วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 15:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2010, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คิดว่าเป็นประโยชน์ กับนักปฏิบัติธรรมคะ

ข้อแรก การใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา ป็นการกดข่มหรือเปล่าคะ หรือว่าปล่อยให้จิตคิดไป ไม่ดีก็รู้ เดี๋ยวจิตจะรู้เองหรือคะถ้าเป็นเรื่องจำเป็นต้องคิดแก้ปัญหา ก็ต้องคิดไปตามปกติทั่วไปครับ
ส่วนการกดข่มนั้น จะเป็นการจงใจจะกดข่มอารมณ์เอาไว้ มันคนละเรื่องกันนี่ครับ

ข้อสอง ลองยกแขนขึ้นคะ ทิ้งไว้ซักพัก จิตตัวแรกอยากให้เอาลงคะ เพราะกายเป็นทุกข์คะ แต่จิตอีกตัวบอกไม่ให้เอาลงคะ จิตตัวแรกจะมีกระแสแรงมากคะ เราเห็นถึงอาการที่จิตเคลื่อนมาอย่างแรงที่แขนคะ แต่จิตอีกตัวมีพลังมากว่าคะ แต่ไม่เห็นแรงนะคะ เห็นว่าเบาๆสบาย เหมือนไม่ทุกข์กับเวทนากาย ว่าลองยกดูไม่ตายหลอก ก็ยกไว้ซักพักคะ แต่ความแรงของจิตที่ให้ยกลงหายไปคะ ความเมื่อยเกิดคะ แต่จิตเฉยมากๆคะ จนความเมื่อยหาย เดี๋ยวก็เมื่อยอีกคะ แต่จิตก็ไม่ยอมให้ลง จนต้องมีจิตอีกตัวที่กระแสแรงมากกว่าคะ บอกให้เอาลง ถึงเอาลงคะ เห็นสภาวะเช่นนี้ถูกมั้ยคะถ้ามีสภาวะเกิดจริงๆ ก็เห็นถูกแล้วครับ
แต่ประเด็นไม่ใช่ว่า เห็นอะไร หรอกนะครับ
ประเด็นจริงๆ อยู่ที่เห็นสภาวะด้วยจิตที่ตั้งมั่นหรือไม่
เห็นความเป็นไตรลักษณ์ของสภาวะหรือไม่ครับ
เพราะฉะนั้นในการหัดรู้สภาวธรรม
เราจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่ผิดธรรมชาติมากขนาดนั้นหรอกครับ
แค่ทำอะไรไปตามปกติตามธรราติทั่วไป ก็มีสภาวะให้ดูเยอะแยะแล้วครับ

ข้อสาม คำว่าใช้กายเป็นเครื่องอยู่ เพื่อให้จิตเอามาใช้ตามดูคะ
หมายถึงให้จิตดูกาย เวทนากายเป็นหลักใช่มั้ยคะ
ถ้าจิตยังดูกายเวทนากายอยู่ แล้วจิตหลงไปคิดคือจิตตัวใหม่
แล้วถ้าจิตดูกาย รู้สึกอยู่ในกายตลอดหละคะ แต่เปลี่ยนจุดดูไปเรื่อยๆ
จะเป็นการเกิด ดับ ไปเรื่อยๆเหมือนกันไหมคะ
จิตที่หลงไปคิด เป็นจิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากจิตดวงที่รู้กายดับไปแล้ว
หรือถ้ารู้กายอยู่ที่จุดหนึ่ง แล้วเปลี่ยนไปรู้อีกจุดหนึ่ง
จิตที่ไปรู้อีกจุดหนึ่งก็เป็นจิตดวงใหม่ที่เกิดขึ้น
หลังจากจิตดวงที่รู้ตรงจุดก่อนหน้าดับไปแล้วนั่นเองครับ

ข้อสี่ ตามสติปัฏฐานสี่ ข้อสุดท้าย พิจารณาธรรม ทำไงคะ ควรเริ่มต้นอย่างไรคะการพิจารณาธรรมในธรรมนั้น เป็นกรรมฐานท่เหมาะกับผู้ที่มีปัญญากล้า
และต้องมีกำลังสติกำลังความตั้งมั่นมากพอ
จึงจะเห็นกระบวนการทำงานของจิต หรือเห็นสภาวะในบรรพต่างๆ ได้
ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นได้มากน้อยเท่ากัน
ดังนั้นจึงควรที่จะเจริญสติ หัดรู้สภาวะที่สามารถเห็นได้ไปก่อน
แล้วถ้ามีวาสนาที่จะพิจารณาเห็นธรรมในธรรมได้แค่ไหน จิตก็จะไปเห็นได้เองครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ploypet เมื่อ 22 ต.ค. 2010, 18:19, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2010, 20:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




G1 หินลับมีดปัญญา 85kb.jpg
G1 หินลับมีดปัญญา 85kb.jpg [ 85.1 KiB | เปิดดู 5931 ครั้ง ]
tongue ความสงสัยของคุณพลอยเพชร
เราจะดูจิตและเวทนาจิตเกิดดับอย่างไร

การจะดูให้เห็นการเกิด ดับ ของจิต ของเวทนาอย่างชัดเจนได้ ต้องพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ดู คือ ตาปัญญา หรือตาใน ให้มีประสิทธิภาพสูงเสียก่อน

อุปมาเหมือนเราจะดูเซลของใบไม้ให้เห็นรายละเอียดภายใน เราต้องใช้กล้องจุลทัศน์ที่มีกำลังขยายสูงพอเหมาะพอดี กับรายละเอียดในเซลที่ต้องการดู เช่นถ้าจะดูกลุ่มของเซลใบก็ใช้กล้องจุลทัศน์กำลังขยายประมาณ 10X ถ้าจะดูการไหลของเม็ดคลอโรฟิล ต้องเพิ่มกำลังขยายของกล้องฯเป็น 20X ถ้าจะดูนิวเคลียสในเม็ดคลอโรฟิล ต้องใช้กล้องกำลังขยายถึง 80X อย่างนี้เป็นต้น

การดูจิตให้ทันเห็นความเกิด ดับ แต่ละขณะจิตนั้น ตาปัญญา จะต้องได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีมาก่อน
เครื่องมือที่จะทำให้ตาปัญญาแหลม คม มีกำลังขยายสูงๆ คือ สมาธิ ความนิ่ง หรือความตั้งมั่นของจิตตัวรู้
สมาธิมีกำลังมากเท่าไร ตาปัญญาก็จะมีกำลังขยายมากขึ้นเท่านั้น

มิเตอร์ หรือเครื่องวัดง่ายๆ ที่จะชี้วัดว่าสมาธิของท่านมีกำลังสูงมากขึ้นเท่าไรแล้วนั้น คือ
ลมหายใจ ห้วใจเต้น ชีพจร ความสั่นสะเทือนในร่างกาย มี 4 ระดับ จากหยาบไปหาละเอียด

ท่านลองนั่งทำกายทำใจให้นิ่ง แล้วสังเกตดูในกายจะเห็นหรือรู้สึกอย่างนี้

ระดับพื้นฐาน จิตหยาบมา จะไม่รู้สึกลมหายใจ

จิตนิ่งระดับที่ 1 จะรู้สึกอาการเข้าออกของลมหายใจชัด

จิตนิ่งระดับที่ 2 จะรู้สึกอาการเต้นของหัวใจชัด

จิตนิ่งถึงระดับที่ 3 จะรู้อาการเต้นของชีพจรตามส่วนต่างๆของร่างกายชัด

จิตนิ่งถึงระดับที่ 4 จะรู้สึกอาการสั่นสะเทือนในร่างกาย (VIBRATION) ชัด

ใครสามารถทำจิตให้นิ่งถึงระดับที่ 4 แล้ว ลองกลับมาสังเกต และรับรู่ผัสสะของทวารทั้ง 6 ดู จะเห็นหรือรู้ว่าแต่ละการกระทบสัมผัสเขาจะมีอาการ รู้ - ดับ ๆ ๆ ๆ หรือ เกิด - ดับ ๆ ๆ ๆ ๆ ต่อเนื่องกันไปถี่ๆ
ลองทดสอบกับเสียงระฆัง หรือกังสดาลตามระเบียงโบสถ์ จะรู้ชัดถึงคลื่นเสียงที่มากระทบ รู้ - ดับ ๆ ๆ ๆ
แล้วลองย้ายจิตมาสังเกตดู ความกระทบสัมผัส รับรู้อื่น เขาก็จะเหมือนกัน คือ รู้ - ดับ ๆ ๆ ๆ ๆ
สังเกตดีๆจะเห็นว่าจังหวะ รู้ - ดับ จะเท่ากับจังหวะชีพจรหรือหัวใจเต้น


ความรู้และประสบการณ์จากการทดลองข้างต้นนี้ ท่านสามารถจะนำไปประยุกต์ใช้กับการพิจารณาธรรมของท่าน ท่านจะได้สัมผัส ความเกิด ดับ จริงๆ ของจิตด้วยตัวของท่านเอง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีความนิ่งของจิตถึงระดับสัมบูรณ์ สูงสุด พระองค์จึงทรงสามารถนับวาระจิต ความเกิด ดับของจิตได้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่นใน 1 ชั่วลัดนิ้วมือ จิตเกิด -ดับได้ เท่ากับ 1 เติมด้วย ศูนย์ 22 ตัว ครั้ง พระพุทธเจ้าทรงนับได้หมด

พระสารีบุตรอัคราวกฝ่ายขวานับได้ ประมาณ 500 ครั้ง

เราปกติสาวกทั้งหลาย นับได้ 2 - 3 ครั้ง ก็ถือได้ว่า เลิศแล้ว
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2010, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผงธุลีดิน เขียน:
หึหึ อธิบายแต่ละครั้งต้องตั้งใจอ่านมากๆ เหนื่อยจิงๆ :b32:

ถ้านวดจนเมื่อยแล้ว เพลาๆบ้างนะ ถ้าก้อนมันใหญ่นัก ดึงส่วนใดส่วนหนึ่ง
ออกมาก็พอ ไม่ว่าจะก้อนเล็กก้อนใหญ่ แต่เนื้อของแป้งย่อมไม่ต่างกัน

เผื่อจะทุ่นแรงบ้างเน้อ :b9:

ส่วนเจ้าของกระทู้ คุณploypet
ขอให้มีความเพียร ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ทั้งทางโลกและทางธรรมนะครับ :b4:



เรื่องก้อนเล็ก...หมายถึง...ก้อนอะไร...หง่ะ
ยังไม่เข้าใจ...

ถ้าก้อนเล็กหมายถึง...จิตที่เปลี่ยนไปทุกขณะ...
คือ...ไม่ได้จับประเด็นนี้มานานแล้ว...

เพราะ...เมื่อเราตามรู้ไอ้จิตที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ทุกขณะ...
เอกอนก็สังเกตเห็นสิ่งหนึ่งก็คือ...
ความเป็นจังหวะ...นั่นคือ...เอกอนก็เลยหยิบเรื่องอ่านหนังสือ
กับการนวดแป้ง...เพราะมันเป็นพฤติกรรมที่มีจังหวะ เริ่ม..สิ้นสุด
และสังเกตดี ๆ มันจะเป็นรอบการเคลื่อนที่ ที่ซ้ำ ๆ และค่อนข้างสม่ำเสมอ...
...มันจะมีความเป็นจังหวะ... อย่างที่ท่านอนัตตา...หยิบยกมา...

จริง ๆ ไม่คิดว่าจะมีคนนำเรื่องจังหวะมาพูด...
เพราะ...น้อยครั้ง...ที่เอกอนจะได้ยิน...แทบจะไม่เคยได้ยิน...
ดังนั้นจึงคิดว่า...ตัวเองนั้นคิดไปเอง...ทั้ง ๆ ที่...จังหวะตัวนี้...
มีนัยยะต่อการ...อ่านพระไตรปิฎก...
เพราะ...พระพุทธองค์...กล่าวพระธรรมด้วยจังหวะของพระองค์...
สาวกนำคำกล่าวของพระพุทธองค์...มากล่าวด้วยจังหวะของสาวก...
การอ่านพระธรรม...ด้วยจังหวะที่ต่างกัน...
ทัศนะในการเห็นธรรมจะต่างกัน...
แม้ผู้อ่านจะเป็นคนเดียวกันก็ตาม...

ส่วนเรื่อง คาย นี่...
เอกอนหมายถึง...ตอนนี้กำลังกลมกล่อมกับการสังเกตพฤติกรรมที่เป็นลักษณะจังหวะ...
...
คือ...เอกอนว่า...เอกอนเพี้ยนแล้วนะ...
ก็ไม่นึกว่า... ท่านอนัตตา จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด...

:b10: :b10:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 22 ต.ค. 2010, 21:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านคะ
ธรรมดาครับ เขียน:
Ploypet เขียน:
อยากรู้เรื่องจิตเกิดดับดูอย่างไรคะ

ให้สังเกตุว่า ในหนึ่งนาทีจิตปรุงแต่งกี่เรื่อง หากสติตามรู้ทันและนับได้
แต่ละเรื่องที่เกิดแล้วดับไป นั่นละเรียกว่า จิตเกิด-จิตดับ :b8:


ลองเอาไปใช้ดูตอนนั่งสมาธิคะ ไม่กำหนดว่านาทีหนึ่ง แต่กำหนดดูจิตเกิดดับ ในทุกจุดที่ดูกาย แล้วถ้าตอนไหนสัมผัสได้ถึงชีพจร หรือหัวใจ ก็จะเอาหนึ่งครั้งของการเต้นเป็นตัวดูว่ากี่ครั้งคะ แต่บอกตรงๆนะคะว่านับไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ไปตั้งใจนับ คะ แค่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรละกันนะคะ

ต้องขอบคุณคุณเอรากอน กับคุณอนัตตาธรรมคะ (vibration) ทำให้ทุกสิ่งเห็นง่าย เข้าใจง่ายขึ้น อย่างแรกออกตัวก่อนว่าไม่เคยมีแนวคิดนี้คะ เหมือนจุดประกาย ให้ลองทำดูคะ

เมื่อคืนตื่นมานั่งสมาธิ ก็ลองกำหนดดูกายเป็นจุดๆเหมือนเราทำเส้นปะคะ แต่ละจุดห่างไม่เท่ากันคะ บางทีก็นิดเดียว บางทีก็เยอะคะ แต่จิตตื่นเกิดดับมาก หลงไปจะรู้ได้ในทันที จนจับสิ่งที่หลงไม่ได้ มีจิตแต่ละตัวทำหน้ามี่ของตัวเอง สำหรับเสียงหัวใจ หรือชีพจรจะจับได้ถ้าไปดูในจุดใกล้ๆ เช่นถ้าดูปริเวณแขน ถึงรู้สึกชีพจรคะ แต่ถ้าไปดูที่ขา ก็จะไม่รู้สึกเสียงหัวใจ จิตแต่ละตัวที่รู้ มีความแตกต่างกัน ความไว ความเบา ความฝืนๆ บางตัวก็แข็งๆคะ ความแรงต่างกัน มีเวทนากายปวดบ้างบางจุด แต่ก็มีจิตอีกตัวไปรับรู้ แต่เวทนากายซึ่งแต่ก่อนจะเห็นว่ามันนาน ตอนนั่ง เห็นเป็นๆหาย ความปวดก็ไม่เพิ่มขึ้น มีแต่ลดลงคะจนหายไป นั่งจนสงบมาก จิตตื่นดี มีปิติคะ แต่พอกำหนดออกจากสมาธิ ขาชาจนต้องแกะออก
จิตเกิดดับตลอด เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกคะ ว่าเร็วมากจนนับไม่ได้ เพราะถ้าไปดักนับ ไอ้ตัวที่นับนี่แหละหลง แต่ก็คงไม่ใช่ว่าทำอะไรได้แล้วนะคะ แค่เห็นจิตที่ตื่น เห็นไตรลักษณืเต็มไปหมด ก่อนจะออกสมาธิเห็นความเชื่องช้าของจิตคะ คิดว่าไม่รู้ว่าจิตเหนื่อยเป็นมั้ยคะ จะไปเที่ยวสามวัน ถ้ามีโอกาสจะกลับมาตอบต่อนะคะ :b41:

ปล. ออกจากสมาธิแล้ว กำหนดนอนสมาธิ จิตยังเป็นปิติอยู่ตั้งนาน :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 14:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปซะไกลเลย คิดมากจัง เอกอน smiley

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผงธุลีดิน เขียน:
ไปซะไกลเลย คิดมากจัง เอกอน smiley


ก็ตะเอง...ไม่ยอมตอบให้เคลียร์...นิ่...
แล้วตอนนี้ก็มาทิ้งท้ายไม่เคลียร์...อีก...

:b2: :b2: :b2:

ง๊า...ง๊า...ง๊า...เอกอนผิดอีกแล้ววววว...ง๊า...ง๊า...ง๊า...

ก้อนนนน อะไร.... ง๊า...ง๊า...ง๊า....

ไปซะไกล... ง๊า...ง๊า...ง๊า.... หมายถึงออกทะเลไปไกลใช่ป่าววว

ง๊า...ง๊า...ง๊า....... ว่ายน้ำกลับก็ได้....

:b2: :b2: :b2:





แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 23 ต.ค. 2010, 16:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2010, 16:44
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ploypet เขียน:
ลองเอาไปใช้ดูตอนนั่งสมาธิคะ ไม่กำหนดว่านาทีหนึ่ง แต่กำหนดดูจิตเกิดดับ ในทุกจุดที่ดูกาย แล้วถ้าตอนไหนสัมผัสได้ถึงชีพจร หรือหัวใจ ก็จะเอาหนึ่งครั้งของการเต้นเป็นตัวดูว่ากี่ครั้งคะ แต่บอกตรงๆนะคะว่านับไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ไปตั้งใจนับ คะ แค่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรละกันนะคะ

ผู้ที่จะเห็นจิตเกิด-จิตดับได้ ต้องเป็นผู้ที่มี สติปัญญาวิสัย เรียกว่า มหาสติมหาปัญญา หรือ สติปัญญาอัตโนมัติเท่านั้น นอกนั้นได้แต่คาดเดาเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ต.ค. 2010, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




สติ สมาธิ_resize.jpg
สติ สมาธิ_resize.jpg [ 99.75 KiB | เปิดดู 5815 ครั้ง ]
tongue พลอยเพชร กล่าว
..........จิตเกิดดับตลอด เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกคะ ว่าเร็วมากจนนับไม่ได้ เพราะถ้าไปดักนับ ไอ้ตัวที่นับนี่แหละหลง แต่ก็คงไม่ใช่ว่าทำอะไรได้แล้วนะคะ แค่เห็นจิตที่ตื่น เห็นไตรลักษณืเต็มไปหมด ก่อนจะออกสมาธิเห็นความเชื่องช้าของจิตคะ คิดว่าไม่รู้ว่าจิตเหนื่อยเป็นมั้ยคะ จะไปเที่ยวสามวัน ถ้ามีโอกาสจะกลับมาตอบต่อนะคะ


ปล. ออกจากสมาธิแล้ว กำหนดนอนสมาธิ จิตยังเป็นปิติอยู่ตั้งนาน

อนัตตาธรรม วิสัชนาต่อ

ถ้าฝึกจิตคือ สติ สมาธิ และ ปัญญาให้มีกำลัง มีความคม ละเอียด ลึกซึ้ง มากขึ้นๆจนเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิ ให้นิ่งเร็วทันใจ (เป็นวสี) จนสามารถรู้ชีพจร หรือความสั่นสะเทือนในร่างกาย ได้ทันที ทุกเวลาที่ต้องการ ถึงเวลานั้น ความเร็วของจิต (สติ ปัญญา) จะเร็วกว่าความเร็วของการเกิดดับของจิตในแต่ละสภาวธรรม จนสามารถเห็นเหมือนกับว่าการเกิดดับของจิต มา Slow motionให้ดู จนอาจนับวาระจิตได้ง่ายขึ้น (คงเคยเห็นกล้องถ่ายหนังรุ่นใหม่ ที่ถ่ายรูปลูกปืนวิ่งออกจากลำกล้องได้ทัน เห็นจนลูกปืนวิ่งไปกระทบเป้า)


มีสิ่งน่าสังเกตและจำเป็นหลักสำคัญของการศึกษาการทำงานของกายและจิต ว่าต้องศึกษาที่ปัจจุบันอารมณ์เท่านั้น จึงจะเกิดผลให้ กิน ใช้ รับประโยชน์ได้

ในกาย ใจของเราแต่ละขณะจะมีปัจจุบัน ซ้อน ปัจจุบันอยู่หลายชั้น จากหยาบไปหาละเอียด จิตหยาบจะรู้ เห็นได้เฉพาะปัจจุบันตัวหยาบ จิตยิ่งละเอียดก็จะรู้ปัจจุบันที่ยิ่งละเอียดขึ้นไปตามลำดับ ดังตัวอย่าง สมาธิ 4 ระดับที่ยกมาข้างต้น ในขณะเวลาเดียวกัน
1. จิตละเริ่มเอียดรู้ ลมหายใจ เป็นปัจจุบันอารมณ์
2. ขณะเดียวกันนั้นผู้มีจิตละเอียดปานกลางจะรู้ ห้วใจเต้น เป็นปัจจุบันอารมณ์
3.ขณะเดียวกันนั้นผู้มีจิตละเอียด มาก จะรู้ ชีพจร เป็นปัจจุบันอารมณ์
4.ขณะเดียวกันนั้นผู้มีจิตละเอียด ที่สุด จะรู้ความสั่นสะเทือนในร่างกาย เป็นปัจจุบันอารมณ์


อีกตัวอย่างหนึ่ง

จิตระดับ 1.รู้ความเกิดดับของอารมณ์ แต่ละเรื่อง เช่นจากได้ยินเสียงมาเห็นรูป จากเห็นรูปมาคิดนึก จากคิดนึกมารู้สึก.....

ขณะเดียวกันจิตระดับ2.จะรู้ความเกิดดับของถี่ๆในอารมณ์เดียวนั้น เช่นการได้ยินเสียงกระทบแก้วหู เป็นคลื่น รู้เสียง - ดับ ๆ ๆ ถี่ๆ

ขณะเดียวกันจิตระดับ3.รู้การเกิด - ดับของการรับรู้เสียง Slow motion ให้ดู ดังนี้เป็นต้น
(ต้องทดสอบสังเกตการณ์จากของจริง)


ในการปฏิบัติธรรมจริงๆ เพื่อความหลุดพ้น เราไม่จำเป็นต้องไปรู้ละเอียดจนแยกวาระจิตเป็นดวงๆได้หรอกนะครับ คุณพลอยเพชรและคุณเอราก้อน ขอให้มีสติ รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ปัญญาสังเกต พิจารณาอารมณ์ได้จนตลอดสาย จนแยก รูป แยกนามออกจากกันได้ ก็เกือบจะเพียงพอแล้ว ปัญญาหรือญาณที่จะพาไปถึงนิพพานนั้น จะเริ่มต้นที่ นาม - รูป แยกจากกันได้ก่อนเป็นอันดับแรกครับ (นาม - รูป ปริเฉทญาณ)

มีนามสติเป็นผู้รู้ทันปัจจุบันทุกอารมณ์ มีนามปัญญา เห็นหรือ รู้ รูป ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้ นามเวทนา ทุกข์ สุข ยินดี ยินร้าย ที่เกิดเกับจิต รู้ เห็นอุปาทาน ความเห็นผิดว่าเป็นกู ผุดขึ้นมาตอบโต้นาม
เวทนา นามปัญญา ไม่ยอม นามอุปาทานว่าเป็นกู เป็นเรา จนอุปาทานนั้นดับไป ทุกวัน เวลา นาที วินาที
พอกพูนความที่ปัญญา ชนะอุปาทานนี้ไว้ให้มากขึ้นทุกวัน ๆ ไม่ช้า ไม่นานเกินรอ อุปาทานว่า เป็นกู เป็นเรา รือ อัตตา หรือสักกายทิฐินี้ก็จะขาด ตายไป สบายแฮ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2010, 10:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


:b4: :b4:

อิ อิ...ไม่ต้องห่วง...ว่าเอกอนจะไปพุ่งหลาวหมกมุ่นไปกับความละเอียด...
เพราะจริง ๆ เอกอนออกจะไร้สาระ...สักแต่ว่าทำ ๆ ไปเรื่อยเปื่อยหง่ะ...
เวลาปฏิบัติไม่เคยคิด...รู้สิ่งใดก็พิจารณาสิ่งนั้น...
:b6: :b6:
จริง ๆ เวลาฝึกอยู่ตัวเดียว ไม่เคยเข้ามาป้วนเปิ้ยนในลานสนทนาธรรม
เอกอนไม่รู้อะไรเลย...และก็ไม่รู้ด้วยว่ารู้อะไร...ไม่ได้จำด้วย...
และก็ไม่เคยวางแผนว่าต้องรู้อะไรก่อนรู้อะไรหลัง...
ทำในใจแต่ว่า...มีอะไรมาให้รู้..ก็ทำความรู้ในสิ่งนั้น ๆ ...
...
ซึ่งก็เลยเป็นอุปนิสัยหนึ่งที่...ไปเข้ารูปเข้ารอยกับการปฏิบัติตามสำนักไม่ได้...
เพราะ...รูปแบบขั้นตอนเยอะ...ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กับเอกอนไม่ได้ผลเลย...
เหมือนจับอึ่งอางใส่หม้อ... มันจะตะกายออก...ตะกายออก...
แต่ถ้าปล่อยเขาอยู่ตามธรรมชาติ... เขาจะเป็นอึ่งอ่างปกติ...
ในสายตาเอกอนเขาคือ...เจ้าลิงน้อยกลอยใจ...
เขาไม่ใช่สิ่งที่ดูแลยาก... แต่ที่มันยากเพราะเราไม่ได้ดู...ไม่ได้แล...
ปล่อยให้เขาไปบริโภคอาหารขยะอยู่เป็นเนือง ๆ
จนเสียสุขภาพ...กลายเป็นลิงขี้โรค...อ่อนแอ...เกเร...ลิงเจ้าปัญหา...

เอกอนไม่รู้ว่า นาม - รูป ปริเฉทญาณ หมายความอย่างไร...
และไม่สนที่จะรู้เลยแม้แต่นิดเดียว...คือรู้ก็ได้...ไม่รู้ก็ได้...
แต่ไม่รู้ไม่ได้คือ...เจ้าลิงน้อยกลอยใจ...
ต้องเอาใจใส่...ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภค..ชวนให้เขาทำกิจกรรมที่ฟื้นฟูเสริมสร้างสุขภาพให้กับเขา...
เมื่อเขาสุขภาพดี...มีความสุข...เขาก็จะมีของมาฝากเราเอง...

เรื่องการเห็นการเกิด-ดับ...ในทัศนะของเอกอน...อาจจะผิดก็ได้...
เพราะไม่ได้...ลอกใคร...แต่สังเกตเห็น...ก็คือสังเกตเห็น...
ซึ่งสิ่งที่สังเกตเห็น...มันรู้จากการแสดงลักษณะความเป็นของมัน...ไม่ใช่รู้จากการอ่าน...

ในการปฏิบัติ...เมื่อร่างกายเข้าสู่ความสงบรำงับ...
ลมหายใจนิ่ง...ละเอียดสงบ...ร่างกายเข้าสู่ความสงบระงับ...
อัตราการทำงานทุกอย่างของร่างกายจะช้าลง...
จากการหายใจปกติ...15 ครั้งต่อนาที...ก็จะค่อย ๆ ลดลง...
กายก็จะมีความสัมพันธ์...จากการเต้น 70 ครั้งต่อนาที ก็จะเต้นช้าลง...
จนการหายใจมีการเลี้ยงตัวที่ความเบา...อย่างที่เห็นว่าเป็นไปได้ก็คือ...
หนึ่งนาที จะหายใจเข้า-ออกเพียงรอบเดียว...
อัตราการเต้นของหัวใจ...ก็จะยิ่งช้าลง...รูปขันธ์ทั้งหมดอันเป็นองค์ประกอบแห่งกาย...
ชะลอการทำงานลง...
การเข้าไปทำความรู้จักกับสภาวะเช่นนี้...จะทำให้เราคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ...
ความคุ้นเคยตัวนี้...เป็นเพียงอาวุธ...คือสิ่งที่จะถูกนำไปใช้...

ซึ่งเมื่อกลับมาสู่ภาวะปกติ...สำหรับผู้ที่ประคองสติได้อย่างต่อเนื่อง...
อาวุธที่เราฝึกจิตให้คุ้นเคยการใช้งานนั้น...จะทำงาน...และควรฝึกให้มันทำงาน...
เพราะวิถีชีวิตปกตินี่ล่ะ....เป็นแหล่งเดียวที่ผัสสะเกิดเยอะที่สุด...
มันไม่ใช่การเข้าไปจดจ้องเพื่อจะเห็น...แต่ทันทีที่จิตมัน scan ไปเจอ
มันจะเหมือน zoom วิถีเข้าไป นั่นคือ...เราอยู่ในวิถีปกติ...
แต่...มันจะสังเกตเห็นเอง...แต่การสังเกตเห็นในที่นี้...มันจะเหมือนนั่งรถไฟ...
เมื่อเราเจอสิ่งที่สะดุดตา...เราจะเกิดการจูนสายตาเข้าไปที่สิ่งนั้น...
แต่มันก็จะผ่านไป...ไม่ชัด...
แต่มันจะเกิดการผ่านหลาย ๆ รอบ...และมันจะมีการจดจำ....
มันก็จะเริ่มสเก็ตภาพ...แล้วฝากไว้ในสัญญา...เพื่อนำกลับมาใช้...
มันเป็นเรื่องของการทำงานของขันธ์ 5
มันจะทำซ้ำ ๆ ร่างซ้ำ ๆ
เราจะเห็นโครงร่าง ตรงนี้ถ้าหากว่าจิตทำงานด้วยตัวมันเมื่อภาพร่างสมบูรณ์
มันจะเกิดสภาวะที่เสร็จกิจนั้น ๆ ออกมา และจะเกิดเป็นความรู้ที่มีลักษณะทะลุแทงโพล่งออกมา
อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย... นี่คือสภาวะแห่งองค์ความรู้หนึ่ง... ที่เกิดขึ้นได้สำหรับผู้ปฏิบัติ...
ที่บางคนมองว่าเป็นปัญญา ... ของตู ... คือเรามักจะเข้าไปยึดทุกอย่างที่เรารู้...
แต่ไม่เคยย้อนรอยกลับไป ถ้าปราศจากขันธ์ 5 โดยสิ้นเชิงแล้วไซร้ ไอ้ที่รู้มันจะรู้อีท่าไหน...

ส่วนความรู้อีกแบบคือ ครึ่งทางของความรู้แบบแรกคือ จิตเห็นภาพร่างแล้ว
อีกส่วนอ่านตำรา ฟังอาจารย์ แล้วเอาเข้ามาตัดต่อเข้าด้วยกัน ด้วยการพิจารณา...
โดยมีความเชื่อของตน คือ มี background เดิมของตนเป็นวัสดุประกอบในการอ๊อก
ความรู้ที่แยกส่วนเป็นชิ้น ๆ อยู่นั้น เข้าด้วยกัน...ออกมาเป็น...เฟรงเก้นสไตน์... :b14:

อย่างเอกอน ก็มีเฟรงเก้นสไตน์เลี้ยงไว้หลายตัว :b16: :b16:
ดังนั้น ความเห็นจึง มีเหตุผลบ้าง เพี้ยนบ้าง เหมือนมาจากต่างดาวบ้าง...อิ อิ

เมื่อมีคนบอกว่า...สามารถติดตามการเกิด-ดับของจิตได้...ก็มักจะเห็นแต่ความเป็นไปไม่ได้...
เหมือนเป็นเรื่องที่เอามาคุยโม้โอ้อวดกัน...
ก็เพราะผู้ที่พิจารณาสิ่งนี้...ต่างก็รู้ ๆ กันอยู่ว่า...มันไว...

แต่สิ่งที่ไม่รู้ก็คือ...การฝึกมันให้รู้ละเอียดในพฤติกรรมอันเชื่องช้า...
แล้วนำสิ่งนั้นกลับมาใช้กับผัสสะที่หลากหลาย...ในปัจจุบัน...
โดยไม่ต้องสนใจการทำงานของมัน...เพราะมันทำของมันเอง...ในปัจจุบันนั่นล่ะ...

ความเห็นของเอกอน...คือ...
ผู้ปฏิบัติส่วนหนึ่งยังเกี่ยวโยงการปฏิบัติทุกอย่างเข้ากับกุศล และอกุศล
บุญ และ บาป... นั่นคือ...เราฝึกจิตให้ทำงานเพื่อสนองตอบสิ่งนั้น...
ผล...หรือ ปัญญาที่เราได้จากการปฏิบัติ...จึงสนับสนุนในสิ่งที่เราเชื่อ...

ซึ่งเอกอนเชื่อมาผิด...ความรู้ความเข้าใจของเอกอนจึงสนับสนุนในสิ่งที่เอกอนเชื่อ...

ก็ต้องยอมรับว่า การคุยเรื่องจิตเกิดดับ เคยฟังหลายแง่มุม...
อย่างการ มองว่าจิตจับขันธ์นี้ แล้วไปจับขันธ์นี้ นี่ เกิด-ดับ แล้ว นั่นก็คงเป็นแง่หนึ่ง

หรือ รู้แล้วหลงแล้วกลับมารู้ นั่นก็คงเป็นอีกแง่หนึ่ง

นั่นคือแบบเรียน...ที่ผู้ปฏิบัตินำมาใช้

ส่วนแง่ที่เอกอนใช้เป็นแบบเรียนก็คือ
เมื่อเกิดผัสสะ แล้วเกิดโทสะอันด้วยผัสสะนั้น
คือเอกอนจะเห็นรูปแบบวิถีการกระพือ เหมือนพัดเตาเพื่อเร่งไฟน่ะ
จนไฟลุกแรง ใส่ฟืนไฟก็กองใหญ่ขึ้น ร้อนขึ้น
ไหม้ยาวนานขึ้น แต่เมื่อหยุดการพัด หยุดการใส่ฟืน ไฟก็ไหม้ไปเรื่อย ๆ จนดับไปเองในที่สุด...
นี่คือ...หนังสือเล่มหนึ่ง ๆ ในความหมายของเอกอน...
คือการพิจารณาการ เกิด-ดับ ตามตำราที่เอกอนใช้...
ซึ่งการเกิดดับที่เอกอนพิจารณานั้น
มันก็ไม่ได้ เกิดดับ ว่องไวเกินกว่าความสามารถคนธรรมดาจะพิจารณาได้
และมันก็เอาไปสวมได้กับ อิทัปปัจ-ปฏิจจ อายตนะ ... :b1:


โลกของแต่ละคน...ก็เลยมีหลายโลกหลายมิติ...หลายภพหลายภูมิ...
มันเป็นเรื่องของการที่เราเข้ามาปฏิบัติสมาธิ...เพื่อฝึกฝน/ฟื้นการทำงานของจิต...
จิตมันมีศักยภาพของมันอยู่แล้ว...แต่อาหารขยะนั่นล่ะ...ที่มันรกรุงรัง
ก็แค่เอาสิ่งที่รกรุงรังออก...

สัจจธรรมอยู่ตรงที่...เอาภาระที่รกรุงรังออก...
เราก็จะได้เห็นได้รู้ความเป็นปกติของจิต...เอง...

แต่...นั่นคือ...สิ่งที่เกิดด้วยมีปัจจัยให้เกิด...
สิ่งใดก็ตามที่ต้องอาศัยปัจจัยในการเกิด...สิ่งนั้นเข้าสู่กฎไตรลักษณ์...

เอกอนอาจจะ...ปฏิบัติมาผิด...
และความเข้าใจของเอกอนอาจจะผิดทั้งหมดทั้งสิ้น...
ดังนั้นหลอกให้อ่านมาตั้งนาน....
เป็นความเห็นส่วนตัวที่ยังมีความเพี้ยนอยู่เยอะนะจ๊ะ... :b9:
...
ก็ไม่รู้จะว่ายังไง...ก็ดันหลงทำ...หลงเข้าใจเช่นนี้มาจนป่านนี้แล้วนี่เน๊อะ...ทำไงได้
ปฏิบัติไป...เหมือนจะออกทะเล...ออกนอกโลก... หุ หุ :b9: :b9:
กลับหลุมนอนดีกว่า...

:b30: :b30: :b30:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 24 ต.ค. 2010, 15:45, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ต.ค. 2010, 18:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอกอน แปลงร่างมาหรือนี่ :b10:

จะว่าไปแล้ว อ่านๆไปก็เพลินดีเนอะ ถึงแม้บางทีต้องเปิด dict แปลอีกที :b9:
มีทางเดิน เป็นตัวของตัวเองดี ถึงที่สุดแห่งทางแล้ว บอกกันบ้างนะ ห้ามลืมกันนะ อิอิ :b13:
smiley

เพิ่มเติม ปล. ไม่ได้พูดเล่นนะ หึหึ :b19:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


แก้ไขล่าสุดโดย ผงธุลีดิน เมื่อ 24 ต.ค. 2010, 18:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2010, 10:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ผงธุลีดิน เขียน:
เอกอน แปลงร่างมาหรือนี่ :b10:

จะว่าไปแล้ว อ่านๆไปก็เพลินดีเนอะ ถึงแม้บางทีต้องเปิด dict แปลอีกที :b9:
มีทางเดิน เป็นตัวของตัวเองดี ถึงที่สุดแห่งทางแล้ว บอกกันบ้างนะ ห้ามลืมกันนะ อิอิ :b13:
smiley

เพิ่มเติม ปล. ไม่ได้พูดเล่นนะ หึหึ :b19:


:b9: แฟงเก้นซาตายยน์เข้าสิ๋งงงงง...หงิ๋งงงหงิ๋งงงง... :b9: :b9:

แฟงเก้นซาตายยน์ออกแล้ววววว...แง๊ววววแง๊ววววแง๊ววววว....

:b9: :b9: :b9:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 25 ต.ค. 2010, 11:57, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2010, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ย. 2010, 23:16
โพสต์: 77

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จืตที่ยังถูกครอบงำด้วยอวิชชา,ตัณหา,อุปปาทาน,ย่อมเกิดๆดับ,ทั้งนั้น ตั้งแต่พระอนาคามีลงมาจนถึงปุถุชนคนทั่วไป ยกเว้นพระจิตของพระพุทธเจ้ากับเหล่าพระอรหันต์เท่านั้นนอกนั้นไม่มีเหลือสักรายเดียว อริยะสัจจ์ ๔ ของจิต
จิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ผลที่เกิดจากจิต รู้เกิด-รู้ดับ เป็น ทุกข์
จิต รู้ไม่เกิด-ไม่ดับเป็น มรรค ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ผลที่เกิดจากจิต รู้ไม่เกิด-ไม่ดับ เป็น นิโรธความดับทุกข์
อริยะสัจจ์ ๔ ล้วนแล้วแต่เป็นแค่อาการของจิตทั้งนั้น จิตที่พ้นจากอริสัจจ์ ๔ จึงไม่มีอาการของสมมติใดๆทั้งสิ้น การไปการมา การตั้งอยู่หรือการดับไปของจิตจึงไม่มี สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของสมมติทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2010, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กลับมาแล้วคะ ขอบคุณในคำแนะนำคะ จะเอาของทุกท่านมาประยุกต์คะ จริตแต่ละคนย่อมแตกต่าง

คุณเอกอน ก็มีจริตของตัวเองเข้าใจว่าไง ก็คือสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ ส่วนดิฉันเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ก็เป็นธรรมดา เพราะไม่ว่าเรื่องนวดแป้ง เรื่องลิงน้อย เรื่องคางคก ล้วนสรุปความเข้าใจว่า สิ่งที่ทำถ้าทำแล้วดี ไม่หลอกตัวเอง ทำแล้วเห็นผล นั่นคือดีที่สุด สนับสนุนความคิดนี้คะ เพราะตัวเองเป็นคนวิตกจริตแต่เบื้องต้น มีโทสะเป็นอารมณ์ โลภะก็สูงโดยเฉพาะความงก กรรมก็เยอะ แต่มาถึงจุดที่ลดกิเลสลงได้ทุกตัว กลายเป็นคนนิ่ง มีความสุขได้จากปัจจัยภายใน ไม่ใช่จากปัจจัยภายนอก อยากรู้อยากปฏิบัติอย่างไรก็ต้องมาจากความเข้าใจของตนเองก่อน หากไม่รู้ไม่เข้าใจ ปฏิบัติเพื่ออะไร ก็จะเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ไม่มีอาจารย์เป็นส่วนตัว แต่เชื่ออย่างหนึ่งคะ อธิฐานจิต ไม่ใช่สะกดจิตตนเองนะคะ เพราะทุกอย่างที่ได้มาจนถึงปัจจุบันที่ไม่มีอาจรย์สอน ไม่วิปลาสไปเพราะถูกนิมิตหลอก ก็เพราะอธิฐานจิตเนี่ยแหละคะ ถ้าเล่าแล้วห้ามหัวเราะนะคะ จะได้กล้าเล่า

เป็นคนทำมาค้าขาย ไปที่ไหนไหว้ที่นั่นคะ ขอไปหมดทุกอย่าง ตั้งแต่หวย หรือทำมาค้าขึ้น ลูกจะเรียนอะไร ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ไม่เคยเข้าวัดฟังธรรมที่เป็นเรื่องราว สิบปีนี้คุยกับพระไม่เกินสิบคำ บาปก็ทำมาเยอะ มารู้สึกตัวว่าไอ้ที่ขอไปพึ่งไม่ได้เลยก็ตอนลูกชาย เป็นหอบหืด เราเห็นลมหายใจลูกเกิดดับตลอดเวลา ทุกคืน หนึ่งเดือนเต็มๆ จนเราทนไม่ไหวแล้ว นอนไม่ได้ สุขภาพก็แย่ แล้วถ้าเราเป็นอะไรใครจะดูแลลูกชายที่อายุสามขวบ แต่กินยามากกว่าแม่ที่อยู่มาสามสิบกว่าปี เราก็เลยนั่งสมาธิ โดยขอไม่เห็นอะไร ด้วยคิดว่านั่งแล้วจะเห็นผี มาสามปีเต็ม จนมีนิมิตให้เห็นบ้าง ก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเองในทางที่ดีขึ้น ระหว่างนี้ด้วยความงก net ก็ไม่เล่น ธรรมก็ไม่ฟัง ทุกวันสวดมนต์อย่างเดียว นั่งสมาธิก็ไม่ถึงกับทุกวัน

จนมีอยู่วันก็มีหนังสือสวดมนต์ฟรี หนังสือสอนการให้ทาน หนังสือสอนการอุทิศส่วนบุญ ฟรี แถมเล่มต้องบางไม่บางเราก็ไม่อ่าน หลังจากนั้นเราไปไหว้พระ สถานที่นั้นมีพระพรหม เราก็ขอไปหมด พระภูมิ เราก็ขอ ถึงพระพุทธรูป เราไม่รู้จะขออะไร ข้างๆมีคาถาพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ พร้อมคำสอนว่า "ลูกเอ๋ยบุญเจ้าไม่สร้าง แล้วเจ้าจะขออะไร..."เราก็เลยไม่ขอ แต่อธิฐานจิตว่าลูกอยากหลุดพ้นไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า แล้วเล่มที่สี่ก็เรื่องการรักษาศีลก็มาอยู่ตรงหน้า มันก็ฟืนที่ค่อยๆลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ ทดลองทำเองเห็นเอง รู้เอง ใครจริงไม่จริงเราก็พอสัมผัสได้บ้าง จนต้นปีจากที่ไม่เคยเห็นนิมิต ก็มีนิมิตเกิด ก็ด้วยความไม่รู้ เพื่อนเลยบอกให้ติดnet หลังจากนั้นคำสอน พระธรรม ต่างๆก็มาจากการศึกษาเอง รู้เอง จนคิดว่าแนวสติปัฏฐานสี่ถูกจริตที่สุดคะ



แก้ไขล่าสุดโดย ploypet เมื่อ 25 ต.ค. 2010, 19:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2010, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ต.ค. 2010, 17:16
โพสต์: 177

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับท่าน อนัตตาธรรมขอบคุณสำหรับข้อมูลคะ ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วจะกระจ่างแจ้งทุกอักษร ก็เหมือนคุณผงธุลีดินบอกแหละคะ เปิดdictแทบไม่ทัน แต่ก็น้อมรับเป็นท่านอาจารย์ท่านหนึ่งคะ เพราะเป็นผู้รู้ ถ้าทำผิดหรือจากวิปัสสนาเป็นวิปัสสนึก ก็ช่วยตักเตือนด้วยนะคะ

เริ่มจากหายไปสามวัน ไม่ได้อะไรเลย ไปนั่งสมาธิริมทะเลที่มีแหม่มแต่งชุดน้อยนิดอาบแดด สติแตก ฟังฝรั่งคุยกันเป็นเสียงเกิดดับได้เท่านั้นคะ ตอนกลางคืนว่าจะนั่งสมาธิก็ไม่ค่อยสงบคะ เพราะนอนเต้น ในห้องพัก สามีอยากให้ลูกรู้สึกถึงการผจญภัยในห้องนอน เลยไม่มีที่ให้กลับตัวคะ ไว้ถ้าได้ทำอะไรแล้วมีอะไรคืบหน้าค่อยว่ากันนะคะ

สำหรับท่านsutheeขอบคุณคะ ที่ต้องดูจิตเกิดดับเพราะ หนึ่งคือเป็นฐานหนึ่งของสติปัฏฐานสี่ นอกจากต้องเห็นจิตเกิดดับ ต้องมีจิตที่ระเอียดขึ้นเพื่อให้เท่าทันกิเลส ที่ไม่ใช่ส่งมาแบบดื้อๆหรือตรงๆคะ แต่มักจะมีโลภะซ่อนในโมหะ หรือทั้งสามตัวซ่อนไปมา แล้วแต่ว่าเราจะทันไหมเท่านั้นคะ แต่ก็ยังเห็นตัวเองมีอัตตา แต่อัตตาลดลง ถ้าหายไปก็แวบๆ ไม่ถึงตลอด เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้รู้ จึงต้องศึกษาให้เยอะคะ วิธีเรียนรู้เพื่อไม่ให้ถูกโมหะตัวอยากก้าวหน้าหลอกเอา ของดิฉันคือรู้ทีละสเตป ถ้าไม่รู้ก็จะไม่ไปไหนคะ จะอยู่จะรู้แต่เฉพาะจุดที่จะรู้ ไม่ใช่อยากรู้ เพราะงั้นไม่คิดถึงขั้นโสดาบันเลยด้วยซ้ำคะ เรื่องอริยสัจแห่งจิต เคยศึกษาคะ แต่ไม่เข้าใจว่าถูกเปล่าเพราะอาจจะไม่ค่อยเหมือนกันนักคะ
1 สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ หมายถึงจิตที่หลง จิตที่ส่งออก เพื่อสนองอารมณ์
2 ทุกข์ ผลของจิตที่ส่งออก
3 มรรค จิตที่เห็นจิต
4 นิโรธ การดับทุกข์ หมายถึงผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตคะ
นี่แหละคะคือที่อยากรู้เกี่ยวกัยจิต


แก้ไขล่าสุดโดย ploypet เมื่อ 27 ต.ค. 2010, 10:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ต.ค. 2010, 20:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ploypet เขียน:
กลับมาแล้วคะ ขอบคุณในคำแนะนำคะ จะเอาของทุกท่านมาประยุกต์คะ จริตแต่ละคนย่อมแตกต่าง

คุณเอกอน ก็มีจริตของตัวเองเข้าใจว่าไง ก็คือสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ ส่วนดิฉันเข้าใจบ้าง.....
ถ้าเล่าแล้วห้ามหัวเราะนะคะ จะได้กล้าเล่า


คิก ๆๆๆๆ อิ อิ ... ย้อเย่นนนนน... :b4: :b4:

ดีค่ะ...ชอบ...เอกอนชอบผู้หญิงดีเดือด...อย่างนี้...

ทุกอย่างมีเหตุมีผล...
เดี๋ยวเอกอนกลับบ้าน....ก่อนน๊า....แล้วจะมาเล่าอะไรให้ฟัง...

รับรองว่า...แน่เป็นแช่แป้ง... :b14: :b9: :b9:
ไม่เจอ...ไม่รู้...
ที่ยังไม่รู้...เพราะยังไม่เจอ...
แต่จะบอกไว้...เผื่อเจอเมื่อไรแล้วจะได้รู้...
เพื่อจะได้...สู้ศึกได้...


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 25 ต.ค. 2010, 20:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร