วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2022, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้ชัดด้วยปัญญา
วิสัชนาธรรมโดย...หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
วัดบรรพตคีรี (ภูจ้อก้อ) อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร

รูปภาพ

:b49: :b50: ปุจฉา :
ดิฉันมีข้อสงสัยกราบเท้านมัสการเรียนถามหลวงปู่ว่า
“สัญญา” จะดับได้ต้องอาศัย “ราคะ” เป็นมูลเหตุ
เป็นเกณฑ์เพื่อตัดภพตัดชาติหมดความผูกพันอาลัยอาวรณ์
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับมาเกิดเสวยทุกข์อีกหรืออย่างไรคะ
คนเราเกิดนับชาติไม่ถ้วน แต่ละชาติก็เปลี่ยนบุคคลไป
แต่ทำไมในการปฏิบัติจึงไม่เป็นสัญญากับบุคคลปัจจุบัน
หรืออาจจะมีกับผู้ปฏิบัติท่านอื่นๆ ซึ่งเราไม่ทราบจะเป็นไปได้ไหมคะ

ดิฉันเองยังศึกษาทำความเข้าใจกับตัวเองยังไม่ได้มาก
ปัญหาจึงไม่ค่อยจะแจ่มชัดที่จะถาม
และทุกครั้งที่ละภาวะรูปได้อย่างต่อเนื่อง
จะมีอาการเหมือนวิญญาณจะออกจากร่าง
ลมหายใจขาด แต่สติเจิดจ้าอยู่ สว่าง มีกำลังละ
บางทีก็มีความรู้สึกเคลื่อนออกไปด้านหน้า
บางทีก็ลอยขึ้นด้านบน (รู้สึกและเห็นด้วย)
และบางทีก็เป็นโครงกระดูกลอยขึ้นมาห้อยต่องแต่งทั้งตัวให้เห็น
ที่เล่าถวายมานี้ไม่รู้สึกกลัวเลย ไม่นึกกลัวตายเลยด้วยค่ะหลวงปู่

ความรู้ของภาวะรูปที่เกิดขึ้นนี้ ดิฉันรู้สึกมันเกิดเป็นเวลายาวนานเหลือเกิน
เกิดดับๆ อยู่เช่นนี้ จนฉันเองรู้สึกเบื่อเพราะเป็นทุกข์เห็นชัด
แต่ก็ไม่เข้าใจว่าอาการที่เกิดขึ้นนี้จะดับและไม่เกิดขึ้นอีกได้โดยวิธีใด
แต่มีอานิสงส์มากทำให้ดิฉันมองโลกธรรมได้กว้างขวางมากขึ้น
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะทุรนทุรายอยู่ไม่ได้ต้องเสพ
แต่เดี๋ยวนี้มีอาการเหมือนจะฟุ้ง แจ่มใส
ดิฉันอยากจะใช้คำว่า รู้อารมณ์แต่วางเฉยอยู่ (แต่ก็ละอยู่)
ไม่ทราบทำความเห็นกับตัวเองถูกหรือไม่


:b49: :b50: วิสัชนา :
เรื่องสัญญา “สัญญา” แปลว่า ความจำ จำอะไรบ้าง
ตอบว่าจำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ จำธัมมารมณ์
ที่มันสัมผัสจากภายนอกมาหาภายใน
คือใจ เป็นผู้รับรู้ว่ารูปอันนั้น เสียงอันนั้น กลิ่นอันนั้น รสอันนั้น
โผฏฐัพพะความอบอุ่นและร้อนแข็งอันนั้น เหล่านี้เป็นต้น
อันธัมมารมณ์ที่มากระทบใจที่มันเป็นอารมณ์
ก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ที่ล่วงไปแล้วหนึ่ง ที่ยังมาไม่ถึงหนึ่ง
อารมณ์ปัจจุบันก็ส่งส่ายไปหาอดีตและอนาคต
เพราะผู้ปัจจุบันปรุงไปหาสิ่งที่เคยได้ประสบจำมา
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละเรียกว่าอยู่ใต้อำนาจ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งนั้น

มูลเหตุที่จะดับสัญญาได้นั้น
ด้วยเหตุว่าไม่สำคัญว่าสัญญาคือความจำเป็นตน ตนเป็นสัญญาคือความจำ
ให้เข้าใจว่า ความจำก็เป็นแต่สักว่าความจำ สัญญาก็เป็นแต่สักว่าสัญญา
ความจำก็ดี สัญญาก็ดี ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาเสียแล้ว
เพราะเกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวนและดับไป ถ้าเราเห็นชัดด้วยปัญญา
ราคะความกำหนัดในสัญญาก็จะเบาบางลงหรือเหือดแห้งหายไป
เพราะรู้ชัดด้วยปัญญาแล้วว่าสัญญาความจำไม่ใช่เรา
เราไม่ใช่สัญญาความจำ เพราะเป็นเพียงนามสังขารเท่านั้น

คำว่านามหมายความว่าชื่อมัน มันไม่ปรากฏกับตาเนื้อภายนอก
แต่มันปรากฏกับตาสติตาปัญญาภายใน และก็เกิดขึ้นแล้วและก็ดับไปอย่างนั้นเอง

สิ่งไหนที่เกิดขึ้นหาระหว่างมิได้ แปรปรวนหาระหว่างมิได้ ดับไปหาระหว่างมิได้
สิ่งนั้นทั้งหลายจะมายืนยันว่าเป็นเราเป็นเขา เป็นสัตว์เป็นบุคคล
ความยืนยันอันนั้นก็กลายเป็นโมฆะ หาได้เป็นเรา เขา ดังความหลงสำคัญไม่

ก็ไม่ว่าแต่สัญญาล่ะ แม้รูปก็ดี เวทนาก็ดี สังขารก็ดี วิญญาณก็ดี (คำว่าวิญญาณเรียกว่าใจ)
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละเป็นหน้าที่เราจะทำให้ว่าง คือว่างจากสัตว์ จากบุคคล ตัวตน เราเขา
แม้ใจและผู้รู้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่เราเป็นใจโดยแท้ ใจไม่ใช่เป็นเราโดยแท้
ธรรมไม่ใช่เราโดยแท้ เราก็ไม่ใช่ธรรมโดยแท้

ถ้ารู้ชัดแล้วราคะความกำหนัดว่าเป็นตน เป็นตัว เป็นเรา เป็นเขา
ก็จะละอายตัวเองที่ไปยืนยันว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นของเรา ของเขา
เพราะอำนาจรู้ชัดด้วยพระสติ พระปัญญา และก็ให้เข้าใจว่าในสกลกายในสกลใจ
ถ้าเรายืนยันว่าเป็นเรา เป็นของเราเอาจริงๆ จังๆ จนแก้ไม่ได้คายไม่ออก
ก็เรียกว่าเรายังไม่รู้ตามเป็นจริงของสังขารเหล่านี้
แม้ผู้รู้ตามเป็นจริงของสังขารเหล่านี้ก็เป็นแต่สักว่าธรรม
อันเกี่ยวกับสติปัญญาเท่านั้น หาได้เป็นสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขาไม่
ถ้าหากว่ามีท่านผู้ใดไปยึดถือเอาจริงๆ ว่าเป็นเรา เขา สัตว์ บุคคลแล้ว
สิ่งเหล่านั้นจะไม่ทำให้เดือดร้อนใจเป็นไม่มีเลย
เพราะสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วแปรปรวนและดับไป หาระหว่างมิได้อยู่อย่างนั้น
ผูกขาดจองขาดไม่ฟังเสียงกับท่านผู้ใดเลย


เมื่อรู้ตามเป็นจริงแล้ว ด้านพระปัญญาและพระสติก็นึกละอาย
ไม่กล้าจะยืนยันว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นสัตว์ เป็นบุคคลอีก ดังสมมติที่ใช้กันในโลก
สมมติที่ใช้กันในโลกนี้ก็สมมติเพื่อใช้ชั่วคราวเท่านั้น
มิใช่ว่าจะเอาสมมติไปพระนิพพานด้วย และก็ไม่สำคัญว่าจะเอาวิมุติไปพระนิพพานด้วย
ถ้าจะให้เอาจะให้ใครเล่าเอา ถ้าจะให้ทิ้งจะให้ใครเล่าทิ้ง
เมื่อยืนยันว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราแล้ว
ก็หมดปัญหาที่จะทำกิริยาเอาไว้ และหมดปัญหาที่จะทำกิริยาปล่อยอีก
ก็จบกันลงแต่เพียงสักว่ารู้ว่าเห็นเท่านั้น

ธรรมะชั้นนี้เป็นธรรมอันถอนรากถอนโคนแห่งความหลงๆ
เพราะเหตุใดเล่า เพราะสติปัญญาแก่กล้ามาแล้ว
ความหลงที่เคยหลงมาหากแตกกระเจิงไปเอง ไม่ได้ทำท่าไล่ฮือๆ ฮาๆ หรอก
ข้ออื่นๆ ที่จะสร้างปัญหาขึ้นอีกก็คงจบไปในตัวแล้วกระมัง
ความรู้เท่ารู้ทันเหยียบเล็บความหลง ความหลงก็ต้องแตกกระเจิงไปเอง
และความหลงก็ไม่ได้บ่นพิไรรำพัน
ว่าท่านเป็นผู้มีสติปัญญาแข็งแกร่งเหนือกำลังของข้าพเจ้าที่เป็นผู้หลง
บัดนี้ข้าพเจ้าสู้ไม่ได้ ข้าพเจ้าจะขอลาท่านไปล่ะ
ความหลงก็ไม่ได้ว่า และก็ไม่ปฏิเสธด้วย และก็ไม่รับด้วย
แม้ด้านพระสติด้านพระปัญญาก็ไม่ได้โอหังมังคะโล
ว่าข้าพเจ้านี่แหละชื่อว่าจอมพลสติจอมพลปัญญา
เมื่อข้าพเจ้ารู้เท่าความโง่แล้ว ขอให้ความโง่จงแตกกระเจิงหนี
พระสติพระปัญญาก็ไม่ได้กล่าวเลย
อันหนึ่งจริงทางโง่ อันหนึ่งจริงทางฉลาด พร้อมทั้งมีสติสมดุล
ต่างก็ไม่มีใครเสียเปรียบใคร เป็นธรรมชาติอันละเอียดมาก
เพราะธรรมะชั้นนี้เป็นธรรมะชั้นสูง
จะมีผู้รู้และไม่รู้ก็เป็นจริงตามธรรมชาติของธรรมอยู่อย่างนั้น
เมื่อปรารภมาถึงขนาดนี้แล้ว ความสงสัยทั้งปวงอันดองอยู่ขันธสันดาน
ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับใจและผู้รู้
เพราะถอนรากถอนโคนกันแล้ว ไม่จำเป็นจะมีอะไรงอกขึ้นอีก

ในที่ว่านี้ไม่ได้หมายว่าที่ลูกๆ พิจารณาอยู่นั้น มันก็ต้องผ่านเหมือนกันทุกๆ คน
เมื่อเห็นขี้เท่อแล้ว คือเห็นแต่เพียงลูกไม้เกิดขึ้นแปรปรวนดับไปเท่านั้น
เครื่องหลอกลวงมันไม่เพิ่มขึ้นอีก เพราะมันไม่มีประตูที่จะมาเพิ่ม
เพราะพระสติพระปัญญาขบแตกกระเจิงแล้ว ไม่มีประตูขบถคืน
เราจะพิจารณาก็ไม่สงสัย จะไม่พิจารณาก็ไม่สงสัย
และก็น่าชมเชยอยู่ เพราะยังสนใจในธรรมะอยู่อย่างจริงจัง
แต่ก็ลงเอยว่าความสำเร็จในทางดีและทางชั่วขึ้นอยู่กับความพยายาม
แต่สำเร็จในทางชั่วให้ผลทางทุกข์ตามเหตุผลที่ทำน้อยและมาก ส่วนทางดีตรงกันข้าม

แต่อย่าลืมว่าทางดีในทางพระพุทธศาสนานับเอาแต่สุปฏิปันโนเป็นต้นไป
ต่ำกว่านั้นลงมา พระบรมศาสดาและพระอริยสาวกพระอริยสาวิกายังไม่นับเข้าเป็นเกณฑ์ได้
เพราะบางทีแวะซ้ายแวะขวาและถอยหลัง
ส่วนสุปฏิปันโนนั้นตกลงทางรุดหน้า ไม่ได้สงสัยว่าจะถอยหลังและแวะซ้ายขวา
เพราะลงเรือข้ามน้ำมองเห็นฝั่งแล้ว
และกำลังเรือพร้อมทั้งผู้ขับเรือก็ไม่เป็นอันตรายไม่มีอุปสรรคใดๆ ด้วย
เพราะไม่มีการหนักใจในการเดินทางทางใจ
มรรคใจก็ว่า ผลใจก็ว่า เหตุใจก็ว่า ผลของเหตุก็ว่า
พืชก็ว่า ผลของพืชก็ว่า กรรมก็ว่า ผลของกรรมก็ว่า
แต่หมายถึงทางดี ไม่ได้หมายถึงทางชั่ว
เพราะเหตุว่าสุปฏิปันโนไม่มีหน้าที่ที่จะสร้างบาปเพิ่มขึ้น
มีแต่สร้างความดีบวกดีตะพึดลงที่ดวงใจ
ที่พูดอยู่เดี๋ยวนี้หมายความว่า พูดแต่ต่ำขึ้นไปหาสูง และพูดแต่สูงลงมาหาต่ำ
ทวนไปทวนมาเพื่อให้เข้าใจชัด เท่านี้ก็คงจะพอแล้วกระมัง

สุดท้ายนี้ ด้วยเดชพระพุทธศาสนา
อันเป็นพระเดชพระคุณอันทรงค่าไม่มีประมาณเหนือใดๆ
ในสรรพไตรโลกธาตุและสรรพจักรวาลอันหาประมาณไม่ได้
พวกเราทั้งหลายจงข้ามความหลงของเจ้าตัวไปซะ ก้าวเดียวในปัจจุบันเลย
เมื่อข้ามปัจจุบันได้แล้ว คือโลกปัจจุบันคือสังขารปัจจุบัน คือกองทุกข์ปัจจุบัน
ก็เท่ากับว่าข้ามอดีต ข้ามอนาคตไปในตัวแล้ว หรือประการใด
จงพิจารณาให้มีสิทธิ์เห็นชัดเฉพาะตนเองโดยเอกเทศ
ถ้านอกเหนือกว่านี้แล้วเป็นธรรมอันย้อมแฝงแปลงมายา


คัดมาจาก...หนังสือ หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ตอบปัญหาธรรมะ
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒๐, เดือนกันยายน ๒๕๕๓
:b8: :b8: :b8:

:b50: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่หล้า เขมปัตโต”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=44660

:b50: รวมคำสอน “หลวงปู่หล้า เขมปัตโต”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38521

:b50: ประมวลภาพ “หลวงปู่หล้า เขมปัตโต” วัดภูจ้อก้อ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=44375


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2022, 10:01 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร