วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 00:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 119 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



เอกอน สบายดีค่ะ เหมี๊ยวววว....:b3:

เรื่องแสงแว๊บ ๆ อืมมมม
เป็นองศาของลูกกะตา ค่ะ :b12: ใจสงบ ๆ นิ่ง ๆ สังเกตนะคะ
กาย กับ ใจ
ทุก ๆ การผ่อนคลายของใจ กายก็จะผ่อนคลายด้วย
ทุก ๆ การผ่อนคลายของกาย ใจก็จะผ่อนคลายด้วย
ค่ะ...
คือ เอกอนไม่รู้ เพราะเริ่มต้นเอกอนก็ไร้รูปแบบค่ะ
จำได้แค่ว่า ตามลมหายใจ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามดูค่ะ
ก็เวลาดู ก็ดูลม ซึ่งดูจะเป็นเรื่องที่ง่าย
ตรงที่ ลม กับ กาย จะค่อนข้างเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันค่ะ
ลมกระด้าง ร่างกายก็เกร็ง กระด้าง ใจก็ไม่นิ่ง
ลมอ่อน เรียบ นุ่ม ลึก กาย ใจ ก็จะเป็นไปในทางเดียวกัน
และเมื่อถึงที่สุดแล้ว เมื่อลมหายใจหาย
เราก็จะเห็นสิ่งที่ฟุ้งอยู่ในความคิดเด่นชัด
และในที่สุด มันก็หยุดฟุ้ง เราก็จะเห็นทุกอย่างราบเรียบเสมอกัน
ก็จะ รู้อยู่เด่นชัด พอรู้หนึ่งเกิด เดียวสักพักมันก็ดับ

เรื่องแสง...เอกอนก็เคยค่ะ แต่จริง ๆ ทุกครั้งที่เกิดนิมิต
เอกอนจะพิจารณา กายร่วมด้วย เพราะ
เคยบ้างที่ สภาพร่างกายอ่อนแอ เวลานั่งสมาธิเอกอนจะเห็นนิมิตได้ง่าย
และลางสังหรณ์ในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ ก็จะมีความชัดเจนกว่าตอนแข็งแรง

แต่ช่วงที่ร่างกายแข็งแรง ไม่มีอาการอ่อนเพลียเนื่องจากงานหรืออะไร
เอกอนจะ ไม่เห็นอะไรเลย

เอกอนก็เลยค่อนข้างมอง นิมิต ในสมาธิเป็นสิ่งที่ ต้องวางไว้ค่ะ

คือก็มีบ้างที่นิมิตจะ มีการอ้างอิงกับความรู้ทางธรรม หรือความรู้ที่พิเศษ
แต่ ก็ไม่มีอะไรค่ะ
เพราะ เอกอนเคยเปิดเทปคลอไปขณะนั่งสมาธิ และเอกอนก็นิมิตเห็นพระรูปนั้น

เรื่องการนั่งสมาธิแล้วนิมิตเห็นภาพทุ่งหญ้า และ เรารู้สึกโปร่งโล่งเหมือนยืนอยู่กลางทุ่งหญ้า

ก็สังเกตตนเองนิดนึงค่ะ ว่าช่วงนั้น ภาระกิจในแต่ละวันทำให้เราเรารู้สึกกดดันเหนื่อยล้า รึเปล่า
และความต้องการทั้งกายและใจของเรานั้น ต้องการความรู้สึกที่คลาย
ผ่อนคลาย เปิดโล่งหรือไม่

คือ เอกอนก็สังเกตอยู่อย่าง ว่าบางครั้งสภาพแห่งขันธ์
เหมือนกะว่ามันมีความชาญฉลาดในการเยียวยาตัวเอง...ค่ะ
เมื่อกายผ่อนคลาย ใจผ่อนคลาย มันจะบำบัดตัวเองค่ะ...
และการบำบัดนั้น บางครั้งมันจะระบายออกมาเป็นความฟุ้ง...

มันจะมีลักษณะแว๊บ ๆ บาง...
เห็นเป็นภาพไปต่าง ๆ นานา ได้บาง
แต่ถ้าหากว่าใครที่ทรงตัวในนิมิตได้ดี
ก็จะทำให้เห็นเป็นเรื่องราว ได้

ซึ่งเอกอนก็มีบ้าง แต่ก็สังเกตการเกิดทุกครั้ง
และเมื่อก่อนเข้าสมาธิ และออกมาจากสมาธิ จะพิจารณา
คือ สรุปแล้ว ลำพังสมาธินั้น มันก็จะให้ผลที่เด่นไปในแง่หนึ่ง
ลำพังสติ มันก็จะให้ผลเด่นไปในอีกแง่หนึ่ง
ซึ่งเอกอนจะไม่เน้นว่า ตนเห็นอะไร รู้อะไร
แต่จะพิจารณา ความเป็นเหตุ เป็นผล เป็นปัจจัยของสภาวะต่าง ๆ
คือ มันมีผลหลายแง่
ผลในแง่ บำบัด
ผลในแง่ ความรู้ความเข้าใจในขันธ์
ผลในแง่ ที่จะนำไปสู่ความลึกลับ...

ซึ่งเอกอน ก็เห็นทั้งสามแง่ แต่เอกอนเลือกที่จะใส่น้ำหนักลงไปในหนทาง
ในแง่ของการบำบัด และ การเห็นการทำงานของขันธ์
ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่คาบลูกคาบดอก จะไม่เข้าไปกวนมันให้ฟุ้ง...

คือ เอกอนปฏิบัติตามมีตามเกิด และเอกอนกลัวศรีธัญญา นั่นคือเอกอนกลัวจริง ๆ
อิ อิ ก็เอกอนเป็นคนเปิ่น ๆ เฉิ่ม ๆ ติดตลก ๆ
ก็เพราะในวันที่เอกอนกลัว เอกอนกลัวจริง ๆ และมันไม่รู้จะทำยังไง
ก็ต้อง แหะ แหะ ยิ้มสู้ไว้ก่อน ทำหน้าทะเล่น หน้ามึนไว้ก่อน อิ อิ

มันก็เลยอาจจะเป็นเทคนิคหนึ่งที่ เอกอนมักจะได้ยินท่านเช่นนั้น...
ท่านมหาราชันย์ นำมาพูดอยู่เสมอ
คือ การยังจิตใจให้ร่าเริง การยังจิตใจให้เบิกบาน อิ อิ

ไม่รู้จิ ทุกคนมักจะนำธรรมมาถกกัน จริง ๆ เอกอนถกไม่เก่งก็นั่งมอง
แต่...ในการนั่งมอง....เอกอนจะเห็นทัศนะที่ดีที่เด่นในแต่ละคน...
อิ อิ ยังคิดอยู่ว่า นึกแล้วน่าจะจับแต่ละท่านมาผ่าตัด แล้ว นำมาประกอบชิ้นส่วนใหม่
อิ อิ :b9:

ชีวิตเอกอนก็มีเรื่อง ทุกข์ใจ ค่ะ แต่จริง ๆ นะ
ในทุก ๆ ขณะ มันไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้ หรือ มันไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว
เพราะ สิ่งที่ดีกว่านี้หรือเลวร้ายกว่านี้ถ้ามันยังมาไม่ถึง มันก็เป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว...
นี่คือ คติที่เอกอนใช้เตือนสติตัวเอง
เมื่อเราต้องก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากต่อการจะก้าวเดินออกไป...
คติอะไรก็ได้ ที่ทำให้ใจเรานั้น เด็ดเดี่ยวพุ่งลงสู่ปัจจุบัน

อย่าเชื่อเอกอนมากนักนะ เอกอนไม่ใช่ผู้ชำนาญค่ะ

ก็คงต้องรอผู้ที่มีความรู้ทางธรรม ช่วยมาชี้แนะ ออกความเห็น
เพราะถ้าปล่อยให้เอกอนพูด น่าจะเรียกว่า พร่ามไปเรื่อยมากกว่า อิ อิ
...
ก็ให้กำลังใจกับเพื่อน ๆ ทุก ๆ คนเสมอ...
...
อิ อิ

แบบว่า ต้องปากหวานเอาไว้ เพราะกลัวโดนเพื่อนทิ้ง...อิ อิ :b3:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




avatar98249_1.gif
avatar98249_1.gif [ 47.05 KiB | เปิดดู 3982 ครั้ง ]
http://www.naronk.org/smf/listen.php?id ... D%E9%CD%B9

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 17:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
murano เขียน...

อ้อ ในขณะที่เรามองความว่างอยู่ ก็อาจเห็นภาพคนมอง เข้าใจคำว่า มอง นะ ก็ไม่ต้องตกใจ เป็นธรรมดา เขาก็มาดูคนฝึกจิตน่ะ


อีกประเด็นหนึ่งถาม murano ที่คุณพูดว่า เขาก็มาดูคนฝึกจิตน่ะ เขานี่ใครครับ มาแอบดู (มอง) ต้นไม้แก่ ฝึกจิต :b10: :b14:



ถาม murano ว่าใครกันนะแอบมอง (เยี่ยมๆมองๆ) ต้นไม้แก่ ฝึกจิต รอคำตอบก็เงียบไป

ใครครับใครกันมาแอบมอง :b1: จะให้ ต้นไม้แก่ เอาหนังติ๊กยิงลูกกะตาสะหน่อย :b32: :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 23 ส.ค. 2010, 17:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 18:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เอกอนปฏิบัติตามมีตามเกิด และเอกอนกลัว ศรีธัญญา นั่นคือเอกอนกลัวจริง ๆ


ไบกอน เคยฟังเพลงนิทานอีสปเรื่องกระต่ายกับเต่าวิ่งแข่งกันไหมครับ ฟัง :b12: เห็นภาพเลย

จุด start ที่เชียงใหม่ เส้นชัยอยู่ฝั่งธน...วิ่งเรื่อยๆมาผ่านจังหวัดต่างๆ...ที่น่าสนใจคือผ่าน ศรีธัญญา

แล้วก็มาถึงหลังคาแดง แถวๆฝั่งธน :b9: :b6:


หาพบพอดี ลองฟังดูดิ

http://www.phrapiyaroj.com/dhammusic/page5.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 23 ส.ค. 2010, 18:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2010, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อิ อิ ยังมีแซวววว :b15:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 13:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ ท่านกรัชกาย คุณmurano และคุณเอกอน
ไม่รู้จะเขียนประโยคยาวๆ ด้วยความซึ้งใจอย่างไรนะคะ คงเขียนได้เพียงขอบคุณนะคะ
ต่อไปถ้าเกิดสภาวะอะไรขึ้นต้นไม้แก่ก็จะพิจารณากายร่วมด้วยอย่างที่แนะนำนะคะ ส่วนทัศนะเรื่องนิมิตในสมาธิเป็นสิ่งที่ต้องวางไว้ เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ต้นไม้แก่เองไม่ว่าเกิดนิมิตอะไรขึ้นในปัจจุบันก็ไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นอะไรกับมันเลย มันมาให้ดูก็ดูไป มันไม่มาให้ดูก็ไม่เป็นไร และกำหนดตามสภาวะนั้นๆ ไปตามที่ครูบาอาจารย์แถวนี้ท่านสอนไว้น่ะค่ะ ท่านไม่ให้อ้างชื่อ ขอประทานโทษนะคะเรื่องชื่อที่เขียนผิดไปน่ะค่ะความหมายเลยไปอีกเรื่องหนึ่งเลยนะคะกราบขอโทษค่ะ แฮ่ะ! แฮ่ะ! เรื่องศรีธัญญาสงสัยต้นไม้แก่ได้ไปก่อนเพื่อนน่ะค่ะ วันนี้ก็ตั้งใจจะอ่านเอาความรู้ที่ลงไว้ให้น่ะค่ะขอบพระคุณอีกครั้งนะคะ
23 ส.ค. 53
22.58-23.18 น. ตั้งใจเดินจงกรมให้ได้ 20 นาทีพอดี และตั้งใจจะนั่งสมาธิอีก 20 นาที จึงรอจน
23.20 น. นั่งสมาธิกำหนดดูลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวก็ได้ความสงบเช่นเดิมค่ะ ออกจากสมาธิ เวลา 23.40 น. พอดีค่ะ 24.00 น. เข้านอนไม่ปรากฎอะไรค่ะ
วันนี้สงสัยต้นไม้แก่คงอยู่กับความซึ้งใจทั้งวันค่ะ ขอบคุณนะคะ
ต้นไม้แก่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2010, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิตมีแต่กายกับใจเท่านั้น เพราะธรรมชาติธรรมดามันมีเท่านี้ ถึงมันจะมีเท่านี้ แต่เรายังไม่รู้ความเป็นเช่นนั้นของมัน จึงมาทำกรรมฐานเพื่อให้เห็นความเป็นธรรมดาของมัน ดังนั้น ภาคปฏิบัติก็ไม่มีอะไรมาก คือ ตามดูรู้ทันกาย ตามดูรู้ทันความคิด ไปเรื่อยๆ เป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร ทั้งทางกายทางใจกำหนดอย่างนั้น ตามเป็นจริงหรือตามที่มันเป็น เอวัง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2010, 10:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




00029_10.gif
00029_10.gif [ 20.8 KiB | เปิดดู 3875 ครั้ง ]
กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (สํ.สฬ.18/217/166) เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้นการ

ศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า “คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น” และโยนิโสมนสิการ

ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า “ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้เห็นว่าธรรมะอยู่ไม่ไกลตัว จึงลงหลักการนี้ให้อ่านกัน วันนี้ไม่เข้าใจ

วันต่อๆไปคงเข้าใจ



“ภิกษุทั้งหลาย ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ มี 2 ประการดังนี้ คือ ปรโตโฆสะ และ

โยนิโสมนสิการ”

-ปรโตโฆสะ = เสียงของผู้อื่น การกระตุ้นหรือชักจูงจากภายนอก เช่น การสั่งสอน แนะนำ การถ่าย

ทอด การโฆษณา คำบอกเล่า ข่าวสาร ข้อเขียน คำชี้แจง อธิบาย การเรียนรู้จากผู้อื่น ในที่นี้

หมายเอาเฉพาะส่วนที่ดีงามถูกต้อง เฉพาะอย่างยิ่งการรับฟังธรรม ความรู้ หรือคำแนะนำจากบุคคลที่

เป็นกัลยาณมิตร.

ข้อนี้เป็นองค์ประกอบฝ่ายภายนอก ได้แก่ปัจจัยทางสังคม อาจเรียกสั้นๆว่าวิธีการแห่งศรัทธา


ปรโตโฆสะ หรือ เสียงจากผู้อื่น ที่จะให้เกิดสัมมาทิฏฐิได้ ก็คือ เสียงที่ดีงาม เสียงที่ถูกต้อง เสียงที่

บอกกล่าวชี้แจงความจริง มีเหตุผล เป็นประโยชน์ เฉพาะอย่างยิ่งที่เกิดจากความรักความปรารถนาดี

เสียงดีงามถูกต้องเช่นนี้ เกิดจากแหล่งที่ดี คือคนดี คนมีปัญญา คนมีคุณธรรม คนเช่นนี้ทาง

ธรรมเรียกว่า สัตบุรุษบ้าง บัณฑิตบ้าง ถ้าคนดีคือสัตบุรุษ หรือ บัณฑิตนี้ ไปทำหน้าที่ช่วยเหลือ

แนะนำ สั่งสอนชักนำสัมมาทิฏฐิให้แก่ผู้อื่น ก็เรียกว่าเขาทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร

แต่บุคคลผู้แสวงหาสัมมาทิฏฐิ ไม่จำเป็นต้องรอให้สัตบุรุษหรือบัณฑิตมาหาตน ตรงข้าม เขาย่อม

กระตือรือร้นที่จะไปหา ไปปรึกษา ไปสดับฟัง ไปของคำแนะนำชี้แจงสั่งสอน เข้าร่วมอยู่ใกล้

ตลอดจนศึกษาแบบอย่างแนวทางจากบัณฑิตหรือสัตบุรุษนั้นเอง การกระทำของเขาอย่างนี้เรียกว่า

การเสวนาสัตบุรุษ

แต่ไม่ว่าสัตบุรุษจะมาทำหน้าที่ให้ หรือบุคคลนั้นจะไปคบหาสัตบุรุษเองก็ตาม ในเมื่อมีการยอมรับหรือ

อิทธิพลต่อกันเกิดขึ้นแล้ว ก็เรียกว่าเขามีกัลยาณมิตร และเรียกภาวะนี้ว่า กัลยาณมิตตตา แปลว่า

ความมีกัลยาณมิตร.

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 26 ส.ค. 2010, 09:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โยนิโสมนสิการ = การทำในใจโดยแยบคาย คือ การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น

หรือคิดอย่างมีระเบียบ หมายถึง การรู้จักมอง รู้จักพิจารณาสิ่งทั้งหลาย โดยมองตามที่สิ่งนั้นๆมันเป็น

ของมัน และโดยวิธีคิดหาเหตุผล สืบค้นถึงต้นเค้า สืบสาวให้ตลอดสาย แยกแยะสิ่งนั้นๆ หรือปัญหา

นั้นๆออก ให้เห็นตามสภาวะ และตามความสัมพันธ์สืบทอดแห่งเหตุปัจจัย โดยไม่เอาความรู้สึก

ด้วยตัณหาอุปาทานของตนเข้าจับ

ข้อนี้ เป็นองค์ประกอบฝ่ายภายใน ได้แก่ปัจจัยภายในตัวบุคคลเอง อาจเรียกสั้นๆว่า วิธีการแห่งปัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 12:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะท่านกรัชกาย และคุณออเรกอน
กราบขอบพระคุณท่านกรัชกายในเรื่องปรโตโฆสะ และ โยนิโสมนสิการ อย่างยิ่งค่ะ วันก่อนคุยกับคุณเอกอนแล้วกลับมานั่งคิดว่าตัวเองปฎิบติธรรมมาครบ 1 ปีนี้เกิดประโยชน์อะไรกับตัวเองบ้าง ก็ได้คำตอบคือ
1. ตัวเองมีความสุขมากขึ้น ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน ทำงาน รู้สึกความสุขมันลอยวนอยู่รอบๆ ตัว จิตอิ่ม ใจแน่น อยู่ตลอดเวลาทำไมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อก่อนนี้จะมีข้อเสียคือจะชอบสงสารคนเห็นคนได้รับความทุกข์ยากไม่ว่าจะเป็นใครถ้าช่วยได้ก็จะช่วย แต่บางกรณีเราไม่สามารถช่วยเหลือได้ก็จะนำไปคิด เป็นทุกข์แทนเขาเหล่านั้นอีกหลายๆ วันจนกระทั่งลืมไปเอง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกันนักกับเขาเหล่านั้นเช่นกันก็ยังอดสงสารเขาไม่ได้ แต่ในปัจจุบันดิฉันก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่แต่เริ่มวางอุเบกขาได้มากขึ้น ยอมรับเรื่องกรรมทั้งของตนเองและของผู้อื่นทำให้ปล่อยวางได้มากขึ้น ช่วยได้ก็พยายามช่วย ช่วยไม่ได้เกินความสามารถของตัวเองก็ปล่อยวาง เมื่อไม่แบกทุกข์ไว้ จึงเป็นสุขน่ะค่ะ สงสัยเริ่มกลับมาสงสารตัวเองด้วยน่ะค่ะคงเป็นเช่นนั้นความทุกข์ลดลงไปมากโขเลย มองโลกในแง่ของความเข้าใจโลกได้มากขึ้นไปด้วย
2. การยึดติดในร่างกายที่ค่อยๆ ปล่อยได้บ้างทำให้เป็นสุขขึ้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เมื่อก่อนนี้จะรักและหวงลูกตามากที่สุด คิดระแวงตลอดเวลาว่าถ้าเราต้องตาบอดเราคงจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ เราต้องตายแน่ๆ จะไปที่ไหนไปทำอะไรจะทำมาหากินอย่างไร จะมีชีวิตอยู่ในโลกมืดๆ ไม่เห็นอะไรเลยได้อย่างไร แต่ ณ ปัจจุบันถ้าต้องตาบอดจริงๆ หรือเกิดอะไรขึ้นก็ตามรับได้นะคะ ไม่รู้ทำไม รู้แต่ว่า ถ้าต้องประสบอย่างนั้นก็ยังสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้ ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นไปตามนั้น ดีเสียอีกจะได้มีเวลานั่งสมาธิปฎิบัติธรรม เป็นต้น ส่วนประโยชน์ข้ออื่นๆ เช่นการเป็นโสดาบันขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดถึงมากนักคิดถึงแต่ว่าไม่ตกนรกก็บุญโขแล้วค่ะเท่านั้นเอง คุณเอกอนเป็นเหมือนกันไหมคะ เคยอ่านพระสุตตันตปิฎกเรื่อง เล่ม หน้าอะไรจำไม่ได้แล้วค่ะ(ผู้รู้ช่วยด้วยนะคะ) แต่เนื้อหาเป็นเรื่องพระสารีบุตรสอนเกี่ยวกับธรรมที่เป็นเครื่องอยู่สุขและธรรมที่เป็นเครื่องละกิเลส (มีต่อค่ะ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




190.gif
190.gif [ 11.84 KiB | เปิดดู 3824 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
เมื่อก่อนนี้จะรักและหวงลูกตามากที่สุด คิดระแวงตลอดเวลาว่า ถ้าเราต้องตาบอดเราคงจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ เราต้องตายแน่ๆ จะไปที่ไหนไปทำอะไรจะทำมาหากินอย่างไร จะมีชีวิตอยู่ในโลกมืดๆ ไม่เห็นอะไรเลยได้อย่างไร


เมื่ออยู่กับปัจจุบันมากขึ้น การคิดอยู่กับอนาคต การคิดอยู่อดีตก็ลดลงๆๆๆ

สมมุติว่าอนาคตตาบอดจริงๆ ก็นี่เลย

คนกับหมา

http://music.postjung.com/207427.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อฝึกสติถูกวิธีคือตามทันปัจจุบันอารมณ์ทุกๆขณะ นั่นแหละ คือ ความหมายของวิปัสสนา

ต้นไม้แก่ อ่านหัวข้อดังกล่าวที่นี่


viewtopic.php?f=2&t=18859&p=212498#p212498

เกริ่นนำนิดหน่อยดังนี้

เหตุใดสติตามทันขณะปัจจุบันจึงเป็นหลักสำคัญของวิปัสสนา ?

กิจกรรมสามัญที่สุดของทุกๆ คน ซึ่งเป็นไปอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ก็คือการรับรู้อารมณ์ต่างๆ

ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อมีการรับรู้ ก็มีความรู้สึกพร้อมไปด้วย คือ สุขสบายบ้าง ทุกข์ระคาย

เจ็บปวด ไม่สบายบ้าง เฉยๆ บ้าง เมื่อมีความรู้สึกสุขทุกข์ ก็มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นในใจด้วย คือ ถ้าสุข

สบายที่สิ่งใด ก็ชอบใจ ติดใจสิ่งนั้น

ถ้าไม่สบายได้ทุกข์ที่สิ่งใด ก็ขัดใจไม่ชอบสิ่งนั้น เมื่อชอบก็อยากรับรู้อีก อยากเสพซ้ำ หรืออยากได้

อยากเอา เมื่อไม่ชอบก็เลี่ยงหนี หรืออยากกำจัด อยากทำลาย

กระบวนการนี้ ดำเนินไปตลอดเวลา มีทั้งที่แผ่วเบา ผ่านไปโดยไม่มีได้สังเกต และที่แรงเข้ม สังเกตได้

เด่นชัด มีผลต่อจิตใจอย่างชัดเจนและสืบเนื่องไปนาน


ส่วนใดแรงเข้มหรือสะดุดชัด ก็มักชักให้มีความคิดปรุงแต่งยึดเยื้อเยิ่นเย้อออกไป ถ้าไม่สิ้นสุดที่ในใจ

ก็ผลักดันแสดงออกมาเป็นการพูด การกระทำต่างๆทั้งน้อยและใหญ่ ชีวิตของบุคคล บทบาทของเขา

ในโลก และการกระทำต่อกันระหว่างมนุษย์ ย่อมสืบเนื่องออกมาจากกระบวนธรรมน้อยๆ ที่เป็นไปใน

ชีวิตแต่ละขณะๆ นี้เป็นสำคัญ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



ในทางปัญญา


การปล่อยให้จิตใจให้เป็นไปตามกระบวนธรรมข้างต้นนั้น คือ เมื่อรับรู้แล้ว รู้สึกสุขสบายก็ชอบใจ ติดใจ

เมื่อรับรู้แล้ว รู้สึกทุกข์ ไม่สบาย ก็ขัดใจ ไม่ชอบใจ ข้อนี้เป็นเครื่องกีดกั้นปิดบัง ทำให้ไม่รู้ไม่เข้าใจ

ไม่มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง หรือตามสภาวะที่แท้ของมัน ทั้งนี้เพราะจิตใจที่เป็นเช่นนี้ จ

ะมีสภาพต่อไปนี้

-ข้องอยู่ที่ความชอบใจ หรือความขัดใจ ตกอยู่ในอำนาจของความติดใจ หรือขัดใจนั้น ถูกความชอบ

หรือไม่ชอบนั้นเคลือบคลุม ทำให้มองเห็น เอนเอียงไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ตรงตามที่มันเป็นจริง

-ตกลงไปในอดีตหรืออนาคต กล่าวคือ เมื่อคนรับรู้แล้ว เกิดความชอบใจหรือไม่ชอบใจ จิตของเขา

จะข้องหรือขัดอยู่ ณ ส่วนหรือจุดหรือแง่ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจของอารมณ์นั้น เก็บเอาไปทะนุถนอม

คิดปรุงแต่งตลอดจนฝันฟ่ามต่อไป การข้องอยู่ที่ส่วนใดก็ตาม ซึ่งชอบใจหรือไม่ชอบใจ และการจับอยู่

กับภาพของสิ่งนั้น ซึ่งปรากฏอยู่ในใจของตน คือ การเลื่อนไหลลงสู่อดีต การคิดปรุงแต่งต่อไปเกี่ยวกั

บสิ่งนั้น คือ การเลื่อนลอยไปในอนาคต ความรู้ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับสิ่งนั้น ก็คือภาพของสิ่งนั้น

ณ จุดหรือตอนที่ชอบใจ

หรือไม่ชอบใจ หรือซึ่งเขาได้คิดปรุงแต่งต่อไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งนั้นตามที่มันเป็นของมันเองในขณะนั้นๆ


-ตกอยู่ในอำนาจของความคิดปรุงแต่ง จึงแปล ความหมายของสิ่งที่รับรู้ หรือประสบการณ์นั้นๆ

ไปตามแนวทางของภูมิหลัง หรือความเคยชินที่ได้สั่งสมไว้ เช่น ค่านิยม ทัศนคติ หรือทิฐิที่ตนยึดถือ

นิยม เชิดชู เรียกว่าจิตตกอยู่ในภาวะถูกปรุงแต่ง ไม่อาจมองอย่างเป็นกลาง ให้เห็นประสบการณ์ล้วนๆ

ตามที่มันเป็น

-นอกจากถูกปรุงแต่งแล้ว ก็จะนำเอาภาพปรุงแต่งของประสบการณ์ใหม่นั้นเข้าไปร่วมในการปรุงแต่งต่อ

ไปอีก เป็นการเสริมซ้ำการสั่งสมนิสัย ความเคยชินของจิตให้แน่นหนายิ่งขึ้น ความเป็นไปเช่นนี้

มิใช่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องหยาบๆ ตื้นๆ ในการดำเนินชีวิตและทำกิจกรรมทั่วไปเท่านั้น แต่ท่านมุ่งเน้น

กระบวนของจิตในระดับละเอียดลึกซึ้ง ที่ทำให้ปุถุชนมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นของคงที่ เป็นชิ้นเป็นอัน

มีสวยงาม น่าเกลียด ติดในสมมุติต่างๆ ไม่เห็นความเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ดำเนินอยู่ตลอดเวลา


อย่างไรก็ดี กระบวนธรรมเช่นนี้ เป็นความเคยชิน หรือ นิสัยของจิตที่คนทั่วไปได้สั่งสมกันมาคนละนานๆ

เกือบจะว่า ตั้งแต่เกิดทีเดียว 20-30 ปีบ้าง 40-50 ปีบ้าง เกินกว่านั้นบ้าง และไม่เคยหัดตัดวงจรลบ

กระบวนกันมาเลย การจัดการแก้ไข จึงมิใช่จะทำได้ง่ายนัก ในทันทีที่รับรู้อารมณ์ หรือ มีประสบการณ์

ยังไม่ทันตั้งตัว ที่จะยั้งกระบวน จิตก็แล่นไปตามความเคยชินของมันเสียก่อน

ดังนั้น การแก้ไขในเรื่องนี้ จึงมิใช่จะเพียงตัดวงจรล้างกระบวนธรรมนั้นลงเท่านั้น แต่จะต้องแก้ไข

ความเคยชินหรือนิสัยที่ไหลแรงไปข้างเดียวของจิตอีกด้วย

องค์ธรรมสำคัญที่จะใช้เป็นตัวเบิกทาง และเป็นหลักรวมพลทั้งสองกรณี ก็คือ สติ

การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ก็มีวัตถุประสงค์อย่างนี้ กล่าว คือ เมื่อมีสติตามทันขณะปัจจุบัน และมอง

ดูสิ่งนั้นๆ ตามที่มันเป็นอยู่ในขณะนั้นๆตลอดเวลา ย่อมสามารถตัดวงจรทำลายกระบวนธรรมฝ่ายอกุศล

ลงได้ด้วย
ค่อยๆ แก้ไขความเคยชินเก่าๆพร้อมกับสร้างแนวนิสัยใหม่ให้แก่จิตได้ด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 16:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)

กราบขอบพระคุณค่ะ ขอค่อยๆ อ่านนะคะ
ต้นไม้แก่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 119 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 42 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron