วันเวลาปัจจุบัน 17 เม.ย. 2024, 05:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2011, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม..
ผู้ปฏิบัติ ที่เข้าไปปฏิบัติในป่า หรือป่าช้า ก็ดี ถ้าเกิดมีอาการกลัวขึ้นมา จะมีวิธีแก้
อย่างไร ?

ตอบ..
พระพุทธเจ้าตรัสว่า...เมื่อเกิดความกลัว ขน พอง สยองเกล้า ให้ระลึกถึงพระองค์
ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พุทธโธ ระลึกถึงพระธรรม ระลึกถึงพระสงฆ์ นี่ก็แก้ได้...
หรือเราจะภาวนา พุทโธ ไวๆ ก็ได้ ดูจิตไปด้วย
ในทางการ วิปัสสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า..
สิ่งใดปรากฏ ให้ระลึกสิ่งนั้น ถ้าเราเกิดความกลัว..ก็ระลึกรู้ลักษณะที่กลัว
ถ้าสติไปรู้ความกลัว ๆ รู้ความกลัว ให้ดี ให้ต่อเนื่อง แล้วก็รู้จิตอยู่นี่..
มันจะคลายความกลัว ความกลัวมันจะคลายตัว เพราะความกลัวเกิดมาจากความ
ปรุงแต่งของจิต คือจิตมันจะตัองมีการปรุงแต่ง อาศัยสัญญาในอดีตที่เราจดจำมา
เช่น เรากลัวผี..เราก็ต้องฟังเรื่องผีมา คนถ้าไม่เคยฟังมา ไม่รู้เรื่องผี มันก็ไม่กลัว
(ต่อ..)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2011, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


...แต่เพราะฟังมา อ่านมา เห็นเขาเล่า ดูภาพยนตร์ บ้าง..
สิ่งเหล่านี้ จะถูกบันทึกไว้ในจิตใจ เสร็จแลว พอได้เหตุ ปัจจัย...เออ..ความมืด
..ความวิเวก สิ่งเหล่านี้ ก็จะกรอ ขึ้นมา ให้จิตปรุง โดยมีสัญญานี้ปรุง...
ในแง่ มันจะเป็นอย่างนั้น..โผล่ยังงั้น เป็นยังงี้ แล้วจึงกลัว จึงเกิดความ กลัว
ถ้าจิตไม่ปรุงแต่ง ในแง่มุมต่างๆ ความกลัวจะเกิดขึ้นไม่ได้
เพราะฉะนั้น เรารู้ว่าความกลัวมันเกิด จากการปรุงแต่ง ความคิด นึก ปรุงแต่ง
ถ้าสติรู้ทันต่อจิต จิต ไม่มีโอกาสจะปรุงๆ ต่อ ความกลัวก็ต้องหายลง
เพราะเหตุ ปัจจัย มันไม่สืบต่อ นี่ เราก็ลองไป ทดลองดู เวลากลัว ๆ ก็ดูที่กลัว
ดูที่จิต ที่กำลังปรุง นึก คิด นี่ ดูให้ทัน รู้ให้ทัน...


(ที่มา...ตอบปัญหาธรรมโดย ท่านพระครู เกษมธรรมทัต แห่งวัด มเหยงคณ์)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 01:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: การปฏิบัติ มันต้องลุ่มลึกตามลำดับไป ลาดเอียงไป บ่าไป เคยได้ยินไหม นี่วิธีทีถูก และไม่อันตราย
การที่เราจะปฏิบัติแบบอุกฤตนั้นมันก็ได้ หลวงพ่อชาท่านก็เคยทำ หลวงพ่อสุทัศน์ท่านก็เคยทำ แต่ทั้ง 2ท่าน
ศีลท่านบริสุทธิ์มาก หลวงพ่อชา ขนาดที่เรียกว่า นั่งภาวนาอยู่หน้า เชิงตะกอน ที่พึ่งเผาศพไปเมื่อตอนหัวค่ำ ตอนดึก ก็มีคนมาเดินรอบกลด ท่านก็เอาชีวิตเข้าแลก คืออุทิศแล้วแด่พระพุทธเจ้า ท่านเล่าว่าท่านกลัวจนถึงที่สุด
แล้วดูว่ากลัวถึงที่สุดแล้วมันจะตายไหม แล้วความกลัวมันก็ดับไป
......หลวงพ่อสุทัศน์ ก็เช่นกัน ตอนฝึกปฏิบัติ อยู่กับอาจารย์แป้น ที่ป่าช้าวัดชายนา ถ้าจำไม่ผิด ท่านก็ภาวนาที่เชิงตะกอนเหมือนกัน แล้วภาวนาเสร็จ ยังใจดีไปยืนแผ่ให้วิญญาณต่างๆที่เชิงตะกอน อยู่หลายคืน จนอาจารย์แป้นรู้เข้าจึงได้ห้ามว่าเป็นการติดสินบนภูติผีอะไรทำนองนี้ ก็เลยหยุด ทีนี้ความไม่พอใจก็เกิดขึ้นกับเหล่าวิญญาณ เรื่องร้ายๆก็เกิดขึ้น แต่ด้วยบุญกุศลทั้ง2ท่านก็เอาตัวรอดมาได้
....ทีนี้เราจำเป็นต้องทำขนาดนั้นไหม คิดว่าไม่จำเป็น จำพุทธดำรัส ที่ตรัสกับพระอานนท์ได้หรือไม่ เมื่อยังไม่มีตบะ(จิตยังไม่ตั้งมั่น) หญิงสาวนี้ ไม่เห็นเสียดีกว่า ถ้าจำเป็นหรือเลี่ยงไม่ได้เห็นแล้ว ก็อยาพูดคุยด้วย ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆเวลาพูดคุยก็ให้มีสติกำกับ นี่เป็นวิธีที่เรียกว่าลาดไป เอียงไป ลุ่มลึกไปตามลำดับ และไม่อันตราย
....เรื่องผีเรื่องความกลัวนี้ก็เหมือนกัน เราก็ปฏิบัติในที่สับปายะไปก่อน ไม่ต้องให้มันล่อแหลม เมื่อศีลมันบริสุทธิ์ ดีแล้ว สมาธิมันก็เกิด จิตมันมีกำลัง มีความมั่นใจในบุญกุศลแล้ว อันนี้อยากขยับขยายไปทดสอบจิตดูก็ได้ เพราะเมื่อบุญกุศลมันเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์อะไรที่มันอยู่ในภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์มีศีล เราก็ไม่ต้องกลัว ไม่มีใครอยากทำร้ายผู้ทรงศีลแล้ว ไม่มีใครอยากสร้างกรรมเพิ่ม และบุญกุศลก็จะรักษาเรา นอกจากกรรมแล้ว สิ่งอื่นๆก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก มีแต่กรรมเท่านั้น ที่มันให้ผลเวลาใดก็ทำใจยอมรับมันเสีย.....เจโตวิมุติ/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 02:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ชอบคุณเจโตวิมุติเขียน โดยเฉพาะเรื่องติดสินบนผี ผมเคยคิดว่า เอ มันจะเป็นไปได้หรือ แต่ผมก็เห็นคนทั้งหลายเขาทำคือบูชาผี สำหรับพระนั้น ผมเคยบวช7วัน 7วันที่ผมคิดว่าผมได้มากกว่าที่ผมพยายามจะเป็นทั้งชีวิตในเรื่องของการรักษาศีลที่มากกว่า5ข้อ เพราะห้องนอนชิดขวาสุดติดกับที่เผาศพ ทุกคืนผมจะมองเข้าไปในที่แห่งนั้นมีความกล้าอยากเข้าไปนั่งสมาธิในบริเวณนั้น แต่ไม่เคยคิดว่าจะโดนผีหลอกคิดแต่ว่าวัดติดบ้านพักอาศัยกลัวว่าคนเห็นเราจะนึกว่าเป็นหัวขโมยมากกว่า แต่ผมก็ยังออกมาเดินจงกลมเงียบๆนอกชานที่พระปิดประตูนอนกันหมด ทั้งๆที่ผมไม่ถนัดเดินจงกลม เพราะเดินไปก็ตั้งสติไปตามขาตามเท้าไม่เกิดสมาธิเท่าไหร่ ไม่ถึง10นาทีพระบวชก่อนออกมาบอกว่าอย่ามาเดินนอกชานเดี๋ยวเขาคิดว่าเป็นขโมยก็เลยหยุด ทุกวันนี้ไม่เคยคิดเรื่องผี ไม่กลัวผีดูหนังผีได้อย่างสนุกไม่ต้องปิดตาดู เคยมีอาการขนลุกในบริเวณเงียบๆ แล้วดูตัวเองว่า เรากำลังกลัวหรือขนลุกเพราะเหตุอะไร แต่ถ้ากลัวตั้งแต่สมัยเป็นเด็กมาแล้ว จะตั้งนโม3จบ นึกถึงคุณมารดาและพระรัตนตรัยครับ
อ้างคำพูด:
ศรีสมบัติเขียน
เพราะฉะนั้น เรารู้ว่าความกลัวมันเกิด จากการปรุงแต่ง ความคิด นึก ปรุงแต่ง
ถ้าสติรู้ทันต่อจิต จิต ไม่มีโอกาสจะปรุงๆ ต่อ ความกลัวก็ต้องหายลง
เพราะเหตุ ปัจจัย มันไม่สืบต่อ นี่ เราก็ลองไป ทดลองดู เวลากลัว ๆ ก็ดูที่กลัว
ดูที่จิต ที่กำลังปรุง นึก คิด นี่ ดูให้ทัน รู้ให้ทัน...


อนุโมทนาครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ทุกวันนี้ไม่เคยคิดเรื่องผี ไม่กลัวผีดูหนังผีได้อย่างสนุกไม่ต้องปิดตาดู เคยมีอาการขนลุกในบริเวณเงียบๆ แล้วดูตัวเองว่า เรากำลังกลัวหรือขนลุกเพราะเหตุอะไร แต่ถ้ากลัวตั้งแต่สมัยเป็นเด็กมาแล้ว จะตั้งนโม3จบ นึกถึงคุณมารดาและพระรัตนตรัยครับ

เมื่อ อินทรีย์ บารมี แก่กล้า จาก ผล แห่งการปฏิบัติ มีความเพียรอยู่ เนืองๆ สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
นั่น แหละ คือทางสาย เอก ทางแห่ง ปัญญา รู้แจ้ง เห็นจริง ที่จะหลุดพ้นในที่สุด
ขออนุโมทนา และ เป็น กำลังใจ ครับ :b8:
จริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ค. 2011, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจโตวิมุติ เขียน:
....เรื่องผีเรื่องความกลัวนี้ก็เหมือนกัน เราก็ปฏิบัติในที่สับปายะไปก่อน ไม่ต้องให้มันล่อแหลม เมื่อศีลมันบริสุทธิ์ ดีแล้ว สมาธิมันก็เกิด จิตมันมีกำลัง มีความมั่นใจในบุญกุศลแล้ว อันนี้อยากขยับขยายไปทดสอบจิตดูก็ได้

เราก็แค่ ฆราวาส ไม่เคยสัมผัสผ้าเหลือง...แต่ก็สนใจภาวนา เจริญสติอยู่
บางครั้ง ก็อยากจะลง ฝึกสนามจริงบ้าง คิดอยู่..แต่เมื่อ เข้า ไปสัมผัสจริงๆ จะอยู่
ได้ไหม ? สติจะแตก ไหม? อย่างน้อย มันก็ต้อง มีเพื่อน พี่เลี้ยง สักคน คอยอยู่ใกล้ๆ
ให้อุ่นใจ...จำเป็นหรือไม่ ที่เราจะต้องไป ปฏิบัติถึงในป่า..ป่าช้าร้าง :b5:
เพราะ สถาน..ปฏิบัติธรรม สำนัก..วัด ฯลฯ ก็ชอบไปตั้ง ตรงนั้น ซะด้วย
ที่ สัปปายะ สงบ วิเวก วังเวง ทั้งเรื่อนร้าง ป่าร้าง ทุกอย่าง พร้อม มีหลุมฝังศพเก่าๆ
แถม พ่วง มาอีก... :b14:
...ถ้านักปฏิบัติ ที่สามารถเข้าไป ปฏิบัติตามลำพังคน เดียวได้ จะถือว่า เป็นการ ทดสอบ
อินทรีย์ จิต บุญบารมี หรือไม่ เป็นการลงสนามจริงๆ หรือ...เพราะส่วนมาก ก็มีการ นั่ง การ
เดิน ในกลุ่ม คน ที่มากๆ หมายถึงรวมกลุ่มปฏิบัติ
..เพราะการปฏิบัติแบบเดี่ยวๆคนเดียว น่าจะเกิด สมาธิ เกิดความสงบ ดีกว่า เร็วกว่า หรือไม่
...ท่านเจโต มีความเห็น อย่างไร
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2011, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


เรามีเรื่องจะเล่าแล้วก็ขอถามด้วยน่ะค่ะ :b1:
คือเมื่อประมาณ4-5วัน ที่ผ่านมาน่ะค่ะ ตอนช่วง2-3ทุ่มน่ะค่ะ
เรานั่งสวดมนต์อยู่ที่นอกบ้าน สวดมนต์เส็จก็แผ่เมตตา
ทีนี้เราก็มองไปที่ต้นกระดังงาสงขลา ต้นนี้ก็สูงค่ะ
แต่ไม่ถึงกับสูงมากน่ะ

เราก็เห็นเป็นดวงๆมีหลายดวงค่ะ จะเป็นกลมๆสีขาว แต่รัศมีด้านนอกสีจะไม่เหมือนกัน
บางดวงรัศมีตรงขอบจะเป็นสีแดงเข้ม บางดวงจะเป็นรัศมีเขียวเข้ม
บางดวงก็เป็นรัศมีสีอ่อนๆ ลอยอยู่ที่ต้นกระดังสงขลา

ตอนที่เราเห็นตอนแรก เราคิดว่าสายตาเรามีปัญหา จากการเล่นคอมพ์หรือปล่าว
ก็ขยี้ตา หลับตาเปิดตาดู ก็ยังเห็นเราก็มองไปทางอื่น
สายตาก็ปรกติดีไม่เห็นอะไร

เราก็เลยคิดว่าเราคงจะสัมผัสอะไรแล้ว เราก็นั่งดูสิ่งที่เราเห็นในดวงสีขาวนั้นน่ะค่ะ
บางดวงเราเห็นเหมือนมีคนยืนอยู่2คน เพราะมีลักษณะรูปร่างเป็นคนยืนอยู่
บางดวงก็ไม่มี แล้วเค้าก็ค่อยลอยหายไป
คือเค้าหายไปแบบ เห็นเค้าลอยอยู่แล้วหายไปเลย

ทีนี้พอเราตั้งสติได้ มีดวงที่เป็นรัศมีสีเขียวน่ะค่ะ เค้าลอยอยู่เหมือนจะไปแล้ว
เราก็เลยสวดมนต์ บทสวดต้าเปยโจ้วภาษาจีนค่ะ
เค้าลอยกลับมาค่ะ มาอยู่ตรงต้นกระดังงาอีก พอเราสวดมนต์จบ
เค้าหายไปทั้งหมดเลยค่ะ
ทีนี้ขอถามน่ะค่ะ
สิ่งที่เราเห็นนั้นคืออะไรค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2011, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: เรื่องผี เรื่องสิงเร้นลับ คุณวิเศษ อภินิหาร พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ไม่ให้ไปยุ่ง ไปยึด เพราะมันจะพาเราออกนอกทาง ทางของพระพุทธองค์ คือเอกายโนมรรคโค เป็นทาง ที่เดินไปสู่ การ ลด ละ เลิก
ความว่าง ความพ้นทุกข์ (หรือมีทุกข์น้อย) หรือหลุดพ้น เป็นปลายทาง หรือหัวใจ เป้าหมาย หรือแก่นพระพุทธศาสนา
ก็แล้วแต่เราจะเรียก จะเข้าใจ
......ทีนี้ใอ้สิ่งที่พิสูจน์ได้ เรากับไม่ค่อยสนใจ พิสูจน์กันอย่างจริงจัง อย่างศีลนี้ อย่างสมาธินี้ มันพิสูจน์ได้ว่ารักษาจริง ปฏิบัติจริง มันพ้นทุกข์ได้จริง มากน้อยตามลำดับ แต่เราไม่ค่อยชอบกัน แต่พอพูดเรื่องนรกสวรรค์ เทวดา
หรือภูติผี วิญญาณ อย่างนี้เราหูผึ่ง อยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร อยากไป อยากรู้
......อันนี้ไม่ใช่เราพูดครูบาอาจารย์สายปฏิบัติทุกท่านก็พูด อย่างหลวงพ่อชาตอนที่ท่านเล่า ก็เผาศพเมื่อตอนหัวค่ำ ข้างกลดของท่านนั่นแหละ พอตกดึกภาวนาอยู่ ก็มีเสียงเดินรอบกลดของท่าน แล้วก็จากไปทางกลดของปะขาว
ไปแล้วก็ไปเลยท่านก็ไม่ได้ไปสนใจ ว่าไปไหน ไม่ส่งจิตตามไป รู้แล้ว เห็นแล้ว ก็วาง นั่นแหละถูก ส่งจิตตามไป มันก็หลุดก็หลงออกนอกทาง
.....เราก็ผู้ปฏิบัติ มันก็เป็นธรรมดา ปรากฏการณ์ทางจิต เห็นแล้วก็ของใครของมัน ไปเล่าก็ไม่ได้ประโยชน์ ศาสนาพุทธนี้มันตรงๆ แต่เรามองมันไม่ตรง ไม่รู้เพราะอะไร ยกตัวอย่างก็ได้ลูกวัว ธรรมดาเกิดมา มี4ขา มันก็ปกติไม่มีใครสนใจ ถ้าลูกวัวบ้านใครเกิดมามี 5 ขา เอาแล้วชาวบ้าน ชาวช่อง เลยไปถึงนักข่าว พากันไปกราบไว้ขอหวยกันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปเลย กลับกัน ถ้าลูกในท้องเราเกิดมามี 3 ขาบ้าง เราเสียใจ ลูกเราและเรามีกรรมพ้อง ลูกจึงเกิดเป็นเด็กพิการ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ คนนั้นสูงกว่าสัตว์ เรื่องชาติ กำเหนิด เรื่องบุญกุศล สัตว์นั้นต่ำกว่าเรา แถมมีกรรมหนัก เกิดมาพิการอีก แล้วคนที่ไปกราบไหว้สัตว์พิการเล่า จะอธิบายกันอย่างไร
....เราบอกแล้วว่าธรรมมะแท้มันขัดหู มันไปพูดเอาใจให้ชอบไม่ได้ ต้องว่ากันตรงๆ จะได้นำไปพิจาณรากัน....เจโตวิมุติ/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2011, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
เราก็เลยคิดว่าเราคงจะสัมผัสอะไรแล้ว เราก็นั่งดูสิ่งที่เราเห็นในดวงสีขาวนั้นน่ะค่ะ
บางดวงเราเห็นเหมือนมีคนยืนอยู่2คน เพราะมีลักษณะรูปร่างเป็นคนยืนอยู่
บางดวงก็ไม่มี แล้วเค้าก็ค่อยลอยหายไป
คือเค้าหายไปแบบ เห็นเค้าลอยอยู่แล้วหายไปเลย

ทีนี้พอเราตั้งสติได้ มีดวงที่เป็นรัศมีสีเขียวน่ะค่ะ เค้าลอยอยู่เหมือนจะไปแล้ว
เราก็เลยสวดมนต์ บทสวดต้าเปยโจ้วภาษาจีนค่ะ
เค้าลอยกลับมาค่ะ มาอยู่ตรงต้นกระดังงาอีก พอเราสวดมนต์จบ
เค้าหายไปทั้งหมดเลยค่ะ
ทีนี้ขอถามน่ะค่ะ
สิ่งที่เราเห็นนั้นคืออะไรค่ะ

ท่าน บี บี บาย ครับ เราไม่อาจจะสรุปตอบ หรือ ฟันธงว่าที่ท่านเห็น มันคืออะไร
แม้กระผมเอง เคยนั่ง แต่ก็ไม่เคยพบสิ่งใด เป็นสมาธิบ้าง ไม่เป็นบ้าง
เห็นแต่สภาวะเย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง สบาย ไม่สบาย
ก็เอาเป็นว่า ความคิดส่วนตัวของเรา น่าจะเป็นภาพ นิมิต มากกว่า นะครับ มันทำให้
จิตเราเห็น..แต่มันไม่ใช่ จริง มันเป็นสมมติ :b6:
..ขอยกเอา การถาม-ตอบ ปัญญา ของท่านพระอาจารย์ ให้อ่าน และพิจารณาดูครับ เผื่อจะได้
รับประโยชน์ บ้าง ในการปฏิบติธรรม ตามมาดูครับ (ต่อ...)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2011, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถาม...ผู้ปฏิบัติบางคน
ที่ปฏิบัติแล้ว เกิดสติวิปลาส หรือ เป็นบ้าไปเลย ก็มีสาเหตุเกิดจาก อะไร ครับ..?

ตอบ ...ก็หลงอารมณ์ เกิดจากการหลงอารมณ์
คือ ไม่ได้ทำความเข้าใจในเรื่อง วิธีปฏิบัติเสียก่อน แล้วก็ปฏิบัติเอาจริงเอาจัง ทำมาก ทำพอประมาณคงไม่เท่าไหร่
ที่ ทำ หามรุ่งหามค่ำ แล้วพอเจอสภาวะบางอย่างเกิดขึ้นมา แล้วรู้ไม่ทัน ก็ทำให้ผิดเพี้ยนไปได้ นึกว่า เรา
เป็นผู้วิเศษ เราเป็นพระ อรหันต์ เราสำเร็จแล้ว บางที มันมีญานหยั่งรู้ อดีต รู้อนาคต ใจก็สำคัญมั่นหมาย
เป็นจริง เป็นจัง ก็เลยลืมเนื้อลืมตัว สรุปแล้วก็คือ เรื่องหลงอารมณ์..
ถ้าเราเจริญ วิปัสสนาจริงๆ มันจะไม่ผิดเพี้ยน เพราะวิปัสสนานี่ มันจะไม่ไปเรื่อง สมมติ
มันจะระลึกรู้ข้างใน ตัดสมมติออก รู้ต่อข้างใน ไอ้ที่มันผิดเพี้ยน มันไปตามสมมติ พอเห็นภาพ เห็นอะไร
ก็อยากจะรู้ว่าเป็นอะไร ไปตามภาพ ไปตามภาพนิมิต ไปตามบัญญัติ นี่ ที่มันจะหลง
...ฉะนั้น ถ้าเจริญวิปัสสนา มีแต่ทำคุณให้สติสมบูรณ์ ไม่ได้ทำให้เพี้ยน ที่มันเพี้ยนคือ
ไม่ได้ปฏิบัติ วิปัสสนา ปฏิบัติอย่างอื่น ไปทำผิด ทำอย่างอื่น วิปัสสนาไม่ได้ทำให้คนเสีย
ทำให้ดี ทำให้สติยิ่งดี สมบูรณ์ จนกระทั่งสมบูรณ์ ยิ่ง คือ พระ อรหันต์...

(ตอบปัญหาธรรมโดย ท่านพระครู เกษมธรรมทัต วัด มเหยงคณ์)
เจริญในธรรม :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร