วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 16:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 104 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 12:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2010, 07:19
โพสต์: 89


 ข้อมูลส่วนตัว


เจโตวิมุติ เขียน:
...วันหลังอย่าถามอะไรยากๆอย่างนี้อีกเชียว../.เจโตวิมุติ

ขออภัยๆๆ เพิ่งเห็น...
เชิญท่านฯ เล่าต่อให้จบ...เรทติ้งกะลังเเรง...นิมนต์เลย :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ต่ออีกนิดการยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา ความจริงสมรรถะกรรมฐานมันก็จบแค่ได้ฌาณนี่แหละ มาถึงจตุฌานนี้ มันรู้สึกหมดกิเลสหรือบรรลุไปแล้ว เพราองค์ฌาณนี้กดทับกิเลสอยู่ เหมือนหินทับหญ้าไว้(ที่เรียกวิขัมปนะประหารนั่นแหละ)ยิ่งเข้าฌานออกฌาณอยู่ทุกวัน กิเลสมั่นนิ่งสนิทจนหลงทีเดียวบางคนถ้าไม่ได้ศึกษามาก่อนบ้างจะคิดว่าตัวเองบรรลุไปแล้ว เหมือนผู้ปฎิบัติธรรมในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะค้นพบอริยะสัจ4 ก็มักมีการประกาศตัวว่าเป็นผู้บรรลุธรรม เพราะได้ฌาณ4 หรือบางคนได้ถึงฌาณ8 หรือแม้แต่อาจารย์สายปฏิบัตหลายท่าน ที่ลงจากเขามา เพราะเข้าใจว่าตนเองบรรลุธรรม ก็เพราะหลงในองค์ฌาณ แต่ไม่รู้หรือหาทางเข้าหรือรอยต่อ(การยกจิต)ระหว่างสมรรถกับวิปัสสนาไม่ได้หรือไม่มีใครแนะนำ พอลงจากเขามา มาเจอกิเลสสารพัดรูปแบบ คิดดูเอาเส้นทางเดินเป็นกิโลมีคนเอาผ้าเช็ดหน้าราคาแพงมาปูให้รองเหยียบตลอดทาง เขาศรัทธากันขนาดนั้น ตึกสูงกว่า20ชั้นหลายองค์กรค์นิมนต์ไปเทศน์คิวยาวเหยียด ตึกสูง สาวสวย ลาภสักการะจากคนชั้นสูงมีค่า ราคาแพง ฌาณไหนๆก็เอาไว้ไม่อยู่ ในที่สุดก็เสื่อมเพราะเสพเมถุนธรรม ซึ่งเป็นกิเลศที่เสียดแทงจิตที่สุดสำหรับภิกษุหนุ่มผู้ยังเป็นพระเสขะ(แค่ได้ฌาณ) อันนี้ก็เป็นเรื่องอื้อฉาวในหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นระยะๆสร้างความเสื่อมศรัทธาต่อพุทธบริษัท ตรงนี้เองเป็นเรื่องที่ผู้ที่มีจริตเหมาะกับการปฏิบัติในสายเจโตควรได้รับฟังไว้ ใช้ธรรมวิจะยะไตร่ตรองดู ถ้าประกอบด้วยเหตุด้วยผล น่าเชื่อถือ มีความสอดคล้องกับพระไตรปิฎก ก็รบกวนแนะนำกันในหมู่นักปฎิบัติสายเดียวกัน ที่ผมยอมมาพูดเรื่องตนเองก็เพราะหวังตรงนี้(ทั้งๆที่อาจถูกด่า ถูกดูหมิ่น หรือถูกลองภูมิสารพัด)แต่ถ้าใครผ่านการยกจิตจากสมรรถกรรมฐาน ตามวิธิที่กล่าวไว้ข้างต้นแม้แต่แค่บรรลุโสดาบันในชาตินี้ เราคงได้บุญกุศร่วมกัน
ความสำคัญของฌาณไนการเป็นฐานในการทำวิปัสสนา เราเปรียบต้นไม้ใหญ่คือกิเลสและอวิชชาของปุถุชนทั่วไป การจะทำลายหรือตัดกิเลส(คือต้นไม้)ลงได้ อย่างแรกต้องมีศีลปูเป็นพื้นดินแน่นๆให้ยืนได้มั่น มีชายร่างใหญ่กำยำ ยืนถือขวานคมกริบอยู่(ชายร่างใหญ่กำยำนี้ก็คือกำลังแห่งสมาธิจากองค์ฌาณ) คมขวานที่คมกริบนั้นคือตัวความรุ้โดยปรมัตต์(คือตัววิปัสสนา)ตราบใดที่ชายร่างใหญ่ ฟันคมขวานลงไปที่โคนไม้ ครั้งที่1 ครั้งที่2 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายร่างใหญ่มีกำลังมากเท่าไร คมหวานฟันซ้ำลงไปมากครั้ง(พิจารณาย้ำๆ) ในที่สุดไม้ใหญ่ก็โค่นลงได้ นี่คือประโยชน์และความอาศัยซึ่งกันและกันระหว่างสมรรถกรรมฐานและวิปัสนากรรมฐาน ซึงหลายคนยังคงเข้าใจไม่ตรงกัน และมีรูปแบบ หรือมีทฤษฏีใหม่ในการปฏิบัติเกิดขึ้นตลอดเวลา ใกล้จบแล้ว เพราะใกล้เวลาสึก แต่จะแถมให้ให้อีกนิดของแปลกประสบการณ์ของจิตซนในอรุปฌาณ แอบทำก่อนสึก อากาสานัญจายะตะนะ และวิญญานัญจายะตะนะคอยติดตามตอนหน้า...เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 07:32
โพสต์: 95

แนวปฏิบัติ: หลักวิถีธรรมชาติ - อานาปานสติ,บริกรรมภาวนา
ชื่อเล่น: นุ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณ คุณ เจโตวิมุติ ที่ได้เล่าประสบพการณ์ การปฎิบัติสมาธิภาวนา ในหลักของ สมถะและวิปัสสนาวิธี เป็นประโยชน์ อย่างยิ่งสำหรับตัวกระผมเอง มากๆครับ :b44: :b44: :b44: ผมเองนั้นอยากมีความเพียรพยามยาม แบบคุณ เจโตวมุติ บาง อย่างน้อยสักกึ่งนึง ก็ยังดี อยากหาเวลาให้ได้มากๆ จะได้ปลีกตัวไปปฏิบัติ ลักษณะแบบนี้บางจังครัิบ (ใฝ่ฝันแบบนี้มาตลอด)
กำลังติดตามอ่านต่อครับ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
จงทำศีลให้เป็น อธิศีล
ทำจิตให้เเป็น อธิจิต
ทำปัญญาให้เป็น อธิปัญญา


พื้นฐานคุณธรรมความเป็นมนุษย์คือ ศีล๕ กุศลกรรมบถ๑๐ หิริโอตัปปะ และความกตัญญู กตเวทิตา

จุดสูงสุดของการรู้ธรรม เห็นธรรม ก็คือ
...สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ...สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1855

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
ห้วย...!

เอกอนนึกว่าเล่าแล้ว...ซะอีก... :b6:

:b12:

:b20: :b20:

ไม่ส่งเสียง แต่ส่งสายตาแทนได้ป่าวคะ...
อิ อิ แบบว่า นู๋กลัวเสียงของนู๋จะทำให้พี่เล่าไม่ออก...หง่ะ


:b20: :b20:

:b13: เห็นคำว่า " ห้วย " แล้วอุ่นใจ
อาจเป็นคนบ้านเดียวกัน
พอเห็นคุณ เอรากอน ทัก
...สงสัยต้องเว้นวรรค..ไว้สักหน่อย ค่อยมาใหม่
:b18: ธรรมะสวัสดี..

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจโตวิมุติ เขียน:
:b42: ต่ออีกนิดการยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา ความจริงสมรรถะกรรมฐานมันก็จบแค่ได้ฌาณนี่แหละ มาถึงจตุฌานนี้ มันรู้สึกหมดกิเลสหรือบรรลุไปแล้ว เพราองค์ฌาณนี้กดทับกิเลสอยู่ เหมือนหินทับหญ้าไว้(ที่เรียกวิขัมปนะประหารนั่นแหละ)ยิ่งเข้าฌานออกฌาณอยู่ทุกวัน กิเลสมั่นนิ่งสนิทจนหลงทีเดียวบางคนถ้าไม่ได้ศึกษามาก่อนบ้างจะคิดว่าตัวเองบรรลุไปแล้ว เหมือนผู้ปฎิบัติธรรมในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะค้นพบอริยะสัจ4 ก็มักมีการประกาศตัวว่าเป็นผู้บรรลุธรรม เพราะได้ฌาณ4 หรือบางคนได้ถึงฌาณ8 หรือแม้แต่อาจารย์สายปฏิบัตหลายท่าน ที่ลงจากเขามา เพราะเข้าใจว่าตนเองบรรลุธรรม ก็เพราะหลงในองค์ฌาณ แต่ไม่รู้หรือหาทางเข้าหรือรอยต่อ(การยกจิต)ระหว่างสมรรถกับวิปัสสนาไม่ได้หรือไม่มีใครแนะนำ พอลงจากเขามา มาเจอกิเลสสารพัดรูปแบบ คิดดูเอาเส้นทางเดินเป็นกิโลมีคนเอาผ้าเช็ดหน้าราคาแพงมาปูให้รองเหยียบตลอดทาง เขาศรัทธากันขนาดนั้น ตึกสูงกว่า20ชั้นหลายองค์กรค์นิมนต์ไปเทศน์คิวยาวเหยียด ตึกสูง สาวสวย ลาภสักการะจากคนชั้นสูงมีค่า ราคาแพง ฌาณไหนๆก็เอาไว้ไม่อยู่ ในที่สุดก็เสื่อมเพราะเสพเมถุนธรรม ซึ่งเป็นกิเลศที่เสียดแทงจิตที่สุดสำหรับภิกษุหนุ่มผู้ยังเป็นพระเสขะ(แค่ได้ฌาณ) อันนี้ก็เป็นเรื่องอื้อฉาวในหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นระยะๆสร้างความเสื่อมศรัทธาต่อพุทธบริษัท ตรงนี้เองเป็นเรื่องที่ผู้ที่มีจริตเหมาะกับการปฏิบัติในสายเจโตควรได้รับฟังไว้ ใช้ธรรมวิจะยะไตร่ตรองดู ถ้าประกอบด้วยเหตุด้วยผล น่าเชื่อถือ มีความสอดคล้องกับพระไตรปิฎก ก็รบกวนแนะนำกันในหมู่นักปฎิบัติสายเดียวกัน ที่ผมยอมมาพูดเรื่องตนเองก็เพราะหวังตรงนี้(ทั้งๆที่อาจถูกด่า ถูกดูหมิ่น หรือถูกลองภูมิสารพัด)แต่ถ้าใครผ่านการยกจิตจากสมรรถกรรมฐาน ตามวิธิที่กล่าวไว้ข้างต้นแม้แต่แค่บรรลุโสดาบันในชาตินี้ เราคงได้บุญกุศร่วมกัน
...[/u]เจโตวิมุติ


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาด้วยค่ะ

ขออนุญาตแสดงความเห็นสักเล็กน้อย

ในกรณีตรงกันข้าม
คือผู้ที่ปฏิบัติถึงรอยต่อ(การยกจิต)ระหว่างสมรรถกับวิปัสสนาแล้ว
เมื่อท่านลงมา ประสบพบทุกข์ (เป็นทุกข์ขนาดหนักๆ จะจากเหตุใดก็ตาม)
ท่านก็จะสามารถยกจิตที่มีกำลังนั้นขึ้นมาพิจารณาเองโดยอัตโนมัติ
จะเห็นธรรม เห็นสัจจธรรมปรมัตถ์ได้โดยไม่ยาก และบรรลุธรรมได้ในที่สุด

ถูกผิดประการใดโปรดชี้แนะด้วยค่ะ

:b44: :b44: :b44:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2010, 22:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวไฉน เขียน:
เอรากอน เขียน:
ห้วย...!

เอกอนนึกว่าเล่าแล้ว...ซะอีก... :b6:

:b12:

:b20: :b20:

ไม่ส่งเสียง แต่ส่งสายตาแทนได้ป่าวคะ...
อิ อิ แบบว่า นู๋กลัวเสียงของนู๋จะทำให้พี่เล่าไม่ออก...หง่ะ


:b20: :b20:

:b13: เห็นคำว่า " ห้วย " แล้วอุ่นใจ
อาจเป็นคนบ้านเดียวกัน
พอเห็นคุณ เอรากอน ทัก
...สงสัยต้องเว้นวรรค..ไว้สักหน่อย ค่อยมาใหม่
:b18: ธรรมะสวัสดี..


:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2010, 00:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ต่อการยกจิตขึ้นสู่วิปัสนาอีกนิด ตอนเริ่มหัดทำวิปัสนานี้เข้าใจว่าเวลา ใกล้เวลาสึกมากมากแล้ว ก็ลองทำเฉพาะฐานกายก่อน อย่างที่เล่า แต่ก็ต้องเข้าใจกว่าจะเริ่มได้ ต้องไปเริ่มที่จตุฌาณก่อน แล้วถอยจิตมาพิจาณราพระไตรลักษณ์ในหมวดกาย พิจารณาย้ำเข้าไปจนกว่าจิตจะยอมรับว่ากายนั้นสักแต่ว่ากาย ก็จะจะเลิกยึดมั่นในกาย ละสักกายะทิฐิลงได้ ความจริงถ้าผ่านหมวดกายไปได้ในสายเจโตวิมุตินี้ ความเป็นอริยะบุคลระดับโสดาบัน ก็อยู่แค่เอื้อม เพราะถ้าพระเสขะ สามารถละอวิชชาเพียง2ตัว(ต้องละได้จริงๆ) ก็คือละสักกายะทิฐิ เลิกยึดมั่นในตัวตน ส่วนอีกตัวหนึ่งคือวิจิกิจฉา
ความลังเลสงสัยในธรรม คือไม่สงสัยในเรื่องในข้อธรรมที่เป็นจริงตามหลักพุทธศาสนา เช่นนรกสวรรค์มีจริงไหม บุญบาปมีจริงไหม เข้าใจเรื่องเหตุปัจจัยต่างๆ การทำบุญ ทาน ศีล ภาวนา เพื่ออะไร เลิกเชื่อโชคลาง ดุหมอดูดวง อันนี้คือวิสัยของโสดาบันบุคลที่เห็นโลกตามความเป็นจริง ซึ่งมีได้ในคนธรรมดาและสามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้เป็นปกติ ซึ่งถ้าเราผ่านการรักษาศีลที่ยิ่ง จนสามารถเข้าฌาณได้(ถ้าศีลไม่ยิ่งจริงๆคงทำไม่ได้) ผ่านฌาณมาแล้ว ได้เห็นการดับ ของกิเลศ และนิวรณ์ตามลำดับ จนเกิดศีลที่เรียกว่าศีลปฏิบัติ(คือได้จากการปฏิบัติ) ซึ่งต่างกับศีลครั้งแรกที่เรารักษาคือศีลที่ได้จากการบัญญัติขึ้น หรือจะเรียกศีลปริยัตรก็ได้ ศีลปริยัตรนั้นเราไม่ทำเพราะเรากลัวบาป ต้องหักห้ามจิต แต่เมื่อปฏิบัติจนได้ฌาณกิเลศดับสนิททั้งโลภ โกรธ หลง แม่จะชั่วคราว(ในช่วงเวลาที่ฌาณยังไม่เสื่อม) เราไม่อยากทำบาปแล้ว ไม่มีความอยากฆ่าเพราะเรามีเมตตา เห็นเขาเป็นสัตว์ร่วมโลก ร่วมในวัฎฏะสงสารไม่ต้องรักษาศีลอีกแล้ว เพราะเราไม่มีทางทำผิดศีลได้อีก แต่ศีลนั่นแหละจะกลับมารักษาเรา ศีลเขามีไว้ควบคุมคนที่ยังมีกิเลส แต้ถ้าช่วงไหนเราหมดกิเลส แม่แต่ชั่วคราวเราจะไม่ผิดศีล
.....อันนี้เป็นปริศนาธรรมที่เคยได่รู้มาก่อนแต่ไม่เข้าใจ ท่านสอนไว้ก่อนแล้วว่าก่อนปฏิบัติธรรมต้องเริ่มต้นจากการรักษาศีล แต่เมื่อปฏิบัติจนได้ผลระดับหนึงศีลจะกลับมาเป็นฝ่ายรักษาเรา อันนี้เป็นความจริงที่เราพิสูจน์แล้ว อันนี้พิสูจน์มาตามลำดับความลังเลสงสัยในธรรมก็ลดน้อยลงไป โดยอัตโนมัติ
...ต่อหน้าถัดไป/ฌจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2010, 01:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ไม่ผ่านหมวดกายานุปัสนา แต่ไปทดลอง ฌาฌที่5 ที่6(อากาศานัญจายะตนะและวิญญานัญจายะตนะ)หลวงพ่อสอนถึงหลักการทำวิปัสนา ในหมวดเวทนา หมวดจิต และหมวดธรรมมานุปัสนา ให้พอเป็นแนวทาง ก็เป็นวิธีเดียวกันกับหมวดกายานุปัสนานั่นเอง แต่เมื่อผ่านหมวดกายาไปแล้ว ก็ค่อยยกจิตไปทำในหมวดเวทนานุปัสนา ตามลำดับไป ซึงอาจใช้เวลา ตั้งแต่ 7วัน 7เดือน หรืออย่างช้าไม่เกิน7ปี ก็จะสามารถบรรลุธรรมทั้งนี้แล้วแต่ปัญญา และบุญบารมีของแต่ละบุคล แต่เราทำวิปัสนาในหมวดกายได้เพียง 4วันเต็มๆ ก็เหลือเวลาเพียง4วันจะต้องสึกลองคิดดูแล้ว โอกาสผ่านหมวดกายไปได้ยังริบหรี่เต็มที ก็เลยตัดสินใจจะลองเข้าอรูปฌาณดูบ้าง อันนี้แย่หน่อยในตำราก็ไม่มีใครสอนไว้ สมมุติบัญญัติ ที่เคยอ่านแบบเดียวกับเรื่อง รูปฌาณก็ไม่มี แต่หลวงพ่อท่านสอนไว้ในเทปม้วนหนึ่งของท่านก็มาลองทำดู
......การกำหนดจิตเข้าสู่อรูปฌาณนี้(อรูปหมายถึงฌาณที่ใช้นามป็นอารมณ์ในการภาวนา)เข้าไปจนถึงอัปนาสมาธิ เราก็ลองทำตามที่หลวงพ่อสอนถูกผิดอย่างไรไม่ขอยืนยัน(เพราะเปรียบเทียบอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับตำราไม่ได้/ไม่มีใครเขียนไว้ อันนี้ไม่แน่ใจ) เอาเป็นแค่ฟังไว้พอเป็นประสบการณ์ก็แล้วกัน ท่านสอนไว้ว่า หลังจากเข้าจตุฌาณแล้วถอยจิตออกมา แล้วกำหนดตัวภาวนาเข้าไปในอรูปฌาณที่1 คืออากาศานัญจายตนะฌาณ โดยภาวนาว่า"อนันโตอากาโศ" จิตกำหนดว่าอากาศไม่มีที่สิ้นสุดหายใจเข้า-อากาศไม่มีที่สิ้นสุดหายใจออก ภาวนาอย่างนี้ต่อเนื่องกันไป เรื่อยๆแปลกแต่จริงจิตยกระดับเข้าไปสู่อัปนาสมาธิได้จริงๆ กายกับจิตแยกกัน เหลือแต่จิตเหมือนเดิมแต่ โอภาสแสงสว่าง ความกว้างไกล ความละเอียด ความหนักแน่นมันต่างจากจตุฌาณจนรู้ได้ชัดในจิต แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันแตกต่างแค่ไหน อย่างไร แสงสว่างที่เห็นด้วยจิต ต่างกันบ้าง บอกไม่ถูกเหมือนมันไม่ได้มีศูนย์กลางมาจากจิต(อันนี13ปีมาแล้วมันก็ลางเลือนไปบ้าง) แต่จิตไปรู้ถึงความสว่างเบาที่กว้างไกลอันนั้น อยู้ในฌาณนี้นานพอสมควร ก็ถอยจิตออกมา แต่ก็ไม่ได้บอกใคร วันรุ่งขึ้นก็ลองอีก เข้าไปในอากาศานัญจายตนะพักหนึ่งถอยจิตออกมาจนสุด คราวนี้พยายามจะเข้าฌาณที่6(อรูปฌาณ2) คือวิญญาณันจายะตนะ โดยกำหนดตัวภาวนาโดยจิตกำหนดว่าวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดหายใจเข้า-วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดหายใจออก ภาวนาต่อเนื่องกันไป เข้าไปในอัปนาสมาธิได้อีก(ถึงตรงนี้ไม่รู้แล้วว่าเรียกอะไรเรียกอัปนาสมาธิหรือเปล่าไม่มีใครบอก)...ต่อหน้าถัดไป/...เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2010, 02:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ต่อให้จบวิญญาณัญจายะตนะ
....สมาธิในองค์ฌาณนี้แปลกและหน้าตื่นตาตื่นใจมากจนบอกไม่ถูก ความสว่างก็ไม่เหมือนเดิม สิ่งที่จิตเห็นนิ่งอยู่สักแต่ว่าเห็นนั้น เป็นแสงสว่างจ้าเจือด้วยแสงสีเงินเล็กน้อย กว้างสุดสายตาหาขอบเขตไม่ได้ในแสงสว่างที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นเหมือนมีแมลงปีกโปร่งแสง มีสีรุ้งจับตามขอบปีกบินว่อนเต็มไปหมด กำหนดจิตสักแต่ว่าเห็นอยู่อย่างนั้น พยายามประคองจิตไว้เพียงสักว่าเห็นนานพอสมควรจึงถอยจิตออกมา ไม่รู้ว่าคืออะไร ใช่วิญญาณัญจายตนะฌาณหรือไม่ ไม่กล้าถามใคร ไม่กล้าบอกหลวงพ่อที่ไปแอบทำเอง คิดว่าแค่นี้พอแล้วสำหรับการบวชแค่3 เดือน พรุ่งนี้ต้องสึกกลับไปทำงานแล้ว
......สรุปก็คือลองทำ ฌาณนี้อย่างละ2ครั้ง 2วันติดกัน สำหรับฌาณที่ 6ยังจำได้ติดตรึงมาจนถึงทุกวันนี้ 13ปี ผ่านไปแล้ว วันรุ่งขึ้นก็ทำพิธีลาสิกขาบทพร้อมกับพระท่านอื่นอีกรูปและเณรอีก 1รูป สึกแล้วไปกราบหลวงพ่อเลียบเคียงถามท่านว่า หลวงพ่อครับสึกออกไปแล้วฌาณจะเสื่อมหรือไม่ครับ ท่านตอบว่าเสื่อม ถามท่านว่าจะไม่ให้เสื่อมจะต้องทำอย่างไร ท่านตอบว่าปกติไปกระทบอารมร์สังคมภายนอกมากๆ ฌาณก็ต้องเสื่อมเป็นธรรมดา จะให้เสื่อมช้าต้องนั่งประคองไว้ทุกๆวัน หลังจากนั้นเราสึกมาทำงานแล้ว ยังมีอาการติดฌาณอยู่ระยะหนึ่ง มีแอบนั่งบ้างเวลาเปลี่ยวๆจากผู้คนไม่ถึง3เดือน ฌาณก็เสื่อมจริงๆเข้าอัปนาสมาธิไม่ได้อีกเลย แต่กิเลสก็ยังไม่ฟูขึ้นทันที จำได้ว่าเราโกรธใครไม่เป็นไปเกือบ2ปีเต็ม ก็ขอจบเรื่องประสบการณ์เรื่อง สมาธิและฌาณประสบการณ์ที่ได้จากการบวชไว้เพียงนี้ ถ้ายังไม่เบื่อยังมีเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย เกี่ยวกับเรื่องประสบการณ์ในการบิณฑบาตร เรี่องแปลกๆเกี่ยวกับ จิตและกำลังของสมาธิที่น่าประหลาด มารผจญก่อนการได้สมาธิ และโยนิโสมนัสสิการในการเข้าสมาธิซึง่จะมาเล่าต่อให้ฟังวันหลัง เจริญในธรรมทุกท่าน...../เจโตวิมุติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2010, 02:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอ่านข้อมูลที่คุณเขียนทั้งหมดแล้วมีความดีใจกับคุณมากที่สามารถแยกแยะธรรม หมวดของญาณต่างๆเป็นข้อมูลที่ทำให้ผมเข้าใจมากยิ่งขึ้นกับประสบการณ์ของแต่ละคน
แต่ข้อสงสัยของผมที่อ่านมาเรื่อยๆนั้นมาบางอ้อว่าท่านมีความเข้าใจและชำนาญกับการจับลมหายใจเข้าออกมากกว่าที่ผมจะทำได้ชำนาญแบบคุณแต่คุณให้ข้อมูลเกียวกับวิปัสสนาน้อยมากผมรออ่านจนมาถึงคุณเริ่มกำหนดกายตามพระไตรลักษณ์แต่ข้อมูลประสบการณ์ยังน้อยอยู่ที่จะไขปัญหาผมได้
ผมเคยบวชอยู่7วันที่วัดในจังหวัดระยองแต่การนั่งไม่มีครู ผมนั่งเองอ่านหนังสือเองไม่ทราบว่าคุณเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ไหม วิปัสสนาภาวนา โดย ฐิตวณฺโณ ภิกฺขุ พิมพ์ครั้งที่2 วันที่25 มกราคม 2535 จำนวน3000เล่ม ผมอ่านเสริมกับ หนังสือพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกายของ พระราชธรรมนิเทศ (ระแบบ ฐิตญาโณ)
พิมพ์ครั้งที่2 2533 จำนวล 2000เล่ม
แล้วผมอ่าน หนังสือ ธรรมปฎิบัติ สนทนาธรรมระหว่างอาจารย์และศิษย์ โดย พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์ (เทสก์ เทสรังสี)
แล้วมีหนังสืออีกเยอะมากที่ผมเพียรอ่านตลอดทุกวัน
ผมนั่งสมาธิทุกวันแบบ กำหนดพระไตรลักษณ์ หนังสือบอกว่าศีลก็มีแล้ว สมาธิก็นั่งแล้วให้เลื่อนมาพิจารณาวิปัสสนาเลย กำหนดดูพระไตรลักษณ์เลยเพราะเราเป็นปุถุชน ไม่ใช่พระ เรากำลังทำสงครามกับความยุ่งของโลกทั้งเราทั้งเขายุ่งไปหมด
ดังนั้นเราจึงต้องกำหนดพระไตรลักษณ์นั่งพิจารณาร่างกายทั้งในนอก กระดูก ตับไต ใส้พุง ความหนาว ความเย็น ความเจ็บป่วย ทุกอย่างรอบตัวเอามาพิจารณาให้อยู่ในกฎของพระไตรลักษณ์ให้หมด แม้แต่เสียง
ข้อสงสัยของผมก็อาศัยอ่านหนังสืออธิบาย แต่ผมไม่เคยถามพระเลยแม้แต่ครั้งเดียวเพราะว่าผมไม่ได้บวชอยู่

ตอนหนึ่งคุณบอกว่ารู้สึกรำคาญเสียงสุนัขเห่าตอนกำลังเข้าญาณอยู่ แต่ว่าช่วงผมนั่งทำไมผมได้ยินเสียงทั้งดังทั้งเบามากระทบแต่กลับรู้สึกเฉยว่าสักแต่เกิดและดับลง แต่อารมณ์เรากลับสักแต่ได้ยินไม่ยินดียินร้ายกับเสียงที่บางครั้งดังมากๆ เป็นอารมณ์ที่เสมอทั้งเงียบทั้งดัง เพราะผมกำหนดเสียงตามพระไตรลักษณ์ ต่อ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2010, 02:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ผมอ่านตามกระทู้คุณมีความเห็นตรงกับคุณอยู่คือ หินทับหญ้า ทุกอย่างที่มากระทบผมไม่ยินดียินร้าย สักแต่เกิดแล้วดับลง พอมองสิ่งรอบตัว เรากับพิจารณาพระไตรลักษณ์ พอคนแก่เดินผ่านผมพิจารณาคนแก่แล้วบอกตัวเองว่า แม้เราก็จะเป็นเช่นนั้น พอมองคนสวยแต่ก่อนเคยหลงใหลอยากมองมาก พอมาช่วงปีนี้กลับเอาสาวสวยมาพิจารณาว่าไม่นานหรอกตัวคนนั้นจะแก่เหี่ยวแห้งลง เป็นอย่างนี้ทุกวัน
ผมมีการปฎิบัติตรงกับคุณอีกอย่างคือ แผ่เมตตากับทั้งคนทั้งสัตว์เป็นปรกติทุกวันเวลา
ผมมีความเห็นตรงกับคุณอีกอย่างคือ ศีลต้องครบ สำรวมกายวาจา ถึงจะปฎิบัติก้าวหน้า
สิงหนึ่งที่ผมทำตลอดคือสติต้องได้ตลอดเวลามือไม้ต้องเเขนขาต้องกำหนดกินข้าวดื่มน้ำต้องทันกิริยาต่างๆต้องปัจจุบันที่สุดเผลอเมื่อไหร่ต้องดึงตัวเองกลับมา
ความสงสัยของผมคือ ทำไมผมไม่เห็นภาพนิมิตเหมือนคนอื่น แม้จะนั่งนานแค่ไหนก็ไม่เคยเห็นภาพอะไร
แต่ทำไมผมรู้ตามจิตได้ว่าจิตตั้งมั่นกับการกำหนดชัดเจน จิตเผลอไปคิด เป็นเหมือนปิดเปิดรู้ชัดเจนเห็นร่างกายชัดเจนตามกำหนดแต่ไม่ไช่ตามนิมิต เห็นตัวเอง ได้ยินทุกอย่างชัดเจนตามกำหนดแต่ไม่ใช่จากนิมิต
รู้สึกแขนทับขา ขาทับขา ตัวตั้งชัดเจนมากจากการพิจารณาแต่ไม่ใช่จากนิมิต
อารมณ์แม้ตอนนี้ก็อย่างที่เล่าไปเฉยกับสิ่งรอบตัว ไม่ยินดียินร้าย ยกตัวอย่างทีมกีฬาชนะ ตอนแรกดีใจ แต่ประเดี๋ยววกกลับมากำหนดว่าไม่อีกกี่วันทีมก็แพ้แน่นอน แล้วเราจะดีใจไปเพื่ออะไร ยินดีทำไม

คำถามผมคือว่า พอนั่งไปจนดิ่งสู่ความสงบ จู่ๆก็มีพลังจากสติรู้ตัวตลอดแต่มีความว่างเข้ามาพอถึงจุดว่างกลับเป็นความว่างที่ความขุ่นมัวของจิตหายไปหมดเป็นอารมณ์ที่ไม่มีความขุ่นมัวเจือปนแต่เป็นความสว่างของดวงจิต แต่ไม่มีภาพหลอน เป็นตัวตนของเราอย่างชัดเจน นั่นยังผลให้เรามีความสว่างของดวงจิตตลอดทั้งวัน
สังเกตุว่าตัวเองกำหนดแต่พระไตรลักษณ์แต่บอกไม่ได้ว่าตัวเองเป็นญาณหรือไม่อยู่ในญาณแต่รู้ว่าใช่แน่ต้องกำหนดแบบนี้ใช่แล้ว ต้องถือศีล5ให้พร้อมเสมอ ผมอยากถามว่าอารมณ์ผมคืออะไร มาถูกทางไหม

ลืมพูดไปว่าเวลาผมง่วงอารมณ์อยากนอนกลับโดนตัวผมเองบอกว่ายังไม่ได้หรอกแยกแยะตัวง่วงนอนกับตัวเองที่ตั้งมั้นอยู่อย่างชัดเจน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2010, 03:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ความหมายตัวตนอย่างชัดเจนไม่ได้หมายถึงว่าเราเป็นตัวเราตัวเขา หรือนี่ร่างกายเรานี่ร่างกายเขาเพราะจะขัดกับกฎของพระไตรลักษณ์ว่าเราหามีตัวตนไม่ทุกอย่างแยกออกก็ไม่มีอะไร
ที่ว่าตัวเราชัดเจนคือเหยียบบนพื้นก็ชัดเจน เดินก็ชัดเจน ไม่ปล่อยอารมณ์ แต่กำหนดความไม่มีอะไรของเราของเขาสุดท้ายก็แตกสลายไป

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2010, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ความจริงผมพอเข้าใจทั้งสายเจโต และสายปัญญา แตผมมีความเกียวเนื่องผุกพันกับสายเจโตมาตั้งแต่เด็กๆเคยปฏิบัตสายเจโต เละเข้าฌาณแบบฟลุ๊กๆครั้งหนึ่งตอนอายุ19 แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นฌาณมารู้ว่าเป็นฌาณเอาตอนบวช(อายุ40 ปี)ความจริงทั้งสายเจโตและสายปัญญาใจความสำคัญมันก็อยู่ที่เดียวกัน คือตอนยกจิตขึ้นสู่วิปัสนา ซึ่งสายปัญญาวิมุติเขาให้ทำในอยูในสมาธิเล็ก(หมายถึงการพิจารณาพระไตรลักษณ์)ให้อยู่ในขณิกะสมาธิเป็นอย่างต่ำ แต่ความสำคัญ/ต่อวันอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2010, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: แต่ความสำคัญมันเป็นขั้นตอนก่อนที่จะมาถึงการทำวิปัสนาต่างหากว่ากว่าจิตที่พร้อมจะทำวิปัสนาแล้วถูกขัดเกลามาแบบไหน พร้อมที่จะทำวิปัสนาหรือยัง เราเห็นที่เขาพูดกันค่อนข้างเฝือสักหน่อย คือกล่าวว่าจะทำวิปัสนาก่อนสมรรถะก็ได้ หรือจะทำสมรรถะก่อนแล้วค่อยทำวิปัสนาก็ได้ หรือจะทำคู่กันไปก็ได้ อันนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า วิปัสนาเป็นการปฏิบัติธรรมในขั้นตอนสุดท้าย จิตคุณต้องผ่านการขัดเกลามาอย่างหนักตามลำดับ จนผ่องใส พอจะเห็นพระไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง การทำวิปัสนาเพื่อจะให้เห็นความเป็น อนิจจัง ทุขขัง อนัตตา ไม่ใช่เพื่อรู้อย่างอื่น ถ้าจิตเรายังกอรปไปด้วย อวิชชา โลภะ โทสะ โมหะ การทำวิปัสนานั้น จะเป็นแค่วิปัสนึก ตามที่เขาพุดกัน
......มีคำพุดเยอะแยะ ในคำสอน ที่สอนให้การปฎิบัติธรรมต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน อย่าไปเรียนลัด ไปเอาตามแฟชั่น เขาไปดูจิต ก็จะดูจิตกับเขา เขาวิปัสนาก็จะเอาด้วย เราเองเคยศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง พิสูจน์ได้ว่าการขึ้นบันได ต้องขึ้นจากขั้นที่1 ก่อนเสมอ อยู่ดีๆจะกระโดดไปขึ้นขั้นบนสุด(วิปัสนาเลย)ทำไม่ได้หรอกอย่าไปเชื่อใครหรืออาจารย์ไหนที่กล่าวแบบนั้น เราจะยกตัวอย่างคำพูดหลายคำให้ฟัง เช่น โน่นโคนไม้ นั่นลอมฟาง นั่นเรือนว่าง ภิกษุจงแยกย้ายกันไป นั่งตัวตรง ดำรงค์สติมั่น ทำกายให้วิเวกเสียก่อน จิตจึงวิเวกได้ นี่พระพุทธเจ้าตรัส นั่นหมายความว่าการทำสมาธิภาวนาต้องแยกย้ายกันไปในที่วิเวก แล้วปัจจุบันเป็นไง บางสำนักให้นั่งรวมกันเป็นหมื่นทำสมาธิร่วมกัน ถ้าตอนฝึกหัดก็พออนุโลม แต่ถ้าพอเป็นแล้ว ต้องไปวัดทุกครั้ง ต้องนั่งรวมกันอย่างนั้นทุกครั้ง แต่งกายเหมือนกัน นั่งเป็นแถวตรงเป๊ะเหมือนนัก เรียนนายร้อย ถ่ายรูปสวยๆลงโฆษณา อันนี้เบี่ยงเบนหรือเปล่า หรือเป็นธรรมะรูปแบบตามที่เขากล่าวกัน
.......ศีลวิสุทธิ์ จิตวิสุทธิ และปัญญาวิสุทธิ์/ศีล สมาธิ ปัญญา ตามลำดับ เห็นไหมว่าพระพุทธองค์ไม่เคยกล่าวว่า ปัญญา สมาธิแล้วค่อยมาว่ากันที่ศีล /บ่าไป ลาดไป เอียงไปตามลำดับ นี่พระพุทธองค์ก็กล่าว ฆราวาส ถ้าอยากปฎิบัติ ต้องเริ่ม จากนี่เลย ทาน ศีล สมาธิ แล้วค่อย ปัญญา(วิปัสนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2010, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ไม่ต้องไปรีบ กลัวไม่ทันใคร กลัวรู้น้อยกว่าเขา พูดคุยไม่ทันเขา การปฏิบัตธรรมถ้าจะวัดความก้าวหน้า อย่าไปวัดที่รู้มากกว่า ต้องวัดที่กิเลสเหลือน้อยกว่า อย่าหลงประเด็น /รู้น้อย รู้ตรง ปฏิบัติให้มาก นั่นแหละดีที่สุด รู้มากแต่ไม่ได้รู้จากการปฎิบัติเป็นบ้าหอบฟางไป ไม่มีประโยชน์ ถ้าใครจำกฏของหลวงพ่อชาได้ ถ้าจำไม่ผิดห้ามภิกษุที่บวชที่วัดท่าน นำหนังสือธรรมมะเข้าวัด เพราะเวลาท่านสอนปฏิบัติกลัวจะหอบตำราเข้าไปในสมาธิด้วย(ถ้าจำผิดต้องขออภัย)
.....ลองมานึกเล่นๆดูก็ได้พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า"ความรู้ที่คถาคตตรัสรู้นั้นมากมายเปรียบได้กับใบไม้ทั้งป่า แต่ความรู้ที่คถาคตนำมาสั่งสอนนั้นเปรียบได้เพียงใบไม้กำมือเดียว"แต่แค่ใบไม้กำมือเดียวที่นำมาสอนนั้นก็พอเพียงให้คนทั้งโลกบรรลุพระอรหันต์ได้ แล้วเราเล่า ทำไมไปอยากรู้จักใบไม้ทุกใบในกำมือท่าน เพื่ออะไร หยิบมาแค่สอง-สามใบที่ถูกกับจริตของเรา รู้แค่สองสามใบก่อนให้แน่ชัด ว่าเป็นใบอะไรแน่ แล้วปฏิบัติไปตามนั้น ทีละขั้น ทีละตอน เมื่อมันถึงที่สุดสำเร็จในขั้นแรก(เช่นเรื่องศีล)รู้ชัด รู้ตรง ปฏิบัติจนเกิดผล และอนิสงค์ของศีลแจ่มชัด ค่อยไปดูใบที่สอง ใบที่สามทีละขั้น อันนี้คือแนวทางที่เราร่ำเรียนและปฏิบัติมา และก็ไม่อายใครทีรู้น้อยกว่าคนอื่น แต่พูดอย่างนี้อาจไปขัดใจหลายท่าน ที่มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นครูบาอาจารย์ ต้องคอยสั่งสอนแนะนำคนอื่น ก็ต้องกราบขออภัยเพราะเรารู้น้อย แต่หลายครั้งที่เห็นผู้รู้ทั้งหลาย ที่อ้างตนเป็นครูบาอาจารย์ ทุ่มเถียงกันในเรื่องเดียวกัน ข้อธรรมเดียวกันแท้ๆจากพุทธดำรัส คนหนึ่งเห็นเป็นใบฝรั่ง อีกท่านเห็นเป็นใบขนุน/เราแอบเข้าไปอ่านเหมือนกันแต่เพียงไม่แสดงความคิดเห็นไว้เพราะกลัวจะไปขัดใจเข้า ขอแค่นี้ก่อนรู้สึกเหนื่อย.../เจโตวิมุติ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 104 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร