วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 13:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 119 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



อิ อิ เอกอนยังทุกข์อยู่ค่ะ...

ทะลึ่ง ทะเล้น สัปดล หน้าเป็นลิงอย่างนี้ ยัง...ทุกข์...ง๊า ง๊า ง๊า

:b2: :b2: :b2:

อิ อิ


ทุกข์เพราะยังมีสิ่งที่... อืมมม์

ยังคงเห็นสภาวะธรรมอันจะเป็นการเกิดแห่งภพ ... น่ะ


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 28 ส.ค. 2010, 12:06, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2010, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากปฏิบัติอานาปานสติกรรมฐานถูกวิธีแล้วคำพูดที่ต้นไม้แก่อ่านพบประมาณว่า (ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่

สุขและธรรมที่เป็นเครื่องละกิเลส ) รวมอยู่ในนั่นทั้งหมดครับ ดูพจน์พจน์เป็นต้นนี้


"ภิกษุทั้งหลาย...เมื่อจะกล่าวให้ถูกต้อง พึงกล่าวถึงอานาปานสติสมาธิว่า เป็นอริยวิหารก็ได้ ว่าเป็น

พรหมวิหารก็ได้ ว่าเป็นตถาคตวิหารก็ได้ ภิกษุเหล่าใดเป็นเสขะ ยังไม่บรรลุอรหัตผล ปรารถนาภาวะ

ปลอดโปร่งโล่งใจอันยอดเยี่ยม อานาปานสติสมาธิที่ภิกษุเหล่านั้นเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็น

ไปเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ส่วนภิกษุเหล่าใด เป็นพระอรหันต์สิ้นอาสวะแล้ว...

อานาปานสติสมาธิที่ภิกษุเหล่านั้นเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่สุขสบายในปัจจุบัน

และเพื่อสติ สัมปชัญญะ”

(สํ.ม.19/1366-4/413)

:b48: :b48: :b48: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42:

-พึงสังเกตคำว่า พรหมวิหาร ไม่ใช่ชื่อจำเพาะของเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเสมอไป (ชื่อเฉพาะของธรรมชุดนั้นคืออัปมัญญา)

-อริยวิหาร เครื่องอยู่ของพระอริยะ
-พรหมวิหาร ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหม
-ตถาคตวิหาร ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของตถาคต
-อยู่สุขสบายในปัจจุบัน ศัพท์ทางธรรม ทิฏฐธรรมสุขวิหาร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 28 ส.ค. 2010, 11:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2010, 11:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ส่วนประโยชน์ข้ออื่นๆ เช่นการเป็นโสดาบันขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดถึงมากนักคิดถึงแต่ว่าไม่ตกนรกก็บุญโขแล้วค่ะ


ทำนองเดียวกันเมื่อปฏิบัติอานาปานสติถูกวิธีแล้ว ผลคือความเป็นโสดาบันเป็นต้นเกิดเองตามเหตุโดยไม่ต้องร่ำร้องเรียกหาครับ :b20: :b8:
แต่หากปฏิบัติผิดแล้ว ต่อให้ร่ำร้องเรียกหาจนปากฉีกถึงใบหูก็ไม่เป็นโสดาบันให้ครับ :b1: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2010, 13:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ ท่านกรัชกรายและคุณออเรกอน
กราบขอบพระคุณความรู้ที่ให้มาอย่างยิ่งค่ะ ขออนุโมทนากับคุณเอกอนที่เห็นทุกข์ตามความเป็นจริงแล้ว ต้นไม้แก่ยังไม่ถึงขั้นนั้นเลยค่ะ ขอรายงานการปฎิบัติตามที่รับคำสอนมานะคะ
27 ส.ค. 53
23.02-23.25 น. และมาเดินต่อในห้องนอนที่บ้านอีกรวม 30 นาทีกว่าๆ และนั่งสมาธิโดยกำหนดไว้ว่าวันนี้จะนั่งวิปัสสนารูป นั่งพิจารณาอาการ 32 ของร่างกาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ปอด ม้าม ไต หัวใจ อาหารใหม่ อาหารเก่า... ไปเรื่อยๆๆ ภาพอสุภะปรากฎขึ้นมา กำหนด
เห็นหนอ...ภาพอสุภะหายไปพลึบ! ภาพพระภิกษุปรากฎขึ้นมาอีก ก็กำหนดเห็นหนอ... พิจารณาเป็นพระไตรลักษณ์ เป็นอนิจจังคือความไม่เที่ยง ของทุกสิ่งล้วนไม่เทื่ยงแท้แน่นอน มีเกิดขึ้นก็ต้องมีเปลื่ยนแปลงไปตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่สามารถตั้งมั่นอยู่เช่นเดิมได้เป็นเพียงธาตุ ๔ ที่มารวมกันเท่านั้น ซึ่งจะก่อให้เกิดทุกข์ ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นกับมันทั้งทางกายและทางจิตกับสภาพไม่เทื่ยงนี้
มันจึงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ทั้งหมดเป็นเพียงขันธ์ ๕ อันเกิดจากการปรุงแต่งของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เท่านั้นพอแยกสลายไปทุกอย่างก็กลับไปสู่ความเป็นธาตุเดิมนั้นๆ ไปเองทั้งหมด มันเป็นเพียงสมมุติเป็นสังขารธรรม เป็นเพียงธาตุทุกอย่างอยู่ภาพใต้กฎพระไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ภาพนิมิตพระภิกษุ หายไปพลึบ!
ต่อจากนั้นก็พยายามพิจารณากายโดยความเป็นของปฎิกูลโสโครกแต่จิตมันไม่ยอมคิด มันว่าง ว่าง ว่าง อยู่อย่างนั้นก็กำหนดว่างหนอ.... แต่มันก็อยู่กับความว่างอยู่อีกมันไม่ยอมคิดอะไร มันคิดไม่ออก มันว่างอยู่เช่นนั้นก็พิจารณาความว่างนี้ก็เป็นพระไตรลักษณ์เช่นกัน แล้วจึงออกจากสมาธิ น่าจะประมาณครึ่งชั่วโมง มากราบพระที่หมอนแผ่เมตตาและหลับไป
ตื่นเช้าขึ้นมาความรู้สึกคือ ความสุขมันวนอยู่รอบๆ กาย จิตแน่นตลอดเวลา จึงกำหนด
สุขหนอ... สุขนี้ก็ไม่เที่ยงเช่นกันเป็นเวทนาที่อยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์เช่นกัน สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้เลย ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นกับมันเลย...
วันนี้พยายามวิปัสสนาตามที่ได้รับการสอนมาได้เพียงเท่านี้เองค่ะ ดีใจนะคะที่ได้คุณเอกอนคนเดิมกลับมาแล้ว ฮิ..ฮิ..
ต้นไม้แก่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2010, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ให้ตั้งจิตว่า มีร่างอีกร่างหนึ่ง มีรูปร่างและขนาดเท่ากับร่างกายเรา ซ้อนอยู่กับตัวเราแบบเป๊ะๆ ให้จดจ่อไปที่ร่างนั้น พร้อมกับทำอานาปานสติไปด้วย อาจจะสลับการจดจ่อไปที่ลมหายใจด้วยก็ได้... :b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 14:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ คุณmurano

แฮ่ะ! แฮ่ะ! มันไม่ยากไปสำหรับต้นไม้แก่หรือคะ แฮะ! แฮะ! ระวังเขาจับต้นไม้แก่ส่งศรีธัญญาไปเสียก่อนจริงๆ นะคะ เอาเป็นเพียงพิจารณาและศึกษาขันธ์ ๕ ไปเรื่อยๆ ก่อนไม่ดีหรือคะความรู้ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ยังไม่ค่อยเท่าไหร่เลยค่ะ เห็นคุณmurano ชอบศึกษาปฎิจจสมุทปบาทอยู่ ขอความรู้ด้านนั้นไม่ดีกว่าหรือคะ แต่เอ้าไหนๆ ก็ไหนๆ นะคะ จะลองพยายามดูสัก 1 อาทิตย์ ผลเป็นอย่างไรอย่าส่งกันเข้าโรงพยาบาลบ้าก็แล้วกันนะคะ
ท่านกรัชกายและคุณเอกอนหายไปไหนช่วยด้วยซิคะ
กราบขอบพระคุณคุณmurano อย่างมากค่ะ
ต้นไม้แก่


แก้ไขล่าสุดโดย ต้นไม้แก่ เมื่อ 29 ส.ค. 2010, 15:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฟังเพลงกระต่ายวิ่งแข่งกับเต่าอีกครั้งนะครับนะ :b32:

http://www.phrapiyaroj.com/dhammusic/page5.html

...เราเคยวิ่งจากเชียงใหม่ ตัดเขาไต่ยอดขุนตาล ตอนพลบค่ำข้ามลำธาร จากขุนตาลเข้าลำปาง วิ่งลัด

เลาะผ่านเกาะคาแล้วผ่านมาสบปราบพลาง ฯลฯ

พอตี 5 เวลาดีวิ่งถึงที่ศรีธัญญา

ตี 5 ครึ่ง ถึงพรานนก พอตีหกสว่างจ้า ถึงคลองสานทันเวลา เข้าพักยังหลังคาแดง.
:b20: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 16:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ ท่านกรัชกาย
เพลงเพราะมากเลยนะคะ คติสอนใจก็เป็นเยี่ยมค่ะ กราบขอบพระคุณที่มาช่วยสอนใจทันเวลา
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ รับปากจะพยายามแล้วขอต้นไม้แก่เที่ยวศรีธัญญา และศาลาแดง สัก 1 อาทิตย์นะคะ
แล้วจะมาพบอาจารย์ทุกท่านใหม่อาทิตย์หน้านะคะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
ต้นไม้แก่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 22:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว




R0011-17.jpg
R0011-17.jpg [ 67.12 KiB | เปิดดู 4129 ครั้ง ]
เรียน อาจารย์ทุก ๆ ท่าน
สาธุ สาธุ สาธุ กราบขอบพระคุณครูอาจารย์ทุก ๆ ท่านที่กรุณาชี้แนะ ให้ตลอดมาตั้งแต่เริ่มปฏิบัติที่ต้องมีความวิตกอยู่มาก จนเกิดความรู้ในสิ่งที่ปฏิบัติเรื่อยมาและได้รับความกรุณา อนุเคราะห์ความรู้ต่าง ๆ ที่มากขึ้น กราบขอบพระคุณอย่างที่สุดจากใจค่ะ ขออานิสงส์ผลบุญจากการให้ธรรมมะเป็นทานที่มีต่อดิฉันนี้ ขอคุณพระ ดลบันดาลให้ ทุก ๆ ท่านบรรลุจุดมุ่งหวัง ดังที่หวังไว้ทุกประการเทอญ

สาธุ สาธุ สาธุค่ะ

30 สิงหาคม 2553
ทั้งวันอ่านธรรมะในสิ่งที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ เช่น ขันธ์ ๕ และปฎิจจสมุปบาท 23.00-23.00 น เดินจงกรม 24.05 นั่งสมาธิประมาณอย่างละ 30 นาที นั่งกำหนด ลม เข้า ออก อย่างเดียว พบเพียงความสงบของจิต
จิตปราศจากทิฎฐิมานะใด ๆ มีเพียงความเพียรเท่านั้น

31 สิงหาคม 2553
เดินจงกรม และนั่งสมาธิ 3 เวลา ครั้งละ 30 นาที ทั้งวันปฎิบัติ เดิน นั่งรวม 3 ชั่วโมง พยายามวิปัสสนารูปก็ไม่มีนิมิตปรากฎ พยายามนึกว่ามีอีกร่างหนึ่งซ้อนอยู่กับตัวเราก็ไม่ปรากฏนิมิตอะไรเลย พบเพียงความสงบของจิตอย่างเดียว

1 กันยายน 2553
อ่านธรรมะทั้งวันในช่วงกลางวัน เวลา 16.00-17.30 น. เดินจงกรมในห้อง แรกๆ ก็กำหนดพุทธ-โธ อยู่เรื่อยๆ แต่จิตมันอยากวิปัสสนาก็เลยเดินพร้อมกำหนดพุทธ-โธ บ้าง นึกคิดถึงธรรม ทบทวนธรรมะที่อ่านมาแล้วทั้งหมดเวลาที่เดินชั่วโมงครึ่ง เรื่องที่วิปัสสนาคือ ขันธ์ ๕ โดยนำคำสอนของพระผู้มีพระภาคต่อพระราหุลที่ว่า
“...ดูกรราหุล รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอดีต เป็นอนาคต เป็นปัจจุบัน เป็นภายในก็ดี เป็นภายนอกก็ดี หยาบก็ดี ละเอียดก็ดี เลวก็ดี ประณีตก็ดี อยู่ในที่ไกลก็ดี อยู่ในที่ใกล้ก็ดี รูปทั้งปวงนี้ เธอพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่เรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ดังนี้.
พระราหุล ทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค รูปเท่านั้นหรือ ข้าแต่พระสุคต รูปเท่านั้นหรือ?
พ. ดูกรราหุล ทั้งรูป ทั้งเวทนา ทั้งสัญญา ทั้งสังขาร ทั้งวิญญาณ...”(มหาราหุโลวาทสูตร พระไตรปิฎก เล่ม 13 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ www.๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์)
นำมาวิปัสสนาต่อในทุกๆ เรื่องทั้งเวทนาที่เคยปรากฏทั้ง สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดขึ้นแล้วก็ปรวนแปรและแตกสลายไปทั้งสิ้น อยู่ใต้อำนาจพระไตรลักษณ์ ดังนั้นเวทนานั่นจึงไม่ใช่เรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
สัญญาความจำหมายในสิ่งนั้นๆ ทั้งสัญญาเก่า สัญญาใหม่ นั่นก็ไม่ใช่เรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
สังขาร 3 กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร กายสังขารลมหายใจออกและลมหายใจเข้าก็เป็นกายสังขาร ส่วนวิตกวิจาร บุคคลย่อมตรึกตรองก่อนแล้วจึงเปล่งวาจาก็เป็น วจีสังขาร สัญญาและเวทนาเป็นธรรมมีในจิต เนื่องด้วยจิต ฉะนั้นสัญญาและเวทนาจึงเป็นจิตตสังขาร ซึ่งอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ นั่นไม่ใช่เรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
วิญญาณ วิญญาณ ๖ หมวดคือ ความรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มโน ความเกิดขึ้นของวิญญาณเพราะความเกิดขึ้นแห่งนามรูป ความดับแห่งวิญญาณย่อมมีเพราะความดับแห่งนามรูป (มรรค ๘ เป็นปฎิปทาให้ถึงความดับแห่งวิญญาณ)
ความเกิด ดับ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพ่งพินิจโดยวิธี 3 ประการ โดยความเป็นธาตุประการหนึ่ง โดยความเป็นอายตนะประการหนึ่ง โดยความเป็นปฎิจจสมุปบาทประการหนึ่ง ซึ่งสรุปทั้งหมดคือ อย่าสำคัญตนเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพราะนั่นไม่ใช่เรา เราไม่ได้เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ดังที่ธรรมทินนาภิกษุณี ได้ตอบคำถามวิสาขอุบาสก ว่า
“...วิ. ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อย่างไร สักกายทิฎฐิจึงจะไม่มีฯ
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ ได้เห็นพระอริยะ ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ผึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ ได้เห็นสัปบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ ฝึกดีแล้วในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมไม่ตามเห็นรูปโดยความเป็นตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนว่ามีรูปบ้าง ไม่ตามเห็นรูปในตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนในรูปบ้าง ย่อมไม่ตามเห็นเวทนา... ย่อมไม่ตามเห็นสัญญา... ย่อมไม่ตามเห็นสังขารทั้งหลาย... ย่อมไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง ไม่ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนในวิญญาณบ้าง อย่างนี้แล สักกายทิฎฐิจึงจะไม่มี...”(จุฬเวทัลลสูตร การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปิติ พระไตรปิฎกเล่มที่ 12 พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ www.๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์) วิปัสสนาไปเท่าที่จำได้และเข้าใจได้ ตามสิ่งที่อ่านและสรุปมานี้น่ะค่ะ ในการเดินจงกรมทั้งชั่วโมงครึ่งในครั้งนี้
17.32 น.เป็นต้นมานั่งสมาธิประมาณ 30 นาที กลับไม่วิปัสสนาเลย จิตดิ่งเข้าสู่ความสงบที่ลึกๆ เช่นที่เคยปฎิบัติเมื่อหลายเดือนก่อนโน้นทันที มีแต่ความสงบ เฉย
21.30-22.00 น. นั่งสมาธิอีกครั้งก็ไม่มีอะไรปรากฎ พยายามตั้งจิตว่ามีอีกร่างหนึ่งซ้อนอยู่กับตัวเราก็ไม่ปรากฎอะไร ไม่ว่าจะวิปัสสนาอะไร ก็มีแต่ความสงบ ไม่ปรากฏนิมิต
24.05 น. นั่งสมาธิอีกประมาณ 20 นาที พยายามคิดนึกก็ไม่มีนิมิต มีเพียงจิตที่ดิ่งลงสู่ความสงบที่ลึกๆ เวลานั่งสมาธิไม่ได้ต่อเนื่องเหมือนเวลาเดินจงกรม

2 กันยายน 2553
อ่านธรรมะทั้งวัน บ่ายเดินจงกรมและนั่งสมาธิอย่างละ 20 นาที ก็ไม่ปรากฏนิมิต มีแต่จิตที่สงบลึก ดึก22.32-23.02 เดินจงกรม 23.45น. เป็นต้นไปนั่งสมาธิอีกประมาณ 30 นาที ได้เพียงความสงบ พยายามตั้งจิตคิดถึงร่างกายและอาการ 32 คิดถึงร่างอีกร่างที่ซ้อนทับกับกายเราก็ไม่ปรากฏนิมิตอะไร
ประมาณตี 4 กว่าๆ ตื่นขึ้นมาพร้อมกับจิตที่คิดอยู่ในหัวทันทีเหมือนมันคิดอยู่ก่อนขณะเราหลับตื่นก็คิดต่อเนื่องเลยว่า “ ไม่ใช่สัตว์ บัคคล ตัวตน เรา เขา แต่อย่างใด” พร้อมกับแสงแปล๊บๆๆๆ ก็งงก็ลืมตาขึ้น ว่าข้างนอกฝนตกฟ้าแล้บหรือเปล่าก็ไม่มีฟ้าแล้บอะไร แต่แสงแปล๊บๆๆๆ ทั้งหลับตาลืมตานี้มันมาจากตัวเอง ก็กำหนดแสงหนอ... สว่างหนอ... เห็นแสงหนอ...และก็วิปัสสนาไปว่าแสงนี้ก็เป็นเพียงสังขารธรรมปรุงแต่ง ตามเหตุปัจจัย สิ่งนี้ไม่เที่ยงมีความดับไปเป็นธรรมดา เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน เรา เขา แต่อย่างใด แสงก็แปล๊บๆๆๆ ตลอดเวลา เดินไปเข้าห้องน้ำก็เกิดแสงแปล๊บๆๆๆ อยู่เรื่อยๆ ก็กำหนด แสงหนอ...
ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ตัวเราแต่อย่างใด สังขารธรรมปรุงแต่งและอยู่ใต้กฎพระไตรลักษณ์ทั้งหมด สักแต่ว่าแสงหนอ...
กลับมานอนแสงก็ยังแปล๊บๆๆๆ เหมือนฟ้าแล้บตลอดเวลาก็นอนหลับตาแสงก็แปล๊บๆๆ ตลอดพร้อมภาพนิมิตผู้หญิงครึ่งตัวเท่าตัวเรา ผิวเหลืองสวยใสมาก ก็กำหนดเห็นหนอ... ผิวที่สวยใสนี้ก็เป็นเพียงหนังหุ้มสิ่งปฎิกูลโสโครก ภายในคือซากพืชซากสัตว์ตายเน่าคลุ้ง อวัยวะภายในตับไต ไส้ พุง หัวใจ น้ำเลือด น้ำหนอง ไหลเยิ้มอยู่เต็มไปหมดภายใต้ผิวสวยๆ นี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา แต่อย่างใด นิมิตก็หมดไปก็นอนต่อ ตื่นเช้าขึ้นมาไม่มีนิมิตอะไร จิตแน่นอยู่กับกายเหมือนหลักยืนในชีวิตที่มั่นคงไม่หวั่นไหวแม้อะไรจะมากระทบก็ตาม

3 กันยายน 2553
17.03-17.25 น. เดินจงกรมและนั่งสมาธิอีก 10 นาที 23.45 น. นั่งสมาธิอีกประมาณ 15 นาทีก็พัก ไม่วิปัสสนานั่งให้จิตสงบอย่างเดียว

4 กันยายน 2553
17.02-17.32 น. เดินจงกรมและนั่งสมาธิต่ออีกประมาณ 30 นาที วันนี้วิปัสสนาสัญญาและเวทนาอันเป็นธรรมที่มีในจิต เนื่องด้วยจิต เป็นจิตตสังขาร ซึ่งก็ทบทวนถึงจิตที่เคยแสดงให้รู้สึกถึงความรับรู้ในเวทนาทั้ง 3 ที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งไม่เที่ยงมีเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาแต่อย่างใด พอวิปัสสนาเสร็จก็พยายามคิดกายอีกกายหนึ่งที่ทับซ้อนกายเราเท่ากันแป๊ะ ก็จินตนาการคิดไปเรื่อยๆ ภาพนิมิตก็มาให้ตามคิดจริงๆ เป็นอสุภะตัวดำมืดเท่ากับตัวเรานั่งหันหน้าเข้าหาเรา ก็กำหนดเห็นหนอ... อสุภะที่น่ากลัวนี้ก็อยู่ใต้กฎพระไตรลักษณ์เช่นกันจึงไม่ใช่ตัวตนเราเขาแต่อย่างใด ภาพนิมิตหายไป ความรู้สึกที่เกิดเมื่อวิปัสสนาเสร็จคือ เหมือนอุปทานที่ยึดมั่นในร่างกายตัวเองครึ่งตัวนั่งนี้มันลดลงไป เป็นความรู้สึกไปเองหรือเปล่าคะ (ใกล้เข้าศรีธัญญาหรือยังคะ ฮิ! ฮิ!) ได้เพียงเท่านี้เองค่ะ

มีอะไรที่ปฎิบัติไม่ถูกต้อง ล้ำเกินไป มันไม่ใช่หลักการปฎิบัติ เป็นการคิดอย่างเดียวอย่างไร กรุณาชี้แนะด้วยนะคะ
กราบขอบพระคุณค่ะ
ต้นไม้แก่


แก้ไขล่าสุดโดย ต้นไม้แก่ เมื่อ 07 ก.ย. 2010, 14:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นแค่อาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาต่อไปอีกนับกัปป์ นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ จิตที่พ้นจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่า จิต เป็นวิสังขาร สังขารไม่อาจปรุ่งแต่งจิตนั้นได้อีกต่อไป สิ่งใดก็ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่ (หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน )
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราไม่กลับมาเกิดอีกตลอตอนันตกาล

this nation is last our nation , we don't come back to are born again time stump
suthee


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2010, 00:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


suthee เขียน:
อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นแค่อาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น ที่กล่าวกันว่าจิตที่พ้นจากสมมติแล้วเป็นจิตดับความรู้ก็ดับด้วยนั้น เป็นความรู้ความเห็นของนักปฏิบัติธรรมประเภทสุ่มเดาต่อให้ด้นเดาต่อไปอีกนับกัปป์ นับกัลป์ไม่ถ้วนก็ไม่มีโอกาสพบพระนิพพานของจริง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ จิตที่พ้นจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่า จิต เป็นวิสังขาร สังขารไม่อาจปรุ่งแต่งจิตนั้นได้อีกต่อไป สิ่งใดก็ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน เป็นจิตที่อยู่กับความเกิด-ความตายนั่นเอง แล้วจะเสกให้เป็นพระนิพพานได้ยังไง ? ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้ ยกเว้นพวกที่มีปัญญาอ่อนหรือปัญญาหน่อมแน้มไปหน่อยเท่านั้นเอง จิตที่พ้นจากสมมติเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว นั่นแหละท่านเรียกว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานมีอยู่ตลอดกาล(อะกาลิโก)ไม่เลือกกาลเวลา ปฏิบัติเวลาใหนเห็นเวลานั้นไม่เลือกกาลเวลาและสถานที่ ภิกษุทั้งหลาย อายตนะอันไม่เกิดแล้ว อันปัจจัยไม่ทำแล้วไม่แต่งแล้วมีอยู่ (หมายถึงจิตหรือรู้ที่บริสุทธิ์ล้วนๆนั่นเองคืออายตนะนิพาน )
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราไม่กลับมาเกิดอีกตลอตอนันตกาล

this nation is last our nation , we don't come back to are born again time stump
suthee


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2010, 14:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2010, 23:39
โพสต์: 34


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ คุณ suthee
ขอบพระคุณนะคะในความรู้ที่อธิบายแต่รู้สึกว่าเป็นความรู้ขั้นลึกไปหน่อยต้นไม้แก่เข้าใจส่วนเดียวเองค่ะ จะพยายามทำความเข้าใจอีกหลายๆ ครั้งค่ะ อย่างไรก็ตามขอให้คุณ suthee บรรลุในสิ่งที่หวังไว้นะคะ

ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ
ต้นไม้แก่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2010, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


suthee เขียน:
อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้เกิด รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิตที่รู้ไม่เกิด ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์


จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่ง ต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น

จิตที่พ้นจากอริยะสัจจ์ ๔ นั่นเองท่านให้ชื่อให้นามว่า พระนิพพาน

ความจริงแล้วจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาสำหรับจิตที่พ้นแล้วจากสมมติโดยประการทั้งปวง

จิตเป็นอกาลิโกตลอดอนันตกาลท่านเรียกว่า จิต เป็นวิสังขาร สังขารไม่อาจปรุ่งแต่งจิตนั้นได้อีกต่อไป สิ่งใดก็ตามขึ้นชื่อว่าสมมติย่อมตกอยู่ภายใต้กฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา จิตที่อยู่ภายใต้ความเกิดและความดับจึงเป็นจิตที่อยู่กับสมมติของกิเลสดีๆนี่เอง จิตประเภทนี้ย่อมอยู่กับความเกิด-ความดับตลอดอนันตกาลเหมือนกัน

ผู้ที่ปัญญาเท่านั้นไม่ไว้วางใจกับจิตประเภทนี้

จิตที่พ้นจากสมมติเป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆเป็นวิสุทธิจิต พ้นจากกฏอะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา ตลอดอนันตกาล เมื่อถึงที่สุดของจิตแล้วมันไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำไป ที่กล่าวกันว่า สิ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฉายา
ไม่มีการมา ไม่มีการไป ไม่มีการตั้งอยู่ และไม่มีการดับไป ไม่มีร่องรอยให้กล่าวถึง แต่มีอยู่จริง
มันเป็นสันติสุขที่รุ่งเรืองและเร้นลับและมีอยู่อย่างสมบูรณ์ภายในจิตใจของทุกๆคนอยู่แล้ว

suthee


อุ อุ ...
ขอเก็บไปส่องร่องรอยก่อน....อืมมมม์

เห็นเช่นนั้นได้ไงนะ...ท่านสุธี...นะ...ท่านสุธี...
....
ช่างเห็นเช่นนั้น...ได้อย่างไร....


:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 05 ก.ย. 2010, 15:24, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2010, 15:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
ช่างเห็นเช่นนั้น...ได้อย่างไร....


^ ^ ธรรมดา ธรรมดา เช่นนั้นเอง
นี่ก็อีกตำราหนึ่ง ที่ปรากฏในโลกนี้ หลังจากพุทธปรินิพพาน ชิมิ!!!!!!

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2010, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เอรากอน เขียน:
ช่างเห็นเช่นนั้น...ได้อย่างไร....


^ ^ ธรรมดา ธรรมดา เช่นนั้นเอง
นี่ก็อีกตำราหนึ่ง ที่ปรากฏในโลกนี้ หลังจากพุทธปรินิพพาน ชิมิ!!!!!!


:b12: ตำราเล่มไหนล่ะ ท่านพี่เช่นนั้น... :b12: อิ อิ

เอกอนเคยเห็น... concept ตัวนี้
แต่มันเป็นทัศนะของ บุรุษท่านหนึ่ง ... ในแขนงอื่น น่ะ

:b1:

เป็น...บทที่แหวกม่านหมอกอย่างชนิดที่ว่า...นึกไม่ถึง...

นั่งอ่าน ก็ยังทำหน้างงเป็นไก่ต้ม ตาค้าง... อิ อิ :b24:

มันคือ concept ที่หักล้างความเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างลงอย่างสิ้นเชิง...

....

หนังสือเล่มนั้น มีผู้อ่านเป็นจำนวนมาก
แต่เอกอนก็ไม่รู้ว่า บทความท่อนนั้น ๆ มีผู้สะดุดตา สักกี่คน...
...

เมื่อมาเจอ ผู้ที่ใช้คำกล่าว สะท้อน concept นั้นขึ้นมา...
เอกอนก็เลย... อิ อิ :b16:



แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 119 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร