วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 104 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


เข้าใจแล้ว...
อนุโมทนาค่ะท่าน :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 12:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


เล่าอีกซิค่ะ ทำไมเค้าถึงบอกว่า ถ้ารู้ถ้าเห็นแล้วเล่าไม่ได้ล่ะค่ะ
บางครั้งเราไปอ่านที่เว๊บอื่น เค้าก็เล่ากันเยอะแยะไป
เราคิดว่าที่เค้าเล่าคือเรื่องจริงน่ะ
เอาเป็นว่า ตอนนี้เรานั่งรอคุณเจโตวิมุติ เล่าต่อแล้วกัน :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 13:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ส.ค. 2010, 09:31
โพสต์: 16

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:


เรื่องฌาน เป็นการฝึกสมาธิถึงขั้น นั่งนิ่งเหมือนก้อนหินเป็นเวลานาน ๆ โดยมีความสงบ และยังช่วยรักษาโรคให้กับผู้เข้าฌานได้ด้วย ผู้ถึงฌาน จะไม่ค่อยเจ็บป่วย เพราะร่างกายทนกับสถาวะต่างๆได้ คือผ่านความเจ็บปวดมากๆ มาแล้ว มีแต่สภาวะที่เป็นความสุข เบา สบาย นิวรณ์ถูกดับไปแล้ว บางคนสามารถนั่งได้เป็นวันๆ เลย

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่บ้านตักเตือนแล้วให้ระวัง ว่าอย่าพูดเลยเรื่องนี้ อาจมีโทษมากกว่าประโยชน์เพราะคนเดี่ยวนี้ เขาสนใจว่าใครพูดมากกว่าความถูกต้องของคำกล่าวนั้น เอาเป็นว่า เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับการบวช และประสบการณ์เกี่ยวกับการทำสมาธิภาวนาของคนๆหนึ่งแล้วกัน อย่าไปถือว่าเป็นการแนะนำ เดี่ยวจะมีปัญหาอีก จะเล่าเป็นตอนๆไปตั้งแต่เริมต้นเตรียมตัวบวช จนกระทั่งจบที่เรื่องประสบการณ์ด้านฌานและการยกจิตขึ้นสู่วิปัสนาและจะจบแค่นั้น กี่ตอนก็ช่างเท่าที่เวลาว่างมีเพราะพิมพ์ไม่เก่ง
ตอนนั้นรู้สึกเป็นปี2538 -39มีความเหน็ดเหนื่อยกับงานเป็นอันมาก อายุก็ใกล้40เต็มที พ่อแม่สิ้นหมดแล้ว จึงนึกอยากลาบวชสัก3เดือน แต่คิดว่าจะให้เป็นการบวชที่เรียบง่ายและได้ประโยชน์ทางธรรมสูงสุด คิดจะบวชในสายกรรมฐาน โดยเริมต้นโดยการศึกษาแนวทางที่ตรงที่สุดของศาสนาพุทธ โดยอ่านหนังสือ3เล่มแรกของ อาจารย์พุทธทาส ชือ การนับถือศาสนาอย่างถูกวิธี เล่มที่สองชื่อ ทาน ศีล ภาวนาและเล่มสุดท้ายชื่อ บวชทำไมทำให้เข้าใจอะไรมากพอสมควร แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักก็หาตำราอื่นๆของอาจารย์ท่านอื่นๆอีกมากมาย เพื่อที่จะให้แน่ใจว่าใครสอนตรงตามพระไตรปิฎกมากที่สุด ปรากฎว่าอาจรย์ท่านอื่นที่เราเลื่อมใสส่วนใหญ่จะไม่ได้ถ่ายทอดคำสอน ด้วยตัวท่านเอง อาจเป็นเพราะท่านเหล่านั้น....ไม่อยากกล่าว เอาเป็นว่าคำสอนที่ถูกนำเสนอถูกลูกศิษย์หรือสำนักพิมพ์มาปรุงแต่ง เป็นเรื่องอิทธิฤทธิ์ ปาติหารย์ไปหมด เช่น ไปธุดงค์ เจอเสือ เสือไม่ทำร้าย ไม่พบชาวบ้านต้องอาศัยเทวดามาใส่บาตร ทำนองนี้ไม่ค่อยเน้นหลักปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของอาจารย์มั่น อยากได้ทราบคำสอนของท่านมาก และในใจก็มั่นใจว่าท่านนี้ บรรลุเป็นพระอรหันต์แน่นอน แต้อ่านเล่มไหนก็ล้วนเน้นเรื่องทำนองเดียวกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 23:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อตอน1) ก็เลยหันไปหาอาจาย์อื่นๆได้พบอีก2เล่ม เล่มหนึงชื่อ หัวใจกรรมฐาน รจนาโดยพระญาณโปนิคเถระ อาจารย์กรรมฐานชาวเยอรมันเชื้อสายยิว อีกเล่มหนึ่ง ถือว่าเป็นหนังสือที่มีคุณค่ามากทีสุด ชื่อ วิมุตติมรรครจนาโดยพระอุปติสสเถระ ซึ่งถือกันว่าเป็นอรหันต์ชาวลังกา ซึงก็น่าแปลกเพราะอาจารย์ทั้งสามท่าน หมายถึงรวมอาจารย์พุทธทาสของไทย ท่านอยู่คนละมุมโลก แต่ท่านสอนเหมือนกัน ตรงกัน และตรงตามพระไตรปิฎก คือเอกายโนมรรคโค ทางสายนี้เป็นทางสายเอก คือสติปัฎฐาน4 จึงคิดและตั้งใจว่าแนวนี้เอง คือสิ่งที่เราค้นหา
.....หลังจากนั้นคือการหาวัดที่จะบวช โดยเราตั้งใจมาก ต้องเป็นวัดปฎิบัติ ที่ไม่บังคับวิธี และเวลาในการปฎิบัติ เพราะเราตั้งใจไปปฏิบัติอยู่แล้ว ขอเพียงมีอาจารย์คอยแนะนำก็พอ จึงตัดสินใจไปบวชที่วัดชื่อวัดกระโจมทอง บางกรวยนี่เอง ซึ่งอาจารย์และอุปัฌชา ก็คือพระอาจารย์สุทัศน์โกว์สโล หลายท่านอาจเคยได้ยิน ท่านเรียบง่าย พูดน้อย ถึงเวลาสอนท่านก็สอน ใครจะเรียนก็ได้ ไม่เรียนก็ได้ท่านไม่บังคับ
ท่านมีเมตตาสูงมาก พระสงฆ์ทุศีลที่ถูกขับไล่มาจากที่อื่น ท่านก็เมตตาให้อาศัยอยู่ในส่วนที่จัดให้(ไม้ปะปนกับพระในวัด) เราบวชเงียบๆเรียบง่าย โกนหัวบวชกลางลานธรรม(ไม่มีโบสถ์)มีคนร่วมงานเพียงคนสนิท 4 คนเท่านั้นจริงๆ และเราเริ่มเป็นพระปฏิบัติตั้งแต่วันนั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2010, 00:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กิจของสงค์ในวันแรกๆก็คือหัดครองผ้า เรียนรู้ข้อห้าม 227ข้อ หัดบิณฑบาตร มีพระพี่เลี้ยงคอยสอนซึ่งจะสอนทุกๆเรื่อง จนถึงเดินจงกลม นั่งสมาธิท่านไม่สอนเพราะท่านบอกว่าตัวท่านเองนั่งสมาธิทีไร จะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ลอยมาทับ ต้องออกจากสมาธิทุกครั้ง ใครอยากเรียนให้ไปเรียนกับหลวงพ่อเอง
....กิจวัตรของเราช่วงแรกก็ตื่น ประมาณตี5 อาบน้ำครองผ้า เสร็จก็เดินผ่านสวนซึ่งมืดมากออกไปบิณฑบาตร ในหมู่บ้าน กฏที่ต้องปฏิบัติคือต้องสำรวมตา มองไปข้างหน้าไม่เกิน 7ก้าว ห้ามสอดส่ายสายตา ขณะเดินต้องแผ่เมตตาตลอดทางด้วยบทสัพเพ ศัตรา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์(เราเหยียบมดแมลงตลอดทาง) รับบาตรได้แค่คอบาตรแล้วให้หันกลับวัด ห้ามให้พรญาติโยมที่มาใส่บาตร(ถือว่าเป็นการติดสินบนญาตฺโยม เพราะญาตฺโยมจะได้บุญอยู่แล้ว หลังพระฉันท์เสร็จ และยถาสัพพี)กลับถึงวัด เอาอาหารไปรวมกันที่ศาลา เงินทีได้จะใส่ตู้ค่าน้ำค่าไฟ(รามีเงินเดือนอยู่แล้วจากที่ทำงาน) ประมาณ 7โมงครึ่งไปฉันท์อาหาร ฉันท์ตามที่มี เราไม่ปรุงรส ก่อนอิ่ม4-5คำให้หยุดฉันท์ แล้วดื่มน้ำให้อิ่มพอดี (หิวก็ทุกข์ อิ่มมากไปก็ทุกข์) อิ่มก่อนหันหน้าออกหาญาติโยมนั่งสมาธิรอ ยถาสัพพีพร้อมกัน หลังจากนั้นก็กลับกุฏิ เราได้กุฏิชั้นล่างติดกับธารน้ำ กลับถึงกุฏิ ก็นั่งสมาธิรอบแรกประมาณ45นาที ถึง ชั่วโมงครึ่ง แล้วออกมากวาดลานวัด อาบน้ำรอฉันท์เพล(เราไม่รับกิจนิมนต์ เพราะสวดไม่เป็น)ฉันท์เพลเสร็จกลับมาเดินจงกลมที่ลานจงกลมประมาณชั่วโมงกว่ากลับเข้ากูฏินั่งสมาธิรอบสองอีกหนึ่งชั่วไมง(วิธิและลายละเอียดจะเล่าทีหลัง)หลังจากนั้นพักผ่อนนอนหรือฟังเทปธรรมมะ(เรามีแทบทุกอาจารย์แต่ที่ฟังประจำคือของหลวงพ่อสุทัศน์ หลวงพ่อชา หลวงพ่อพุทธ หลวงพ่อสังวาลย์ ส่วนของท่านพุทธทาสใช้อ่านเอา ตรงไหนไม่เข้าใจข้ามไปก่อน) เย็นขึ้นไปสวดมนต์เย็นบนศาลาทุกวัน(เราบวชนอกพรรษา)หลังจากนั้นกลับกุฏิ ที่นี้แหละได้นั่งสมาธิให้หายอยากเสียที


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2010, 00:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อคราวหน้าวิธีและประสบการณที่ได้จากสมาธิ/เจริญในธรรม....เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2010, 01:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจโตวิมุติ เขียน:
ต่อคราวหน้าวิธีและประสบการณที่ได้จากสมาธิ/เจริญในธรรม....เจโตวิมุติ


รับทราบ คับป๋ม...

:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: (ต่อเรื่องสมาธิภาวนา) ก่อนจะกล่าวถึงเรื่องการทำสมาธิ ต้องพูดถึงการเดินจงกลมเสียก่อน
ปกติเราจะเดินจงกลมประมาณวันละ 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ในเวลาบ่ายโมงทุกวัน ซึ่งพระพี่เลี้ยงสอนว่าเป็นการทำสมาธิอย่างหยาบ (ความจริงประโยชน์มีมากกว่านั้นแต่มารู้ภายหลัง) การเดินจงกลมนั้นเริ่มต้นโดยประสานมือไว้ข้างหน้าหรือด้านหลังก็ได้ ก้าวเท้าขวาออกไปข้างหน้า ไม่ช้า-ไม่เร็ว ไม่สั้น-ไม่ยาว โดยขณะยกเท้าเอาจิตตามรู้ ย่างเท้าเอาจิตตามรู้ และเหยียบเท้าลงก็เอาจิตตามรู้ จะมีตัวภาวนาหรือไม่มีก็ได้ โดยภาวนาว่า ยก-ย่าง-เหยียบ และตามรู้ตลอดสายไป เมื่อเดินไปสุดทางซึ่งยาวประมาณ 10 เมตร ก็ต้องเลี้ยวกลับ โดยไม่ให้จิตหลุดจากอิริยาบทคือ โดยการเอาส้นเท้าขวาไปต่อที่ปลายเท้าซ้ายทำมุมทางขวา 90 องศา และเอาส้นเท้าซ้ายไปต่อที่ปลายเท้าขวาทำมุม 90 องศาอีกครั้งนึง ก็จะสามารถหมุนตัวกลับได้ โดยที่จิตไม่หลุดจากอิริยาบท เมื่อใดจิตหลุดจากอิริยาบทคือ ยก-ย่าง-เหยียบ ก็ให้ดึงจิตกลับมาที่ตัวภาวนาทุกครั้ง เมื่อทำบ่อยเข้า จิตก็จะแนบแน่นอยู่กับตัวภาวนาหรืออิริยาบท การเดินจงกลมนี้ใช้เวลา 1 ชั่วโมงก็ทำให้เหงื่อโทรมจนเปียกอังสะทีเดียว ที่บอกว่าการเดินจงกลมยังมีประโยชน์อื่นอีก ก็จะบอกเสียเลยว่า เป็นการออกกำลังกายของสงฆ์ เพราะสงฆ์ไม่สามารถออกกำลังกายด้วยวิธีอื่นได้ เมื่อร่างกายเลือดลมดีก็สามารถนั่งสมาธิได้ทนและยาวนานขึ้น นอกจากนั้นขณะเดินจงกลมจิตไปจดจ่ออยู่กับอิริยาบท ยก-ย่าง-เหยียบ ตลอดเวลาทำให้จิตไม่มีเวลามาปรุงแต่งเรื่องที่เป็นกุศลและอกุศลต่างๆ เป็นเวลาครั้งละนานๆ และบ่อยครั้งทุกวัน กิเลศอย่างหยาบก็ค่อยๆถูกขัดเกลาให้เบาบางลงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งการมีกิเลศที่เบาบางถือเป็นฐานสำคัญของการทำสมาธิ/เจริญในธรรม...เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 01:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: (ต่อเริ่มต้นการทำสมาธิแบบสมรรถกรรมฐาน)วันแรกของการบวชเราเหมือนม้าที่ถูกปล่อยจากจุดสตาร์ท ไม่ยอมเสียเวลา นั่งสมาธิตั้งแต่วันแรก และทำวันละ3รอบ ตรงเวลาเหมือนที่กล่าวข้างต้น โดยวิธิอานาปานสติแบบพระพุทธทาสสอน คือเตรียมสถานที่สัปปายะ อากาศสัปปายะและอาหารสัปปายะ (ไม่อิ่ม-ไม่หิวเกินไป) สถานที่กลางวันก็นั่งในกุฎิ ไม่มีใครกวน กลางคืนไปนั่งข้างนอกบ้างคือบนแคร่ใต้ต้นมะม่วงหันหน้าออกหาลำธาร วิธินั่งก็ต้องตั้งกายตรง(อุชุกายา) เริ่มกำหนดรู้ลมหายใจโดยหายใจยาวกว่าปกติ และช้ากว่าปกตินิดหน่อยก่อน แล้วเอาจิตไปจรดที่หัวลม(ปลายจมูก)เมื่อสูดลมเข้าจิตก็ตามรู้ลมหายใจเข้าไปถึงกึ่งกลางกาย เมื่อหายใจออกจิตก็วิ่งตามลมจากกึ่งกลางกายมาส่งลมที่ปลายจมูกแล้วรออยู่เพื่อตามรู้ลมหายใจเข้าไปถึงกึ่งกลางกายอีกในจังหวะต่อไปและตามส่งลมหายใจออกมาที่ปลายจมูกอีก ทำอย่างนี้ต่อเนื่องตลอดสาย ช่วงแรกทีหายใจช้าและยาวก่อนเพราะจิตยังไม่ชำนาญในการตามลมหายใจ ถ้าหายใจปกติจิตอาจตามลมหายใจไม่ทัน ถ้าทำจนเกิดความชำนาญแล้วก็บังคับจังหวะการหายใจให้เป็นธรรมชาติขึ้น จิตมีหน้าที่ตามรู้ลมหายใจเท่านั้น ตามให้ทันอย่าบังคับลมหายใจ(ถ้าบังคับลมหายใจจะเกิดความเครียดบางครั้งถึงปวดศีรษะ) และเมื่อไรจิดตามลมหายใจไม่ทันนิวรณ์ตัวหนึ่งคือความง่วงก็จะเข้าครอบงำจิต การภาวนาก็ดำเนินต่อไปไม่ได้ เมื่อไรก็ตามจิตหลุดจากลมหายใจ(ลมหายใจคือตัวกำหนด คือตัววิตกขององค์ฌานนั่นเอง) ก็ดึงจิตกลับมาเคลียคลอกับลมหายใจอีกทำอย่างนี้ตลอดการภาวนา(อาการเคลียคลอของจิตที่จดจ่ออยู่กับลมหายใจนี้คือตัววิจารย์ ขององค์ฌานตัวที่สอง) ระหว่างการตามลมหายใจนี้ จะมีตัวภาวนาหรือไม่มีก็ได้ เช่นหายใจเข้าภาวนาว่าพุทธ หายใจออกภาวนาว่าโธ( อย่างไรก็ตามคำภาวนานี้จะขาดหายไปเองเมื่อจิตเข้าสู่สภาววะสมธิระดับกลางคืออุปจารธสมาธิซึ่งจะกล่าวต่อไป)ช่วงแรกการทำสมาธิของเราก็คือการตามรู้ลมหายใจอย่างนี้วันละ3-4ชั่วโมง แต่ทีเขาบอกกันว่าบวช7วันนั้นไม่ค่อยได้บุญนั้นน่าจะมีส่วนจริงอยู่มากเพราะช่วง3-4วันแรก ทุกข์เรื่องปวดข้อ ปวดเข่า เหน็บชา มันมากเหลือเกิน สมาธิมันตั้งขึ้นไม่ค่อยได้เพราะจิตมันไม่สามรถเอาชนะทุกข์ดังกล่าว/ต่อวันอื่น....เจโตวิมุติ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 08:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
ดีจัง...คุณก็เล่าได้เรื่อย ๆ เพลิน ๆ ดี
เอกอนจะตามอ่าน เพราะเอกอนก็ไม่รู้หรอก
อยู่มาวันหนึ่งเอกอนมีอาการเหมือนคนที่ปฏิบัติธรรม
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่เคยปฏิบัติ งงเป็นไก่ตาแตก
บทจะโง่ บทมันจะคิดไม่ถึง มันจะนึกไม่ออก มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

การได้นั่งสบาย ๆ อ่านที่คุณเล่าสบาย ๆ
ทำให้เอกอนระลึกความหลังครั้งยังเป็นเด็กได้บ้าง...

ก็จริง ๆ
:b1: เอกอนก็น่าจะเป็นคนเริ่มจากเดินก่อน นะ
เดินเป็นเมตรแล้ววนบ้าง เดินเป็นกิโลเมตรบ้าง ...เดินเป็นชั่วโมง ๆ เลย
แบบว่าเป็นคนชอบบรรยากาศเงียบ ๆ เปลี่ยว ๆ มืด ๆ วิเวก ๆ
มีคนเคยไปเจอเอกอนทำลับ ๆ ล่อ ๆ ในความมืด
เขาก็บอกแม่ แม่ก็เลยเอ็ดเอาก็มี
แต่ก็ยังทำอยู่นั่นล่ะ...
คือ...ไม่ใช่แบบเดินกินลมชมวิว...
พอเดินปุ๊บ จิตมันจะมารับรู้การย่างเท้า ไปเอง

ก็เป็นสิ่งที่เอกอนชอบทำเป็นกิจวัตรเลยก็ว่าได้
ก็ไม่เคยคิด..จริง ๆ ว่าเป็นการเดินจงกรม

.....

:b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



จนกระทั่ง ชีวิตเจอเรื่องแปลก ๆ
สัมผัสที่พิลึก ๆ การรู้เรื่องราวบางอย่างที่พิลึก ๆ
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มักจะเกิดกับคนที่เชื่อในทางศาสนาน่ะ

แต่เอกอน...เปล่า เอกอนยังมองศาสนาในแง่มุมของความงมงาย

และเอกอนก็ไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยศึกษาทางด้านศาสนาด้วย
ก็เลย...นึกถึงแต่แววจะเข้าศรีธัญญา...ปรากฎ

โง่...ดี
กว่าจะหยิบหนังสือธรรมขึ้นมาศึกษา ก็นาน
แบบ... มันไม่ไหวแล้วจริง ๆ...



แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 29 ส.ค. 2010, 08:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:

จนกระทั่ง ชีวิตเจอเรื่องแปลก ๆ
สัมผัสที่พิลึก ๆ การรู้เรื่องราวบางอย่างที่พิลึก ๆ
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มักจะเกิดกับคนที่เชื่อในทางศาสนาน่ะ

แต่เอกอน...เปล่า เอกอนยังมองศาสนาในแง่มุมของความงมงาย

และเอกอนก็ไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยศึกษาทางด้านศาสนาด้วย
ก็เลย...นึกถึงแต่แววจะเข้าศรีธัญญา...ปรากฎ

โง่...ดี
กว่าจะหยิบหนังสือธรรมขึ้นมาศึกษา ก็นาน
แบบ... มันไม่ไหวแล้วจริง ๆ...



คุณเอรากอนเคยอ่านหนังสือเรื่องไผ่แดงของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไหมครับ

แล้วถ้าอยู่มาวันหนึ่งปรากฎว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไผ่แดงมาเกิดขึ้นจริงๆในชีวิตจริงของตนเอง ทั้งที่ตนเองไม่เชื่อเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์เลย จะเป็นอย่างไร

เหตุการณ์ตอนพระเยซูพบพระเจ้าในรูปของนกพิราบขณะทำพิธีศีลจุ่ม

เสียงของพระอะเลาะฮ์มอบให้ท่านโมฮัมหมัดเป็นพระศาสนาทูต

เหตุการณ์เหล่านี้มองเผินๆเป็นเรื่องแต่งขึ้นจากความศรัทธาของสาวกแห่งศาสนานั้นๆ

แต่ความจริงแล้วเหตุการณ์เล่านั้นเป็นจริง

ผมเชื่อเรื่องพิลึกที่คุณเอรากอนกล่าวถึงแต่บางอย่างเราพูดได้บางอย่างเราบอกคนอื่นไม่ได้

ในโลกของความจริง

บางครั้งสัจจธรรมกับธรรมะที่นักปริยัติถกกันอย่างเอาเป็นเอาตายห่างไกลกันลิบลับใช่ไหมครับ เอรากอน

ฉนั้นถึงแม้จะเป็นความจริงถ้าพูดออกไปก็กลายเป็นคนบ้าในสายตานักธรรมถึก

คุณเอรากอนเคยถามปัญหาตอนผมพเนจรขึ้นเหนือ ครานั้นผมเจอเมล์ให้ผมยุติการกล่าวถึงสิ่งที่ผมตามหา

เขาคงคิดว่าผมบ้า พูดเพ้อเจ้อ

ผมจึงหยุดพูด

เพราะทราบดีว่าความจริงบางครั้งก็บอกใครไม่ได้

เป็นตัวอย่างอีกเรื่องพิลึกหนึ่ง


ผมเคยคิดในใจว่า

ถ้าบังเอิญมีผู้บรรลุอรหันต์ให้มาสนทนาธรรมกัน

ผมว่าอาจตกม้าตายได้เช่นกัน

เอาแค่เรื่องสติปัฎฐานสี่ท่านก็จนตรอกแล้วถ้าท่านไม่ใช่นักอภิปรายสาธก



คุณเอรากอน

ถ้าลองมีใครสักคนยกเอาศาสนาพยากรณ์ที่ตรงกันหลายศาสนามาอ้างว่า

อานาคตทั้งศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม จะเป็นศาสนาแห่งอริยะธรรมที่เรียกว่าศาสนาแห่งพระศรีอริยะเมตไตรย์

ใครคนนั้นคงถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ



แต่ด้วยประสบการณ์อันพิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้นั้น

ผมเชื่อว่า

ศาสนาทุกศาสนามีรากฐานและจุดหมายปลายทางเดียวกันต่างกันแต่สรรพนาม

หากมีอริยบุคคลเกิดขึ้นท่านผู้นั้นจะสามารถสร้างความเชื่อความศรัทธาทำลายกำแพงทิฎฐิของสาวกเสขบุคคลของศาสนาต่างๆลงได้แน่นอน

ความจริงในโลกไม่มีศาสนาหรอกครับ

ศาสนาทั้งหลายที่เกิดขึ้นเกิดจากมิจฉทิฏฐิของบรรดาสาวกทั้งสิ้นไม่ยกเว้นแม้ศาสนาพุทธ


เรื่องพิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้นในตัวบุคคลผมว่ามีไม่น้อย และมีอยู่ทุกหนทุกแห่งทุกศาสนา

ในความพิลึกพิลั่นประกอบด้วยสัจจธรรมคือสัจจธรรมที่ผู้คนทุกศาสนาค้นหา

ที่เรียกว่าพิลึกพิลั่นเพราะเกิดขึ้นอย่างพิลึกพิลั่น

เหมือนฝนตกฟ้าร้องแทนที่จะเกิดขึ้นกับผู้แสวงหา ศึกษา ปฏิบัติ

แต่กับเกิดขึ้นกับใครสักคนที่ไม่รู้ตัวเลยว่ารู้จักสัจจธรรม

เมื่อเกิดขึ้นแล้วคุณเอรากอนคงรู้ลึกได้ว่าเมื่อนานวันผ่านไปคุณเอรากอนจะเข้าใจธรรมะที่เป็นแก่นธรรมมากขึ้น

คือแยกสภาวะธรรมออกจากจินตนาการได้มากขึ้นเรื่อยๆ

และจากผู้ไม่เชื่อไม่สนใจพระธรรมเลยกลายมาเป็นผู้ศึกษาธรรมอย่างตั้งใจ

บุคคลเช่นนี้มีมากมาย แต่ปัจจุบันไม่ใช่กาลเวลาที่จะเปิดเผยตน

แต่เมื่อวันหนึ่งที่เป็นวันมาถึงอีกวาระของโลกที่จะเกิดอริยธรรมบุคคลเหล่านี้จะเริ่มแสดงตนและเปิดเผยตัว

วันที่ไม่ต้องปิดบังตนเองหาผู้ที่เป็นเหมือนตนอย่างลับๆอีกต่อไป

พลังของพวกเขาทั้งหลายจะขับเคลือนอารยะธรรมของโลกยุคใหม่

โลกยุคใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยธรรม

เมือคนรู้จักสัจจธรรม

ลัทธิวัตถุนิยมก็เสื่อม

เงิน ทอง ลาภ ยศ สรรเสริญ จะมีคนส่วนน้อยที่ใส่ใจ


ใครก็อย่าคิดว่าเรื่องที่กล่าวมานี้เพ้อเจ้อ เพ้อฝัน

แต่จะเป็นยุคที่จะเกิดขึ้นจริงในอานาคตอย่างแน่นอน

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 19:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณMes ศาสนาทุกศาสนาที่สุดแล้วจะเป็นพุทธศาสนา..แต่เวลาที่เป็น..ไม่ตรงกัน
..ครับ :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


โหย... อ่านแล้วขนลุกเลย บรื๋อ...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 104 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร