แต่หยุดได้ไวมากขึ้น

says
แต่ หนูมีวิวัฒนาการ จิ๊ดหนึ่งแล้วนะคะ พี่ ต้องใช้คำว่าวิวัฒนาการ เพราะช้ามาก
วิวัฒนาการของหมูคือ เวลามันกระทบ เช่นเสียงเข้าหูน่ะค่ะ
เห็นอารมณ์ ค่ะ
ปกติโป้งไปแล้ว
อันนี้ ชักเริ่มเห็น ค่ะ

ว่าอ้อความรู้สึกนี้เกิดเพราะอะไร
แต่นิดๆหน่อยๆค่ะ

walai lo says
จะรู้ชัดขึ้นไปเรื่อยๆเองค่ะ
สภาวะจิตจะละเอียดมากขึ้น

says
ค่ะ กิเลสนี่มันซัดมาเป็นระลอกคลื่นเลย แต่ ปัญญา นี้กว่าจะงอก ทีละติ่ง นี่โอ้โฮ

walai lo says
เข้าใจค่ะ
นี่หมูมีพี่นะ ลองนึกถึงสภาพของพี่ที่ไม่มีใครนำทางให้เลยแบบในสมัยก่อนสิ ขนาดไหน

says
ไม่ได้หรอกค่ะพี่
เสร็จความอยากค่ะ
หยุด ปฎิบัติแน่

walai lo says
นั่นแหละ อยากแต่ไม่รู้หรอกว่าอยาก ไม่รู้หรอกว่ามันคือกิเลส แล้วกิเลสหน้าตาหลากหลายก็ไม่เคยรู้ ทั้งๆที่กินอยู่หลับนอนใช้ชีวิตกับกิเลสมาตลอด

says
นี่หมูก็ยังมีความอยาก ความอิจฉาสารพัดแหละค่ะ แต่ก็รู้ ว่าเกิดแล้ว
คือกิเลสนี่ ถ้าเราไม่มีสมาธิ ไม่มีสติ นะคะ ไม่รู้จริงๆค่ะ
เพราะหมู ช่วงหนึ่งที่จิตใจจมันฟุ้ง เพราะหนัง
มันมองกิเลสไม่ออกค่ะ

จนมันนึกขึ้นมาได้เอง ว่าภาวะที่ผ่านมาคือกิเลส มันปน ๆ ค่ะ
แล้วก็รู้สึกว่าอ้อที่ผ่านมาดูไม่ออกเพราะมันปนๆแบบนี้

แล้วก็เกิดความกลัว ว่าเลิกปฎิบัติไม่ได้ เพราะจะแยกกิเลสไม่ออก ก็เห็นคุณของการสะสม ในและวัน
เหมือนเรา ต้องคอยเช็ดแว่น ขยาย
ไม่งั้นก็มัว

walai lo says
นั่นแหละ ทีนี้คงเข้าใจมากขึ้นนะว่าทำไมพี่ถึงเน้นเรื่องการปรับอินทรีย์ เน้นให้เดินก่อนนั่ง เน้นเรื่องเหตุ
แต่ไม่เน้นเรื่องเวลา หรือเรื่องรูปแบบต่างๆ ใครทำแบบไหนก็ได้ตามสภาวะของตัวเอง

says
ก็เข้าใจ มากขึ้น ค่ะ แต่ก็ยังโมโหตัวเอง ที่ทำผิดออกไปก่อน บ่อย แล้วค่อยมา โทษ ตัวเอง มันก็ทั้งอาย ทั้งโมโห ทั้งกลัว

walai lo says
เข้าใจค่ะ เรื่องปกติ นี่แหละผลของการเจริญสติ

says
ถ้าไม่ระวังอีกก็กลายเป็นอยากอีก ค่ะ ก็ต้องคอยระวังอีก

walai lo says
ผิดแล้วจะได้จำ

says
ค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2011, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๑๗ สค. ๕๔

says

เดินกะนั่งรวกัน 30 นาทีค่ะนั่ง ไม่ถึง 10 นาทีค่ะ

รอบสอง มันหงุดหงิดเพราะคันค่ะ เกาไปเดินไป ก็รู้เท้าด้วยหงุดหงิดด้วย
แล้วมานั่งเลย แล้วก็ ยังคันแต่ไม่เกา แล้วก็รู้การหายใจไปค่ะ

จิตก็คิดเรื่องโน่นนี่ มีการพิจารณาไปด้วยค่ะ
พวก เรื่องที่บ้าน เรื่องการกลับบ้าน ว่าเสาร์อาทิตย์ บางอาทิตย์ไม่อยากกลับเพราะเหนื่อย อยากอยู่หอ

อีกจิตก็ทำไม่ได้ค่ะ มันก็แย้งกันค่ะ จิตที่มันมีความรับผิดชอบ ก็ไม่ยอมค่ะ
แล้วก็นั่งไป รู้ไปจนจบค่ะ ก็มีสติรู้กายไปด้วย ค่ะพวกลมก็ยังรู้อยู่ค่ะ หมดแล้วค่ะ

walai lo says
รู้ไปตามความเป็นจริงค่ะ
ยิ่งยอมรับในสิ่งที่ยังมีและยังเป็นได้มากเท่าไหร่ จิตจะเห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น

เรื่องกิเลสหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจนี่แหละตัวสำคัญ หากยังยอมรับไม่ได้ กิเลสย่อมครอบงำต่อไป

says
มันก็รู้ว่าเกิดอะไร ขึ้นในจิต นะคะ ก็บางทีก็ดู มันแย้งกันค่ะ
บางทีก็ลงไปเป็นมันค่ะ แล้วพอรู้ตัวก็หยุด

walai lo says
ถูกกับผิด ที่ยังแยกแยะไม่ได้ มันจะมีความขัดแย้งแบบนั้น
ไม่ต้องไปวางแผนหรือคิดล่วงหน้า อยู่กับปัจจุบัน
อยากกลับบ้านวันไหนก็กลับ ไม่ต้องไปคิดล่วงหน้า
คนเราทุกคนเหมือนกันหมด เห็นแก่ตัว รักความสบาย เรื่องปกติ

says
ค่ะพี่

walai lo says
ไม่มีความแตกต่างหรอกหมู เมื่อก่อนพี่เองมีตัวนี้เยอะ มันรู้สึกเหนื่อย เลยทำให้ไม่อยากเดินทาง
อยากพัก เพราะพอไปบ้านแล้วไม่เป็นอิสระ

says
ค่ะ เป็นกันทกคน

walai lo says
ใช้เวลาค่ะ กว่าจะทำใจให้ยอมรับได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เราแก้ไขอะไรไม่ได้ ล้วนเกิดจากเหตุที่ทำมาทั้งสิ้น แค่ยอมรับไป
ทุกข์นะ

ทุกข์เพราะไม่ได้ดั่งใจ

says
แต่หลังๆนี้ไม่ค่อยคิดมากแล้วค่ะ มันสั้นลง หรือบางทีมันก็มีอะไรมา รั้งไว้
ก็ล่าสุด คือนวดแม่แล้วมันเหนื่อยใช่ไหมคะ ก็เกิดความโมโหปรุงแต่งเห็นเห็นแก่ตัว ว่าไม่อยากนวดทุกคืนเลย

แล้วมันก็ฉุกคิดว่า แม่ก็ทำกับข้าวให้เรากินทุกมื้อเหมือนกันนี่หว่า
ก็เข้าใจแล้วหยุด เรื่องนี้ไป แล้วมันก็จะใจอ่อนไปเองค่ะ ของหมูจะมาแนวนี้น่ะค่ะ

walai lo says
สติไง ผลของการเจริญสติ เมื่อตัวสัมปชัญญะเกิดขึ้นแล้ว
ตัวสติคือความรู้ตัวก่อนที่จะการกระทำมันจะเกิดขึ้น

หากตัวสัมปชัญญะยังไม่เกิดนะ ไม่มีทางหรอก
แต่สัมปชัญญะจะเกิดขึ้นได้ สติต้องแข็ง ทั้งสองสภาวะต่างเอื้อซึ่งกันและกัน

says
ใจที่ไม่มีกิเลสคงสบายนะคะ
ใจมีกิเลส แยกกิเลสได้แต่ก็ยังมีความทุกข์

walai lo says
สบายเหรอ แค่รู้น่ะหมูว่าสบายไหม
มันไม่มีคำว่าทุกข์หรือสบาย
มันจะแค่รู้ว่าทุกๆสภาวะเป็นไปตามเหตุของสภาวะนั้นๆเอง ทีนี้อยู่ที่ว่า เราหยุดได้ไหม ดูทันไหม

says
อืมๆ ค่ะ หมูจะไม่ค่อยเจอแบบนั้นค่ะ
แต่ เวลาเดินแล้วอารมณ์ ไม่พอใจมันเกิด ก็รู้ แล้วก็ทุกข์ไปด้วย

walai lo says
อารมณ์ ความคิดต่างๆเราห้ามไม่ได้หรอก มันมีมันเกิดอยู่อย่างนั้น เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ยังมีอยู่
หากหมดเหตุปัจจัย สิ่งๆต่างๆย่อมไม่มีผลใดๆทั้งสิ้น

says
ค่ะ เห็น ว่ามันเกิดเนื่องๆน่ะค่ะ กิเลส

walai lo says
ถึงแม้มันเกิด เราห้ามไม่ได้ แต่ยอมรับไปแล้วแค่รู้ เพียงอย่าไปก่อให้เกิดถึงขั้นการกระทำออกมา

ตรงห้ามการกระทำนี่ หากไม่เข้าใจถึงสภาวะของเหตุของการเกิด คือ ไม่ได้รู้ด้วยตัวเอง มันก็อาจจะยากสำหรับการทำใจ
แต่ถ้าเคยสร้างเหตุร่วมกันมา ย่อมเชื่อกัน

พี่เข้าใจนะ
แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงถึงจะให้ทุกคนได้รู้ได้เห็นได้เข้าใจอย่างที่พี่ได้เข้าใจ
ต้องทำกันเอง
รู้ด้วยตัวเอง
พี่เพียงแค่เคยผ่านตรงนั้นมาแล้ว พี่รู้ดีว่าความทุกข์เกิดจากกอะไร

says
เหตุ เก่าที่เราสร้างไว้ ทำให้เกิดเหตุการ์ภายนอกมากะทบเรา ทำให้เกิดกิเลสภายใน แล้วเราก็ปรุงต่อ เพราะเรามีนิสัยทางนั้น แล้วก็ยึดมั่นมันไม่ยอมปล่อยวาง แล้วก็สร้างการะทำ แล้วก็วนกลับมาเป็นผลต่อไป
บางทีต่อให้ไม่มี ภายนอกมากระทบ ภายในก็โผล่มากระทบเอง ก็ยึดมั่นต่อเหมือนกัน
อันนี้ ที่หมูจับใจความได้นะคะ

walai lo says
นั่นแหละ
จำและทำด้วย มันถึงจะได้ผล

แต่ถ้าจำแล้วนอกลู่นอกทาง ยังหลงสร้างเหตุ ก็ภพชาติยืดยาว ทุกข์กันต่อไป

says
พี่น้ำเลยเน้นหยุดเหตุใหม่ ปล่อยวางเหตุเก่า ในใจ
จริงแค่ปล่อยวางเหตุเก่าก็หยุดเหตุใหม่ตัวแล้ว แต่จะปล่อยวางได้ต่อเมื่อมีสติ อยู่ตลอด หมูก็พยายามตรงจุดนี้อยู่ค่ะ

walai lo says
พี่ถึงบอกไง คนที่รู้แล้ว ย่อมหยุดและจบที่ตัวเอง คนที่ยังไม่รู้หรือยังถูกกิเลสหลอกอยู่ ย่อมชื่อว่าเป็นผู้ที่ยังหลงอยู่ ย่อมนำสิ่งที่คิดว่ารู้ นำไปสร้างเหตุของการเกิดต่อไป
รู้แล้วจะมีแต่ความเมตตาให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่มีความพยาบาทหรือความอาฆาตใดๆในจิต

says
ค่ะพี่ หมูกำลังพยายาม สร้าง เครื่องมืออยู่
เพราะถึงรู้แต่ขาด สติ สมาธิ มันก็ เอาตัวไม่รอด สู้กับกิเลสไม่ได้อะค่ะ

walai lo says
เข้าใจค่ะ ทั้งสองอย่างต้องดำเนินไปคู่กัน อย่างน้อยสติไม่ทัน สมาธิยังช่วยกดข่มไว้ได้บ้าง

says
ค่ะพี่ เหมือนตัวเองถือเสียมหักเลย แหว่งๆวิ่นๆ แต่ก็พยายาม นะคะ

walai lo says
อีกหน่อยจะมีด้ามที่จับถนัดมือ การปรับอินทรีย์สำคัญมากๆ

รู้เรา รู้เขาช่างหัวมัน เอารู้เราให้ชัดก่อน
เขาหรือใครจะเป็นอะไร ปล่อยไป ช่วยตัวเองก่อน

says
โดนเลย

walai lo says
อย่าไปให้ความสำคัญ ให้ความสำคัญเมื่อไหร่ จะมีแต่ความทุกข์ที่เกิดจากการยึดมั่นถือมั่น

บทเรียนภายในน่ะมันเยอะนะ สภาวะละอียดมากเท่าไหร่ บทเรียนยิ่งเยอะ ภายนอกน่ะปล่อยไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัย
อย่างที่บอก ทำได้แค่แผ่เมตตา กรวดน้ำ
จะดีหรือชั่ว อยู่ที่ตัวเขาเหล่านั้น
เราไปอธิษฐานช่วยให้ใครดีหรือชั่วไม่ได้หรอก

ความสุข ของแต่ละคนอยู่ที่อุปทาน
เราเห็นว่ามันทุกข์ แต่เขาอาจจะมองว่ามันสุข เพราะมันคือสุขของเขา

says
ค่ะ เหมือนหมูสุขเรื่องกิน

walai lo says
เข้าใจค่ะ
เราเป็นพวกชอบกิน
บางคนอาจจะมองว่า อาหารมีส่วนทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรมหรือเป็นแหล่งโรคภัย

แต่สำหรับพี่ พี่มองว่า อยากกินอะไรกินไปเลย ตายแล้วไม่ได้กิน

แล้วไม่ได้ไปเบียดเบียนใครๆหรือแม้กระทั่งทรัพย์ของผู้อื่น แล้วไม่ได้กินพร่ำเพรื่อ

says
ค่ะพี่ จำกัดงบไว้

walai lo says
พี่ทำรายจ่ายตลอด ให้รางวัลกับตัวเองทุกเดือน
analai3080@hotmail.com says

walai lo says
อยากกินร้านไหน เล็งไว้

says
มีรางวัลด้วยเหรอคะ

walai lo says
มีสิ
การได้ลองกินอาหารที่ไม่เคยกินหรือร้านที่ยังไม่ได้ลองเข้า
นั่นคือรางวัล
เพราะเมื่อรู้แล้ว มันจะไม่อยาก

หมูสังคมเยอะกว่าพี่ เพื่อนเยอะ การกินเลยเยอะตาม
พี่เลือกกินตามสบาย พี่ไม่ติดเพื่อน

says
ค่ะ ยุคพระเขมมหาเถรอภิญญา ๑ หนังสือเล่มนี้ หายากนะคะ

walai lo says
เรื่องนั้นพี่ยังเขียนไม่หมด ลืมเขียนบทตอนต้นไป แล้วจะเขียนเพิ่มเติม

says
สนุกค่ะ หมูชอบภาษา

walai lo says
พี่นำมาจากหนังสือวิปัสสนาทีปนีฎีกา ยิ่งอ่านยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งเกิดความเคารพศรัทธาในความเพียรของครูบาฯ

says
ค่ะพี่ อ่านแล้วชวนติดตาม

walai lo says
พี่เพิ่งรู้เรื่องการดูพระอรหันต์ว่าให้ดูตรงไหน
มันมีข้อพิสูจน์ได้ แล้วหมูจะได้อ่าน

ตอนนี้เลยไม่แปลกใจในคำลือต่างๆนาๆเกี่ยวกับที่ว่าใครเป็นพระอรหันต์ที่แท้จริงหรือไม่ใช่ มันมีข้อพิสูจน์ได้ ไม่ใช่เรื่องกระดูกเป็นพระธาตุแบบที่นำๆมาพูดกัน น่าอัศจรรย์มากๆ

says
แล้ว พี่น้ำบอกว่าผู้ปฎิบัติถึงสภาวะ สักอย่าง จะเป็นพระธาตุ เอง อาจจะไม่ต้องถึง พระอรหันต์

walai lo says
อ๋อ แค่อริยะน่ะหมู ไม่จำเป็นต้องเป็นพระอรหันต์ คืออริยะนี่อย่างน้อยได้ฌานทุกคน ไม่มีใครไม่ได้ แล้วสภาวะอาตาปี สัมปชาโน สติมา คือความเพียรเผากิเลส ที่คอยเฝ้าดู รู้อยู่ในกาย เวทนา จิต ธรรมน่ะ สภาวะตรงนั้น มีผลด้วย
ชีวิตตอนเป็นๆนี่แหละพิสูจน์ได้ สำหรับผู้ที่มุ่งขัดเกลากิเลส

says
ค่ะ สงสัยพลังงาน จะทำปฎิกิริยากะสะสารในกาย เป็นวิทยาศาสตร์

walai lo says
พี่เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ มันเป็นเรื่องแปลก ยากที่จะอธิบายได้

says
ค่ะพี่แปลกจริงๆ

walai lo says
แต่มันเป็นได้จริงๆ
ใครที่อยากพิสูจน์ตัวเองน่ะ ทำไม่ยาก

says
ยังไงคะ

walai lo says
ตัดผมไง แล้วใส่ในภาชนะอะไรก็ได้ ปืดฝาเอาไว้

ผมที่ตัด จะเป็นพระธาตุเอง ไม่ใช่ตัวเส้นผมนะ
แต่จะมีพระธาตุเกิดขึ้นที่เส้นผม

says
ค่ะ ที่พี่พาไปดู จริงๆแล้วถึงขั้นนั้นผู้ปฎิบัติ น่าจะรู้ตัวแล้ว

walai lo says
รู้สิ รู้แต่ไม่มาคุยโตโอ้อวดหรอก เพราะจะมีแต่เหตุ ในเมื่อมุ่งปฏิบัติเพื่อดับเหตุทั้งปวง จะไปคุยโม้ทำไม
เขาจะแค่คุยสภาวะกัน ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ เขาไม่สนใจหรอก เพราะมันไม่ใช่หน้าที่

ในเมื่อเข้าใจในเรื่องเหตุแล้ว จะต้องไปพยายามทำอะไรอีก
ไม่ต้องไปหาบริวารหรือหาอะไรนอกตัวหรอก มีแต่อามิสบูชา มีแต่กิเลส

says
ค่ะ พี่ วันนี้ดึกแล้ว ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ หมูกะจะพยายามต่อเติมเสียมหักๆ ต่อไป เผื่อจะขึ้นด้าม

walai lo says
ค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2011, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๒๕ สค.๕๔

says
พี่คะ ที่พี่น้ำบอกว่าเรา ต้องใชกิเลส เพื่อให้อยู่กับสภาวะได้ นั้นพี่ยกตัวอย่างได้ไหมคะ
เมื่อวานจะพิมพ์ถาม มันไม่ยอมอัพขึ้น กะจะปลอมใช้ชื่อคนอื่น

หมูคิดว่าเข้าใจ แต่ไม่เข้าใจดีกว่า เผื่อเข้าใจผิด

walai lo says
เราต้องรู้จักจิตตัวเองให้ถ่องแท้ก่อน จึงจะปฏิบัติไม่ติดขัด
ต้องรู้จักนำกิเลสมาใช้ให้ถูกทาง กิเลสไม่ได้มีแค่โทษอย่างเดียว
จำได้ไหม คำสอนที่กล่าวไว้ว่า ทุกข์มีไว้ให้รู้

says
ค่ะจำได้ค่ะได้ยินบ่อย

walai lo says
ต้องเข้าใจในทุกข์นั้นๆ ว่าทุกข์ที่คิดว่าทุกข์ แท้จริงแล้วทุกข์นั้นคืออะไร กิเลสก็เช่นเดียวกัน

says
ความไม่พอใจ ไม่ได้ดังใจ เกิดจากความคิด ช่วยขยายต่อนะคะ หมูยังไม่ชัดค่ะ

walai lo says
ทุกข์ เกิดจากผัสสะใช่ไหม
สุขเกิดจากผัสสะใช่ไหม
ไม่สุขไม่ทุกข์ ทั้งๆที่มีผัสสะเกิด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

says
ผัสสะ ไม่ใช่เกิดจากผัสสะ แต่เกิดจากมีผัสสะ แล้วไปให้ค่าทันที กระทบแล้วปรุง

walai lo says
ให้ค่าเพราะอะไร แล้วไม่ให้ค่าเพราะอะไร

says
มันให้ค่าไปแล้วค่ะ
ไม่รู้ว่าทำไมมันให้ค่า

walai lo says
หมูแค่จำ ไม่ได้เห็นด้วยตัวเอง เลยลืมสิ่งที่พี่พูดๆให้ฟังอยู่ประจำ

says
พี่พูดว่า เพราะเหตุ ทำให้เกิดเรื่องนี้แล้วมีผลต่อความรู้สึก ใช่ไหมคะ ถ้าไม่มีเหตุกับเรื่องนั้นๆก็จะไม่รู้สึก

walai lo says
ผัสสะทุกผัสสะที่เกิดการกระทบ แล้วเป็นเหตุให้เกิดการให้ค่าต่อสิ่งๆนั้น เกิดความชอบหรือชังก็ตาม นั่นคือ สิ่งๆนั้นมีเหตุปัจจัยกับเรา คือ เคยสร้างเหตุกับสิ่งๆนั้นมา
หากไม่มีเหตุต่อกัน เมื่อเกิดผัสสะ ย่อมไม่ไปรู้สึกอะไรกับสิ่งๆนั้น

says
หมูจำได้ว่าพี่เคยปเรียบเทียบเรื่องคนบ้าด่าคนแถวบ้าน มีคนโกรธ บางคนไม่โกรธ

walai lo says
นั่นแหละ เหตุทั้งนั้น
เมื่อยังมีเหตุ ผลย่อมมาให้ได้รับในรูปของผัสสะที่เกิดขึ้น เป็นเหตุให้เกิดความชอบหรือชัง

says
ค่ะ แล้วเราจะใช้กิเลสยังไงคะ ให้เป็นประโยชน์

walai lo says
หมู ก่อนอื่นพี่ต้องขออโหสิกรรมต่อหมู และขอบคุณในความเพียรของหมู
ที่หมูมีความอดทนทำความเพียรอย่างต่อเนื่อง

ที่ขออโหสิกรรม คือ เมื่อก่อนสภาวะของพี่ยังไม่ละเอียด จึงไม่ไเด้แนะนำทางตรงให้กับหมู
ทุกอย่างมันมีเหตุ ถึงแม้ว่าพี่เข้าใจ แต่อดเสียดายเวลาที่ผ่านมาไม่ได้

says
ไม่หรอกค่ะ
ขอบคุณพี่น้ำต่างหาก
หมูไม่เคยนั่งสมาธิได้เลย พอเจอพี่หมูนั่งได้
มีความสุขมากขึ้น
รู้เป้าหมายของตัวเอง
รู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร
ขอบพระคุณมากค่ะ

walai lo says
อนุโมทนาค่ะ

says
สาธุค่ะ

walai lo says
ทุกอย่างอยู่ที่เหตุจริงๆ ถึงสิ่งที่พี่เคยแนะนำไปอาจจะอ้อม แต่หมูก็เข้าใจสภาวะด้วยตัวเองได้

says
แล้วทางตรงเป็นไงเหรอคะ

walai lo says
ทางตรง ก็ต้องรู้จักจิตตัวเองก่อน
สมาธิไงหมู การที่จะรู้จักจิตตัวเองได้ ต้องมีจิตที่ตั้งมั่น ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นสมาธิแบบไหน

การนั่ง เมื่อก่อนพี่ยังมียึดติดในรูปแบบ เพราะโตมาแบบนั้น
แต่พอสภาวะทวนญาณเกิด จึงเข้าใจเรื่องจิตได้มากขึ้น

รู้ว่าแท้จริงแล้ว ต้องฝึกจิตก่อน โดยอาศัยสัปปายะของกาย สิ่งที่ทำแล้วถนัด
ไม่ใช่ไปฝืน เพื่อจะให้เกิดสมาธิ

พี่โตมากับการกำหนด แต่มาเข้าใจสถาวะต่างๆเพราะเกิดจากการเรียนรู้
สภาวะจึงละเอียดมากขึ้น จึงเข้าใจจิตแจ่มแจ้งว่าควรทำอะไรก่อน

ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ พี่มองแค่เหตุ ไม่สนใจว่าใครจะเชื่อหรือไม่
จำได้ไหมที่พี่พูดเรื่องสมาธิ ว่าทุกๆคนมีมาตั้งแต่เกิด แต่ไม่รู้วิธีที่จะนำออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ แถมบางคนไม่รู้ว่าประโยชน์สูงสุดของสมาธิคืออะไร

says
ค่ะ ก็พี่บอกว่ามีสมาธิแต่ไม่รู้จักวิธีนำมาใช้

walai lo says
บางคนพยายาทำให้จิตเป็นสมาธิ ทำแทบตาย สมาธิไม่เกิด
อย่างเรื่องจิตรวมใหญ่ ที่มีการนำมาพูดๆกัน

says
ใช่ค่ะ หลับอีก

walai lo says
การหลับ นั่นคือสมาธินะ
ต้องดูที่สภาวะด้วย

says
ค่ะ แต่มันขาดสตินะคะ

walai lo says
นั่นแหละ นี่ไง ติดบัญญัติ

says
อ่อเหรอคะ

walai lo says
เหตุที่แท้จริง ในเรื่องการทำให้จิตเป็นสมาธิ ทำได้ยากหรือทำไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม

says
ไม่รู้ค่ะ

walai lo says
กรรมฐาน ๔๐ กองน่ะเป็นเพียงอุบาย สำหรับคนอ่านตำราแล้วขาดผู้แนะนำที่รู้จักสภาวะ
พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสสอนไว้ว่า พึงคบบุคคลที่มีสมาธิ

says
งั้นทำไมถึงทำให้เกิดสมาธิไม่ได้เหรอคะ

walai lo says
เพราะความอยากไง ความพยายามที่มากเกินไป ตลอดจนการยึดติดในคำเรียกต่างๆ จะทำให้ได้แบบคำที่นำมาเรียกๆกัน

says
นั่นไง หมูคิดในใจ

walai lo says
ไม่ได้เริ่มต้นจากพื้นฐานกันก่อน

says
งั้นพื้นฐานควรเริ่มไงคะ

walai lo says
พื้นฐาน ต้องฝึกที่จิตกันก่อน สัปปายะที่เหมาะแก่การทำให้จิตเป็นสมาธิ ไม่ต้องไปปสนใจคำเรียกต่างๆ

ต้องไม่รู้ก่อนที่จะรู้ มิจฉาสมาธิจึงเกิดก่อนสัมมาสมาธิเพราะเหตุนี้

เหมือนการนั่ง
นั่งอย่างไร ที่แบบไหนจึงจะทำให้เกิดสมาธิได้
เหตุของแต่ละคนสร้างมาแตกต่างกันไป ความชอบ ความถนัด ตลอดจนสัปปายะจึงแตกต่างกัน

says
ค่ะ
อืม แต่พี่น้ำก็สอนหมูอย่างนี้นะคะ

walai lo says
ที่สอนตอนนั้น ยังไม่ใช่การสอนโดยตรง

says
อ้าว
เอ๋ แต่หมูทำแบบนี้

walai lo says
เพียงแค่สอนตามที่พี่รู้ในตอนนั้น พอทำแบบนั้น เมื่อหมูเจอทุกข์ จิตวิ่งหาที่พักได้ลำบาก

นี่แหละที่พี่รู้สึกผิดกับหมูตรงนี้ จริงๆแล้วสมาธิของหมูมีมากกมาย จะใช้พักจิตเมื่อไหร่ก็ได้

says
เหรอคะ หมูไม่รู้สึกเลย

walai lo says
เพราะหมู ยังไม่เจอสัปปายะหรือท่านั่งที่เหมาะสำหรับตัวเอง
หมูยังไม่รู้จักจิตของตัวเอง ว่าแท้จริง สภาวะแบบไหน ที่จิตสามารถเป็นสมาธิได้ง่ายที่สุด

แรกเริ่มการสอน พี่ควรสอนเรื่องนี้ให้กับหมูก่อน แต่ตอนนั้นไม่รู้ละเอียดได้แบบนี้ สภาวะพี่มันก้าวกระโดด

says
อ่อค่ะ แล้วตอนนี้หมูต้องปรับอะไร ยังไงไหมคะ

walai lo says
ปรับสิ จะได้มีที่พักจิต

says
ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

walai lo says
บางครั้งมันล้า มันเบื่อ มันเหนื่อย

says
สาธุๆๆ

walai lo says
ทำแล้วเจอแต่ทุกข์ แล้วไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำ
ทำเพราะรู้
แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับจิต

หมู ลองเปลี่ยนที่นั่ง เปลี่ยนท่านั่ง
นั่งในที่ๆคิดว่า สบายที่สุด ผ่อนคลาย นั่งในท่าที่คิดว่าท่านี้นั่งในสบาย

หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ รู้ไปตามนั้น ยังไม่ต้องไปดูท้องพองยุบ
คือ จิตรู้ยังไง รู้ไปตามนั้น รู้แบบสบายๆ ถ้าเกิดสมาธิแล้วมันดิ่ง ปล่อยไปเลย

says
แบบมันเคลื่อนจากรู้ที่การหายใจน่ะเหรอคะ
แล้วจะหลับก็ไม่ใช่ จะรู้ก็ไม่เชิง

walai lo says
นั่นไง จิตหมูคุ้นเคยกับสภาวะเหล่านี้แล้ว
สิ่งที่พี่พูดมาเมื่อกี้เหมาะแก่คนที่เริ่มต้นใหม่
ฝึกจิตให้เป็นสมาธิก่อน ฝึกให้คล่อง
จนกระทั่งรู้ว่า นั่งแบบไหนแล้วจิตเป็นสมาธิได้ง่ายที่สุด
หลังจากนั้นค่อยมาเน้นเรื่องการปรับอินทรีย์

says
แล้วเอ่อหมูต้องทำไง คะ

walai lo says
ไม่ต้องทำยังไง ทำแบบที่หมูเคยทำ
เพียงแต่หมูสามารถเพิ่มเรื่องท่านั่งที่คิดว่านั่งแล้วรู้สึกสบาย ให้นั่งในท่านั้น แล้วหมั่นสังเกตุขณะที่สมาธิเกิด ตลอดจนสมาธิกำลังเกิด ดูว่าจิตเป็นยังไง

says
สมาธิ หมูจะรู้แค่ว่า 1 มันเงียบ 2. มันจับอยู่ที่จดใดหรือให้ความสนใจกับสภาวะใด สภาวะหนึ่งนั้นนาน แต่แค่แป๊ปเดียวมมันก็กลายเป็นเปลี่ยนสภาวะ
กับ แบบ ที่2 คือแบบ ที่มัน ไม่มีแรง ไม่แจ่มใส เหมือเราเหนื่อยแล้วหลับใน แต่ไม่ได้หลับ อันนั้นแม้จอธิษฐานก็ยังขาดสติ
ของหมูจะมีแค่ 2 แบบ
หลังๆจะเป็นแบบที่ 1

walai lo says
แบบที่ ๑ น่ะ เป็นจิตที่ถูกฝึกแล้ว
ส่วนแบบที่ ๒ มันคนละอย่างกัน

says
ค่ะ ก็ไม่ต้องสนใจมัน

walai lo says
สมาธิมากมันจะขี้เกียจกลายเป็นเพลีย
พี่เองก็เคยเป็น

says
งืมๆ ค่ะเหมือนเราหลับตานิ่งๆ เลย

walai lo says
นั่นแหละ บางทีเหมือนหลับไปเลย

says
ค่ะแต่ไม่ได้หลับ

walai lo says
ค่ะ พอรู้สึกตัว มันจะเพลียเหมือนคนไม่ได้นอน หรือนอนไม่เต็มอิ่ม

says
ใช่ค่ะแต่จะนอนก็ ตาใส ไม่ง่วง อะไรหว่า แบบนั้น

walai lo says
สภาวะสอนให้เป็นคนช่างสังเกตุ
จากเป็นคนทำอะไรรวกๆ จะเป็นคนละเอียดมากขึ้น รอบครอบมากขึ้น ทั้งเรื่องาน เรื่องส่วนตัว

says
งั้นหมู ก็นั่งท่าที่สบายสุด แล้วต้องนั่งนานๆ ไหมคะพี่

walai lo says
นั่งได้ตามสบายเลย นานกี่ชม.ก็ได้ ใช้เวลาที่รู้สึกล้าหรือเหนื่อย

says
แต่ก่อนพี่บอกว่า ให้นั่ง ให้รู้สึกตัว รู้กาย ถ้าไม่รู้สึกตัว ก็ลดนั่งลงเดินเพิ่มขึ้น

walai lo says
อ๋อ นั่นแหละสอนข้ามขั้น หมูไปเรียนวิธีแก้ แต่ยังไม่ได้เรียนรู้สภาวะทั้งหมด

says
งั้นหมูควรเริ่มใหม่ยังไงดีคะ

walai lo says
อ้าว ก็ที่หมูบอกกับพี่มาเมื่อกี้ไง

says
อ้าว ยังงงค่ะ งั้นสมมติว่า นั่งนานๆ แล้วมัน ไม่รู้สึกตัวละคะ ก็ปล่อยหรือเปล่าคะ

walai lo says
ค่ะ ให้จิตเขาได้พัก ใช้ในกรณีที่หมูรู้สึกเหนื่อย หรือเบื่อ หรือล้า ถ้าปกติ ไม่ได้มีอาการอะไร ให้ทำแบบปกติ

ใช้วิธีนี้หมูจะได้ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อกกับการปฏิบัติ

says
พี่คะ ไอ้ที่หมูอยู่หอแล้ว เห็นจิตตัวเองมันอยาก มีความสุข ทำไอ้โน่นสุขแล้วก็เบื่อเปลี่ยนไปทำไอ้นี้สุขก็เบื่อ เปลี่ยนไปทำนั่นอีกก็วนมาเบื่ออีก นีคือสภาวะที่พี่บอกว่าทำแล้วมันทุกข์ แต่ไม่มีที่หลบใช่ไหมคะ

walai lo says
นั่นแหละ
จากทุกข์แล้วเบื่อ
เมื่อเข้าใจทุกข์
มาเจอสุข
สุขแล้วก็ยังเบื่อ

says
ใช่ค่ะ

walai lo says
บางทีมันรู้สึกขึ้นมาเอง
มันเบื่อขึ้นมาเอง
มันเห็นการเกิดมีแต่โทษ
พอเห็นสิ่งต่างๆวนเวียนมาเดิม๐ซ้ำๆ ยิ่งตอกย้ำเรื่องการเกิด มันยิ่งเบื่อ

says
มันจะต้องหาความสุขใหม่ๆไปเรื่อยๆ ค่ะ แต่หมูยังไม่มีปัญญาเห็นว่ามันเป็นโทษนะคะ
หมูเห็นแค่ว่านี่หรือ สภาพจิตของเรา ทุกข์ว่ะ จะวิ่งหาสุขที่ไหน

สุขก็ทุกข์ คือสุขแล้วอยากสุขอีก จิตมันกระวานกรวาย
พอสุขแล้วก็เบื่อสุขชนิดนี้อีก

walai lo says
มันเอียน

says
ก็ต้องหาอันใหม่อีก หมูก็วนแต่กิน เล่นเน็ท อ่านหนังสือ กิน เล่นเน็ท ดูทีวี กิน T T

walai lo says
นี่แหละ เพราะหมูยังไม่รู้วิธีใช้กิเลส
ทำไมพี่ถึงอยู่ในอิริยาบทเดินกับยืนมากๆล่ะ
ทั้งๆที่อ่านหนังสือ ดูหนัง เล่นเกมส์ บางทีหลายชม.

says
เพราะเป็นสมาธิง่ายใช่ไหมคะ

walai lo says
ใช่ค่ะ สมาธิจะเกิดได้ง่าย อาการเบื่อแทรกได้ยาก
เพราะจิตอยู่กับสิ่งที่ชอบ แล้วไม่เสียเวลาอยู่กับสิ่งที่ชอบอย่างเดียว แต่รู้จักนำมาใช้สอดแทรกเข้าไปในอิริยาบทยืนกับเดิน

says
พี่น้ำชอบยืนเหรอคะ

walai lo says
เมื่อก่อนไม่ชอบนะ

พอจับจุดได้ เริ่มทำแบบนี้มาแล้วหมั่นสังเกตุการเปลี่ยนแปลงของจิต
จิตเป็นสมาธิไวมากขึ้น แนบแน่นมากขึ้น รู้ตัวได้ตลอด

แล้วเลือกทำได้ว่าจะนั่งนานแค่ไหน ที่ตรงไหนเหมาะกับสภาวะในการเป็นสมาธิ

says
อืมมๆๆ งั้นหมูก็ต้องเริ่มสังเกตุตัวเอง ว่าทำแบบไหน สมาธิ ได้ง่าย

walai lo says
เหมือนนั่งโซฟา จิตพี่เป็นสมาธิง่ายเวลานั่งที่โซฟา พี่เอาไว้เปลี่ยนอิริยาบท
คือพอรู้จักกิเลสของตัวเองแล้ว อารมณ์แบบไหน เหมาะกับการนั่งที่พื้นหรือโซฟานี่จะรู้ มันจะรู้ชัดในความรู้สึกนั้นๆได้

says
คำว่ารู้จักกิเลสของตัวเองของพี่น้ำนั้น หมายถึงรู้ว่าจิตตัวเองชอบอะไร
อยู่กับอะไรได้นาน เป็นสมาธิ

walai lo says
รู้ว่าทำอย่างไร แบบไหน จิตเป็นสมาธิได้ง่ายมากที่สุด แล้วเวลาแบบไหน จึงควรจะนั่งที่พื้นหรือที่โซฟา

says
แล้วพอเรารู้แล้วเราก็เอามาใช้เพื่อไม่ให้บ่อยเกินไป

walai lo says
ใช่ค่ะ ใช้ตามสภาวะ ใช้บ่อย จิตจะขี้เกียจ จ้องจะเข้าแต่สมาธิ

says
พอรู้วิธีทำให้สมาธิเกิด ง่ายแล้ว แต่ถ้าจิตขี้เกลียดเราก็ปรับอินทรีย์
ให้มีสติ รู้ด้วย คู่กับสมาธิ เพื่อรู้จักการปล่อยวาง

walai lo says
ใช่และไม่ใช่
ที่ว่าใช่คือ ให้มีสติรู้อยู่กับสมาธิ นั่นคือรู้อยู่ในกายและจิต

ส่วนเพื่อการปล่อยวาง ไปบังคับมั๊ย ไม่บังคับหรอกค่ะ หรือไปปพยายาทำเพื่อให้จิตปล่อยวางก็ไม่คิดทำ ปล่อยให้จิตเรียนรู้จนปล่อยวางไปเอง เพราะสภาวะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เหมือนเรื่องสุขกับทุกข์ที่หมูพูดถึงเมื่อกี้นี้ การปล่อยวางที่เกิดจากการคิดพิจรณา ไม่เท่ากับการเกิดจากสภาวะเอง ตอกย้ำเดิมๆซ้ำๆจนจิตเกิดความเบื่อหน่ายในที่สุดปล่อยวางลงไปเอง

แล้วจะกลับมาที่มุ่งดับที่เหตุ มันจะวนๆแบบนี้
ถ้าสมาธิดี สติดี จิตจะมีกำลัง สดชื่น

says
พี่คะ ให้มีสติรู้อยู่กับสมาธิ นั่นคือรู่อยู่ในกายและจิต = จิตตั้งมั่นเห็นกิเลส ในจิต ของตน = เกิดปัญญาพิจารณา คือโยนิโสมมนสิการ
หมูถอดจากสภาวะ ของตัวเองนะคะ

ดังนั้น มีสติรู้อยู่กับสมาธิ นั่นคือรู้อยู่ในกายและจิต ก็ยังสำคัญที่สุดทุกเมื่อ ส่วนมันจะแตกแขนง ไปเป็นอะไรชั่งมันถูกไหมคะ ส่วน สมาธินั้นเอามาใช้เวลา ทุกข์ เหนื่อย เอาให้พอดี
หมูเข้าใจถูกไหมคะ

walai lo says
ใช่ค่ะ

says
ขอบคุณค่ะ งั้นหมูก็จะได้รู้ว่า จะทำยังไงต่อ
ก็เพิ่ม ออพชั่นเรื่องของ จิตมีที่พักไปโดยการสังเกตุตัวเอง จะทำได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเหตุ

walai lo says
ใช่ค่ะเหตุ

กิเลส สภาวะของจิตไม่เหมือนกัน แต่รู้แล้ว จะรู้เหมือนกัน
เหมือนเรื่องกิจกรรมต่างๆที่นำไปใส่ลงในสภาวะที่กำลังเดินกับยืน

says
ความอยากก็เป็นเหตุ ที่สะสมมา เราทำไปเรื่อยๆเท่ากำลังของเรา แล้วมันจะเข้าทาง ของมันเอง เหมือนอยู่ไหน ก็หารูไขกุญแจเจอ

walai lo says
แล้ว สภาวะเวลาในการใช้ในอิริยบทยืนกับเดินไม่แน่นอน
ถ้ารู้ชัดในสภาวะ เราจะสามารถรู้ได้ว่าตอนนี้นั่งได้แล้ว ตอนนี้เหมาะกับนั่งที่พื้นหรือที่โซฟา
เหมือนวันอาทิตย์ เมื่อก่อนครุ่นคิดว่าทำยังไงถึงจะปฏิบัติในวันอาทิตย์ได้ เพราะทำงานบ้านทุกวัน

คิดแล้วคิดอีก ยังจับจุดไม่ได้ จนมาวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำงานบ้าน แล้วมันรู้น่ะ เวลานี้นั่งได้นะ พี่เลยนั่ง จิตเป็นสมาธิง่ายดาย
เลยทำให้ทำได้หลายรอบระหว่างทำงานบ้านนี่แหละ คิดเท่าไหร่ไม่รู้ บทจะรู้ไม่ได้คิดเลย มันรู้สึกเอง
เป็นเหตุให้รู้สึกเพลินกับงานที่ทำ ไม่เหนื่อย ทุกทีทำงานบ้านจะรู้สึกเหนื่อยมาก

says
คงถึงเวลา ที่จะรู้

walai lo says
ทุกสิ่งนะหมู ลองดูได้

ทำอะไรก็ตาม อยายามให้อยู่ในอิริยาบทเดินกับยืน อย่าเพิ่งนั่ง
อันนี้แล้วแต่ว่าหมูจะมีเวลาหรือเปล่านะ เหตุของพี่เป็นแบบนี้ สภาวะจึงเป็นแบบนี้

says
หมูจะเดินค่ะพี่ ถ้าหมูเดินนะคะ จะมีสมาธิดี
ยิ่งเดินนาน จะเริ่มสมีสมาธิก่อนจะหมดชั่วโมง แต่ก่อนจะหมดชั่วโมงฟุ้งแหลก

ส่วนนั่ง สังเกตุว่านั่งโซฟาแล้วหลับง่าย ไว้จะลองปล่อย นั่งนานๆเวลาเหนื่อยดู


พี่คะตอนนี้ระหว่างวันหมูดูจิตตวัเอง
แล้วเหตุ ว่ามันอยากได้คำชม และคอยชมตัวเอง
ก็ดูไปแบบนี้ แล้วห้ามไม่ก่อเหตุ กลับบมาก็ค่อยปฎิบัติ ไปแบบนี้ แบบนี้ก็โอเคแล้วใช่ไหมคะ

walai lo says
เรื่องปกตินะ คำชมใครๆก็ชอบ

says
แหะๆ มันบ้าน้ำลายน่ะค่ะ

walai lo says
แต่สำหรับพี่อย่าได้คาดหวังเลย พี่ไม่คิดจะสร้างเหตุให้ผู้อื่นแม้กระทั่งหมูเกิดสภาวะจิตสักกการะ
รู้จักไหม จิตสักการะ

says
ไม่รู้ค่ะ

walai lo says
อันนี้ได้ความรู้จากกัลยาณมิตร
จิตสักการะ คือจิตที่ติดในคำชื่นชม สรรเสริญ เยินยอ

says
ค่ะๆหมูเป็นค่ะ

walai lo says
นั่นแหละ พี่ถึงบอกว่าเรื่องปกติ
เพราะยังไม่รู้แจ้งสภาวะด้วยตัวเอง ย่อมติดในสิ่งเหล่านี้ เหมือนโลกธรรม ๘

says
หมูว่าตัวนี้แหละ สร้างมานะ

walai lo says
ใช่ค่ะ เป็นมานาน แล้วถ้ายึดติดไม่พอ ยังสร้างเหตุให้เกิดอีก ไม่ต้องพูดถึงเลย ขนาดแค่คิด ยังรับผล แล้วถ้ากระทำล่ะ พี่ถึงไม่ค่อยหลุดคำชมให้ใครๆ
เมื่อก่อนมีบทเรียนมาแล้ว

says
พี่น้ำเจอแบบไหนคะ

walai lo says
ชมผู้อื่น เป็นเหตุให้หลงสภาวะได้ ทำไปโดยไม่รู้ ผลที่ได้รับคือ ไม่ใช่เกิดจากใครมาชมพี่
แต่ทำให้สภาวะวนๆ มันก็เหมือนคนหลงสภาวะ เหตุแตกต่าง แต่สภาวะไม่แตกต่าง คือ ผลที่ได้รับ ให้กิเลสเขา ดูที่เจตนา

says
เวลาสอนพนักงาน หมูจะทำไงดีหว่า
ถ้าเจตนาให้เขามีกำลังใจละคะ

walai lo says
กลางๆสิหมู ชี้ข้อที่เขาควรทำเพิ่ม
ว่าถ้าทำเพิ่มตรงนี้ จะทำให้เป็นคนละเอียดมากขึ้น ไม่ใช้คำว่าดีหรือไม่ดี

says
ถ้าบอกว่ามาถูกทางแล้วละคะ ตรงนี้ถูกแล้ว คงไว้ ตรงนี้ปรับเพิ่ม

walai lo says
เอาอะไรมาวัดว่าถูกทางล่ะ

says
แบบมี Procees คู่มีปฎิบัติงานน่ะค่ะ

walai lo says
อ๋อ เข้าใจ

says
ว่าเออน้องทำถูกขั้นตอนแล้ว เออดีแล้วแบบนี้น่ะค่ะ

walai lo says
ดีของหมู แล้วคนอื่นๆว่าดีด้วยไหม
แค่ถ้ารูปแบบมีแบบไว้ให้ในการวัดคุณภาพ

says
ใช่ค่ะ มันต้องบอกเขาว่าดี แล้วหรือต้องปรับปรุง ไม่งั้นเขาจะไม่รู้ว่าต้องทำไง

walai lo says
ทำตามรูปแบบ แต่เพิ่มรายละเอียดลงไป
พนักงานบางคนก็ห่วย เหมือนที่พี่เจอมา ขนาดทำตามรูปแบบ

says
แหะๆ หนูกำลังพยายาม

walai lo says
เห็นไหม พี่ถึงถามว่าเอาอะไรมาวัด
แม้กระทั่งรูปแบบ เรียนเสร็จ จับยัดใส่กระเป่า ที่เหลือตามใจฉัน

says
อืมงั้นบอกเขาว่า ตรงตามคู่มือแล้ว เอ้อยากเหมือกันนะคะ งานที่ทำ

walai lo says
พี่เข้าใจนะ ผ่านมาหมดแล้ว พูดมากน้องก็เบื่อหาว่าจู้จี้

says
สุดๆน่ะค่ะ
กัดเรา แต่พอวันออกจากห้องอบรมเขาจะเข้าใจ

walai lo says
พอไม่พูดหรือพูดเท่าที่คิดว่ามีประโยชน์ น้องก็หาว่าดุ

says
ค่ะ หมูก็ระวังให้มากที่สุด แล้วกันค่ะ

walai lo says
นี่แหละสภาวะ
เหตุไงหมู

says
ค่ะพี่
เอาเป็นว่าระวังให้มากที่สุด ....

ตอนนี้ขาหมูสั่นๆ มา 2 - 3 วันติดกันแล้ว สั่นตลอดวันเลยค่ะ
แหม อยากปลอมตัว เป็นชื่ออื่น ไปถามพี่น้ำ นี่ก็ยังสั่นอยู่

walai lo says
ไหงงั้น ทำไมไม่เป็นตัวของตัวเอง ถามได้เลยตรงๆ อยากถาม อยากพูดอะไรแบบไหนพูดได้เลย อย่าไปทำแบบนั้น

says
ก็อยากรู้ว่าพี่น้ำจะบอกยังไงน่ะค่ะ เพราะพี่น้ำจะไม่บอกสภาวะ

walai lo says
ไม่หรอก พี่พูดตามสภาวะ แต่หมูคงไม่เข้าใจ
คำว่าบอกสภาวะ คือคำเรียกใช่ไหม

says
ไม่ใช่ค่ะ
คืออะไรก็ได้ ว่าทำไมมันถึงสั่น

walai lo says
สั่น ก็ให้รู้ว่าสั่น เดี๋ยวก็รู้เอง
อันนี้เรื่องจริงนะ พี่ไม่ใช่ไม่บอก พี่เคยจเอแบบเหมือนกล้ามเนื้อกระตุก เหมือนเวลาหางตาเขม่น แต่ไม่สงสัย เพราะมันคือสภาวะ
ที่ตอนนี้ไม่สงสัยอะไรเลย เพราะรู้แล้วว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพียงสภาวะ
ไม่ว่าหมูจะใช้ชื่ออะไรมาถามก็จะได้คำตอบนี้

says
ค่ะ ก็ไม่สำเร็จสักทีนะคะ
จะเอา ชื่ออะไรไปถาม มันจะ Error เสียเฉยๆ เปิดเวปอื่นได้ปกติ จริงๆนะคะ

walai lo says
อ้อ มีเหตุ

says
แต่ก็ดีค่ะ
แล้วก็ ดีที่ หลายครั้ง เวลาที่เล่นเน็ทเพลิน จะมีอะไรทำให้หยุดลแวมาเจริญสติ
เช่นเหมือนมีแมลงบินมากวน หรือว่า เน็ทเจ๊ง ก็พอดีดึกมากแล้ว เหลือเวลาพอทำ

walai lo says
นั่นแหละเหตุ

says
ต้องขอบคุณ เหตุ

ขอบคุณพี่น้ำมากค่ะ วันนี้ดึกมากแล้ว และก็ เป็นวันที่หมูมีความสุข ที่ได้คุยเรื่องการปฎิบัติ ส่วนเรื่องขออโหสิกรรมต่างๆนั้นหมูไม่รู้สึกว่าอะไรเลย แต่ถ้าพี่น้ำขอ หมูขอตอบเป็นพิธีว่าอโหสิค่ะ

walai lo says
นั่นแหละ จะได้ไม่มีวิบากต่อกัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2011, 23:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๒๘ สค.๕๔

says
วันนี้หอกลับหอก่อน มานอน เพราะเมื่อคืนเฝ้าไข้น้อง
น้องเข้า รพ. อีกค่ะ

walai lo says
ค่ะ
อย่าลืมแผ่เมตตาให้ครอบครัวนะคะ

นี่แหละเหตุ

says
ค่ะ ก็ช่วง 2 - 3เดือนนี้ น้องป่วยบ่อยค่ะ เปลืองมากกก

walai lo says
เข้าใค่ะ พี่ถึงบอกว่าเหตุไง ทุกข์
อดทนนะ แล้วจะผ่านทุกๆสภาวะไปไได้เอง ขอให้อดทน พี่เจอมาหมดแล้ว

says
หมูเข้าไปอ่านบล็อกพี่ย้อนหลัง

มันก็เห็น บางอย่างชัดขึ้น เช่นสภาวะแต่ก่อน ของพี่คล้ายๆกับหมู เรื่องสมาธิ แค่บางอย่างนะคะ

walai lo says
เรื่องปกตินะหมู

says
เช่นนั่งๆแล้วสัปหงก
ตอนนี้จะไม่เจอแบบนั้นแล้ว

walai lo says
สมาธิทั้งนั้นแหละ
เพียงแต่สติไม่ทัน
ถ้าสติทัน มันก็หาย

says
แต่มันก็ช่วยให้พักจิตได้ใช่ไหมคะ

walai lo says
จะบอกยังไงดีล่ะ
มันขึ้นอยู่กับระยะเวลาว่านานแค่ไหน
ถ้านาน จิตก็ได้พัก
ถ้าแค่สั้นๆ นั่นแค่สมาธิมากเกินสติ คือ แค่สัปหงกงึกงักธรรมดา นี่เป็นกำลังของสมาธิแรง มากเกินสติ

แต่ถ้าดิ่งหายไป รู้ตัวอีกทีคือหมดเวลา อันนี้จิตได้พัก
มันมีหลายแบบนะหมู
ต้องสังเกตุสภาวะ

says
อืมม ค่ะ หมูยังไม่ค่อยรู้จักสมาธิ รู้แค่ว่า เสียงใจเต้น ชีพจร ต่างๆ
ท้องขยับ
ตอนนี้จะนั่งแล้วเป็นแบบนี้มากกว่า

walai lo says
อันนี้คนละอย่าง ตัวนี้จะเกิดปัญญา
เกิดเนื่องจากการปรับอินทรีย์ สมาธิสมดุลย์กับสติ

พี่ถึงบอกไง ทำต่อเนื่อง สภาวะรู้ในกายและจิตจะชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าหนี้ก็ทวงหนี้หนักมากขึ้น

says
อ่อ
ชีวิตที่มั่นคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินหรืองานที่ทำอยู่ แม้กระทั่งความมั่นคงในฐานะต่างๆทางโลก

ความมั่นคงของชีวิตที่แท้จริง คือการเห็นตามความเป็นจริง และรู้ชัดในรูป,นาม

พออ่านแล้ว หมูยังรู้สึกตัวเอง ไม่มั่นคง เลยค่ะ แต่พออ่านแล้วก็ยังอุ่นใจ
ว่า ทำไปเรื่อยๆ คงหนักแน่นมากขึ้น

walai lo says
ใช่ค่ะ
แล้วต่อไป หมูจะเข้าใจและรู้ชัดในสภาวะของคำว่ามั่นคงที่พี่เขียนไว้

รอบๆตัวทุกข์ แต่ไม่ไปทุกข์กับรอบๆตัว มีแต่ทำตามหน้าที่ที่ต้องทำ
เรื่องเงินไม่ต้องไปห่วง

says
ไม่ต้องห่วงเหรอคะ

walai lo says
เพียงทำตามสภาวะให้ต่อเนื่อง แล้วทุกอย่างจะคลี่คลายลงไป

says
ค่ะพี่
เราอย่าไปคิดถึงอนาคตล่วงหน้า นะคะ

เพราะมันจะเปลี่ยนแปลงและมีทางออกของมันเอง ไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็มีทางของมัน
จะถูกใจหรือไม่ถูกใจ ก็ตามสิคะ

walai lo says
ใช่
จะรู้สึกชอบ,ชังให้แค่รู้ ยอมรับไป เพราะยังมีกิเลส
แล้วสภาวะจะจบลงไปเอง พี่ถึงบอกไง ไม่ต้องไปห่วงเรื่องเงิน ทุกอย่างจะดำเนินไปตามสภาวะ ตามเหตุปัจจัย

says
สิ่งที่คลี่คลายคือใจของเราไม่ใช่สภาวะข้างนอกใช่ไหมคะพี่

walai lo says
สภาวะภายนอกนี่แหละหมู
แต่หมูต้องทำใจให้หนักแน่น อดทน ไม่ต้องไปครุ่นคิดเรื่องเงิน มันจะมีทางออกเอง บททดสอบมีตลอดเวลา

says
ค่ะพี่น้ำ จะทำตาม ให้มากที่สุด ค่ะ
อ่านบันทึกพี่แล้วก็มีกำลังใจ พี่น้ำก็พยายาม มากๆ เลย
หมูก็เลยมีกำลังจใจที่จะ พยายามๆ บ้าง

walai lo says
ไม่งั้นพี่จะเข้าใจสภาวะของทุกๆคนได้ไงล่ะ
ผ่านมาหมดแล้ว
รูปแบบที่เจออาจจะแตกต่างกัน แค่ตัวบุคคล แต่สภภาวะน่ะไม่แตกต่างหรอก

เพราะไม่รู้จึงทุกข์
ทุกข์แต่ไม่รู้ว่าทุกข์

มาตอนนี้รู้หมดแล้วว่า ที่เจอๆมาน่ะทุกข์ทั้งนั้น แต่ตอนนั้นมองไม่ออก เพราะไม่มีใครพูดให้ฟัง
ยิ่งทำ เลยยิ่งทุกข์
เพราะคิดดดิ้นรน คิดแก้ไข การใช้หนี้ จะมาทุกรูปแบบ

says
คนที่เรียนรู้จากพี่เลยได้ทางลัด

walai lo says
เรียกทางตรงนะหมู คือ เดินตรงทาง ไม่ต้องอ้อม
รู้ว่าควรทำอย่างไร เมื่อเจอสภาวะต่างๆ แล้วสภาวะต่างๆที่เจอน่ะคืออะไร รู้แล้ว ทางก็สั้นลง
รู้แล้ว ต้องทำ ไม่ใช่รู้แล้วไม่ทำ

มันจะมีแต่เหตุแล้วก็เหตุ
เมื่อก่อนพี่ทุกข์มากๆ เพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

โดนด่ามาได้แต่เจ็บใจ เพราะด่าเขาไม่เป็น
นั่งฟังเขามายืนด่าที่หน้าบ้านเป็นชม. ทั้งๆที่ไม่ได้ทำ หลายๆเรื่องนะ เจอมาเยอะ

says
โห เป็นหมูแหลก

walai lo says
พี่ด่าไม่เป็น ถ้าเป็น สงสัยคงเอาด้วย

says
ดีนะคะ ค่ะดีที่พี่ด่าไม่เป็นเลยไม่ได้ตอบโต้

walai lo says
เหตุไงหมู เหตุของพี่ สร้างมา เลยทำให้ด่าใครไม่เป็น
ถ้าตอบโต้ สภาวะคงไม่เข้าที่เข้าทาง

ดูคุณเก๊ะเป็นตัวอย่าง เจ้าของร้านเกมส์
ยอมทุกอย่าง พอรู้แล้วยอมหมด

น้ำตาตก ผู้ชายนะ
พี่เป็นผู้หญิง เรื่องน้ำตาตกเป็นเรื่องปกติ ผู้ชายน้อยคนนักที่จะมาพูดให้ฟัง

says
ค่ะพี่ เข้าใจค่ะ ว่าต้องทนมากๆเลย

walai lo says
ใช่ค่ะ

says
หมูก็ต้องพยายาม ต่อไป ก็ระหว่างวันก็พยายามอยู่ค่ะ เวลาพลาดทีก็ระวังมากขึ้น

walai lo says
นั่นแหละ สติไม่ทัน ต้องเพิ่มความระวัง

จะถามว่า ที่โซฟา หมูนั่งแล้วหลับใช่ไหม

says
ค่ะ หลับค่ะ

walai lo says
ทั้งๆที่เดินก่อนน่ะเหรอ

says
แต่จะสั้นๆ แล้วรู้ตัวค่ะ

walai lo says
อ๋อ
งั้นปกติ สภาวะจะเป็นแบบนั้น นั่นน่ะจิตจะได้พักเป็นระยะๆ เอาไว้สำหรับเวลาเหนื่อย เพลีย หรือท้อนะหมู ช่วยได้เยอะ พักแล้วจิตจะสดชื่น พอจิตสดชื่น ค่อยเริ่มทำอีกรอบ

says
ค่ะพี่น้ำ

walai lo says
นึกว่าหลับสนิทแบบเบิ้ม เจ้านั้นหลับสนิท

says
ไม่นะคะ ของหมูไม่เคยหลับสนิท มันจะหลับ แล้วก็มารู้สึกตัว พอรู้สึกตัว มันก็ไม่ได้ เบลอ เหมือน มีสติ

walai lo says
เข้าใจค่ะ
สภาวะหมูเหมือนของพี่เวลาที่นั่งโซฟา พี่ก็เป็นแบบนั้น พี่เอาไว้เวลาต้องการพักจิต ช่วยได้เยอะ

says
กับอีกแบบคือ ง่วงไปเลย ง่วงแรกตอนนั่ง แล้วก็รู้สึกเพลียๆอยากหลับตานิ่งๆท่าเดียว เวลา อุทิศส่วนกุศลอยู่ดีๆก็นิ่งไปเลย ก็เงียบไปเมื่อไรไม่รู้ตัว
แบบนั้นค่ะ

walai lo says
ค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2011, 23:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๓๐ สค.

says สมมติว่า มีหนี้ อยู่ 4 หมื่น มีเงินออม 5 หมืน พี่น้ำจะเอาเงินออมไปปิดหนี้ให้หมดไหมคะ
walai lo says ไม่ค่ะ ต้องดูก่อน ดูว่า ให้หมดแล้วเดือดร้อนไหม ถ้าไม่เดือดร้อนจะให้หมด ต้องมีเงินสำรองติดไว้บ้าง

.com says ค่ะพี่ พอดีมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน บ่อยมาก ช่วงนี้ จนควบคุมค่าใช้จ่ายลำบาก จะมาจาก เครื่องใช้ที่บ้านเสีย น้องป่วย หรือต้องช่วยแม่ แนวนั้นค่ะ ก็เลยมาทบทวนเรื่องเงินอย่างเคร่งครัดว่าบริหารยังไงดี ให้ไม่ประมาท คือโชคดี ที่ตอนเดินจงกรมมีพักหนึง ที่มันคิดเรื่องการเก็บเงิน
walai lo says รู้ไหมปัญญาเกิดขึ้นได้ยังไง

says ก็ เกิดจาก การตัดพิจารณาโดยการพิจารณา โดยไม่เอาอารมณ์มาเกี่ยวไหมคะ
walai lo says ใช่ค่ะ

says เย้ โห เพิ่งตอบถูก
walai lo says เห็นไหม รู้ด้วยตัวเองจะไม่ขัดข้อง

says รู้จักพี่น้ำมาพักใหญ่ ดีใจชะมัดเลยค่ะ
walai lo says เข้าใจค่ะ นี่แหละผลของการเจริญสติ เวลาเดินจงกรมหรือนั่งก็ตาม สังเกตุสิ ความคิดที่เกิดขึ้น มันจะคิดแต่เรื่องของตัวเอง เรื่องที่เกิดขึ้นเดิมๆซ้ำๆ

says ใช่ค่ะพี่ เดิมๆ
walai lo says วนไปวนมา แต่ไม่รำคาญ

says ไม่รำคาญค่ะ
walai lo says มันจะเห็นรายละเอียดของช่องโหว่ที่เรามองไม่เห็น คือจะเห็นแบบหยาบๆก่อน จากหยาบๆ ละเอียดมากขึ้น ตัวปัญญาเกิดเพราะเหคุนี้ นี่แหละคือการทบทวนสภาวะ

สภาวะคือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา อะไรที่ยังคิดไม่ออก มองไม่เห็น จิตมันจะติดๆวนๆอย่างนั้น เริ่มเข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมความคิดเกิดแล้วไม่รำคาญ

says ค่ะ คือเข้าใจเรื่องสภาวะมากขึ้น มากกว่า เรื่องทำไมไม่รำคาญค่ะ สภาวะ ก็ไม่ใช่อะไรเลย มันคือ วิบากของเรา เริ่มจากรู้ก่อนว่าเรามี เส้นทางชีวิตอย่างไร ทุกข์ เกิดจากอะไร ปัญหาอะไร

จากนั้น ก็ค่อย มองสภาวะ ในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ไม่ใช่ แค่มองว่ามันเป็นปัญหา มองเห็นถึง รูปแบบกราฟของมัน แล้วก็ค่อยๆ มองเห็นวิธีจัดการกับมัน แต่ตรงนี้หมุจะยังไม่ชัด มาก หมูจะชัดอยู่ช่วง ที่ สองคือเห็นกราฟของมันค่ะ

ส่วนที่ 3 คือได้จากคำแนะนำของพี่น้ำช่วยไว้ และเห็นรางๆบางเรื่องค่ะ
walai lo says เห็นด้วยตัวเองแล้วจะชัดแจ้งกว่า เพียงแต่อาศัยมองเรื่องของพี่ที่ผ่านมาแล้วเป็นไกค์นำทาง

says วันนี้ วันนี้ พี่สาวโทรมาอีกแล้วว่าแม่ร้องไห้ เรื่องเดิมๆ คือ น้อง
walai lo says วิบากของแม่เขา ทำได้แค่วาง แล้วแผ่เมตตา กรวดน้ำ

says ค่ะ ครั้งนี้ ไม่เกลียดน้อง มัน ปลง ขึ้นค่ะ
walai lo says ดีแล้วที่ไม่เกลียดน้อง หมูเป็นเพียงแค่มีเหตุร่วม แต่วิบากโดยตรงคือแม่กับน้อง ผลัดกันทำร้ายกันมาหลายชาติเพราะความไม่รู้

says ค่ะ ช่วงนี้เรื่องน้องกะแม่ มาทดสอบติดๆกัน เลยค่ะ แต่มาแบบทางโทรศัพท์ ไม่ปะทะตรงๆ
walai lo says พี่ถึงบอกไง วันใดรู้ชัดเจน รู้แจ้งในเรื่องเหตุและผล จะมีแต่การให้อภัยและเมตตา ต่อให้คนๆนั้นทำร้ายหรือร้ายกับเราแบบสุดๆ เพราะรู้แล้วหยุดได้ หยุดตัวเอง ส่วนผู้ที่ไม่รู้เขาไม่หยุด

นี่แหละเหตุ เราจบแล้ว แต่เหตุที่เขาทำกับเรา จะมีคนที่มีวิบากร่วมกับเขามาสร้างเหตุให้คนๆนั้นรับผลแทน เป็นวงกลม เราตัดได้แค่ห่วงโซ่ของเรา แล้วห่วงโซ่จะติดขึ้นมาใหม่ แต่เป็นของคนอื่นกับคนอื่นๆตามเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน จนกว่าใครจะตัดห่วงโซ่ของตัวเองออกได้

says พี่คะ เรื่องที่ทำผิดพลาดไป หนักๆ เช่นการทำแท้ง บางคนพยายามที่จะลืมเรื่องนั้นไม่ยอมนำมาคิดไม่แม้แต่จะอุทิศกุศลให้กับเด็กที่ทำแท้งไป เพราะเขากลัว จิตเศร้าหมอง เพราะเขาอ่านหนังสือว่า ไม่ควรคิดถึงสิ่งผิดพลาดเพราะทำให้ใจเศร้าหมองและจะไปสู่อบายตอนตาย แต่หมูแนะนำเขาว่าให้เขาอุทิศให้เด็ก เหล่านั้น รอยดำในใจ จากดำ เมื่อเขายอมรับแล้ว มันจะเทาขึ้นเรื่อยๆ
walai lo says เหตุไง ถ้าเขามีเหตุร่วมกับหมู ย่อมเชื่อ แต่ถ้าไม่มีเหตุมาร่วมกัน ย่อมไม่เชื่อ

says ค่ะ จริงๆแล้วการที่เรายอมรับ แล้วเราเราอุทิศทำให้ จิตเราไม่กังวลและติดข้องอยู่กับสิ่งนั้น และจะปลดปล่อยเรา จากความทุกข์เนื่องจากความรู้สึกผิด ส่วนผลย่อมต้องได้รับอยู่แล้วหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่เราจะมีสติเมื่อเราคิดถึงสิ่งนั้นไม่ไปกังวลเพราะเราเกิดปัญญาต่อสิ่งนั้นว่ามันคืออะไร นั่นต่างหากที่เมื่อเราเผชิญหน้ากับสิ่งนั้น ณ ตอนจะดับจิต เราจะไม่ไปอบาย
walai lo says เหมือนดาบสองคม เข้าใจป่ะ

says ถ้าสติเราแข็งกล้า ก็ไม่ไปอบาย แต่ถ้าสติเรา ไม่พอ ก็ไป เพราะชั่วพริบตาจิตก็เกิดโทสะได้
walai lo says เอาอะไรมาวัดล่ะ

says เพราะสติเราก็ไม่เที่ยง ใช่ไหมคะ
walai lo says ใช่ค่ะ ที่ไม่เที่ยง พราะจิตตั้งมั่นไม่มากพอ จิตยังไม่เข้มแข็งพอ สติที่ยังต้องมีความพยามทำให้เกิด ล้วนไม่เที่ยง

พี่ถึงบอกไง เหมือนดาบสองคม คิดแบบนั้นน่ะ คือ คิดแบบนั้นอาจะทำให้ทำผิดเดิมๆซ้ำๆได้ กับคิดแบบนั้น แล้วเข็ด ไม่ทำอีก กิเลสไง

says อ่อ เราไม่ทำอีกไงคะ
walai lo says รู้ได้ไงคะ หมายถึงคนอื่น ชีวิตทุกคนนะ อยู่ที่ว่า ใครจะพูดความจริง

says ทำไมเหรอคะ
walai lo says ถ้ายังไม่ยอมรับความจริงในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ได้ ใครๆก็ช่วยไม่ได้หรอก ทุกคนต้องช่วยตัวเอง พี่เป็นแค่แนะทางให้ ถ้าไม่ทำเอง ช่วยไม่ได้

พี่เข้าใจทุกคน ทุกคนอยากเป็นคนดี ทุกคนอยากมีความรักมีครอบครัวที่ดี แต่เหตุไงล่ะ โทษของความไม่รู้ ผลมันเลยต้องเป็นแบบนั้น เคยทำเขา เขาจึงมาทำเรา ทิ้งเขา เขาก็ทิ้งเรา มันไม่จบ

says มาให้เราชดใช้
walai lo says ใช่ค่ะ ขอบคุณการเจริญสติ ขอบคุณเจ้าหนี้ นี่แหละเหตุ ไม่มาเจริญสติไม่รู้หรอก

says ใช่ค่ะ ตอนนี้ก็พยายามมสร้างเหตุดีค่ะ ระวัง ทุกวัน มีวิบากเรื่องคำพูด
walai lo says เข้าใจค่ะ เหตุสร้างมา

says ค่ะ แต่มันจะต้องน้อยลงแน่ถ้าหมูพยายามต่อไป
walai lo says เมื่อก่อนพี่เป็น มีวิบากเรื่องคำพูดด เหตุน่ะ สภาวะจะทำให้คำพูดสะอาดมากขึ้น มันจะมีเหตุให้เป็นไปแบบนั้น ศิลจะสะอาดขึ้นเอง เพราะสภาวะบีบบังคับ

says ความผิดพลาดคคือเหตุ ให้เราเห็นสินะคะ
walai lo says ใช่ค่ะ โดนย้อนกลับไง เข็ด เลยกลายเป็นระวังไปโดยอัตโนมัติ

says ค่ะ หมูจะนำเรื่อง การบริหารเงิน ไปจัดการ ตัวเอง ต่อ ค่ะ สำหรับวันนี้ขอบคุณพี่น้ำที่ให้คำแนะนำและความกระจ่างหลายเรื่องนะคะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ต.ค. 2011, 00:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๗ กย ความทุกข์ ทำให้เกิดความเพียร

says 45/15 ค่ะ

เดินก็รู้เท้าไปด้วยฟังธรรมไปด้วย ก็มีความอยากค่ะ มันทบทวนว่าทำอะไรพลาดไปบ้างที่สติไม่ทัน ก็เลยทุกข์

มันคิดถึงผลที่จะตามมา และอยากจะให้มีสติมากกว่านี้ แล้วก็ จากนั้นมันก็คิดเรื่องงานค่ะ ก็จะฟุ้งๆ ยุ่งๆข้างในจิต แต่ก็ยังรู้การที่เท้าก้าวค่ะ

พอมานั่งก็รู้การหายใจกะ ท้องขยับแผ่วๆค่ะ จิตก็ยังคิดเรื่องงานไม่เลิกค่ะ มันคิดว่าจะแก้ไขยังไงดี แล้วก็รู้ท้องกับการหายใจไปด้วยค่ะว่ากำลังหายใจเข้าออกอยู่

แล้วมันก็คิดเรื่องงานออกว่าควรทำแบบนี้ค่ะ แล้วก็คิดเรื่องงานไปเรื่อยๆ รู้การหายใจหรือท้องคลอไปเรื่อยๆจนหมดเวลาค่ะ

พี่น้ำค่ะ ตอนพี่น้ำ เริ่มพี่น้ำ เสียทีกิเลส บ่อยแค่ไหนคะ กว่าจะ หยุดตัวเองทันน่ะค่ะ

walai lo says นานนะคะ กว่าจะรู้แต่ละอย่างน่ะ บางสภาวะเป็นปี คือ ผิดพลาดก่อน เสียเงินเสียทองไปก็มี

says ค่ะ หมูก็โมโหตัวเอง บ่อยๆ น่ะค่ะ ว่าทั้งๆที่รู้แต่ก็พลาด มันผ่านไปแล้วหรือพูดอยู่แล้ว สำนึกได้ว่ากำลังทำผิด

walai lo says เข้าใค่ะ พลาดบ่อยๆ จะเข็ดเองค่ะ เพราะเจอย้อนกลับ

says ค่ะพี่ 20/15 ค่ะพี่
ก็รู้เท้าด้วย ฟังธรรมด้วย ก็ยังคิดเรื่องทำไงให้สติเยอะขึ้นค่ะ ว่างต้องเพิ่ม การเจริญสติให้มากขึ้น

แล้วก็พอมานั่งก็ นั่งรู้การหายใจไป สักพักมันก็น่าจะขาดสติมังคะ คือมันไม่ชัดเจน แต่ก็กลับมารู้จิตได้อีก มันก็แนวนี้ค่ะ หลงไปอะไรไม่รู้แล้วมารู้อีก

walai lo says รู้แล้วอยาก พยามทำเพื่อจะหยุด ดีกว่าไม่รู้แล้วยังคงหลงสร้างเหตุไปเรื่อยๆนะ ทุกข์เพราะอยาก เมื่อยังมีความอยากก็ยอมรับไป

รู้สึกอย่างไรยอมรับไป ใจจะเบาลงไปเอง พี่เจอมาเยอะ เข้าใจความรู้สึกของหมูดี ในเรื่องต้องการมีสติเยอะๆ

says พี่น้ำก็เคยเหรอคะ

walai lo says อ้าว ไม่เคยแล้วจะเข้าใจสภาวะที่คนเข้ามาหาพี่ได้ไงล่ะ ต้องผ่านมาก่อนถึงจะเข้าใจ ไม่งั้นก็เป็นคนตาบอดจูงมือคนตาบอดน่ะสิ

says ค่ะพี่ ก็พยายาม บางทีมันไม่ได้ดังใจ ทีนี้พอเราตั้งเป้า ว่าวันนี้ชั้นจะต่องไม่ก่อเหตุ เอาแล้ว มันมาแล้วเรา ลืมตัว มาจากทิศ โน่น นี้ ไม่ทันนึกระวัง
มันก็เลยคิดถึงเรื่องว่าจะทำไงดี หนอ ให้มันรอบคอบมากขึ้น คงต้องหาวิธีการ เพิ่มความระวังให้มากขึ้น เพราะกลัวผล

walai lo says หาวิธีการอะไรหรือ

says ก็เช่น ช่วงพัก ก็มานั่งกำหนดลม หรือมีเวลาเมื่อไร ก็พยายามเจริญสติ แบบนี้น่ะค่ะ ก็วิธีการเดิมที่ทำอยู่แต่ ว่าทำให้มากขึ้น ไม่ให้ทิ้งห่าง นานนักน่ะค่ะ

walai lo says ค่ะ ทุกอย่างมีเหตุ สภาวะบีบคั้น เข้าใจนะ ต้องเป็นเอง แล้วจะเข้าใจ เป็นเหตุให้รู้ว่าผ่านสภาวะต่างๆมาได้ยังไง ทำไปค่ะ

says
ค่ะพี่ หมูจะลองทำดูก่อน แล้วสังเกตว่า เป็นยังไง หยุดตัวเองได้มากขึ้นไหม

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 43 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร