วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 17:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2020, 14:24 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
คัดมาจาก :
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๑๒
ดร.ปฐม-รศ.ภัทรา นิคมานนท์, มกราคม ๒๕๕๐
พระธรรมเทศนา กัณฑ์ที่ ๒ สติปัฏฐาน
หน้า ๓๙๕-๔๐๖


รูปภาพ

สติปัฏฐาน
พระธรรมเทศนาโดย...
พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๑๑

:b49: :b40: :b49:

เบื้องหน้าแต่นี้เป็นต้นไป เป็นเวลานั่งสมาธิภาวนา
ให้พากันนั่งขัดสมาธิเอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือข้างขวาวางทับมือข้างซ้าย
ตั้งกายให้เที่ยงตรง หลับตา นึกภาวนาพุทโธ พร้อมกับลมหายใจเข้าหายใจออก

ในขณะที่เรานั่งสมาธิภาวนานี้ จงรวมจิตใจเข้ามาในบริกรรมภาวนานี้
หรือในการได้ยินได้ฟังอุบายธรรมต่างๆ
เมื่อเสียงเข้าไปถึงที่ไหน รู้สึกในใจที่ไหน ก็ให้รวมจิตใจลงไปที่นั้น

ที่นี้แหละที่เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันธรรม เป็นธรรมที่ปฏิบัติ

ผู้ใดรวมใจของตนเข้าไปภายในปัจจุบัน
ย่อมถึงซึ่งความไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน
จิตใจที่อ่อนแอท้อแท้จะได้แข็งแรงขึ้น
ด้วยสติความระลึกได้ในการบริกรรม ในการฟังธรรม


สตินี้ก็เกิดขึ้นจากใจเหมือนกัน
เกิดขึ้นจากดวงจิตดวงใจ ดวงที่รู้อยู่ ฟังอยู่ เจริญอยู่ บริกรรมอยู่

เกิดขึ้นจากที่นี้เอง เรียกว่า สติ - ความระลึกได้

เมื่อ สติ ความระลึกได้ มีความรู้สึกอยู่ในใจในตัว
ตัวสตินี้ก็ยังให้จิตในที่รู้อยู่นี้แหละตั่งมั่น
สงบระงับ ไม่แส่ส่ายไปกับสังขาร วิญญาณ กริยาอาการของจิต

ดวงจิตดวงใจจะได้รวม ได้สงบเข้ามาอยู่ในจิตใจของตนจริง มีสติทุกเวลา

สตินี้สำคัญมาก ในมหาสติปัฏฐานท่านให้เอาสตินี้แหละระลึกอยู่ในกาย

กาย มีขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก
อาการ ๓๒ เรียกว่า กาย เนื้อตัว ตัวตนคนเรา

ให้ระลึกอยู่ในร่างกาย คือ ร่างกายนี้
กำหนดพิจารณาให้เห็นตามสภาวะความเป็นจริง
ให้กำหนดลงไปในหลักอสุภะ คือว่าไม่งาม

ในร่างกายของคนเรานี้ เราดูผิวเผินก็เป็นของสวยสดงดงาม
แต่ถ้าดูให้ถี่ถ้วนเข้าไปทางนอกทางในแล้ว
ดูทวารทั้ง ๙ ที่มันไหลเข้าเทออกอยู่แล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่า
ร่างกายของคนเรานี้เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ
เต็มไปด้วยบุพโพ - น้ำเหลือง โลหิตัง - น้ำเลือด

เมื่อผู้ใดมากำหนดภาวนาเพียรเพ่งดูให้รู้ว่าเป็นของปฏิกูลโสโครกจริงๆ
จิตของผู้นั้นย่อมมีความสงบระงับ ย่อมเห็นได้ว่ากายนี้ก็สักแต่ว่ากาย
จะว่าเป็นสัตว์ก็ไม่ได้ เป็นบุคคลก็ไม่ได้ จะว่าเป็นตัวเราของเรา อะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น

เรียกว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา

จงกำหนดให้เห็นว่ากายนี้ก็สักแต่ว่ากาย โดยสมมุติบัญญัติก็ว่ากาย
แท้ที่จริงมันก็ตั้งชั่วระยะเวลาหนึ่ง ภายใน ๑๐๐ ปีนี้
ก็จะเข้าถึงความแตกความดับ ความทำลาย ตามสภาพของกาย

เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ท่านให้กำหนดให้เห็นว่า ร่างกายก็สักแต่ว่ากายเท่านั้น

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เอาสติมาระลึกเวทนา

สุขเวทนา ได้แก่ความสบาย ทุกขเวทนา ได้แก่ความไม่สบาย
(ส่วนที่เฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกว่า อทุกขมสุขเวทนา)

เวทนานี้สักแต่ว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เหมือนกัน

การที่จิตมายึดเอาถือเอา สบาย ก็มายึดว่าเราสบาย แท้จริงแล้วกายเขาสบาย
เขาไม่สบาย เวทนาก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วระยะเวลา

สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน

อาศัยสติ เป็นผู้ระลึกดู ระลึกอยู่
ไม่ให้จิตใจหลงใหลไปที่อื่น เรียกว่า สติปัฏฐาน

จิต ความคิดความนึกที่เกิดขึ้นจากดวงจิตดวงใจ
แล้วก็แส่ส่ายไปตามอารมณ์ดีอารมณ์ร้าย อารมณ์สบายไม่สบาย

จิตนี้ก็สักแต่ว่าจิตเหมือนกัน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา

ให้สตินี้แหละเป็นผู้ระลึกอยู่ทุกความคิดที่เกิดขึ้น
เมื่อมีสติอยู่ก็จะเห็นว่าความคิดนึกเหล่านั้น
มันเกิดขึ้น มันก็ดับไป เกิดขึ้นก็ดับไปเท่านั้นเอง

ไม่ให้จิตใจหลงใหลไปกับความคิดความนึกของดวงจิตอันนั้น
เรียกว่าไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของเราเหมือนกัน

เมื่อรู้ เข้าใจ จิตใจจะได้ปล่อยวาง
จะได้สงบระงับตั้งมั่นอยู่ภายในจิตใจดวงที่รู้อยู่นี้ พร้อมด้วยสติปัฏฐาน

ธรรมารมณ์ อันเกิดกับในจิตใจนี้เหมือนกัน

อารมณ์ของจิตที่มันปรุงไปแต่งไปตามอารมณ์ดีอารมณ์ร้าย
อารมณ์ทุกอย่างที่มากระทบตา กระเทือนหู ก็เป็นธรรมารมณ์อยู่ในจิตอันนี้
ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของบุคคลผู้ใดเหมือนกัน

จงเป็นผู้มีสติระลึกอยู่ในกาย เวทนา จิต ธรรม ท่านให้ชื่อว่า สติปัฏฐาน

เมื่อระลึกได้ธรรมดาเรียกว่า สติปัฏฐาน
เมื่อระลึกได้จนเป็นมหาสติปัฏฐาน เรียกว่า สติใหญ่ ใหญ่จนไม่หลง
อะไรเกิดขึ้นในกาย เวทนา จิต ธรรม ย่อมรู้ได้เข้าใจว่า จิตยึดถือหรือไม่ยึดถือ
จิตใจเลิกได้ละได้ หรือเลิกไม่ได้ละไม่ได้ เห็นแจ้งตามความเป็นจริงหรือไม่

สติอันนี้ต้องระลึกให้มากที่สุด ในทางมหาสติปัฎฐาน
ท่านให้นึกอยู่จนกระทั่งว่าไม่พลั้งไม่เผลอ ไม่หลงไม่ลืม
แม้ร่างกายจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ท่านก็ให้มีสติอยู่ทุกเวลา

หลับตา ลืมตา มือ เท้า เดินไปก็มีสติ มือจะแตะต้องที่ไหน
ก็มีสติ ระลึกอยู่ทุกเวลา เรียกว่าเป็นมหาสติปัฏฐาน

เมื่อการระลึกได้อยู่ทั้งกายวาจาจิตทุกขณะ
กาย เวทนา จิต ธรรม จะเคลื่อนไหวไปมาสงบระงับ ก็ระลึกได้อยู่ทุกเวลา
ไม่หลงใหลไปอยู่ใต้อำนาจกิเลส มีสติอยู่ทุกขณะทุกเวลา

ไม่ใช่เวลาพูดออกมาจึงมีสติ ไม่ว่าทำอะไร สติพร้อมทุกอย่าง
จะพูดจาปราศรัยก็มีสติ ก่อนจะพูดก็มีสติ พูดอยู่ก็มีสติ พูดจบไปแล้วก็มีสติ

ก่อนที่เราจะทำอะไร จะเคลื่อนไหวร่างกาย
จะทำการงานใดๆ ก็เรียกว่ามีสติความระลึกได้
เวลาทำอยู่ก็มีสติ เวลาทำแล้วไปก็มีสติ
ระลึกอยู่ในตัว ในกาย ในจิตนี้ ในกาย เวทนา จิต ธรรม ได้อยู่เสมอ

อะไรผิดอะไรถูกก็ให้มีสติระลึกดูพิจารณาดู
จนให้จิตใจนี้เข้าใจในสติปัฏฐาน ในมหาสติปัฏฐาน
จนทำให้ปฏิบัติได้ไม่ต้องให้เผลอทีเดียว

มันคิดอะไรอยู่ในจิตนั้น คิดภาวนาหรือคิดนอกภาวนา
คิดภายในกายในจิต หรือว่าคิดนอกกายนอกจิต
มันคิดอิจฉาพยาบาทคนโน้นคนนี้
เกลียดคนโน้นชังคนนี้ไหมในจิตนี้ ก็ให้ระลึกดูให้ได้

ผู้มีสติแล้วจิตจะวางเฉยได้ อย่างว่าความเกลียดความกลัว
ความหวาดสะดุ้งขนพองสยองเกล้า อันใดอันหนึ่งเกิดขึ้น

ถ้ามีสติความระลึกอยู่ ไม่หลงใหลออกไป
ก็ไม่โกรธ ไม่ไปพยาบาทอาฆาตจองเวรใคร

ในจิตใจที่มีสติปัฏฐานอยู่นั้น ไม่ไปรักใคร
ไม่ไปชังใคร ไม่ไปดุด่าว่าร้ายให้แก่ใคร
ไม่ไปทำร้ายให้แก่บุคคลผู้ใด ไม่อิจฉาตาร้อนใคร
เรียกว่ามีสติภาวนาเรื่องของตัวเองอยู่


คนอื่นผู้อื่นนั้นให้ยกไว้เป็นเรื่องของเขา
เขาเกิดมาเองไม่ใช่เราทำให้เกิด เขาแก่ไปเองไม่ใช่เราทำให้แก่
เขาเจ็บไข้ได้ป่วยไปเอง ไม่ใช่เราทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย เขาตายไปเอง

เราก็เหมือนกัน เราเกิดมาเอง แก่ไปเอง เจ็บไปเอง ตายไปเอง

ทำไมจึงมาอิจฉาพยาบาทแก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
อิจฉาพยาบาทแล้วดีอย่างไร เกิดประโยชน์อะไร

คิดดูให้ดี ในจิตใจของคนเรานี้ เมื่อคิดดูให้ดี มีสติดี มีสมาธิดี มีปัญญาดี

เมื่อภายในดี ภายนอกไม่ต้องว่า มันต้องดีไปเพราะมันดีภายใน

แต่ว่าถ้าภายในนี้แหละขาดสติปัฏฐาน
ไม่ระลึกอยู่ในกาย เวทนา จิต ธรรม อันเป็นภายในของตัวเอง
มัวแต่ไปคิดไปปรุงไปข้องใจ อิจฉาพยาบาท เบียดเบียนซึ่งกันและกันอยู่
ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ ไม่ชื่อว่าเป็นนักภาวนา
ไม่ชื่อว่าเป็นผู้มีมหาสติปัฎฐาน เมื่อสติภายในไม่มี


ฉะนั้น ต้องเจริญ ระลึกอยู่ในดวงจิตดวงใจของตัวเอง

การภาวนาละกิเลสนั้นต้องเป็นผู้มีสติ ตั้งจิตตั้งใจอยู่ทุกเวลา
จะยืนก็มีสติ ก่อนยืน ยืนอยู่ จะเคลื่อนไปจากเวลายืน ก็มีสติ ก่อนจะเดินก็มีสติ

คำว่า มีสติ ความระลึกในใจนั้น
พร้อมทุกอย่าง ตาดูหูฟัง อะไรมันจะเกิดขึ้น

คนที่เอาเท้าไปตำตอ เอาศีรษะไปตำไม้
หรือทำอะไรผิดๆ หักๆ จับอะไรพลัดพลาด พลัดตกหกล้ม
เพราะอะไร ก็เพราะขาดสตินั้นเอง

แล้วถ้าขาดสติ สติไม่มี ความขี้เซาเหงานอน
มักง่าย ท้อถอย เกียจคร้าน ก็ย่อมเกิดมีขึ้น
เพราะว่าไม่มีสติ หรือมีสติแต่น้อย ไม่พร้อมบริบูรณ์

ถ้ามีสติ ความระลึกได้ ใจที่ตั้งมั่นขึ้นมา
ระลึกอยู่เสมอในทางร่างกาย
เรียกว่าก่อนจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร ก็มีสติ
ทำอะไรอยู่ จะทำอะไร ก็มีสติความระลึกได้
ถึงเวลาทำอยู่ก็มีสติให้พร้อมมูลอยู่เสมอ

คำว่า สติปัฏฐาน สติเป็นฐานที่ตั้ง
ฐานที่ตั้งของสติความระลึกได้อยู่ทุกเวลา
เมื่อทำอะไรจบลงไปก็มีสติ


ทำงานทางนอก คนที่ทำงานแล้วไม่รู้จักเก็บไม่รู้จักรักษา
ทิ้งเกลื่อนกลาดไป ก็คือว่าไม่มีสติ เวลาทำก็ไม่มีสติ
ทำแล้วไม่รู้จักเก็บรู้จักรักษา ก็คือว่าขาดสตินั่นเอง

การงานสิ่งนั้นมันก็ขาดตกบกพร่อง เกิดความเสียหายขึ้นมา
ไม่ว่าอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด
ไม่ว่าทางโลกและทางธรรม ต้องอาศัยสติอันนี้แหละ

คนดีก็เรียกว่าคนมีสติ คนไม่ดีก็คนไม่มีสตินั่นเอง

สติ ความระลึกได้ ไม่ใช่ว่าจะเอาธรรมะคำสั่งสอนนี้ไปสอนเท่านั้น
ต้องฝึกในจิตของตนเอง ฝึกๆ อยู่ทุกเวลา
เดี๋ยวนี้จิตระลึกอยู่หรือ กายนั่งอยู่หรือ
หรือกายยืน กายเดิน กายนอน กายตื่น กายหลับ

รูปขันธ์อยู่ในท่าไหน อิริยาบถใด ทำอะไรอยู่
มีศีลบริสุทธิ์หรือ ในกายในวาจามีศีลบริสุทธิ์หรือ
เดี๋ยวนี้เวลานี้ก็อาศัยสติทั้งนั้น

ศีลทั้งหลาย เรียกว่าหลักของศีล ๕ ประการ
ร่างกายของคนเราก็ขา ๒ แขน ๒ ศีรษะ ๑ นี้ ก็คือว่าตัวศีล ๕ ก็ว่าได้

อันศีลที่ว่าข้อเว้นนั้น
ท่านว่าทำอย่างนั้นเป็นบาป ก็อย่าทำ อันนั้นข้อห้าม

ตัวศีลก็คือว่าขา ๒ - แขน ๒ - ศีรษะ ๑
คือ กาย วาจา จิต นี่เอง กายวาจาจิตนี้เองเป็นตัวศีล

ถ้าคนเราประพฤติชั่วเสียหาย กายวาจาจิตก็เศร้าหมอง
ขุ่นมัว ไม่ผ่องใส คือจิตใจขาดสตินั่นเอง

สติไม่มีในจิตใจ เรียกว่าคนสติลอย คนใจลอย

คำว่า ใจลอย ก็คือใจขาดสติ ลอยไปตามเรื่องราวต่างๆ
นั่งอยู่ก็ละเมอเพ้อฝันไป คือว่าใจขาดสติ

สติ สมาธิ ปัญญา สติปัฏฐาน สติวินัย สติสัมโภชฌงค์

สตินี้จำเป็นต้องใช้อยู่ทุกที่ทุกสถาน ตั้งแต่เกิดจนตายแหละ
ตายหมดลมหายใจเมื่อใดจึงจะหยุดสติอันนี้

สตินี้ไม่ใช่สงบ คำว่า สงบ จิตผู้รู้อยู่ สงบอยู่ในดวงจิตที่รู้นั้น

ส่วนสตินี้เรียกว่าระลึกได้อยู่ทุกเวลา ทุกอริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน

ศีล รักษากายให้เป็นปกติ ระวังวาจาให้เป็นปกติ
กาย วาจา ใจเป็นปกติ ท่านให้ชื่อว่าศีล

ข้อห้ามก็คือว่า ให้เว้นจากฆ่าสัตว์
และให้เว้นจากความอิจฉาพยาบาทแก่สัตว์ทั้งหลาย ไม่ให้มีโกรธจนฆ่าสัตว์
ไม่ให้มีอิจฉาพยาบาทเกลียดชังทั้งสัตว์และคนทั่วๆ ไปด้วย
เรียกว่าเว้นจากฆ่าสัตว์ เว้นจากลักทรัพย์สิ่งของผู้อื่น
เว้นจากประพฤติผิดในกาม เว้นจากกล่าวมุสาวาจา
เว้นจากดื่มกินสุราเมรัย เรียกว่า หลักศีล ๕

ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ก็ข้อห้ามเพื่อให้บุคคลเรามีสติ
ระมัดระวังกายวาจาจิตของตน เพื่อจะได้มีสติอันสมบูรณ์บริบูรณ์


เมื่อมีสติอันสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว
ชื่อว่าศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็ปกติ มีสติก็มีปกติ

เมื่อมีปกติ จิตก็ตั้งมั่น ไม่มีวิตกวิจารไปไหน เรียกว่า สมาธิ จิตมั่นคง
คำว่า จิตมั่นคง ก็คือว่ามีสติ จิตจึงมั่นคง

คำว่า มั่นคง เราทำอะไรก็ตั้งอกตั้งใจประกอบกระทำในสิ่งนั้นๆ

เราบรรพชาอุปสมบทในทางพุทธศาสนา ต้องมีสติ
ให้มีความยินดีพอใจ ในสมณเพศวิสัยของตัวเอง
และให้รู้ว่าสมณเพศ สมณวิสัยนี้มีข้อวัตรปฏิบัติอย่างไร
เลิกละทำชั่วด้วยกาย วาจา จิต

อย่างไรก็ต้องอาศัยสติ ความระลึกได้
ความรวมจิตใจของตนเรียกว่าให้มั่นคง

คำว่า สมาธิ โดยจิตตั้งมั่น ทำอะไรให้มีความตั้งมั่น
ให้มีความจริงใจทั้งทางกาย ทางวาจา ทั้งจิตทั้งใจ
พร้อมด้วยหมดทุกอย่าง เรียกว่ามีสติ

ทำอะไรก็เป็นหลักเป็นฐาน ไม่ใช่ทำเล่นๆ ทำเลอะเทอะ
ไม่ใช่ทำทิ้งขว้าง ไม่เอาจริงเอาจัง อย่างนั้นใช้ไม่ได้
เรียกว่าต้องทำจริงๆ ประกอบอยู่ทุกเวลา

หลับตาก็มีสติ ลืมตาก็มีสติ ฟังเสียงก็มีสติ ก่อนฟังก็มีสติ ฟังอยู่ก็มีสติ
ฟังจบไปแล้วก็มีสติอยู่ ระมัดระวังในอายตนะทั้งหลาย
มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายใน มันติดอยู่ในตัวของคนเรา

อายตนะภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
มันอยู่ข้างนอก บางคราวก็เกิดขึ้นมาก บางคราวก็เกิดขึ้นน้อย
ตามแต่อารมณ์ที่ผ่านเข้ามา ตาดูหูฟัง มีสติอยู่ทุกเวลา

เราฟังธรรมอยู่ก็มีสติ
สตินั้นแหละระลึกจนความง่วงเหงาหาวนอนเข้ามาแทรกซึมไม่ได้
เมื่อเข้ามาแทรกซึมจะต้องมีสติว่าจะแก้ไขอย่างไร


เมื่อเราระลึกก็แล้ว ภาวนาก็แล้ว ยังง่วงเหงาหาวนอน
ท่านก็ให้ยืนขึ้น เมื่อยืนขึ้นยังไม่หาย ท่านก็ให้เดิน เรียกว่าเดินจงกรม

เดินจงกรมกลับไปกลับมา ทำให้รูปขันธ์ร่างกายมันเคลื่อนไหวไปมา
จิตจะได้มีสติสม่ำเสมอ จิตใจจะได้ตั้งมั่นในธรรมปฏิบัติ
ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก


ผู้ที่จะระลึกบริกรรมภาวนาพุทโธ
ได้ติดต่ออยู่ทุกลมหายใจเข้าลมหายใจออก ก็ต้องมีสติ
สติต้องมีพร้อมอยู่เสมอ เดินจงกรมก็มีสติ ก่อนจะเดินก็มีสติ เดินอยู่ก็มีสติ
เดินจบ เดินหยุดไปแล้วก็มีสติอยู่
นั่งก็มีสติ ก่อนนั่งก็มีสติ นั่งแล้วก็มีสติ ก่อนนอนก็มีสติ นอนอยู่ก็มีสติ
ตื่นมาก็มีสติระลึกอยู่เสมอในดวงจิตดวงใจ

อันนี้ไม่ให้ความง่วงเหงาหาวนอนเข้ามาทับถม
หรือว่ากามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ
วิจิกิจฉา ไม่ให้มีในกายวาจาจิตของเรา
มีในกายวาจาจิตของคนอื่นก็ช่างเขา ไม่ต้องไปกังวล

ในกายวาจาจิตตัวของเรา ปริมณฑลหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบนี้
ต้องมีสติทุกเวลา เรียกว่ามีสติ ลมหายใจเข้ามีสติ ลมหายใจออกมีสติ

ในเวลากายวาจาจิตสบายมีสติ
ในเวลากายวาจาจิตไม่สบาย ควรทำอย่างไร
ควรพูดอย่างไร ควรวางตัวอย่างไร จึงจะเหมาะสมกาลเทศะ

ปุคคลญฺญ รู้จักบุคคล ปริสญฺญ รู้จักบริษัท
ควรอย่างไร ไม่ควรอย่างไร แสดงออกอย่างไร ไม่แสดงออกอย่างไร
สติทั้งนั้น ต้องระลึกอยู่ทุกเวลาจนเป็นมหาสติปัฏฐาน

มหาสติปัฏฐาน ก็คือว่า มหา-ใหญ่ ปัฏฐาน-ที่ตั้งของสติ
มีอยู่ในนักภาวนา จิตใจของผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่คำพูดที่พูดที่ว่า
เป็นสติ ดวงจิตดวงใจที่ตั้งขึ้นมาระลึกขึ้นมาเป็นองค์สติ
สติสัมโพชฌงค์ ระลึกอยู่ เป็นผู้มีเพียรเพ่งอยู่

กาย วาจา จิตนี้ท่านเปรียบอุปมาเหมือนพายเรือข้ามฝั่ง
สมัยโบราณนั้นเรือยนต์กลไกไม่ค่อยมี
เขาก็เอาไม้มาต่อมาแกะลงไปให้เป็นเรือ แล้วก็มีไม้พาย มีคนพาย

ทีนี้เรือนั้นจะข้ามฝั่งได้ หรือไปถูกช่องทาง ไปตามต้องการ ล่องน้ำขึ้นน้ำได้นั้น
ต้องอาศัยผู้พายผู้ถ่อให้เรือนั้นไป หรือเอาไม้พายจุ่มน้ำลงไปก็พายไปนั้นแหละ

สติ นั้นคือว่าคนพายเรือคัดแปลงเรือของตนไม่ให้ล่มไม่ให้จม
ตัวคนพายเรือไม่เป็น ก็ไปตามกระแสน้ำ ข้ามน้ำไม่ได้

สตินี้ท่านเปรียบเหมือนคนพายเรือ ผู้พายเรือ นายท้าย
ผู้นำเรือไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง


ผู้นั่งสมาธิภาวนา ปฏิบัติบูชาในทางพุทธศาสนา
ขาดสติไม่ได้ แม้แต่วินาทีก็ไม่ได้


คำว่า ไม่ได้ นั้นก็คือ เมื่อขาดสติมันก็ขาดสมาธิ
จิตตั้งมั่นไม่เต็มที เมื่อจิตตั้งมั่นไม่เต็มที่มันก็ขาดปัญญา
ความรอบรู้ในกองสังขาร ในอะไรต่อมิอะไร ที่มันเกิดมันดับ
มันเป็นมันมีอยู่ ในเรื่องกายวาจาจิตของเรานั้นแหละ
เมื่อมันขาด ปัญญามันก็ไม่เต็มที่


เมื่อขาดสติ ขาดศีล สมาธิ ขาดศีลสมาธิปัญญา
ก็พาให้จิตใจนี้แหละย่อหย่อน ท้อถอย มักง่าย ไม่สงบระงับ

เมื่อพร้อมด้วยสติ สมาธิ ปัญญา ทาน ศีล ภาวนา
สมาธิ ปัญญา วิชา วิมุติก็ย่อมเกิดขึ้น จิตย่อมหลุดจากกิเลส
หลุดพ้นออกจากกิเลส ราคะ โทสะ

หรือว่าละกิเลส ราคะ โทสะ ในจิตใจของตนเอง
ให้หมดไปให้สิ้นไปได้ด้วยสติปัฏฐาน
มีสติทุกเวลาไม่ว่า นั่ง ยืน เดิน นอน ทุกอิริยาบถ

เมื่อมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา มีความรอบรู้ทุกอย่างทุกประการ
สิ่งใดควรละก็ละ สิ่งใดควรเจริญก็เจริญ สิ่งใดควรทิ้งแล้วควรปล่อยแล้ว ก็ปล่อยวางไป
ไม่ต้องเอามายึดมาถือในหน้าในตา ในตัวในตน ในชาติในตระกูล ในตัวเราของเรา

ตัวทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ-ความเห็นผิด เลิกละออกไป
พระพุทธเจ้าพระองค์ให้เจริญอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ดำริชอบ
เจรจาชอบ การงานชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตมั่นชอบ ก็ในสตินั้นเอง
ในใจนี้แหละไม่ใช่ในที่อื่น ไม่ใช่เรื่องภายนอกอย่างเดียว ส่วนมากเป็นเรื่องภายใน

เมื่อภายในมีสติ จิตก็ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ จิตก็มีปัญญา

เมื่อจิตมีปัญญาก็ย่อมเห็นได้ว่า รูป นาม กาย ใจ ของเราของเขา
ภายนอกภายใน ทั้งหยาบทั้งละเอียด อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้
ก็ย่อมเห็นแจ้งด้วยปัญญาด้วยญาณ

หยั่งรู้หยั่งเห็นแจ่มแจ้งชัดเจนขึ้นมาในจิตในใจนั้น
ว่าไม่เป็นอย่างอื่น มันต้องเป็นไปอย่างนี้
อย่างว่าฟองน้ำเจริญขึ้นเดี๋ยวๆ มันก็แตกไป

เวลามันเจริญขึ้น มันเกิดขึ้น จิตใจก็ยินดีพอใจว่าตัวเราของเรา
ครั้นเวลามันจะแตกดับจะตาย เอาละวุ่นวายทีนี้ ไม่ให้มันตาย จะแก้ไว้รักษาไว้
ถ้ามันถึงเวลามันเจ็บมันตาย แก้อย่างไรก็แก้ไม่ได้


:b49: :b40: :b49:

:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21573

:b44: รวมคำสอน “หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42673


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2020, 09:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 702

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร