วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 20:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขณะอยู่ในอารมณ์ภาวนา จะเห็นว่า มีตัวหนึ่งรับรุ้เรื่องราวทางทวารทั้ง 6 และมีอีกตัวเป็นผู้ประกอบ

กันให้สมบูรณ์ และมีอีกตัวเป็นผู้ตัดสิน และมีตัวอื่น ๆ อีกหลายตัวไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แต่รู้อยู่ว่ามัน

เป็นคนละส่วนกัน แต่ประกอบกัน เกิดขึ้นแทบจะพร้อม ๆ กัน แรก ๆ ภาวนานะไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่

ว่า "กำลังเห็น" "กำลังได้ยิน" ฯลฯ (สติปัฎฐาน) สติมั่นคง มีความคล่องแคล่ว คล่องตัว ชำนาญมาก

เข้า จะเห็นว่าในสิ่งที่เรียกว่า "กำลังเห็น" จะค่อย ๆ แยกออกให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้มีแค่จิตเดียว

แต่เป็นหลาย ๆ อย่างประกอบกัน(อาจเป็นจิตแต่ละดวงแต่เห็นไม่ทัน) ประชุมกัน ให้เป็นสภาวะ 1

สภาวะ หรือเป็นการรับรุ้ 1 ขณะ อยากเห็นก็จะไม่ได้เห็น อยากรู้จะไม่ได้รู้ คิดด้นเดาจะได้แค่คิด

เรียนคัมภีร์จะได้แค่เรียน อันนี้สำหรับตัวผมเองรู้เอง ไม่ได้กล่าวหาว่ากล่าวผู้ใด


คุณอิสระครับ

ตกลงที่คุณพูดมานั้น คุณเองยังไม่แน่ใจเลยสักอย่าง คุณพูดเองเออเองอยู่คนเดียวใช่มั้ยครับ???
ผมถามไปแล้วคุณค่อยๆหาคำตอบแล้วคุณก็จะรู้เองเห็นเองครับ

ใครหรืออะไรที่รับรู้เรื่องราวทางทางทวารทั้ง๖ครับ??? ใช่จิตที่เป็นธาตุรู้ หรือกายที่ตายเน่าเข้าโลงครับ???

มีที่ไหนในโลกครับที่เป็นผู้ประกอบการเองรู้ทุกอย่าง แต่กลับไปให้ใครก็ไม่รู้ตัดสินใจอีกที เป็นไปได้
หรือครับ???
แสดงว่าเหตุที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดพร้อมกันใช่มั้ยครับ??? แต่เกิดติดต่อกันเร็วมากใช่มั้ยครับ???
ตอนที่มันเกิดขึ้นแทบจะพร้อมกัน คุณรู้มั้ยครับ??? ถ้าไม่รู้คุณคงนำมาบอกไม่ได้หรอกครับ
เพียงแต่การเกิดขึ้นเหล่านั้นเร็วมาก จนคุณรู้รายละเอียดไม่ทันใช่มั้ยครับ???

แล้วคุณพูดได้ยังไงหละครับว่าสติมั่นคง มีความคล่องแคล่ว คล่องตัว ชำนาญมากเข้า
ถ้าคุณอยู่ในสภาวะ สติมั่นคง มีความคล่องแคล่ว คล่องตัว ชำนาญมากเข้าจริงๆ
คุณต้องรู้อยู่เห็นอยู่ตลอดเวลาของการปฏิบัติภาวนาอยู่นั้น
และย่อมรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น และอะไรดับไปจากจิตครับ???

ไม่ใช่พูดแบบกำๆกวมๆอยู่แบบนี้หรอกครับว่า
"ไม่ได้มีแค่จิตเดียว แต่เป็นหลาย ๆ อย่างประกอบกัน(อาจเป็นจิตแต่ละดวงแต่เห็นไม่ทัน)"
ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า คุณพูดแบบเดาสวดทั้งสิ้นใช่มั้ยครับ???

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 20:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขอขมา ขออภัย ขอโทษ ขออโหสิ อย่าได้โกรธเคืองกันอีกเลย เพื่อประโยชน์ มิใช่เพื่อโทษ
ขัดเคืองขุ่นข้อง ขออดโทษไว้แต่ผมผู้เดียว

สิ่งที่ผมเห็น ผมก็ว่ามันเป็นของจริง ท่านอื่นไม่ได้เห็นกับผมเพราะตาคนละดวงกันจิตคนละดวงกัน

ท่านก็ว่าของปลอม ไม่จริง ไม่ใช่ของจริง ต่อเมื่อเห็นเองรู้เอง แจ้งเองนั่นแหล่ะจึงเรียกได้เต็มที่ว่า "

จริง"

ผิดพลาดอย่างไร ผู้รู้โปรดชี้แจงแนะนำด้วยครับ เพื่อความถูกต้องและตรง
ตำหนิ กล่าวโทษกันแล้ว ได้โปรดชี้แจงแนะนำข้อที่ถูกด้วยครับ เพื่อความรู้ความเข้าใจของผุ้ถูกตำหนิ

กล่าวโทษ เพื่อการชำระสำรอกออกให้ขาวรอบ

อนุโมทนาล่วงหน้าครับ

เจริญในธรรม


คุณอิสระครับ

คุณต้องสารพัดขอไปเพื่ออะไรครับ ถ้ากลัวว่าจะเป็นโทษก็อย่าพูดสิครับ จะได้ไม่ต้องมีโทษ
เมื่อคิด(จิตส่งออก)ที่จะพูด ก็ควรยืนอยู่บนหลักเหตุผลที่เป็นไปได้ ตามความเป็นจริงใช่มั้ยครับ???

คุณพอจะบอกได้มั้ยว่า ที่คุณรู้เห็นว่ามันเป็นของจริงนั้นหนะ
คุณใช้จิตดวงไหนครับที่คุณรู้เห็นอยู่ เพราะจิตคุณมีหลายดวงเหลือเกินครับ

คุณพูดว่า "ผมก็ด้นเดาเอาตามประสาผู้ยังไม่รู้แจ้ง ไม่ได้กล่าวตู่ประพุทธองค์"
แต่ในตอนท้ายคุณกับพูดว่า
"สิ่งที่ผมเห็น ผมก็ว่ามันเป็นของจริง ท่านอื่นไม่ได้เห็นกับผมเพราะตาคนละดวงกันจิตคนละดวงกัน

ท่านก็ว่าของปลอม ไม่จริง ไม่ใช่ของจริง ต่อเมื่อเห็นเองรู้เอง แจ้งเองนั่นแหล่ะจึงเรียกได้เต็มที่ว่า
"จริง"

แสดงว่า คุณเป็นผู้รู้แจ้งแล้วใช่มั้ยครับ จึงกล้ายืนยันว่าเป็นของ "จริง"

ผมถามนะครับว่า จิตที่มืดดำอยู่ทุกวันนี้เพราะอวิชชาครอบงำจิตอยู่จนดำมืดใช่มั้ยครับ???
เมื่อมีการชำระสำรอกออกให้ขาวรอบ อะไรหละครับที่ขาวรอบเพราะความดำมืดหายไปหละครับ???

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 20:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์เกิดขึ้นที่ไหน...ความดับทุกข์ก็เกิดขึ้นที่นั้น
สา....ธุ


จิตอยู่ที่ไหน.....สติก็จะอยู่ด้วยที่นั่น

สติอยู่ที่ไหน.....สมาธิก็จะอยู่ด้วยที่นั่น

สมาธิอยุ่ที่ไหน.....ปัญญาก็จะอยู่ที่นั่น

ปัญญาอยู่ที่ไหน.....ศีล(เจตนางดเว้น)ก็จะอยู่ที่นั่นด้วย

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มาให้กำลังใจคุณอิสระ

ดูไปเถอะครับ ดูจิต
เรามารวมหัวกันชั่ว รวมหัวหันโง่

ให้คนดี คนแลาด มันกัดลิ้นตายเพราะเราโง่ เราชั่ว

:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 08:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
มาให้กำลังใจคุณอิสระ

ดูไปเถอะครับ ดูจิต
เรามารวมหัวกันชั่ว รวมหัวหันโง่

ให้คนดี คนแลาด มันกัดลิ้นตายเพราะเราโง่ เราชั่ว

:b32:

คุณชาติสยามครับ

คุณจะสุมหัวกับใครก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอกนะครับ
แต่คุณจะดูจิต คุณรู้จักจิตที่แท้จริงดีแล้วหรือครับ???

คนดี คนฉลาด เค้ารู้จักเดินตามรอยพระบาท เพื่อความพ้นทุกข์
ผิดกับคนเขลา ที่คิดว่าตนเองฉลาดเกินพระบรมครู
เชื่อแต่อัตโนมัติอาจารย์จนโงหัวไม่ขึ้น ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าชอบโกหก...เชื่อเข้าไปได้

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 20:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อิสระ เขียน:

ตัดสมมติออก ตัดบัญญัติออก ตัดรูปแบบออก ทำลายกรอบออกให้สิ้น วางทิฏฐิถือตัวถือโน่นนี่ออกให้สิ้น เหลือแต่การรับรู้สภาวะล้วน ๆ ค่อย ๆ สังเกตุดี ๆ (ในขณะภานา) เมื่อมีสติรุ้อยู่ ก็เหมือนมีอะไรแสดงตัวแสดงตนขึ้นมาเป็นผู้รู้ แม้แต่ขาดสติใช้ชีวิตประจำวันไป จะมีคล้าย ๆ อะไรซักอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายในทุกกิริยาการกระทำ ลักษณะคล้ายตัวเชื่อมหรือคล้าวกาวเหนียวที่ทำหน้าที่ให้ยังคงมีกายมีใจ มีการรับรุ้ มีการนึกคิดเป็นเรื่องเป็นราวได้อยู่ไม่ขาดสาย ตัวมันเองไม่มีภาษาแต่เป็นผุ้กำหนดภาษาว่าจะออกมาอย่างไร เป็นตัวกำหนดว่าให้ออกมาเป็นวาจาว่า กู หรือ กระผม ให้ออกมาเป็นการกระทำว่าโยนทิ้งหรือค่อย ๆ วางลงเบา ๆ เป็นตัวกำหนดว่าเมื่อเห็นแล้วอยากหรือไม่อยาก เมิ้นหน้าหนีหรือจ้องมองต่อไป เป็นตัวกำหนดว่าทำหน้าบึ้งตึงหรือยิ้มแย้มแจ่มใส ฯลฯ

ผมเรียกมันว่า "ตัวกูของกู" ท่านอื่นจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ตรงต่อสภาวะก็ใช้ได้แล้ว
เรียกให้สูงส่งก็ต้องแปลกันหลายชั้นหลายซ้อน อธิบายกันยืดยาวเอาแบบนี้ละกัน "ตัวกูของกู" อย่างนี้ละกันเข้าใจง่ายดี (สำหรับท่านอื่นจะอย่างไรก็ไม่ว่ากัน โตไผโตมัน)

.สิ่งนี้อยู่เบื้องหลังทุกการกระทำ ทุกความคิด ทุกวาจา


..เป็นผู้รู้.. :b8:
..สิ่งนี้อยู่เบื้องหลังทุกการกระทำ .. :b8:

สาธุ..
เชื่อว่า..สิ่งนี้..ตายไม่เป็น

อ้างคำพูด:

ขณะอยู่ในอารมณ์ภาวนา จะเห็นว่า มีตัวหนึ่งรับรุ้เรื่องราวทางทวารทั้ง 6 และมีอีกตัวเป็นผู้ประกอบกันให้สมบูรณ์ และมีอีกตัวเป็นผู้ตัดสิน และมีตัวอื่น ๆ อีกหลายตัวไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แต่รู้อยู่ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน แต่ประกอบกัน เกิดขึ้นแทบจะพร้อม ๆ กัน แรก ๆ ภาวนานะไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่ว่า "กำลังเห็น" "กำลังได้ยิน" ฯลฯ (สติปัฎฐาน) สติมั่นคง มีความคล่องแคล่ว คล่องตัว ชำนาญมากเข้า จะเห็นว่าในสิ่งที่เรียกว่า "กำลังเห็น" จะค่อย ๆ แยกออกให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้มีแค่จิตเดียว แต่เป็นหลาย ๆ อย่างประกอบกัน(อาจเป็นจิตแต่ละดวงแต่เห็นไม่ทัน) ประชุมกัน ให้เป็นสภาวะ 1 สภาวะ หรือเป็นการรับรุ้ 1 ขณะ อยากเห็นก็จะไม่ได้เห็น อยากรู้จะไม่ได้รู้ คิดด้นเดาจะได้แค่คิด เรียนคัมภีร์จะได้แค่เรียน อันนี้สำหรับตัวผมเองรู้เอง ไม่ได้กล่าวหาว่ากล่าวผู้ใด

อนุโมทนาล่วงหน้าครับ

เจริญในธรรม

สาธุ..
กระบวนการทำงานของขันธ์ทั้ง 5 นะครับ..
มีงาน..มันก็ทำ..ไม่มีงานทำมันก็หยุด

แล้วเคยให้มันบางตัวหยุดทำงาน(ชั่วคราว)ไหมครับ??..

เคยลองทำนะครับ...อันนี้ก็ไม่รู้มีในตำราหรือเปล่านะ :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อิสระ เขียน:

ตัดสมมติออก ตัดบัญญัติออก ตัดรูปแบบออก ทำลายกรอบออกให้สิ้น วางทิฏฐิถือตัวถือโน่นนี่ออกให้สิ้น เหลือแต่การรับรู้สภาวะล้วน ๆ ค่อย ๆ สังเกตุดี ๆ (ในขณะภานา) เมื่อมีสติรุ้อยู่ ก็เหมือนมีอะไรแสดงตัวแสดงตนขึ้นมาเป็นผู้รู้ แม้แต่ขาดสติใช้ชีวิตประจำวันไป จะมีคล้าย ๆ อะไรซักอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายในทุกกิริยาการกระทำ ลักษณะคล้ายตัวเชื่อมหรือคล้าวกาวเหนียวที่ทำหน้าที่ให้ยังคงมีกายมีใจ มีการรับรุ้ มีการนึกคิดเป็นเรื่องเป็นราวได้อยู่ไม่ขาดสาย ตัวมันเองไม่มีภาษาแต่เป็นผุ้กำหนดภาษาว่าจะออกมาอย่างไร เป็นตัวกำหนดว่าให้ออกมาเป็นวาจาว่า กู หรือ กระผม ให้ออกมาเป็นการกระทำว่าโยนทิ้งหรือค่อย ๆ วางลงเบา ๆ เป็นตัวกำหนดว่าเมื่อเห็นแล้วอยากหรือไม่อยาก เมิ้นหน้าหนีหรือจ้องมองต่อไป เป็นตัวกำหนดว่าทำหน้าบึ้งตึงหรือยิ้มแย้มแจ่มใส ฯลฯ

ผมเรียกมันว่า "ตัวกูของกู" ท่านอื่นจะเรียกว่าอย่างไรก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ตรงต่อสภาวะก็ใช้ได้แล้ว
เรียกให้สูงส่งก็ต้องแปลกันหลายชั้นหลายซ้อน อธิบายกันยืดยาวเอาแบบนี้ละกัน "ตัวกูของกู" อย่างนี้ละกันเข้าใจง่ายดี (สำหรับท่านอื่นจะอย่างไรก็ไม่ว่ากัน โตไผโตมัน)

.สิ่งนี้อยู่เบื้องหลังทุกการกระทำ ทุกความคิด ทุกวาจา


..เป็นผู้รู้.. :b8:
..สิ่งนี้อยู่เบื้องหลังทุกการกระทำ .. :b8:

สาธุ..
เชื่อว่า..สิ่งนี้..ตายไม่เป็น

อ้างคำพูด:

ขณะอยู่ในอารมณ์ภาวนา จะเห็นว่า มีตัวหนึ่งรับรุ้เรื่องราวทางทวารทั้ง 6 และมีอีกตัวเป็นผู้ประกอบกันให้สมบูรณ์ และมีอีกตัวเป็นผู้ตัดสิน และมีตัวอื่น ๆ อีกหลายตัวไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แต่รู้อยู่ว่ามันเป็นคนละส่วนกัน แต่ประกอบกัน เกิดขึ้นแทบจะพร้อม ๆ กัน แรก ๆ ภาวนานะไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่ว่า "กำลังเห็น" "กำลังได้ยิน" ฯลฯ (สติปัฎฐาน) สติมั่นคง มีความคล่องแคล่ว คล่องตัว ชำนาญมากเข้า จะเห็นว่าในสิ่งที่เรียกว่า "กำลังเห็น" จะค่อย ๆ แยกออกให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้มีแค่จิตเดียว แต่เป็นหลาย ๆ อย่างประกอบกัน(อาจเป็นจิตแต่ละดวงแต่เห็นไม่ทัน) ประชุมกัน ให้เป็นสภาวะ 1 สภาวะ หรือเป็นการรับรุ้ 1 ขณะ อยากเห็นก็จะไม่ได้เห็น อยากรู้จะไม่ได้รู้ คิดด้นเดาจะได้แค่คิด เรียนคัมภีร์จะได้แค่เรียน อันนี้สำหรับตัวผมเองรู้เอง ไม่ได้กล่าวหาว่ากล่าวผู้ใด

อนุโมทนาล่วงหน้าครับ

เจริญในธรรม

สาธุ..
กระบวนการทำงานของขันธ์ทั้ง 5 นะครับ..
มีงาน..มันก็ทำ..ไม่มีงานทำมันก็หยุด

แล้วเคยให้มันบางตัวหยุดทำงาน(ชั่วคราว)ไหมครับ??..

เคยลองทำนะครับ...อันนี้ก็ไม่รู้มีในตำราหรือเปล่านะ :b12: :b12:


ตัวหนึ่ง ตัวหนึ่ง ตัวหนึ่ง ตัวหนึ่ง
จุ๊ จุ๊ จุ๊ จุ๊
ลูกโป่งหลายร้อยลูก บรรจุฝุ่นสีไว้ภายในเหมือนและแตกต่างกันไป
เมื่อยิงขึ้นไปบนฟ้า มันจะแตกตัวบนอากาศ
ลูกโป่งสิบลูก นั้นถูกยิงขึ้นไปบนฟ้าทีละลูกอย่างต่อเนื่องกัน
การแตกจะเกิดอย่างต่อเนื่องกัน
ถามว่า จะปรากฎฝุ่นบนท้องฟ้าเช่นไร
และ ฝุ่นบนท้องฟ้าจะจางคลายไปเช่นไร...

:b8: ราตรีสวัสดิ์ ท่านอ๊บ อ๊บ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 22:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อิสระ เขียน:
ตัดสมมติออก ตัดบัญญัติออก ตัดรูปแบบออก ทำลายกรอบออกให้สิ้น วางทิฏฐิถือตัวถือโน่นนี่ออกให้สิ้น เหลือแต่การรับรู้สภาวะล้วน ๆ


ขออนุโมทนาครับ

ผมฟังแค่นี้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกับคุณอิสระอีก

ขออนุโมทนาและให้กำลังใจปฏิบัตินะครับ

เราทำเหมือนกัน จับจุดอันเดียวกันเป้นหลักภาวนา
ถ้ามันจะชั่ว จะโง่ จะลงเหว อย่างเขาว่า
เราก็คงจะได้ชั่ว ได้โง่ ได้ลงเหวด้วยกัน

โอย สบายใจ ได้เจอคนภาวนาผิดอีกคนแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 02:18
โพสต์: 22

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอภาวนาผิดด้วยคนกั๊บ

อิอิ

.....................................................
ธรรมดาๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2010, 07:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 10:07
โพสต์: 86

แนวปฏิบัติ: เงียบๆคนเดียว
งานอดิเรก: ฟังธรรมของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย&หลวงพ่อปราโมทย์.
สิ่งที่ชื่นชอบ: ตามดูจิต,หลวงปู่ฝากไว้,สติปัฏฐาน ๔
ชื่อเล่น: Mulan ;)
อายุ: 0
ที่อยู่: ปัจจุบัน

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงปู่สอนศิษย์ ของหลวงปู่บุดดา ถาวโร


"ระวัง..อย่าไปเรียนอวิชานะ เรียนวิชาต้องเรียนให้..หายโกรธ หายหลง..หายลืมนะ"

“คนเรานั้นมันบ้า ขี้ออกจากตูดแล้ว ก็ยังยึดว่าขี้ของกูอีก”
“ขี้ของใครว่ะ? เหม็นตายห่า”

พอดีเจ้าของขี้ได้ยินเข้า โมโหใหญ่ “มึงมาด่าขี้กูเหม็นทำไมวะ!”
อีกคนบอกว่า “กูไม่รู้นี่หว่าว่า ขี้ของมึง”

ทั้ง ๒ คนก็เลยทะเลาะกันใหญ่

“ดูซิคนเรา แม้แต่ขี้ของมันถ่ายออกมาแล้ว ใครมาว่ามันก็ยังโกรธ นั่นแหละความหลง”






แก้ไขล่าสุดโดย ลิ้มธรรม เมื่อ 20 ส.ค. 2010, 07:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2010, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2009, 20:09
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อิสระ เขียน:
อนุโมทนาคุณชาติสยามครับ :b1:

"คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ หยุดคิดนั่นแหล่ะถึงรู้"



อนุโมทนาคุณธรรมภูต :b1:
ได้หลายกระบุงเลยครับ (หมายถึงมานะอัตตาตัวเองที่มันกำลังกระเพื่อมในจิตในใจผมเองแหล่ะ มะเกี่ยวกับใคร)
คุณธรรมภูต ยังไม่ใช่กัลยาณมิตรที่ควรคบหาแลกเปลี่ยนธรรมเท่าไหร่นะ (กัลยาณมิตร สหายธรรมที่ดี ท่านชื่มยินดีเมื่อเหมาะเมื่อควร ติเพื่อก่อ ชี้แนะข้อผิดพลาดซึ่งกันและกัน ให้กำลังใจกันในทางเจริญ ฯลฯ)
หากท่านเป็นผู้ทรงปริยัติก็ยก อรรถคาถา พระสูตรมาแสดงให้เห็นกัน
หากท่านเป็นผู้ทรงปฏิบัติก็ยกเอาสภาวะธรรมที่ตนพบเจอ ที่ได้มีประสบการณ์แล้วมาแลกเปลี่ยนกัน

มิใช่เอามานะอัตตามาอวดกัน ไม่ดีไม่ดี
คนทั้งโลกเขาก็เอามานะอัตตามาอวดกันคับโลกไปหมดแล้ว เรามาช่วยกันลดมานะอัตตาลงกันดีกว่ามั้ยครับ ท่านผู้อ่านเห็นด้วยกับผมมั้ย

ติเพื่อก่อ เพื่อสร้างสรรค์ นั่นแหล่ะทางเจริญ
ติเพื่อทำลาย นั่นแหล่ะทางเสื่อม เสื่อมทั้งผู้ติทั้งผู้ถูกติ

ถามกลับบ้างนะครับ

ขณะ อ่านข้อความอยู่นี้ ใจเป็นยังไงครับ?
ขณะ อ่านข้อความอยู่นี้ กายเป็นยังไงครับ?

ผมตอบคำถามนี้กับตัวเองวันละหลาย ๆ ครั้งเลยล่ะ
คุณธรรมภูตตอบคำถามสองข้อได้นี้มั้ยครับ :b1:
ตอบได้ก็อนุโมทนาสาธุครับ

เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ครับ

คุณอิสระครับ

ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันนะครับว่า การเป็นกัลยาณมิตรที่ดีนั้น ต้องพูดเพาะๆไพเราะหวานหู
ต้องพูดยกยอกันเอง ทั้งที่รู้ว่า ที่คุณพูดมานั้น เป็นเพียงสัญญา(ปัญญาทางโลก)เท่านั้น

มีที่ไหนครับคนที่ผ่านการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนามาจริงๆบ้างแล้ว
จึงเห็นจิตตั้งหลายดวงเกิดๆ-ดับๆ สภาวะเช่นนั้นเป็นการคิดเองเออเองทั้งนั้น

คุณเอาแต่พูดในสิ่งที่คุณอยากพูดอยากโชว์เท่านั้น ผมจำเป็นต้องอวยไปกับคุณด้วยหรือครับ
ถ้าสิ่งที่คุณพูดมาเป็นผลของการปฏิบัติจริง คุณต้องตอบคำถามที่ผมถามไปแล้วครับ

ไม่ใช่กลับมาใช่คำพูดแดกดันผมอยู่แบบนี้หรอกครับ ที่ผมถามนั้นเป็นการปฏิบัติล้วนๆนะครับ

เมื่อคุณกล้าถามผมมา ผมก็ขอตอบไปตามที่พอมีเหตุมีผลรองรับ

อ้างคำพูด:
ขณะ อ่านข้อความอยู่นี้ ใจเป็นยังไงครับ?
ขณะ อ่านข้อความอยู่นี้ กายเป็นยังไงครับ?


ขณะอ่านอยู่ ก็รู้อยู่เห็นอยู่ว่า ใจคืออายตนะหนึ่งในหกอายตนะที่เป็นช่องทางของจิตในการรับรู้อารมณ์
ใจมีธรรมชาติชอบออกรับรู้ธรรมมารมณ์ที่เข้าช่องทางต่างๆอีก๕ช่องทางเข้ามาสู่จิต
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ควรต้องปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาให้จิตมีกำลังในการหยุดคิดซะ
จิตก็จะรู้อยู่ที่รู้เท่านั้นเอง

ส่วนกายนั้น เป็นภพที่อาศัยของจิต กายก็เหมือนบ้าน จิตก็คือผู้อาศัย บ้านมีช่องทางอยู่๖ช่องทาง
ผู้อาศัยก็ไม่ใช่บ้าน บ้านก็ไม่ใช่ผู้อาศัย ต่างก็อาศัยซึ่งกันและกันเท่านั้น
คุณถามว่ากายเป็ยังไง กายก็คือกาย เป็นเพียงธาตุมาประชุมรวมกันเท่านั้น(ตำราว่าไว้อย่างนั้น)
คุณจะรู้จักกายไปทำไม??? ทำไมไม่ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนาเพื่อรู้จักกายในกายหละ???
จึงจะเกิดประโยชน์ เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เป็นปัญญาที่แท้จริง ไม่ใช่สัญญาครับ

ผมจะเอาที่ผมเคยตอบไว้มาแสดงไว้ให้พิจารณาดูกันเอาเองครับ

การดูกายนั้น ก็เท่ากับ เราได้ดูจิตไปในตัวแล้ว
เช่นเดียวกับการดูจิตนั้น เราต้องมาดูที่กาย
จึงจะทำให้เราเห็นจิตและอาการของจิตได้อย่างชัดเจน

เพราะจิตไม่มีรูปร่างให้เราแลเห็นด้วยตาหรือจับต้องได้
เมื่อจิตไปรู้อยู่ที่ไหนในส่วนใดของกาย ก็เท่ากับเราดูจิตอยู่ที่นั่น

เมื่อรู้อยู่ที่ไหน จิตก็อยู่ที่นั่น
ถ้าไปรู้อยู่ที่เรื่อง จิตก็ผสมกับอารมณ์ไปเรียบร้อยแล้ว

การที่ให้มาภาวนารู้อยู่ที่กายนั้น
เป็นการให้จิตรู้จักไตรลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็นที่กาย
จิตจะได้ปล่อยวางขันธ์ ๕ ได้ง่ายขึ้น ครับ

ธรรมภูต


ปล.คุณถามผมมาผมก็ตอบให้แล้วนะครับ แล้วที่ผมถามๆไป คุณไม่เคยคิดจะตอบเลยหรือครับ

:b39:

.....................................................
ความเพียรมีผล ความพยายามมีผล
เชิญพบปะพูดคุยกับธรรมภูต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2010, 19:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:

ตัวหนึ่ง ตัวหนึ่ง ตัวหนึ่ง ตัวหนึ่ง
จุ๊ จุ๊ จุ๊ จุ๊
ลูกโป่งหลายร้อยลูก บรรจุฝุ่นสีไว้ภายในเหมือนและแตกต่างกันไป
เมื่อยิงขึ้นไปบนฟ้า มันจะแตกตัวบนอากาศ
ลูกโป่งสิบลูก นั้นถูกยิงขึ้นไปบนฟ้าทีละลูกอย่างต่อเนื่องกัน
การแตกจะเกิดอย่างต่อเนื่องกัน
ถามว่า จะปรากฎฝุ่นบนท้องฟ้าเช่นไร
และ ฝุ่นบนท้องฟ้าจะจางคลายไปเช่นไร...

:b8: ราตรีสวัสดิ์ ท่านอ๊บ อ๊บ


กระผมมันไม่ค่อยฉลาด..ไม่เข้าใจเซน..หรอกครับ.. :b12: :b12:
ราตรีสวัสดิ์ :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2010, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมภูต เขียน:

ผมจะเอาที่ผมเคยตอบไว้มาแสดงไว้ให้พิจารณาดูกันเอาเองครับ

การดูกายนั้น ก็เท่ากับ เราได้ดูจิตไปในตัวแล้ว
เช่นเดียวกับการดูจิตนั้น เราต้องมาดูที่กาย
จึงจะทำให้เราเห็นจิตและอาการของจิตได้อย่างชัดเจน

เพราะจิตไม่มีรูปร่างให้เราแลเห็นด้วยตาหรือจับต้องได้
เมื่อจิตไปรู้อยู่ที่ไหนในส่วนใดของกาย ก็เท่ากับเราดูจิตอยู่ที่นั่น


เอ๊ะยังไง ถึงเวลาทฤษฏี
ก็ค้านไปต่างๆนาๆสารพัด เป็นวรรค เป้นฉาก

แต่เวลาปฏิบัติ ดันมาทำเหมือนพวกโง่ๆอย่างผม

ที่คุณพูดมาน่ะ พวกโง่ๆอย่างผมเขาทำกันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2010, 19:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้า..อย่างนี้เรียกว่า..โง่ :b32:
แล้ว..อย่างเรา..จะเรียกว่าอะไรหว่า :b7: :b7:

โค..ตะ..ระ....ละมั้งเรา
:b12: :b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 20 ส.ค. 2010, 20:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2010, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

กระผมมันไม่ค่อยฉลาด..ไม่เข้าใจเซน..หรอกครับ.. :b12: :b12:
ราตรีสวัสดิ์ :b16:


อ๊ะ ท่านอ๊บ อ๊บบบซ์
เซน เซิน อะไรกันเล่า...อิ อิ
ก็พออ่านกระทู้มาถึงตรงท่านอ๊บ อ๊บซ์
เอกอนก็นึกไปถึงการสร้างสรรค์งาน ศิลป....บนกำแพง... :b12:

กะว่าสีที่เหลือจากการทาสีบ้านแล้ว จะเอามาทำสีกำแพงบ้าน

อิ อิ :b9:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 118 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร