วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=22



กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 17:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

พระประวัติและปฏิปทา
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
พุทธศักราช ๒๔๓๖-๒๔๔๒


วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร
แขวงสราญรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร


:b44: หัวข้อ

• พระประวัติในเบื้องต้น
• สามเณร ๙ ประโยครูปแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
• ทรงอุปสมบทครั้งแรก
• กำเนิดวัดธรรมยุตแห่งแรกของไทย
• ทรงอุปสมบทครั้งที่ ๒
• พระสาสนโสภณรูปแรก
• เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐ์รูปแรก
• พระคุณลักษณะพิเศษ
• เหตุการณ์เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔ สวรรคต
• การเลื่อนสมณศักดิ์
• นามจารึกในหิรัญบัตร
• พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวช
• สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณรูปที่ ๒
• การสังคายนาและพิมพ์พระไตรปิฎกในรัชกาลที่ ๕
• โปรดเกล้าฯ สถาปนาเพิ่มอิสริยยศ
• สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
• งานพระนิพนธ์
• พระกรณียกิจพิเศษ
• พระอัธยาศัย
• พระอวสานกาล
• การพระศพ
• ประวัติและความสำคัญของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


รูปภาพ
เทียนวรรณ (เทียน วัณณาโภ)
นักคิดผู้เรียกร้องการปฏิรูปบ้านเมืองคนสำคัญ



พระประวัติในเบื้องต้น

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
มีพระนามเดิมว่า “สา” พระนามฉายาว่า “ปุสฺสเทโว”
ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี แรม ๘ ค่ำ เดือน ๙ ปีระกา เบญจศก จุลศักราช ๑๑๗๕
ตรงกับวันที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๓๕๖ เวลาเพลประมาณ ๕ โมงครึ่ง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
โยมบิดามีนามว่า “จันท์” โยมมารดามีนามว่า “สุข”
เป็นชาวตำบลบางไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี

มีพี่น้องชายหญิงร่วมมารดาบิดาเดียวกันรวมทั้งหมด ๕ คน คือ
๑. หญิงชื่อ อวบ
๒. ชายชื่อ ช้าง ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่ พระสุภรัตกาสายานุรักษ์
๓. ชายชื่อ สา คือเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
๔. ชายชื่อ สัง ได้อุปสมบทอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร และได้รับพระราชทาน
สมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระสมุทรมุนี ต่อมาภายหลังได้ลาสิกขา
๕. หญิงชื่อ อิ่ม

กล่าวกันว่าโยมบิดาของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ
เป็นชาวตำบลบางเชิงกราน จังหวัดราชบุรี ได้เคยบวชเรียน
จนเป็นผู้ชำนาญในการเทศน์มิลินท์และมาลัย
แม้เมื่อลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาสแล้ว
ก็ยังเรียกขานกันติดปากว่า “จันท์มิลินท์มาลัย”

ส่วนโยมมารดาสืบเชื้อสายมาจากบุตรีเจ้าพระยาชำนาญบริรักษ์
สมุหกลาโหมปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา
ที่อพยพครอบครัวมาตั้งถิ่นฐานบริเวณตำบลบางไผ่ จังหวัดนนทบุรี

นอกจากนี้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยังมีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติ
กับ เทียนวรรณ (เทียน วัณณาโภ) นักคิดผู้เรียกร้องการปฏิรูปบ้านเมืองคนสำคัญ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เนื่องจากโยมมารดามีพี่น้องอีก ๒ คนคือ แจ่มและจันทร์
ซึ่งย้ายไปตั้งถิ่นฐานบริเวณคลองบางขุนเทียน บ้านหม้อบางตะนาวศรี จังหวัดนนทบุรี
โดยเทียนวรรณเป็นหลานของยายแจ่ม ส่วนเจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้นมีฐานะเป็นลุงของเทียนวรรณ
และเคยอบรมสั่งสอนเทียนวรรณซึ่งบวชเป็นสามเณร ขณะจำพรรษาอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
เมื่อครั้งที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ดำรงสมณศักดิ์เป็น พระสาสนโสภณ
ซึ่งเทียนวรรณได้บันทึกถึงช่วงเวลาดังกล่าว
อันสะท้อนความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยของพระสาสนโสภณ
ที่อบรมเทียนวรรณเป็นอย่างดี ดังนี้

พยายามเรียนวินัยเข้าใจจริง
แล้วเรียนธรรมกรรมฐานแลญาณเก้า
ไม่นิ่งเปล่าเรื่องวิชาหาทุกสิ่ง
จนออกชื่อลือชาว่ากล้าจริง
ไม่มีสิ่งมัวหมองครองวินัย


รูปภาพ
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร


รูปภาพ
พระเทพกวี หรือ พระพรหมมุนี (แย้ม อุปวิกาโส)
เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม รูปที่ ๓
หนึ่งในศิษย์ผู้ใกล้ชิดของสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)



สามเณร ๙ ประโยครูปแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

เนื่องจากโยมบิดาเป็นผู้มีความรู้ดีในด้านอักษรสมัยและในทางพระปริยัติธรรม
ถึงขั้นเป็นอาจารย์บอกหนังสือ (คือสอนหนังสือ) ในพระราชวังบวร
การศึกษาในเบื้องต้นของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงเข้าใจว่าคงศึกษากับโยมบิดานั่นเอง
และเรื่องที่ศึกษาเล่าเรียนก็คงจะหนักไปทางด้านพระศาสนา
อันเป็นวิชาที่โยมบิดาถนัดนี้ ก็อาจจะเป็นปัจจัยส่วนหนึ่ง
ที่นำให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีอุปนิสัยน้อมไปในทางบรรพชา
จนเป็นเหตุให้ทรงบรรพชาเป็นสามเณรแต่ยังเยาว์ในเวลาต่อมา
โดยได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่วัดใหม่ ในคลองบางขุนเทียน
บ้านหม้อบางตะนาวศรี จังหวัดนนทบุรี (ปัจจุบันคือ วัดนครอินทร์ จังหวัดนนทบุรี)
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ต่อมาได้ย้ายมาอยู่วัดสังเวชวิศยาราม เพื่อเล่าเรียนพระปริยัติธรรม
โดยเข้าไปเรียนในพระราชวังบวรกับอาจารย์อ่อน (ฆราวาส)
และกับโยมบิดาของพระองค์ท่านเอง
ซึ่งเป็นอาจารย์บอกหนังสืออยู่ในพระราชวังบวรนั้นด้วยกัน

พระเทพกวี (แย้ม อุปวิกาโส)
(ภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระพรหมมุนี)
เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม รูปที่ ๓
หนึ่งในศิษย์ผู้ใกล้ชิดของพระองค์ บันทึกว่า
“บิดาของท่านพอแปลได้บ้างเล็กน้อย
จะเรียนต่อไปบิดาของท่านบอกได้แต่ไม่ชำนาญ
จึงมาเรียนในสำนักนายอ่อนอาจารย์”


ครั้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๙ พระชนมายุได้ ๑๔ พรรษา
ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมเป็นครั้งแรก แปลได้เพียง ๒ ประโยค
จึงยังไม่ได้เป็นเปรียญ แต่เรียกกันว่า “เปรียญวังหน้า”

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเล่าถึงการสอบดังกล่าวให้กับพระเทพกวี ความว่า
“เมื่อเป็นสามเณรอายุได้ ๑๔ เข้าแปลพระปริยัติธรรมได้ ๒ ประโยค
ตกประโยค ๓ ต้องเป็นเปรียญวังหน้า ครั้งในรัชกาลที่ ๓”


ที่เรียกกันว่าเปรียญวังหน้านั้น ก็ด้วยเหตุที่ว่า
ประเพณีการแปลพระปริยัติธรรมในสมัยนั้น
ผู้เข้าแปลทีแรกต้องแปลพระธรรมบทให้ได้ครบ ๓ ประโยคในคราวเดียว
จึงนับว่าเป็นเปรียญ ถ้าไม่ได้ครบทั้ง ๓ ประโยค
เข้ามาแปลคราวหน้าก็ต้องแปลแต่ประโยค ๑ ไปใหม่

ครั้งนั้น กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ ๓
มีพระประสงค์จะทรงอุปการะแก่พระภิกษุสามเณรที่เล่าเรียน
มิให้ท้อถอยจากความเพียรไปเสีย
ถ้ารูปใดแปลได้ ๒ ประโยคก็ทรงรับอุปการะ
ไปจนกว่าจะเข้าแปลใหม่ได้เป็นเปรียญ
พระภิกษุสามเณรที่ได้รับพระราชทานอุปการะเหล่านั้น
จึงพากันเรียกว่า “เปรียญวังหน้า”

ต่อมา เจ้าพระคุณสมเด็จฯ แต่ครั้งยังเป็นสามเณรได้เข้าถวายตัวเป็นศิษย์
อยู่ในสำนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
ขณะเมื่อทรงผนวชประทับอยู่ ณ วัดราชาธิวาส (วัดสมอราย)
เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมต่อ และได้ทรงศึกษาเล่าเรียนสืบมา
ในสำนักของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น

กระทั่งพระชนมายุได้ ๑๘ พรรษา จึงได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมอีกครั้งหนึ่ง
ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุ (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์)
โดยมี สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นประธานในการสอบไล่
และครั้งนี้ทรงสามารถแปลในคราวเดียวได้หมดทั้ง ๙ ประโยค
ได้เป็นเปรียญเอกแต่ยังทรงเป็นสามเณร
นับเป็นสามเณรเปรียญ ๙ ประโยครูปแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

เป็นที่น่าสังเกตว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ถวายตัวศึกษาพระปริยัติธรรม
อยู่ในสำนักของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) เพียง ๔ พรรษาเท่านั้น
ก็มีความรู้แตกฉานในพระปริยัติธรรม
จนสามารถแปลพระปริยัติธรรมได้ในคราวเดียวหมดทั้ง ๙ ประโยค
อันแสดงให้เห็นว่า เพราะทรงได้พระอาจารย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง
ในทางพระปริยัติธรรม คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประกอบกับพระวิริยะอุตสาหะ
และพระสติปัญญาอันเฉียบแหลมส่วนพระองค์ด้วยนั่นเอง
จึงทรงมีความรู้แตกฉานในสิ่งที่ทรงศึกษาเล่าเรียน
เพียงชั่วระยะเวลาอันสั้น ซึ่งน้อยคนนักที่จะทำได้


ทรงอุปสมบทครั้งแรก

ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๗๖ พระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา
ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดราชาธิวาส (วัดสมอราย)
มีพระนามฉายาครั้งแรกว่า “ปุสฺโส”
โดยไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าพระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจาจารย์คือใคร
แต่สันนิษฐานว่า ในเวลาที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีพระชนมายุครบอุปสมบทนั้น
เป็นเวลาที่พระสงฆ์ธรรมยุตนิยมพระอุปัชฌาย์รามัญ (มอญ)
ซึ่งมี พระสุเมธมุนี (ซาย พุทฺธวํโส) เป็นพระอุปัชฌาย์อยู่ด้วยรูปหนึ่ง
และเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์อยู่

ฉะนั้น จึงน่าเป็นไปได้ว่า พระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจาจารย์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ
คือ พระสุเมธมุนี (ซาย พุทฺธวํโส) และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ครั้นถึงปี พ.ศ. ๒๓๗๙ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ได้ทรงอาราธนาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขณะทรงผนวชอยู่ ให้เสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหาร
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นพระเปรียญเอกพรรษา ๔
ได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ มาอยู่วัดบวรนิเวศวิหารด้วย

(มีต่อ ๑)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร

รูปภาพ
พระอมราภิรักขิต (เกิด อมโร)


กำเนิดวัดธรรมยุตแห่งแรกของไทย

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ พรรษา ๖ ทรงได้รับพระราชทานแต่งตั้ง
เป็นพระราชาคณะที่ พระอมรโมลี (ไม่พบประกาศทรงแต่งตั้ง)
จะเห็นได้ว่าทรงได้รับยกย่องให้ดำรงอยู่ในฐานะพระเถระผู้ใหญ่
ตั้งแต่ทรงมีอายุพรรษา ๖ (คือพระชนมายุ ๒๖ พรรษา) เท่านั้น
ทั้งนี้ก็คงเนื่องด้วยทรงมีพระปรีชาแตกฉาน
ในพระปริยัติธรรมและพระธรรมวินัยเป็นมูลนั่นเอง

การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จจากวัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) มาครองวัดบวรนิเวศวิหารนั้น
นับเป็นครั้งแรกที่พระสงฆ์ธรรมยุตได้มีวัดเป็นสำนักของตนเองเป็นเอกเทศ
เพราะก่อนแต่นั้นพระสงฆ์ธรรมยุตก็ยังคงอยู่รวมในวัดเดียวกันกับพระสงฆ์เดิม


เมื่อมีสำนักเป็นเอกเทศขึ้นแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก็ได้ทรงปรับปรุงระเบียบปฏิบัติด้านต่างๆ ของพระสงฆ์ในปกครองของพระองค์
ได้อย่างเต็มที่ เช่น ทรงตั้งธรรมเนียมนมัสการพระเช้าค่ำ
ที่เรียกกันทั่วไปว่า “ทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ” เป็นประจำวันขึ้น
พร้อมทั้งทรงพระราชนิพนธ์คำนมัสการพระรัตนตรัย
เป็นภาษามคธ (ภาษาบาลี) ขึ้นใหม่ ที่เรียกกันว่า บททำวัตรเช้าค่ำ
ดังที่ใช้สวดกันทั่วไปในบัดนี้ ในวันธรรมสวนะ (วันพระ)
มีการแสดงพระธรรมเทศนาแก่พุทธศาสนิกชนเป็นต้น

ในด้านการศึกษา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก็ทรงส่งเสริมการเรียนพระปริยัติธรรมให้รุ่งเรือง
โดยพระองค์ทรงบอกพระปริยัติธรรม (คือสอน) ด้วยพระองค์เอง
มีพระภิกษุสามเณรเป็นศิษย์เข้าแปล (คือสอบในสนามหลวง)
ได้เป็นเปรียญประโยคสูงถึงประโยค ๙ หลายรูป

การเรียนพระปริยัติธรรมของสำนักวัดบวรนิเวศวิหารในยุคนั้นรุ่งเรืองมาก
พระเปรียญพูดภาษามคธได้คล่อง
และคงเนื่องด้วยเหตุนี้เอง วัดบวรนิเวศวิหารในครั้งนั้น
จึงต้องทำหน้าที่รับรองพระสงฆ์ลังกาที่เข้ามาเจริญศาสนไมตรีกับไทย
ถึงกับต้องมีเสนาสนะหมู่หนึ่งไว้รับรองที่วัดบวรนิเวศวิหาร
เรียกว่า “คณะลังกา” (ปัจจุบันรื้อไปแล้ว)

ในส่วนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
พระองค์ก็ทรงศึกษาภาษาละตินและภาษาอังกฤษกับชาวต่างประเทศ
จนทรงสามารถตรัส เขียน อ่าน ได้อย่างคล่องแคล่ว
แม้พระภิกษุสามเณรที่เป็นศิษย์ในพระองค์ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
ก็เข้าใจว่าคงได้รับการส่งเสริมให้เรียนภาษาต่างประเทศ
ที่นอกเหนือไปจากภาษามคธด้วยเช่นกัน

ดังปรากฏในประวัติของพระอมราภิรักขิต (เกิด อมโร)
ซึ่งเป็นศิษย์หลวงเดิมท่านหนึ่ง และได้เป็นสมณทูตไปลังกาถึง ๒ ครั้ง
ว่าสามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว
จนชาวลังกายกย่องเป็นอันมากเป็นตัวอย่าง


พระเถระต้นวงศ์แห่งธรรมยุต

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็คงจะเช่นเดียวกัน
นอกจากจะทรงศึกษาพระปริยัติธรรม
จนมีความแตกฉานคล่องแคล่วในภาษามคธแล้ว
ก็คงจักได้ศึกษาภาษาต่างประเทศอื่นๆ ด้วย
ตามความนิยมของสำนักวัดบวรนิเวศวิหารในครั้งนั้น
ดังปรากฏในคำประกาศทรงสถาปนาเป็น
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ตอนหนึ่งว่า

“มีสุตาคมปัญญารอบรู้ในอักษรแลภาษาซึ่งเปนสกะไสมยปะระไสมย
คือ ขอม ไทย แลสิงหฬ รามัญ สังสกฤตพากย์ เป็นต้นโดยพิศดาร”


เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงอยู่ในฐานะพระเถระผู้ใหญ่
ผู้เป็นต้นวงศ์แห่งคณะธรรมยุตรูปหนึ่งในจำนวน ๑๐ รูป
ดังที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์สมณศาส์นของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อยังทรงผนวชอยู่ พระราชทานไปยังพระสงฆ์ในประเทศลังกา ว่า

ทส คณิสฺสรา เถรา ธมฺมยุตฺติกวํสิกา
ตนฺนิกายิกสงฺเฆน สพฺพกิจฺเจสุ สมฺมตา
อเนกภิกฺขุสตานํ ปิตโร ปริณายกา
ตสฺเสว ภูปตินฺทสฺส ปิโย กนิฏฺภาตุโก
เถโร วชิรญาโณ จ ปาโมกฺโข คณเชฏฺโก
เถโร พฺรหฺมสโร เจว เถโร ธมฺมสิริวฺหโย
เถโร พุทฺธสิริ เจว เถโร ปญฺญาคฺคนามโก
เถโร ธมฺมรกฺขิโต จ เถโร จ โสภิตวฺหโย
เถโร พุทฺธิสณฺหนาโม เถโร ปุสฺสาภิธานโก
เถโร สุวฑฺฒโน จาปิ สพฺเพ สมานฉนฺทกา ฯลฯ


พระเถระเจ้าคณะฝ่ายธรรมยุตติกวงศ์ อันพระสงฆ์นิกายนั้นสมมติ
(แต่งตั้งให้เป็นผู้บริหาร) ในกิจทั้งปวง เป็นบิดา เป็นปริณายกแห่งภิกษุหลายร้อยรูป
พระเถระทรงพระนามว่า วชิรญาณะ
ผู้เป็นพระกนิฐภาดาที่โปรดปรานของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น

เป็นผู้ใหญ่ในคณะ เป็นประธาน ๑ พระเถระนามว่า พรหมสระ ๑
พระเถระนามว่า ธัมมสิริ ๑ พระเถระนามว่า พุทธสิริ ๑
พระเถระนามว่า ปัญญาอัคคะ ๑ พระเถระนามว่า ธัมมรักขิตะ ๑
พระเถระนามว่า โสภิตะ ๑ พระเถระนามว่า พุทธิสัณหะ ๑
พระเถระนามว่า ปุสสะ ๑ พระเถระนามว่า สุวัฑฒนะ ๑
ทุกรูปเป็นผู้มีฉันทะเสมอกัน ฯลฯ

พระเถระที่ปรากฏพระนามและนามในพระราชนิพนธ์ข้างต้นนี้
พระวชิรญาณะ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้ทรงประดิษฐานคณะธรรมยุต

พระพรหมสระ คือ พระญาณรักขิต (สุข พฺรหฺมสโร)
เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส รูปที่ ๑
ภายหลังลาสิกขาและได้เป็นขุนนางที่ พระธรรมการบดี

พระธัมมสิริ คือ พระเทพโมลี (เอี่ยม ธมฺมสิริ)
เจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์ รูปที่ ๒

พระพุทธสิริ คือ สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ)
เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหาร รูปที่ ๑

พระปัญญาอัคคะ คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
(พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค)

สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ผู้ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหารสืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และทรงดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตเป็นพระองค์แรก

พระธัมมรักขิตะ คือ พระครูปลัดทัด ธมฺมรกฺขิโต วัดบวรนิเวศวิหาร
ภายหลังลาสิกขาและได้เป็นขุนนางที่ พระศรีภูริปรีชา

พระโสภิตะ คือ พระศรีวิสุทธิวงศ์ (ฟัก โสภิโต) วัดบวรนิเวศวิหาร
ภายหลังลาสิกขาและได้เป็นขุนนางที่ พระยาศรีสุนทรโวหาร

พระพุทธิสัณหะ คือ พระอมรโมลี (นพ พุทฺธิสณฺโห)
เจ้าอาวาสวัดบุปผาราม รูปที่ ๑

พระปุสสะ คือ เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา)
เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม รูปที่ ๑


พระสุวัฑฒนะ คือ พระปลัดเรือง สุวฑฺฒโน วัดบวรนิเวศวิหาร

พระเถระ ๑๐ รูปนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงยกย่องในฐานะพระเถระผู้ใหญ่และเป็นที่ทรงปรึกษากิจแห่งคณะ
ขณะเมื่อยังทรงผนวชอยู่

เมื่อสำนักวัดบวรนิเวศวิหารเจริญขึ้นแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงส่งพระศิษย์หลวงเดิม
ออกไปตั้งสำนักสาขาขึ้นที่วัดอื่นอีกหลายวัด กล่าวคือ

โปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ)
แต่ครั้งยังเป็นพระราชาคณะที่ พระอริยมุนี เป็นเจ้าสำนักวัดราชาธิวาส (วัดสมอราย)

โปรดเกล้าฯ ให้ พระญาณรักขิต (สุข พฺรหฺมสโร)
เป็นเจ้าสำนักวัดบรมนิวาส (เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวัดนอก)

โปรดเกล้าฯ ให้ พระเทพโมลี (เอี่ยม ธมฺมสิริ) แต่ครั้งยังเป็นที่ พระรัตนมุนี
เป็นเจ้าสำนักวัดเครือวัลย์

โปรดเกล้าฯ ให้ พระเมธาธรรมรส (ถิ่น) แต่ครั้งยังเป็นพระครูใบฎีกา
เป็นเจ้าสำนักวัดพิชยญาติการาม

โปรดเกล้าฯ ให้ พระอมรโมลี (นพ พุทฺธิสณฺโห) แต่ครั้งยังเป็นพระครูวินัยธร
เป็นเจ้าสำนักวัดบุปผาราม


รูปภาพ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
(พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์



ส่วนที่วัดบวรนิเวศวิหารจึงยังคงเหลือพระศิษย์หลวงเดิม
ที่เป็นกำลังสำคัญของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
(พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค)
แต่ครั้งยังมิได้ทรงกรม
เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) แต่ครั้งยังเป็น พระอมรโมลี
พระศรีวิสุทธิวงศ์ (ฟัก โสภิโต) พระครูปลัดทัด และพระปลัดเรือง

จะเห็นได้ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงเป็นพระเถระที่เป็นกำลังสำคัญในคณะธรรมยุต
มาตั้งแต่ระยะแรกเริ่มสถาปนาคณะและตลอดมาจนถึงวาระสุดท้ายแห่งพระชนมชีพ

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ หลังจากที่ได้รับพระราชทานแต่งตั้ง
เป็นพระราชาคณะที่ พระอมรโมลี แล้ว
ได้ลาสิกขาออกไปครองชีวิตฆราวาสอยู่ระยะหนึ่ง
แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าทรงลาสิกขาในปีใด


เล่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีพระราชประสงค์จัดงานฉลองวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ทรงโปรดให้อาราธนาพระภิกษุที่มีความสามารถมาถวายพระธรรมเทศนา
พร้อมกับตั้งพระทัยถวายเครื่องไทยธรรม
และเงินติดกัณฑ์เทศน์เป็นจำนวนมากถึง ๑๐ ชั่ง
(เงินจำนวนนี้มากอักโขในสมัยนั้น ใครมีเท่ากับเป็นเศรษฐี)
ครั้งแรกทรงอาราธนาพระเทพโมลี (ผึ้ง) วัดราชบุรณะ
ผู้มีความสามารถในการเทศนาและแต่งหนังสือไทย “ปฐมมาลา”
อย่างแตกฉานในสมัยนั้น จนเป็นที่นับถือชื่อเสียงเลื่องลือ
แต่พระเทพโมลี (ผึ้ง) ไม่ปรารถนาปัจจัยจำนวนมากมายเช่นนั้นจึงลาสิกขาไปก่อน
โดยท่านคิดจะลาสึกอยู่ก่อนแล้ว พอรู้ข่าวล่วงหน้าก็คิดว่า
ถ้ารับนิมนต์ไปเทศน์ได้เงินไทยทานมา แล้วไปขอถวายพระพรลาสึก ก็คงไม่งาม
อาจจะถูกหาว่า เอาเงินกัณฑ์เทศน์สึกจากพระไปตั้งตัว ก็ร้อนใจ
เตรียมการจะขอเข้าไปถวายพระพรลาสึก
ทำให้ทรงต้องอาราธนาพระอมรโมลี (สา) คือเจ้าพระคุณสมเด็จฯ
ซึ่งมีความสามารถทัดเทียมกัน แต่ก็เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกัน
คือได้เข้าถวายพระพรขอลาสึก เป็นรูปที่สอง


:b44: ประวัติคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=47044

(มีต่อ ๒)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 22:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


รูปภาพ
พระเทพเมธากร หรือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ทิม อุฑาฒิโม)
เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม รูปที่ ๔


รูปภาพ
พระพรหมวัชราจารย์ (พูนศักดิ์ วรภทฺทโก ป.ธ.๘)
เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม รูปที่ ๕ รูปปัจจุบัน



ศิษย์หลวงในรัชกาลที่ ๔

เมื่อเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงลาสิกขาไปใช้ชีวิตในเพศฆราวาสนั้น
เป็นช่วงที่เรื่องราวของพระองค์มิได้ถูกกล่าวถึงอย่างเป็นทางการ
มีเพียงเรื่องเล่าในหมู่ศิษยานุศิษย์ใกล้ชิด
หรือพระภิกษุสงฆ์ในวัดราชประดิษฐ์บางรูปเท่านั้น
ดังที่ ทองอินทร์ แสนรู้ ซึ่งศึกษาวิชาโหราศาสตร์กับ
ท่านเจ้าคุณพระเทพเมธากร (ทิม อุฑาฒิโม)
(ภายหลังได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์)
เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม รูปที่ ๔
และได้ทราบเรื่องช่วงชีวิตฆราวาสของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ
จากคำบอกเล่าของท่านเจ้าคุณพระเทพเมธากร
ว่าทรงเคยเป็นนักเลงแถวหน้าโรงหวยอยู่พักหนึ่ง


“ข้าพเจ้ายกครูเรียนโหรจากท่านเจ้าคุณพระเทพเมธากร (ทิม อุฑาฒิโม)
เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐ์ องค์ปัจจุบัน
ศิษย์เอกผู้สืบต่อตำราของท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี (แย้ม อุปวิกาโส)
ท่านได้พร่ำสอนข้าพเจ้าเสมอว่า วัดราชประดิษฐ์นี้มีอาถรรพ์
สึกออกไปแล้วไม่เสือผู้หญิงก็นักเลงชั้นยอด
ท่านไม่เคยให้เหตุผล
แต่ท่านชอบเล่าอดีตเหมือนผู้ใหญ่ทั้งหลาย
เคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงความเป็นนักเลงของสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
ว่า เคยสำเร็จเป็นเปรียญ ๙ ประโยค แล้วสึกออกไปเป็นนักเลงแถวหน้าโรงหวย
จนในหลวงรัชกาลที่ ๔ จับบวช และแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆราชในกาลต่อมา”


และยังมีเรื่องเล่าอีกว่า ในเพศฆราวาสนั้น มหาสาได้ออกไปครองเรือนมีครอบครัว
ท่านมีภรรยา ๒ คน จึงเป็นที่มาของสองนามสกุล คือ “ปุสสเทโว” และ “ปุสสเด็จ”
ซึ่งทั้งสองนามสกุลนี้ยังมีผู้สืบสกุลในท้องที่จังหวัดนนทบุรีที่ล้วนเป็นเครือญาติกัน
ถ้าเป็นดังข้อมูลนี้ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) น่าจะเป็น
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์เดียวที่ทรงเคยครองเรือนมีครอบครัวมาก่อน

ซึ่งนับเป็นความพิเศษอีกประการหนึ่งในพระประวัติ


ทว่าสุดท้าย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก็ทรงติดตามให้มหาสา หรืออดีตพระอมรโมลี (สา)
กลับมาอุปสมบทใหม่อีกครั้งที่วัดบวรนิเวศวิหาร
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ ซึ่งตรงกับปีแรกในรัชสมัยของพระองค์

รูปภาพ
พระรูปหล่อในท่านั่งแสดงพระธรรมเทศนา
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ประดิษฐาน ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม


รูปภาพ
เจดีย์บรรจุอัฐิของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ทิม อุฑาฒิโม)
ประดิษฐาน ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม


รูปภาพ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
ทรงฉลองพระองค์ด้วยพระภูษาขาว ทรงสมาทานอุโบสถศีล

ทรงประทานพระธรรมเทศนาแก่ข้าราชบริพารฝ่ายในเนื่องในวันธรรมสวนะ
ในวงวิชาการเชื่อกันว่าภาพถ่ายภาพนี้
เป็นภาพเดี่ยวที่ทรงฉายเป็นภาพสุดท้ายในพระชนมชีพ
ทรงฉายเมื่อปีเถาะ พุทธศักราช ๒๔๑๐
สันนิษฐานว่าถ่ายโดย พระยากษาปณ์กิจโกศล (โหมด อมาตยกุล)
เจ้ากรมกษาปณ์สิทธิการ ชาวไทยคนแรกที่ถ่ายรูปเป็น



ทรงอุปสมบทครั้งที่ ๒
ที่มาของ “พระมหาสา ๑๘ ประโยค”


ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กลับมาอุปสมบทใหม่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร
เมื่อเดือน ๑๐ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๙๔ ซึ่งตรงกับปีแรกในรัชกาล โดยมี
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
(พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค)

ขณะทรงดำรงพระยศที่ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
และพระศรีวิสุทธิวงศ์ (ฟัก โสภิโต) เป็นพระกรรมวาจาจารย์
(ภายหลังลาสิกขาและได้เป็นขุนนางที่ พระยาศรีสุนทรโวหาร)
ในการอุปสมบทครั้งที่ ๒ นี้ ทรงมีพระชนมายุได้ ๓๙ พรรษา
และมีพระนามฉายาว่า “ปุสฺสเทโว”

มีเรื่องเล่ากันว่าภายหลังจากพระอมรโมลี (สา)
ลาสิกขาอยู่ในเพศฆราวาสเป็น มหาสา นั้น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกริ้วมาก
เพราะพระอมรโมลี (สา) มิได้กราบบังคมทูลลา
ตามธรรมเนียมของพระราชาคณะที่ต้องปฏิบัติ
พระองค์ทรงให้กรมการติดตามจับตัวมหาสาซึ่งพำนักที่บ้านมารดา
ที่ตำบลบางไผ่ จังหวัดนนทบุรี
แต่มหาสาก็หลบหนีไปอยู่บ้านญาติฝ่ายบิดาที่ตำบลบางเชิงกราน จังหวัดราชบุรี
และถูกจับกุม ณ ที่แห่งนั้น แล้วนำมาเข้าเฝ้า
ด้วยเหตุที่มหาสาเมื่อครั้งอยู่ในสมณเพศเป็นที่โปรดปรานมาก
จึงทรงเสียพระทัยต่อการกระทำโดยพลการของมหาสาคราวนี้
ดังนั้นจึงทรงลงโทษ ก่อนจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปสมบทใหม่
เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงถึงความผูกพันระหว่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในฐานะอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนศิษย์ให้ประพฤติดี

การอุปสมบทคราวนี้พระเกียรติคุณของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ
ปรากฏโดดเด่นไม่น้อยกว่าการอุปสมบทคราวก่อน
โดยเฉพาะด้านการศึกษาซึ่งรู้จักกันในนามของ “พระมหาสา ๑๘ ประโยค”
เนื่องจากการอุปสมบทครั้งที่ ๒ นั้น ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมอีกครั้งหนึ่ง
(คือสอบใหม่) ด้วยเพราะครั้งนั้นผู้ที่เป็นเปรียญ
เมื่อลาสิกขาแล้วถือว่าหมดสิทธิในการเป็นเปรียญ
เพราะเปรียญเป็นตำแหน่งที่ได้รับพระราชทานแต่งตั้ง
และก็ทรงแปลได้หมดทั้ง ๙ ประโยคอีก
ด้วยเหตุนี้เองจึงมักมีผู้กล่าวขวัญถึงพระองค์ด้วยสมญานาม
อันแสดงถึงพระคุณลักษณะพิเศษนี้ว่า “สังฆราช ๑๘ ประโยค” ในเวลาต่อมา
ซึ่งมีเพียงพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์การศึกษาพระพุทธศาสนา

รูปภาพ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
(พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มนุสฺสนาโค)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์



พระสาสนโสภณรูปแรก

ในคราวทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ครั้งที่ ๒ นี้
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเป็นพระอันดับอยู่ ๗ พรรษา
ครั้นถึงปีมะแม ปี พ.ศ. ๒๔๐๑ ในรัชกาลที่ ๔
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ “พระสาสนโสภณ”
(มีความหมายว่า ผู้งามในพระศาสนาหรือผู้ยังพระศาสนาให้งาม)
โดยได้รับพระราชทานนิตยภัตรเป็นเงิน “๔ ตำลึง ๒ บาท” ทุกเดือน
สาเหตุที่ทรงแต่งตั้งตำแหน่งพระราชาคณะในครั้งนั้นเนื่องจาก
พระสาสนโสภณ หรือ ขรัวสา ได้เข้าไปถวายเทศน์แด่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนเป็นที่พอพระทัย
แต่เพราะพระที่เข้าไปถวายเทศน์นั้นจะต้องเป็นพระราชาคณะ
ซึ่งขณะนั้นไม่มีพระภิกษุรูปใดที่สามารถถวายเทศน์ได้ต้องพระทัย
แม้แต่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ก็ยังเคยลงจากธรรมาสน์โดยไม่เทศน์ถวาย
เพราะพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงศึกษาพระธรรมอย่างถ่องแท้ขณะทรงผนวชมาแล้ว
อีกทั้ง ขรัวสาก็บวชมาแล้วถึง ๗ พรรษา เลยกำหนด ๖ ปีที่จะเป็นพระราชาคณะได้

ดังมีสำเนาประกาศทรงตั้งดังนี้

“ให้พระอาจารย์สา วัดบวรนิเวศ เป็นพระสาสนโสภณ
ที่พระราชาคณะในวัดบวรนิเวศ มีนิตยภัตรเดือนละ ๔ ตำลึง ๒ บาท
ขอพระคุณจงเอาธุระพระพุทธศาสนาเป็นภาระสั่งสอนแลอนุเคราะห์
พระภิกษุสงฆ์ สามเณรในพระอารามโดยสมควร
จงมีศุขสวัสดิ์เจริญในพระพุทธศาสนาเทอญฯ
ตั้งแต่ ณ วันศุกร์ เดือน ๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก
พุทธศักราช ๒๔๐๑ เป็นวันที่ ๒๘๖๕ ในรัชกาลปัจจุบันนี้”


ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนิตยภัตรเสมอพระราชาคณะชั้นเทพ
แต่ถือตาลปัตรแฉกเสมอพระราชาคณะชั้นสามัญ
สำหรับราชทินนามที่ พระสาสนโสภณ นั้น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นโดยเฉพาะ
เพื่อให้ได้กับนามเดิมของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ คือ “สา”

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตรัสเล่าไว้ความว่า

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก่อนที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นที่พระสาสนโสภณนั้น
คนทั่วไปเรียกกันว่า อาจารย์สา เมื่อถึงคราวที่จะทรงแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประดิษฐ์ราชทินนาม
โดยเอานามเดิมของพระองค์ท่านขึ้นต้น แล้วต่อสร้อยว่า พระสาสนดิลก นาม ๑
พระสาสนโสภณ นาม ๑ แล้วโปรดเกล้าฯ ให้พระสารสาสน์พลขันธ์ (สมบุญ)
ไปทูลถามพระองค์ท่านว่าจะชอบนามไหน

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ว่า นาม สาสนดิลก นั้นสูงนัก
ขอรับพระราชทานเพียงนาม สาสนโสภณ
จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นที่พระสาสนโสภณดังกล่าวมา
แล้วคนทั้งหลายก็เรียกกันโดยย่อว่า “เจ้าคุณสา” สืบมา


เจ้าพระคุณสมเด็จฯ นับเป็นพระสาสนโสภณรูปแรก
ดูทีว่าพระองค์ท่านจะทรงโปรดราชทินนามนี้มาก
ภายหลังแม้จะได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์สูงขึ้นเป็นที่
พระธรรมวโรดม เจ้าคณะรองฝ่ายใต้ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๕
ก็ยังคงใช้พระนามว่า “พระสาสนโสภณ ที่ พระธรรมวโรดม”
เท่ากับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกราชทินนามที่ พระสาสนโสภณ
ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองในครั้งนี้

การกลับเข้ามาอุปสมบทใหม่ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ครั้งนี้
นับว่าเป็นคุณประโยชน์ต่อคณะธรรมยุตและคณะสงฆ์เป็นส่วนรวมเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งเป็นสำนักหลักในคณะธรรมยุต

ดังที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
(พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ มนุสฺสนาโค)

ได้ทรงอธิบายไว้ในตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร ว่า

“พระเถระที่เป็นกำลังในการวัด
ครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองวัด
ร่วงโรยไป พระปลัดเรืองถึงมรณภาพเสียแต่ในครั้งยังเสด็จอยู่
พระศรีวิสุทธิวงศ์ (โสภิโต ฟัก) แลพระครูปลัดทัด ลาสิกขาเสียในครั้งนี้
(หมายถึงครั้งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงครองวัด)
คงมีแต่พระสาสนโสภณ คือพระอมรโมลี (สา ปุสฺสเทโว)
ผู้กลับเข้ามาอุปสมบทอีก ได้เป็นกำลังใหญ่ในการพระศาสนา
พระผู้สามารถในการเทศนาโดยฝีปากมีน้อยลง

ท่านจึงแต่งหนังสือเทศน์ขึ้นไว้สำหรับใช้อ่านในวันธัมมัสสวนะปกติและในวันบูชา
ได้แต่งเรื่องปฐมสมโพธิย่อ ๓ กัณฑ์จบ
สำหรับถวายเทศนาในวันวิสาขบูชา ๓ วันๆ ละกัณฑ์
และเรื่องจาตุรงคสันนิบาตกับโอวาทปาติโมกข์
สำหรับถวายในวันมาฆบูชาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เป็นอันได้รับพระบรมราชานุมัติ ยังได้รจนาเรื่องปฐมสมโพธิพิสดาร
สำหรับใช้เทศนาในวัด ๒ คืนจบอีก”


พระนิพนธ์ต่างๆ ที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงรจนาขึ้น
แต่ครั้งยังเป็นที่ พระสาสนโสภณ ดังกล่าวมาข้างต้นนี้
ได้เป็นหนังสือสำคัญในการเทศนาและศึกษาเล่าเรียน
ของพระภิกษุสามเณรสืบมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

รูปภาพ
ภาพถ่ายหมู่พระมหาเถระภายในพระพุทธรัตนสถานมนทิราราม ในพระบรมมหาราชวังชั้นใน
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ทรงเสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุในขณะทรงครองราชย์
และได้ประทับจำพรรษา ณ ที่นั้น เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๑๖
:b49: :b49: จากซ้ายไปขวา : ๑. พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
๒. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร (หม่อมเจ้ากระจ่าง ลดาวัลย์ อรุโณ) วัดราชบพิธ
๓. พระสุคุณคณาภรณ์ (พระเทพกวี นิ่ม สุจิณฺโณ) วัดเครือวัลย์
๔. พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์
(สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์) วัดบวรนิเวศวิหาร พระราชอุปัธยาจารย์
๕. พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทรํสี) วัดมกุฏกษัตริยาราม
๖. พระพิมลธรรม (สมเด็จพระวันรัต ทับ พุทฺธสิริ) วัดโสมนัสวิหาร
๗. พระอริยมุนี (พระพรหมมุนี เหมือน สุมิตฺโต) วัดบรมนิวาส
๘. พระพรหมมุนี (สมเด็จพระพุฒาจารย์ ศรี อโนมสิริ) วัดปทุมคงคา
๙. พระสาสนโสภณ (สมเด็จพระสังฆราช สา ปุสฺสเทโว) วัดราชประดิษฐ์ พระราชกรรมวาจาจารย์

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=25&t=48305


เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐ์รูปแรก

ครั้น พ.ศ. ๒๔๐๘ เมื่อการสร้างวัดราชประดิษฐ์เสร็จแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้อาราธนาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ แต่ครั้งยังเป็นที่ พระสาสนโสภณ
จากวัดบวรนิเวศวิหารมาครองวัดราชประดิษฐ์ เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก
พร้อมด้วยพระสงฆ์จากวัดบวรนิเวศวิหารอีก ๒๐ รูป

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แห่จากวัดบวรนิเวศวิหารมาวัดราชประดิษฐ์
เมื่อเดือน ๘ ปีฉลู สัปตศก จุลศักราช ๑๒๒๗
ตรงกับเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๐๘
และได้รับพระราชทานเปลี่ยนตาลปัตรเป็นตาลปัตรแฉกพื้นแพรเสมอชั้นธรรม


พระคุณลักษณะพิเศษ

เล่ากันว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเป็นที่ทรงเคารพและสนิทคุ้นเคย
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก
เป็นที่ทรงสนทนาปรึกษา ทั้งเรื่องที่เป็นกิจการบ้านเมือง
และเรื่องที่เป็นกิจการพระศาสนา และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงสนทนาปรึกษา
กับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ณ วัดราชประดิษฐ์
ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพระบรมมหาราชวังเนืองๆ

คำเล่าอ้างดังนี้น่าจะสมจริง
เพราะสมกับที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ได้ตรัสเล่าไว้ในพระประวัติตรัสเล่า ว่า

“เมื่อเรายังเยาว์ แต่จำความได้แล้ว ได้ตามเสด็จทูลกระหม่อม
(หมายถึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ไปวัดราชประดิษฐ์เนืองๆ
คราวหนึ่งได้ยินตรัสถาม สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
ครั้งนั้นยังเป็นพระสาสนโสภณว่า คนชื่อคนมีหรือไม่
สมเด็จพระสังฆราชนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถวายพระพรทูลว่า ไม่มี
ทรงชี้เอาเราผู้นั่งอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ว่า นี่แหละคนชื่อคน
แต่นั้นเราสังเกตว่า ทรงพระสรวล และสมเด็จพระสังฆราชก็เหมือนกัน”


นอกจากนี้ ก็ยังกล่าวกันว่า เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) นั้น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดว่าเป็นผู้แต่งเทศน์ดี
แต่ครั้งยังเสด็จดำรงอยู่ในผนวช ภายหลังเมื่อได้เป็นที่พระสาสนโสภณแล้ว
ถ้าพระราชาคณะหรือพระเปรียญจะถวายเทศน์
ต้องมาให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ตรวจเสียก่อน
ถ้าใครไม่ชำนาญในการแต่งเทศน์ก็จะทรงแต่งให้

นับแต่ทรงสถาปนาวัดราชประดิษฐ์ขึ้นแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก็เสด็จพระราชดำเนินถวายพุ่มพรรษา (พุ่มเทียน)
แก่พระสงฆ์วัดราชประดิษฐ์ทั่วทั้งวัดเป็นประจำทุกปีจนสิ้นรัชกาล
โดยเสด็จพระราชดำเนินในวันแรม ๑ ค่ำอันเป็นวันที่พระสงฆ์เข้าพรรษา
ดูเป็นทำนองอย่างทรงเป็นเจ้าของวัด

(มีต่อ ๓)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 22:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔


เหตุการณ์เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔ สวรรคต

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้อยู่ครองวัดราชประดิษฐ์ฯ
สนองพระเดชพระคุณเฉลิมพระราชศรัทธา
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ ๔ ปี ก็สิ้นรัชกาล

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๐
ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะโรง
อันเป็นวันมหาปวารณาออกพรรษาของพระสงฆ์

ครั้นเวลาเย็นวันมหาปวารณาที่เสด็จสวรรคตนั้น พระอาการทรุดหนักลง
พระองค์ทรงประกอบไปด้วยพระสติสัมปชัญญะ
ทรงกำหนดอวสานกาลแห่งพระชนมายุของพระองค์เป็นแน่แล้ว
จึงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าพนักงานจัดเครื่องนมัสการพร้อมแล้ว
จึงมีพระราชโองการดำรัสให้ พระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก)
เข้าไปในที่พระบรรทม มีพระราชดำรัสพระราชนิพนธ์โดยมคธภาษา
ให้พระยาศรีสุนทรโวหาร รับพระบรมราชโองการจดเป็นอักษร

ครั้นทรงพระบรมราชนิพนธ์เสร็จแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
พระยาศรีสุนทรโวหารเชิญไปกับทั้งเครื่องนมัสการ
สู่พระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม
พระสงฆ์มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นประธาน
ประชุมพร้อมกันเพื่อจะทำสังฆปวารณา
พระยาศรีสุนทรโวหารจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ แล้วกราบถวายบังคมมาตามทิศ
อ่านพระบรมราชนิพนธ์นั้น ณ ที่สังฆสันนิบาต
สงฆ์รับอัจจยเทศนาแล้วตั้งญัตติปวารณา แล้วปวารณาตามลำดับพรรษา

ฝ่ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดำรัสสั่งพระยาศรีสุนทรโวหารเสร็จแล้ว
ก็ทรงนมัสการจิตตวิโสธโนบาย ภาวนามัยกุศลเครื่องชำระจิตให้บริสุทธิ์
พอสมัยยามกับบาทหนึ่ง เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งภานุมาศจำรูญฝ่ายอุดรทิศ
พร้อมด้วยอัศจรรย์ หมอกกลุ้มทั่วนครมณฑลโดยบุญญวันตวิสัย
เมื่อเสด็จสวรรคต พระชนมายุนับเรียงปีได้ ๖๕ พรรษา

นับอายุโหราโดยจันทรคติได้ ๖๕ ปีถ้วน
คิดเป็นวันได้ ๒๓,๓๕๘ วัน กับ ๑๖ ชั่วโมงครึ่ง
คิดตามสุริยคติกาลอย่างยุโรปได้ ๖๔ ปี หย่อน ๑๖ วันกับ ๒ ชั่วโมง
เสด็จอยู่ในราชสมบัตินับเรียงปีได้ ๑๘ ปี
นับอายุโหราตามจันทรคติได้ ๑๗ ปี ๕ เดือนถ้วน คิดเป็นวัน ๖,๓๔๘ วัน


สมเด็จพระสังฆราชคู่พระทัยในรัชกาลที่ ๕
การเลื่อนสมณศักดิ์


ภายหลังการขึ้นครองราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เพียง ๔ ปี คือในปี พ.ศ. ๒๔๑๕ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
สถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์แก่พระสาสนโสภณ (สา) ให้ขึ้นเป็น
พระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ พระธรรมวโรดม
เจ้าคณะรองฝ่ายใต้ ทำหน้าที่สนองงานพระพุทธศาสนา คือ
สั่งสอนช่วยระงับอธิกรณ์ และอนุเคราะห์พระภิกษุสงฆ์สามเณร
ในพระอารามทั้งปวงซึ่งขึ้นในคณะ
แต่ให้คงใช้ราชทินนามเดิมพระราชทานแต่ครั้งรัชกาลก่อน
ทำให้มีการเรียกเป็น “พระสาสนโสภณ ที่ พระธรรมวโรดม”

นามจารึกในหิรัญบัตร
“พระธรรมวโรดม บรมญาณอาลย์ สุนทรนายก ตรีปิฎกคุณาลังการภูสิต
ทักษิณทิศคณฤศร บวรสีงฆารามคามวาสี
สถิตย์ณวัดราชประดิษฐ สถิตมหาสิมาราม พระอารามหลวง
จงเจริญทฤฆชนมายุ พรรณศุขพลปฏิภาณ ในพระพุทธสาสนาเทอญฯ”


รูปภาพ
พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ ๕
ครั้งทรงผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๖



พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวช

พ.ศ. ๒๔๑๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เสด็จออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
(พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค)

ขณะทรงดำรงพระยศที่ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เป็นพระราชอุปัธยาจารย์
เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์
มีคณปูรกะ (ภิกษุผู้เข้าร่วมทำสังฆกรรมที่ทำให้ครบคณะพอดี) ดังนี้คือ

๑. หม่อมเจ้าพระธรรมุณหิสธาดา วัดบวรนิเวศวิหาร
๒. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร
(หม่อมเจ้ากระจ่าง ลดาวัลย์ อรุโณ) ที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์
แต่ครั้งยังทรงเป็นหม่อมเจ้า วัดราชบพิธ
๓. สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) แต่ครั้งยังเป็นที่ พระพิมลธรรม วัดโสมนัสวิหาร
๔. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ศรี อโนมสิริ) แต่ครั้งยังเป็นที่ พระพรหมมุนี วัดปทุมคงคา
๕. พระพรหมเทพาจารย์ (บุญรอด พฺรหฺมเทโว) วัดเสนาสนาราม พระนครศรีอยุธยา
๖. พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จันทรังสี) วัดมกุฏกษัตริยาราม
๗. พระพรหมมุนี (เหมือน สุมิตฺโต) แต่ครั้งยังเป็นที่ พระอริยมุนี วัดบรมนิวาส
๘. พระเทพกวี (นิ่ม สุจิณฺโณ) แต่ครั้งยังเป็นที่ พระสุคุณคณาภรณ์ วัดเครือวัลย์

รูปภาพ
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร
(หม่อมเจ้ากระจ่าง ลดาวัลย์ อรุโณ) วัดราชบพิธ


รูปภาพ
สมเด็จพระวันรัต (ทับ พุทฺธสิริ) วัดโสมนัสวิหาร

รูปภาพ
พระพรหมเทพาจารย์ (บุญรอด พฺรหฺมเทโว)
วัดเสนาสนาราม พระนครศรีอยุธยา


รูปภาพ
พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จันทรังสี) วัดมกุฏกษัตริยาราม

รูปภาพ
พระพรหมมุนี (เหมือน สุมิตฺโต) วัดบรมนิวาส


เมื่อทรงผนวชแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จประทับ ณ พระพุทธรัตนสถานมนทิราราม ในพระบรมมหาราชวังชั้นใน
โดยได้เชิญเสด็จสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
พระราชอุปัธยาจารย์ และนิมนต์พระราชาคณะผู้ใหญ่ต่างวัด
เข้าไปอยู่ด้วยพอครบคณะสงฆ์
ทรงผนวชอยู่เป็นเวลา ๑๕ วัน ครั้นทรงลาผนวชแล้ว
ทรงรับพระบรมราชาภิเษกอีกครั้งหนึ่ง

พระเถระผู้ร่วมเป็นคณะสงฆ์ในการพระราชพิธีทรงผนวช
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งนั้น
ล้วนเป็นผู้ได้ทำทัฬหีกรรม (คืออุปสมบทซ้ำ) มาแล้วทั้งนั้น
ยังแต่เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) พระองค์เดียวเท่านั้น
ที่ขณะนั้นยังไม่ได้ทำทัฬหีกรรม ทั้งจะต้องทรงเป็นผู้ที่ทำหน้าที่สำคัญในการนี้
คือเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ด้วย

ในครั้งนี้เองที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงทำทัฬหีกรรม
ซึ่งขณะนั้นทรงมีอายุพรรษา ๒๒ แล้ว (นับแต่ทรงอุปสมบทครั้งหลัง)

ในการทรงทำทัฬหีกรรมของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้น
ไม่พบหลักฐานว่าทำที่ไหน ใครเป็นพระอุปัชฌาย์
พบแต่เพียงว่า พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จันทรังสี) วัดมกุฏกษัตริยาราม
เป็นพระกรรมวาจาจารย์ แต่สันนิษฐานว่าคงจักได้ทำที่แพโบสถ์
ตรงฝั่งวัดราชาธิวาส และวิธีการต่างๆ นั้น ก็คงจะทำนองเดียวกันกับที่
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ตรัสเล่าไว้เมื่อครั้งพระองค์เองทรงทำทัฬหีกรรม (อุปสมบทซ้ำ) ดังนี้

“ตั้งแต่ครั้งทูลกระหม่อม (หมายถึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ยังทรงผนวช พวกพระธรรมยุตนับถือสีมาน้ำว่าบริสุทธิ์เป็นที่สิ้นสงสัย
ไม่วางใจในวิสุงคามสีมาอันไม่ได้มาในบาลี เป็นแต่พระอรรถกถาจารย์แนะไว้
ในอรรถกถาอนุโลมตามสีมา ครั้งยังไม่มีวัดอยู่ตามลำพัง
จึงใช้สีมาน้ำเป็นที่อุปสมบท
ต่อมาพระรูปใดจะอยู่เป็นหลักฐานในพระศาสนา
พระผู้ใหญ่จึงพาพระรูปนั้นไปอุปสมบทซ้ำอีกในสีมาน้ำ เรียกว่า “ทำทัฬหีกรรม”

สำนักวัดบวรนิเวศวิหารหยุดมานาน พระเถระในสำนักนี้ ก็ได้ทำทัฬหีกรรมโดยมาก
สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) อุปสมบทครั้งหลังกว่า ๒๐ พรรษาแล้ว
จึงได้ทำทัฬหีกรรม ครั้งจะสวดกรรมวาจาอุปสมบทเมื่อล้นเกล้าฯ
(หมายถึง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงผนวช
พระเสด็จพระอุปัชฌายะ หมายถึง
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ตรัสเล่าว่า

พระเถระทั้งหลายผู้เข้าในการทรงผนวชล้วนเป็นผู้ได้ทำทัฬหีกรรมแล้ว
ยังแต่ท่าน หมายถึงเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) องค์เดียว
ทั้งจักเป็นผู้สำคัญในการนั้น จึงต้องทำ...

ครั้งเราบวช ความนับถือพระบวชในสีมาน้ำยังไม่วาย
เราเห็นว่าเราเป็นผู้จักยั่งยืนในพระศาสนาต่อไป...เราควรเป็นผู้เข้าได้ทุกฝ่าย
อันจะให้เข้าได้ ต้องไม่เป็นที่รังเกียจในการอุปสมบทเป็นมูล
ทั้งเราก็อุปสมบทเร็วไปกว่าปกติ เมื่อทำทัฬหีกรรมอุปสมบทซ้ำอีกในสีมาน้ำ
จักสามารถทำประโยชน์ให้สำเร็จได้ดี เราจึงเรียนความปรารภนี้แก่เจ้าคุณอาจารย์
(หมายถึง พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จันทรังสี) ขอท่านเป็นธุระจัดให้

จึงตกลงกันว่า เราจักถือเจ้าคุณอาจารย์เป็นอุปัชฌายะใหม่ ในเวลาทำทัฬหีกรรม
เจ้าคุณพระพรหมมุนีฟันหักสวดจะเป็นเหตุรังเกียจ เจ้าคุณอาจารย์ท่านเลือกเอา
เจ้าคุณพระธรรมไตรโลกาจารย์ (เดช ฐานจาโร) วัดเทพศิรินทราวาส
ครั้งยังเป็นบาเรียนอยู่วัดโสมนัสวิหารเป็นผู้สวดกรรมวาจา
ท่านรับจัดการให้เสร็จ พาตัวไปทำทัฬหีกรรมที่แพโบสถ์
อันจอดอยู่ที่แม่น้ำ ตรงฝั่งวัดราชาธิวาสออกไป...
แรกขอนิสสัยถืออุปัชฌายะใหม่ แล้วทำวิธีอุปสมบททุกประการ
สวดทั้งกรรมวาจามคธและกรรมวาจารามัญ”


(มีต่อ ๔)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์



สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณรูปที่ ๒

พ.ศ. ๒๔๒๒ ในรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
สถาปนาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่
“สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ
ตำแหน่งที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ”

นับเป็นพระมหาเถระรูปที่ ๒ ที่ได้รับพระราชทานสถาปนา
ในราชทินนามที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
อันเป็นราชทินนามสำหรับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
ตั้งแต่ขณะที่ยังไม่เป็นสมเด็จพระสังฆราช


การสังคายนาและพิมพ์พระไตรปิฎกในรัชกาลที่ ๕

พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
โปรดเกล้าฯ ให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎก โดยทรงมีพระราชดำริว่า

คัมภีร์พระไตรปิฎก ซึ่งแต่เดิมมาได้คัดลอกต่อๆ กันมา
ด้วยการจารลงในใบลานด้วยอักษรขอมนั้น กว่าจะได้แต่ละคัมภีร์ก็ช้านาน
เป็นเหตุให้คัมภีร์ของพระพุทธศาสนาไม่ค่อยแพร่หลาย
และไม่พอใช้ในการศึกษาเล่าเรียน ทั้งไม่สะดวกในการเก็บรักษาและใช้ดูให้อ่าน
อักษรขอมที่ใช้จารึกนั้นเล่าก็มีผู้อ่านกันได้น้อยลงทุกที
ฉะนั้น หากได้มีการตรวจชำระพระไตรปิฎกให้ครบถ้วนบริบูรณ์
แล้วพิมพ์ขึ้นเป็นเล่มหนังสือด้วยอักษรไทย
ก็จะเป็นการทำให้พระคัมภีร์แพร่หลาย
และเป็นการสะดวกในการใช้ศึกษาเล่าเรียนมากยิ่งขึ้น

ฉะนั้น จึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น
โดยโปรดให้อาราธนาพระเถรานุเถระ
ประชุมร่วมกันกับราชบัณฑิตทั้งหลายตรวจชำระพระไตรปิฎก
แล้วจัดพิมพ์เป็นเล่มหนังสือขึ้น
ให้สำเร็จเรียบร้อยทันกำหนดการบำเพ็ญพระราชกุศล
สมโภชสิริราชสมบัติในกาลเมื่อบรรจบครบ ๒๕ ปี

ครั้นวันที่ ๗ เดือน ๓ แรม ๑ ค่ำ ปีชวด สัมฤทธิศก (พ.ศ. ๒๔๓๑)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงทรงเชิญเสด็จพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงผนวชได้ดำรงสมณศักดิ์
มี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ขณะทรงดำรงพระยศกรมพระ เป็นประธาน

และทรงอาราธนาพระราชาคณะผู้ใหญ่ มี สมเด็จพระสังฆราช (สา)
ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นประธาน
พร้อมทั้งพระสงฆ์เปรียญ ทั้งในกรุงและหัวเมือง
ประชุมพร้อมกันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
แล้วเสด็จพระราชดำเนินประทับในพระอุโบสถ

พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ
อาลักษณ์อ่านประกาศพระบรมราชโองการ
อาราธนาพระสงฆ์ให้ตรวจชำระพระไตรปิฎก เป็นการเริ่มการทำสังคายนา

รูปภาพ

ในการทำสังคายนาครั้งนี้
พระเถรานุเถระได้แบ่งกันทำหน้าที่เป็นกองๆ ดังนี้


สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ขณะทรงดำรงพระยศ กรมพระ
ทรงเป็นอธิบดีในการตรวจแบบฉบับพระไตรปิฎก

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ขณะทรงดำรงพระยศ กรมหมื่น

และสมเด็จพระสังฆราช (สา) ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นรองอธิบดีจัดการทั้งปวง

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
เป็นแม่กองตรวจพระวินัยปิฎก

พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร วัดราชบพิธ
เป็นแม่กองตรวจพระสุตตันตปิฎก

พระพรหมมุนี (เหมือน สุมิตฺโต) วัดบรมนิวาส,
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (แสง ปญฺญาทีโป)
ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมไตรโลกาจารย์ วัดราชบุรณะ,
พระธรรมราชานุวัตร (ต่าย วารโณ) วัดเสนาสนาราม และ
สมเด็จพระวันรัต (ฑิต อุทโย)
ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระเทพโมลี วัดมหาธาตุ
เป็นแม่กองตรวจพระสุตตันตปิฎก

พระพิมลธรรม (อ้น) วัดพระเชตุพนฯ และ
สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน)
ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมวโรดม วัดสุทัศน์
เป็นแม่กองตรวจพระอภิธรรมปิฎก


รูปภาพ

พระไตรปิฎกที่จัดพิมพ์ขึ้นครั้งนี้มีจำนวน ๑,๐๐๐ จบๆ ละ ๓๙ เล่ม
พระราชทานพระราชทรัพย์ในการจัดพิมพ์ประมาณ ๒,๐๐๐ ชั่ง (๒๗)
นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มหนังสือ
และเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจดจารึกพระไตรปิฎกด้วยอักษรไทยด้วย
เพราะก่อนแต่นี้ขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นการจดจารึกพระธรรมเป็นภาษาบาลีหรือภาษาไทย
ล้วนนิยมจดจารึกด้วยอักษรขอมทั้งนั้น

การจัดพิมพ์เสร็จเรียบร้อยในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ได้ทันฉลองในการทรงบำเพ็ญ
พระราชกุศลสมโภชสิริราชสมบัติบรรจบครบ ๒๕ ปี ตามพระราชประสงค์

พระไตรปิฎกที่จัดพิมพ์ขึ้นครั้งนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานไปไว้ตามพระอารามหลวงวัดละจบ
นอกนั้นก็พระราชทานแก่พระสงฆ์และคฤหัสถ์ที่มีหน้าที่ในการตรวจชำระและจัดพิมพ์
ส่วนที่เหลือก็พระราชทานพระบรมราชานุญาต
ให้จำหน่ายแก่ผู้ที่ประสงค์จะสร้างถวายวัด หรือสถานศึกษา ในราคาพอสมควร
ปรากฏว่าพระไตรปิฎกที่จัดพิมพ์ขึ้นครั้งนี้
หมดฉบับสำหรับจำหน่ายภายในเวลาเพียง ๒ ปี

เมื่อข่าวการพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งนี้แพร่หลายไป
ปรากฏว่ารัฐบาลและสถานศึกษานานาประเทศ พากันตื่นเต้นสนใจ
และขอพระราชทานมาเป็นจำนวนมาก ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานให้ตามประสงค์ เป็นเหตุให้พระไตรปิฎกชุดนี้แพร่หลาย
เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกตลอดมาจนบัดนี้

รูปภาพ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕


โปรดเกล้าฯ สถาปนาเพิ่มอิสริยยศ

ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาเพิ่มอิสริยยศเจ้าพระคุณสมเด็จฯ
ให้พิเศษกว่าสมเด็จพระราชาคณะแต่ก่อนๆ มา

คือทรงสถาปนาเลื่อนขึ้นเป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
มีนิตยภัตรเดือนละ ๑๑ ตำลึง มีถานานุกรมได้ ๑๒ รูป
มากกว่าสมเด็จพระราชาคณะตำแหน่งอื่นๆ
(ซึ่งมีนิตยภัตร ๖ ตำลึงบ้าง ๗ ตำลึงบ้าง ๑๐ ตำลึงบ้าง
และมีถานานุกรมได้ ๘ รูปบ้าง ๑๐ รูปบ้าง)

เพื่อเป็นการเฉลิมพระราชศรัทธาปสาทะที่ได้ทรงมีในเจ้าพระคุณสมเด็จฯ
ที่ทรงยกย่องเป็น “อรรคมหาคารวสถาน”
โดยฐานที่ได้ทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ในคราวทรงผนวช
และเรียบเรียงหนังสือธรรมวินัยให้ได้ทรงศึกษาเป็นอันมาก

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ นับเป็นพระมหาเถระรูปที่ ๒
ได้รับพระราชทานสถาปนาในราชทินนามที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
อันเป็นราชทินนามสำหรับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
ตั้งแต่ขณะที่ยังไม่เป็นสมเด็จพระสังฆราช
นับได้ว่าเป็นการพระราชทานเกียรติยศอย่างสูงเป็นกรณีพิเศษ

ต่อมา พ.ศ. ๒๔๓๕ สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
องค์สกลมหาสังฆปริณายก สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคชรา
พระชนมายุ ๘๓ พรรษา แต่เป็นคราวที่ไม่สะดวกในทางราชการ
พระศพสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ พระองค์นั้น
ต้องประดิษฐานไว้ ณ พระตำหนักเดิม อันเป็นที่ประทับนานถึง ๘ ปี กับ ๓ เดือน
จึงได้ถวายพระเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓

(มีต่อ ๕)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 22:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระรูปหล่อสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
ซึ่งหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ประดับด้วยกระเบื้องหินอ่อน ในท่านั่งแสดงพระธรรมเทศนา
ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าปาสาณเจดีย์ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม



สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ครั้นเมื่อถึงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ (พุทธศักราช ๒๔๓๖) นี้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ขึ้นเป็น
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
อันเป็นปีที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษาพอดี

การสถาปนาครั้งนี้เรียกว่า “สถาปนาเพิ่มอิสริยยศ พระราชทานมุทธาภิเศก
เลื่อนตำแหน่งสมณถานันดรศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช
มีนามตามจารึกในสุพรรณบัตรตามเดิม”
คือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ฯลฯ มีสำเนาประกาศทรงสถาปนาดังนี้


คำประกาศ

“ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนกาล เป็นอดีตภาคล่วงแล้ว ๒๔๓๖ พรรษา
ปัตยุบันกาล จันทรคตินิยม อุรคสังวัจฉร กรรติกมาศ กาฬปักษ์ ฉัฏฐมีดิถี พุฒวาร
สุริยคติกาล รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ พฤศจิกายนมาศ เอกุณติงสติม
มาสาหคุณประเภท ปริเฉทกาลกำหนด

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ ฯลฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชดำริห์ว่า พระสงฆ์ซึ่งดำรงสมณคุณ
สมควรจะเลื่อนอิศริยยศในสมณศักดิ์มีอยู่หลายองค์
กาลบัดนี้ก็เป็นเวลาใกล้การมหามงคลราชพิธีรัชฎาภิเศก
ควรจะสถาปนาอิศริยยศพระสงฆ์ที่ควรจะสถาปนาขึ้นไว้ให้บริบูรณ์ตามตำแหน่ง
เมื่อพระสงฆ์ซึ่งทรงสมณคุณได้รับอิศริยศักดิโดยสมควรแก่คุณานุรูปเช่นนั้นแล้ว
แลมาสู่สงฆสมาคม ณ พระราชพิธีสถาน ก็จะเป็นการมงคลอันอุดมยิ่ง
ทั้งจะเป็นการเพิ่มภูลพระเกียรติยศพระเกียรติคุณให้ไพโรจน์ชัชวาลย์ด้วย

จึงทรงพระราชดำริห์ว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ
ประกอบด้วยคุณธรรมอนันตโกศล วิมลปฏิภาณ ญาณปรีชา
รอบรู้พระปริยัติธรรม เป็นเอกอรรคบุรุษ แลดำเนินในสัมมาปฏิบัติดำรงคุณธรรม
อันได้แจ้งอยู่ในประกาศเลื่อนตำแหน่งแต่ก่อนโดยพิศดาร
จึงได้ทรงสถาปนาให้มีอิศริยศักดิพิเศษยิ่งกว่าสมเด็จพระราชาคณะ
ซึ่งเป็นเจ้าคณะใหญ่โดยสามัญแล้ว

บัดนี้พระมหาเถระซึ่งมีคุณแลไวยแลอิศริยศักดิเปนชั้นเดียวกันก็ล่วงลับไปสิ้นแล้ว
ยังเหลืออยู่แต่พระองค์เดียวเป็นที่เจริญพระราชศรัทธา
แลเปนอรรคมหาคารวะสถานยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
ทั้งเจริญด้วยชนมายุกาลรัตตัญญูภาวคุณเป็นพระมหาเถระในสงฆ์
สมควรที่จะดำรงสมณถานันดรศักดิ์ ที่สมเด็จพระสังฆราช
ให้ปรากฏเกียรติยศเกียรติคุณสืบไปสิ้นกาลนาน
แลจะได้เป็นที่สักการบูชาแห่งพุทธสาสนิกบริสัช
ทั้งคฤหัสถ์แลบรรพชิตทั้งปวงทั่วไป

จึงมีพระบรมราชโองการมาณพระบัณฑูรสุรสิงหนาท
ดำรัสสั่งให้สถาปนาเพิ่มอิสริยยศ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
พระราชทานมุทธาภิเศก เลื่อนตำแหน่งสมณถานันดรศักดิ์ขึ้นเปน
สมเด็จพระสังฆราช มีนามตามจารึกในสุพรรณบัตรตามเดิมว่า

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สุขุมธรรมวิธานธำรง มหาสังฆปรินายก
ตรีปิฎกกลากุสโลภาศ ปรมินทรมหาราชหิโตปสัมปทาจารย์
ปุสสเทวาภิธานสังฆวิสุต ปาวจนุตมสาสนโสภณ วิมลศีลสมาจารวัตร
พุทธสาสนบริสัชคารวะสถาน วิจิตรปฏิภาณพัฒนคุณ อดุลยคัมภีรญาณสุนทร
มหาอุดรคณิศร บวรสังฆาราม คามวาสีอรัญวาสี
สถิตย์ ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตยมหาสีมารามวรวิหาร
พระอารามหลวง เป็นประธานในสมณะมณฑลทั่วพระราชอาณาเขตร
แลดำรงที่เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือด้วย


พระราชทานนิตยภัตรเพิ่มขึ้นเปนราคาเดือนละ ๑๒ ตำลึง
มีอิศริยยศถานานุศักดิ์ ควรตั้งถานานุกรมได้ ๑๖ รูป คือ

พระครูปลัดสัมพิพัฒนศีลาจารย์ ญาณวิมล สกลคณิศร อุดรสังฆนายก ปิฎกธรรมรักขิต
สถิตย์ ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตยมหาสีมารามวรวิหาร พระอารามหลวง

พระครูปลัดกลาง มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๓ ตำลึง ๑

พระครูปลัดอวาจีคณานุสิชฌน์ สังฆอิศริยาลังการ วิจารณกิจโกศล
วิมลสังฆนายก ปิฎกธรรมรักขิต สถิตย์ ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตยมหาสีมารามวรวิหาร
พระอารามหลวง พระครูปลัดขวา มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๓ ตำลึง ๑

พระครูปลัดอุทิจยานุสาสน์ วิจารโณภาศภาคยคุณ สุนทรสังฆานุคุติ
วิสุทธิสังฆนายก ปิฎกธรรมรักขิต สถิตย์ ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตยมหาสีมารามวรวิหาร
พระอารามหลวง

พระครูปลัดซ้าย มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๓ ตำลึง ๑
พระครูธรรมกถาสุนทร มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๒ ตำลึง ๑
พระครูวินัยกรณ์โสภณ มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๒ ตำลึง ๑
พระครูพรหมวิหาร มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๑ ตำลึง ๒ บาท ๑
พระครูญาณวิสุทธิ มีนิตยภัตรราคาเดือนละ ๑ ตำลึง ๒ บาท ๑
พระครูวินัยธร ๑
พระครูวินัยธรรม ๑
พระครูเมธังกร ๑
พระครูวรวงศา ๑
พระครูธรรมราต ๑
พระครูธรรมรูจี ๑
พระครูสังฆวิจารณ์ ๑
พระครูสมุห์ ๑
พระครูใบฎีกา ๑

รวม ๑๖ รูป เป็นที่เฉลิมพระราชศรัทธาภิยโยภาพปรากฏสิ้นกาลนาน
ขออาราธนาให้รับธุระพระพุทธสาสนา
เปนภาระสั่งสอนแลระงับอธิกรณ์พระสงฆ์สามเณรในคณะแลคณานุคณะ
ในสยามรัฏฐิกสงฆมณฑลทั่วไป ให้ทวียิ่งขึ้นตามสมควรแก่กำลังแลอิศริยยศ
ซึ่งพระราชทานนี้”
*

ในการทรงสถาปนาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นสมเด็จพระสังฆราชครั้งนี้
ไม่ได้พระราชทานพระสุพรรณบัตรใหม่
เป็นแต่โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานเชิญพระสุพรรณบัตรครั้งเป็น
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
มาตั้งสมโภชที่ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พระราชทานแต่ใบกำกับพระสุพรรณบัตรใหม่เท่านั้น

ในคราวเดียวกันนี้ ได้พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ขณะทรงดำรงพระยศกรมหมื่น เป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
และพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร
เป็นเจ้าคณะรองฝ่ายธรรมยุตติกนิกายด้วย


งานพระนิพนธ์

งานพระนิพนธ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย
ส่วนใหญ่เป็นงานแปลพระสูตร หนังสือเทศนา และเบ็ดเตล็ดอื่นๆ
พระนิพนธ์ต่างๆ ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้น ถือกันว่าเป็นงานชั้นครู
ทั้งในด้านเนื้อหา สำนวน และแบบแผนในทางภาษา โดยเฉพาะพระนิพนธ์เทศนา
มีอยู่เป็นอันมากที่ใช้เป็นแบบอย่างกันมาตั้งแต่ครั้งกระโน้นจนถึงปัจจุบัน

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ว่า

“แท้จริง บรรดาเทศนาทั้งหลายของสมเด็จพระสังฆราช วัดราชประดิษฐ์นั้น
พวกบัณฑิตย่อมนับถือกันว่า เป็นหนังสือแต่งดีอย่างเอกมาแต่ในรัชกาลที่ ๔
ถือกันว่าควรเป็นแบบอย่างทั้งในทางถ้อยคำและในทางปฏิภาณโวหาร
เป็นของที่ชอบอยู่ทั่วกัน”


พระนิพนธ์ต่างๆ เหล่านี้ หากได้มีการรวบรวมไว้ให้ครบถ้วน
ก็จักเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาในทางพระศาสนาและสารคดีธรรมเป็นอย่างยิ่ง
เท่าที่รวบรวมรายชื่อได้ในคราวนี้ มีดังนี้

ประเภทพระสูตรแปล

๑. กาลามสูตร
๒. จักกวัตติสูตร
๓. จูฬตัณหาสังขยสูตร
๔. ทาฬิททิยสูตร
๕. ทีฆชาณุโกฬิยปุตตสูตร
๖. ธนัญชานีสูตร
๗. ธัมมเจติยสูตร
๘. ปราภวสูตร
๙. ปาสาทิกสูตร
๑๐. มหาธัมมสมาทานสูตร
๑๑. โลกธัมมสูตร
๑๒. สฬายตนวิภังคสูตร
๑๓. สัมมทานิยสูตร
๑๔. สุภสูตร
๑๕. เสขปฏิปทาสูตร
๑๖. อนาถปิณฑโกวาทสูตร
๑๗. อภิณหปัจจเวกขณปาฐะ
๑๘. อภิปปฏิสาสสูตร
๑๙. อากังเขยยสูตร
๒๐. อายาจนสูตร
๒๑. มหาสติปัฏฐานสูตร

ประเภทเทศนา

๑. ปฐมสมโพธิย่อ (๓ กัณฑ์จบ)
๒. เรื่องจาตุรงคสันนิบาตและโอวาทปาติโมกข์
๓. ปฐมสมโพธิ (แบบพิสดาร ๑๐ กัณฑ์จบ)
เรื่องนี้ใช้เป็นหนังสือหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี-เอก อยู่ในปัจจุบัน
๔. อนุปุพพิกถา (๕ กัณฑ์จบ)
๕. สาราทานปริยาย
๖. ธัมมฐิตัญญาณกถา
๗. ฉฟังคุเปกขากถา
๘. กัสสปสังยุตตกถา
๙. กฐินกถา
๑๐. วัสสูปนายิกกถา
๑๑. เทศนาจตุราริยสัจจกถา (๔ กัณฑ์จบ)
๑๒. ธุตังคกถา
๑๓. สัปปุริสธรรม ๗ ประการ
๑๔. อัฎฐักขณกถา
๑๕. อัฏฐมลกถา
๑๖. อัปปมัญญาวิภังคกถา
๑๗. จตุรารักขกรรมฐานกถา
๑๘. ธัมมุเทศกถา
๑๙. นมัสสนกถา
๒๐. ปวรคาถามารโอวาท
๒๑. ภัทเทกรัตตคาถา
๒๒. รัตตนัตตยปริตร (๓ กัณฑ์จบ)
๒๓. สังคหวัตถุและเทวตาพลี
๒๔. สรณคมนูปกถา
๒๕. สัตตาริยธนกถา
๒๖. สัพพสามัญญานุสาสนี
๒๗. อุกกัฎฐปฎิปทานุสาสนี
๒๘. โสกสัลลหรณปริยาย
๒๙. โสฬสปัญหา (๑๘ กัณฑ์จบ)

ต่างเรื่อง

๑. พระภิกขุปาติโมกข์แปลตรงคงตามบทพยัญชนะ
โดยพระบรมราชานุมัติในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒. พระภิกขุปาติโมกข์สิกขาบท
๓. วิธีบรรพชาอุปสมบทอย่างธรรมยุตติกนิกาย
๔. สวดมนต์ฉบับหลวง
๕. แปลธัมมปทัฎฐกถา ภาค ๑ (บางเรื่อง)


รวมพระนิพนธ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ที่เป็นงานแปลพระสูตร ๒๐ สูตร
เทศนา ๗๐ กัณฑ์ และพระนิพนธ์เบ็ดเตล็ดต่างเรื่อง ๕ เรื่อง
เท่าที่รวบรวมได้ในขณะนี้ เข้าใจว่าคงยังไม่ครบบริบูรณ์
แต่ก็เป็นจำนวนเกือบ ๑๐๐ เรื่องซึ่งนับว่ามิใช่จำนวนน้อย


พระกรณียกิจพิเศษ

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ถวายพระมงคลวิเสสกถา
ซึ่งเป็นเทศนาพิเศษอย่างหนึ่ง เริ่มมีมาแต่ในรัชกาลที่ ๔
ตั้งแต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ
และได้ถวายต่อมาในรัชกาลที่ ๕ จนตลอดพระชนมชีพของพระองค์ท่าน

เทศนาพระมงคลวิเสสกถา (วิเศษกถา) เป็นเทศนาพิเศษอย่างหนึ่ง
ซึ่งพรรณนาพระราชจรรยาของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเพื่อประโยชน์
จะได้ทรงพระปัจจเวขณ์ (คือพิจารณา) ถึงแล้ว เกิดพระปีติปราโมทย์แล้ว
ทรงบำเพ็ญราชธรรมนั้นยิ่งๆ เป็นการอุปถัมภ์พระราชจรรยาให้ถาวรไพบูลย์

พระเถระที่จะรับหน้าที่ถวายพระมงคลวิเสสกถาในครั้งนั้น
สุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เช่นในรัชกาลที่ ๔ ก็ทรงอาราธนา
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ แต่ครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ เป็นผู้ถวาย
และได้ถวายต่อมาจนถึงในรัชกาลที่ ๕

เมื่อเจ้าพระคุณสมเด็จฯ สิ้นพระชนม์แล้ว ได้ทรงอาราธนา
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
แต่ครั้งยังทรงดำรงพระยศ กรมหมื่น เป็นผู้ถวาย
และได้ถวายต่อมาจนถึงในรัชกาลที่ ๖

รูปภาพ
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร)


เมื่อสมเด็จพระสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ พระองค์นั้นสิ้นพระชนม์แล้ว
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) ได้เป็นผู้ถวายต่อมา เป็นต้น

ในปัจจุบัน การถวายพระมงคลวิเสสกถา เป็นหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราช
หรือพระเถระรูปใดรูปหนึ่งที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมอบหมาย

นอกจากนี้ ยังทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์
ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เมื่อคราวเสด็จออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๖

และทรงเป็นพระอุปัชฌาย์และพระกรรมวาจาจารย์ในการทรงผนวช
ของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้า และพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้า
ในพระบรมราชวงศ์จักรีหลายพระองค์


พระอัธยาศัย

เกี่ยวกับพระอัธยาศัยส่วนพระองค์นั้นเล่ากันว่า
ทรงปกครองบริษัทด้วยพระกรุณาอนุเคราะห์
และยกย่องสหธรรมิกด้วยธรรมและอามิสตามควรแก่คุณานุรูป
มีพระอัธยาศัยค่อนไปข้างทรงถือพระวินัยละเอียดลออมาก
หากเกิดความสงสัยในอาบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
แม้จะไม่เป็นอาบัติแท้ ก็จะทรงแสดงเสียเพื่อความบริสุทธิ์

กล่าวได้ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเป็นพระมหาเถระ
ที่เชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิฎก และทรงธรรมทางวินัยอย่างแท้จริงพระองค์หนึ่ง
จึงทรงเป็นที่เคารพสักการะแห่งพุทธบริษัททุกหมู่เหล่าเป็นอย่างยิ่ง
นับแต่องค์สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเป็นต้นตลอดจนคณะสงฆ์และพุทธบริษัททั่วไป

หมายเหตุ : อักขรวิธีตามต้นฉบับ

(มีต่อ ๖)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


พระอวสานกาล

ในตอนปลายแห่งพระชนม์ชีพ
เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ประชวรด้วยพระโรคบิดประกอบกับพระโรคชรา
สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๔๒
ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๒ ปีกุน
ในรัชกาลที่ ๕ นับพระชนมายุได้ ๘๗ พรรษา โดยปี

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ทรงดำรงอยู่ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช เป็นเวลา ๕ ปี ๑ เดือน ๑๓ วัน
ทรงครองวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ๓๔ ปี

หลังจากที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) สิ้นพระชนม์แล้ว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก็มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกเลยจนตลอดรัชกาล
จึงว่างสมเด็จพระสังฆราชอยู่ถึง ๑๑ ปี (พ.ศ. ๒๔๔๒-๒๔๕๓)


เช่นเดียวกับในครั้งรัชกาลที่ ๔
หลังจากที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ซึ่งทรงเป็นที่ทรงเคารพนับถือ สิ้นพระชนม์แล้ว
ก็มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชจนตลอดรัชกาลเช่นเดียวกัน
จึงว่างเว้นสมเด็จพระสังฆราชอยู่เป็นเวลานานถึง ๑๕ ปี

นำให้เข้าใจว่า แต่โบราณมานั้น พระเถระที่จะได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชนั้น
เฉพาะที่เป็นที่ทรงเคารพนับถือเป็นพิเศษ โดยฐานเป็นพระราชอุปัธยาจารย์
หรือพระราชกรรมวาจาจารย์ หรือพระอาจารย์เท่านั้น

ดังนั้น ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ซึ่งทรงเคารพนับถือมากโดยฐานทางเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ สิ้นพระชนม์แล้ว
จึงมิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีก

และในรัชกาลที่ ๕
เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
พระราชอุปัธยาจารย์
และสมเด็จพระสังฆราช (สา) พระราชกรรมวาจาจารย์
สิ้นพระชนม์แล้ว ก็มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใด
เป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกเช่นกันจนตลอดรัชกาล

รูปภาพ
พระโกศพระศพสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
ประดิษฐาน ณ พระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม



การพระศพ

การพระศพเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช (สา) นั้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ได้พระราชทานพระเกียรติยศเป็นพิเศษ
มาจนตั้งแต่ต้นสิ้นพระชนม์จนถึงการขึ้นพระเมรุ
โดยฐานที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเป็นที่ทรงเคารพอย่างยิ่ง
การพระศพตั้งแต่ต้นจนถึงการพระเมรุพระราชทานเพลิงศพนั้น
ได้มีแจ้งในการแถลงการณ์พระสงฆ์ ดังนี้

นับตั้งแต่ได้เลื่อนเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้วมาได้ ๖ ปีเศษ
ประชวรเป็นโรคบิดมาตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ร.ศ. ๑๑๘ (พ.ศ. ๒๔๔๒)

ครั้นต่อมาเป็นพระโรคชรา แพทย์หลวงและแพทย์เชลยศักดิ์
ได้ประกอบพระโอสถถวาย พระอาการหาคลายไม่
ถึงวันที่ ๑๑ มกราคม ร.ศ. ๑๑๘ (พ.ศ. ๒๔๔๒) เวลา ๘ ทุ่ม ๒๐ นาที
สมเด็จพระสังฆราช ก็สิ้นพระชนม์ พระชนม์ได้ ๘๗ พรรษา
หากคำนวณตามสุริยคติ พระชนม์ได้ ๘๖ กับ ๔ เดือน ๒๑ วัน

เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ร.ศ. ๑๑๘ เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับจากพระราชวังบางปะอิน ทรงเครื่องขาว
และโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์
ที่เป็นอันเตสวาสิก และสัทธิวิหาริก ทรงขาวทั่วกัน

แล้วเสด็จพระราชดำเนินโดยรถพระที่นั่งมาประทับวัดราชประดิษฐ์
เสด็จขึ้นบนตำหนักสูง ทรงจุดเทียนเครื่องทองน้อยสักการะพระศพแล้ว
พระราชทานน้ำสรงแลพระศพ เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์กลองชนะแล้ว
พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการก็ได้สรงน้ำพระศพต่อไปแล้ว
เจ้าพนักงานแต่งพระศพ เชิญพระศพลงในพระรองใน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสวมชฎาพระราชทานแล้วยกรองในพระศพ
ลงมาที่ตำหนักใหญ่ เชิญขึ้นประดิษฐานเหนือแว่นฟ้า ๒ ชั้น
ประกอบพระโกศกุดั่นน้อย ห้อยเศวตฉัตร ๓ ชั้น เบื้องบนแวดล้อมด้วยเครื่องสูง
แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงมาประทับตำหนักนั้น
ทรงจุดเทียนนมัสการเครื่องทองน้อยแล้ว ทรงทอดผ้าไตร ๓๐ ผ้าขาว ๖๐ พับ
พระสงฆ์สดับปรณ์แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับ

พระราชทานเครื่องประโคมพระศพ สังข์ แตรงอน แตรฝรั่ง
กลองชนะแดง ๑๐ คู่ จ่าปี่ ๑ จ่ากลอง ๑
แลพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมตามพระเกียรติยศ

เมื่อสิ้นพระชนม์ล่วงมาครบ ๗ วัน ได้มีการพระราชทานกุศลเป็นส่วนของหลวง
มีพระสงฆ์สวดมนต์ฉันเช้า แลเทศนาตามธรรมเนียม
และต่อมาทุกวัน ครบ ๗ วัน พระบรมวงศานุวงศ์ที่เป็นศิษย์ได้ผลัดเปลี่ยน
มีการบำเพ็ญพระกุศลทุกคราวเป็นลำดับมาจนครบถึง ๑๐๐ วัน

ครั้นถึงวันที่ ๒๑ เมษายน ร.ศ. ๑๑๙ เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปที่ตำหนักไว้พระศพ
ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลศราทธพรต มีพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์
พระสงฆ์ ๒๐ รูป สวดสรภัญคาถา เสร็จแล้วเสด็จกลับ

เมื่อพระราชทานเพลิงศพ และพระศพใหญ่เสร็จแล้ว
ทรงพระราชดำริเห็นสมควร ที่จะพระราชทานพระเกียรติยศ
สมเด็จพระสังฆราชให้เป็นพิเศษส่วนหนึ่ง
จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานจัดคฤห์
เป็นที่ประทับทรงบำเพ็ญพระราชกุศลขึ้น

ที่ยกพื้นระหว่างพระเมรุมณฑปและพระเมรุพิมานแต่ก่อนนั้น
และจัดการปลี่ยนแปลงภายในพระเมรุมณฑปดาดเพดานด้วยผ้าขาว
ม่านผ้าขาวลายดอกไม้เป็นต้น แล้วจัดชั้นตั้งแว่นฟ้า ๓ ชั้น
มีฐานคูหาและฐานเบี่ยง สำหรับประดิษฐานในพระเมรุมณฑป

แลโปรดเกล้าฯ ให้ขอแรงพระบรมวงศานุวงศ์
ซึ่งทรงผนวชและพระราชาคณะผู้ใหญ่
ตั้งเครื่องบูชากระเบื้องฝรั่ง (คือเครื่องกระหลาป๋า)
ที่ม้าหมู่ ๔ ทิศ แลที่ช่องคฤห์ ๕ ช่อง
แลถอนฉัตรทองเป็นต้นออก คงมีแต่ฉัตรเบญจรงค์

วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓) เวลา ๑๐ ทุ่ม ๒๐ นาที
เจ้าพนักงานจัดตั้งกระบวนแห่พระศพสมเด็จพระสังฆราช
แต่หน้าวัดราชประดิษฐ์ เดินกระบวนแห่ไปหยุดหน้าวัดพระเชตุพน
เชิญพระศพขึ้นประดิษฐานบนราชรถ ประกอบพระโกศกุดั่นใหญ่
มีพุ่มข้าวบิณฑ์ห้อยเฟื่องเศวตฉัตรคันดาล ๓ ชั้น กั้นพระศพเป็นพระเกียรติยศ

รุ่งขึ้นวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ เวลาย่ำรุ่งเศษ
เจ้าพนักงานจัดตั้งกระบวนแห่พระศพต่อไป
กระบวนเคลื่อนแห่อยู่หน้าแล้วถุงเสลี่ยงกง
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ดูพระอภิธรรมและโยงพระศพราชรถ
กระบวนหลังมีศิษย์เชิญเครื่องยศตาม และพระครูฐานานุกรม ในพระศพ

แลพวกข้าราชการราษฎรที่เป็นศิษยานุศิษย์นุ่งขาว
แล้วถึงพระสงฆ์ดำรงสมณศักด์มี
หม่อมเจ้าพระสถาพรพิริยพรต นั่งเสลี่ยงป่ากั้นกลด
ถัดมาพระพิมลธรรม พระธรรมวโรดม นั่งแคร่กั้นสัปทนโหมด
แลพระราชาคณะนั่งแคร่กั้นสัปทนแดง
รวม ๓๐ คู่ และพระครูบานานุกรมเปรียญพระศพด้วย
เสร็จแล้ว รอเสด็จพระราชดำเนินอยู่

เวลาเช้า ๒ โมง ๒๐ นาที
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องเต็มยศทหารมหาดเล็ก
เสด็จทรงรถพระที่นั่ง แต่พระบรมมหาราชวัง
ไปประทับพลับพลายกริมถนนสามไชย ตรงป้อมเผด็จดัสกร
ทอดพระเนตรกระบวนแห่ เจ้าพนักงานเดินขบวนไปตามถนนสนามไชย
ผ่านหน้าพระที่นั่งไป เมื่อสุดกระบวนพระสงฆ์แล้ว

เสด็จทรงรถพระที่นั่งไปประทับบนพระเมรุ
เจ้าพนักงานเชิญโกศพระศพขึ้นพระประดิษฐาน
แล้วเสด็จประทับที่คฤห์ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสดับปกรณ์
เสร็จแล้วเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง

เวลาเช้า ๕ โมงเศษ เมื่อเสด็จกลับแล้วโปรดเกล้าฯ
ให้พวกศิษย์ทอดผ้าสดัปปกรณ์ และมีเทศน์ต่อไป
เวลาบ่าย ๕ โมงเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องเช่นวานนี้

เสด็จทรงรถพระที่นั่งแต่พระบรมมหาราชวัง ไปประทับที่พระเมรุ
ทรงทอดผ้าสดับปกรณ์ พระสงฆ์สดับปกรณ์แล้ว
ทรงจุดเพลิงพระราชทานเพลิงพระศพ แล้วเสด็จกลับประทับในพระเมรุพิมาน
พระบรมวงศานุวงศ์แลข้าราชการฝ่ายในฝ่ายหน้า
แลพระสงฆ์กับราษฎรที่เป็นศิษย์ถวายพระเพลิงต่อไป
แล้วเสด็จมาประทับพลับพลาทอดพระเนตรการเล่นต่างๆ เวลา ๒ ยามเศษเสด็จกลับ

วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ เวลาเช้า ๒ โมง ๑๕ นาที
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จทรงรถพระที่นั่งแต่พระบรมมหาราชวัง
ไปประทับที่คต โปรดเกล้าฯ ให้พวกญาติและศิษย์เดินสามหาบครบ ๓ รอบ
แล้วโปรยเงิน แล้วเสด็จขึ้นไปประทับที่พระเมรุ
ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ แล้วทรงโปรยเงิน
และทรงเก็บอัฐิบรรจุลงในพระเจดีย์ศิลาแล้ว

พระราชทานพระทนต์สมเด็จพระสังฆราชให้พระบรมวงศานุวงศ์
แลข้าราชผู้ใหญ่ที่เป็นศิษย์ ส่วนพระอัฐิที่เหลือจากนั้น
โปรดเกล้าฯให้พระสงฆ์และคฤหัสถ์ ที่เป็นศิษย์และญาติวงศ์ไปเก็บไว้สักการบูชา
ส่วนพระอังคารนั้น เจ้าพนักงานเชิญลงไปในพระลุ้ง

เสร็จแล้วเสด็จไปประทับคฤห์ ทรงประเคนอาหารบิณฑบาตแด่พระสงฆ์
ครั้นรับพระราชทานฉันเสร็จแล้ว เจ้าพนักงานเชิญพระอัฐิเจดีย์มาตั้งบนม้าหมู่
จึงทอดผ้าสดับปกรณ์พระอัฐิ
เสร็จการสดับปกรณ์เสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง

เวลา ๓ โมง ๔๕ นาที เจ้าพนักงานจัดตั้งกระบวนแห่พระอัฐิแลพระอังคาร
มีพระสงฆ์สมณศักดิ์แลพระอันดับในวัดราชประดิษฐ์แลวัดอื่นบ้าง
พวกคฤหัสถ์ที่เป็นศิษย์บ้าง ตามไปส่งที่วัดราชประดิษฐ์
เป็นการเสร็จการพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสังฆราชแต่เท่านี้

การพระราชกุศล นับเนื่องในสัตตมวาร
แลการบรรจุพระอังคารสมเด็จพระสังฆราช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เจ้าพนักงานจัดการพระราชกุศล ได้เชิญอัฐิเจดีย์ศิลาทอง
แลลุ้งพระอังคาร บนม้าหมู่เหนือแท่นภายใต้เศวตฉัตร ๓ ชั้น ในพระวิหาร
แล้วจัดตั้งอาสนะสงฆ์ เจริญพระพุทธมนต์พร้อมเสร็จ

วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓) เวลาเช้า
พระสงฆ์ ๑๐ รูปรับประราชทานแล้วมีสดับปกรณ์รายร้อยอีก
เวลาบ่ายพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว
โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา
เสด็จไปทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ ๑๐ รูป สดับปกรณ์แลถวายอนุโมทนาแล้ว
เจ้าพนักงานเชิญพระอังคารไปสู่พระปรางค์เขมร ซึ่งตั้งอยู่หลังเจดีย์ด้านใต้

สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภานุพันธ์วงศ์วรเดช
แต่ครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จกรมพระ
เสด็จไปทรงบรรจุพระอังคาร บรรจุพระอังคารแล้วมีเทศนา ๑ กัณฑ์
เป็นเสร็จการพระราชกุศลแต่เท่านี้

(มีต่อ ๗)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 23:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

รูปภาพ
ด้านหน้าประตูทางเข้าพระวิหารหลวง
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม


ประวัติและความสำคัญของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม

:b47: ประวัติ...วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
วัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย และวัดประจำรัชกาลที่ ๔

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19383

(มีต่อ ๘)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
“หอไตร” ปราสาทยอดปรางค์แบบขอม


• การปฏิสังขรณ์พระอารามในสมัยรัชกาลที่ ๕

เมื่อสิ้นสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว
ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างปฏิสังขรณ์สิ่งชำรุดทรุดโทรมทั่วทั้งพระอาราม

เสร็จแล้วได้โปรดเกล้าฯ ให้แบ่งพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ ๔
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ
บรรจุลงในกล่องศิลาแล้วนำมาประดิษฐานไว้ภายใน พระพุทธอาสน์
ณ พระวิหารหลวง
ตามพระกระแสรับสั่งของพระองค์

การอัญเชิญพระบรมอัฐิของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อนๆ
ไปประดิษฐานในที่อันสมควรนั้น
ก็เพื่อป้องกันมิให้พระบรมอัฐิเหล่านั้นต้องกระจัดกระจายไปอยู่ในที่ต่างๆ
เพราะว่าในขณะที่พระราชโอรส และพระราชธิดา
ผู้ที่ทรงรับแบ่งพระบรมอัฐินั้นไปรักษาไว้ ขณะยังทรงพระชนม์อยู่ก็ไม่เป็นไร

แต่ถ้าสิ้นพระชนม์ไปแล้วจะขาดผู้รักษาต่อ
ด้วยผู้ที่จะมารับมรดกจะนิยมศรัทธาในพระบรมอัฐินั้นๆ หรือไม่ ก็ไม่ทราบได้

อนึ่ง การประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระเจ้าอยู่หัวไว้เป็นที่เป็นทางนั้น
ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าสักการบูชา
หรือบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายตามอัธยาศัยได้สะดวกอีกด้วย

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัว
จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมพระบรมอัฐิ
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อนๆ จำนวน ๓ รัชกาล
บรรจุลงในกล่องศิลาแล้วอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ภายใน พระพุทธอาสน์
ของพระประธานในพระอุโบสถวัดสำคัญประจำรัชกาล
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์นั้นทรงสร้างหรือบูรณะไว้
คือ

พระบรมอัฐิในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑
ประดิษฐานไว้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

พระบรมอัฐิในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
ประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณราชวราราม

พระบรมอัฐิในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ประดิษฐานไว้ที่วัดราชโอรสาราม

ส่วนพระบรมอัฐิในพระองค์นั้น ทรงมีพระราชประสงค์จะให้บรรจุไว้
ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระวิหารหลวง
ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นดังกล่าวแล้ว


รูปภาพ
“หอพระจอม” ปราสาทยอดปรางค์แบบขอม


• การสร้างปราสาทยอดปรางค์แบบขอม

ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างปราสาทยอดปรางค์แบบขอมขึ้น ๒ หลัง
ตั้งอยู่บนลานไพที ด้านตะวันออกและด้านตะวันตกของพระวิหาร
ปราสาททั้งสองหลังนี้ มีรูปร่างส่วนสัดคล้ายกันมากและมีขนาดเท่าๆ กัน

เดิมที ที่ตรงที่สร้างปราสาททั้งสองหลังนี้ เป็นเรือนไม้
สร้างในคราวเดียวกับการสร้างวัด
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๖ เรือนไม้ทั้งสองก็ชำรุดทรุดโทรมลง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้ช่างกรมศิลปากรรื้อสร้างใหม่เป็นปราสาทยอดปราค์แบบขอม
สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ประดับด้วยลวดลายสวยงามมาก
ผู้ออกแบบปราสาทยอดปรางค์แบบขอม
กล่าวกันว่าเป็นฝีมือของ พระยาจินดารังสรรค์
ผู้เคยออกแบบและสร้างอนุสาวรีย์รูปปรางค์ ๓ ยอด แบบขอม
ในสุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม มาก่อน
ในส่วนรายละเอียดของปราสาททั้งสองหลังนั้น มีดังนี้

หลังที่อยู่ด้านทิศตะวันออก หน้าบันของซุ้มประดับด้วยรูปปั้นปูนนูน
เป็นภาพพระพุทธประวัติ ปางประวัติ และเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ภายในปราสาทหลังนี้ใช้เป็นที่เก็บพระไตรปิฎก และคัมภีร์ต่างๆ
จึงเรียกกันว่า “หอไตร”

ส่วนหลังที่อยู่ด้านทิศตะวันตกนั้น ยอดปรางค์ประดับด้วยพรหมสี่หน้า
หันไปทางทิศทั้งสี่ หน้าบันของซุ่มประดับภาพปูนปั้นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์
ตามวรรณคดีพระนารายณ์จะต้องบรรทมอยู่บนหลังพญานาค
แต่ที่หน้าบันของปราสาทหลังนี้กลับเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์บนหลังมังกร
เบื้องหลังมีพระลักษมี และเศียรนาคแผ่พังพาน
ภายในปราสาทใช้เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมรูปหล่อรัชกาลที่ ๔
พระบรมรูปยืนเต็มพระองค์ และขนาดเท่าพระองค์จริง
จึงเรียกกันว่า “หอพระจอม”

รูปภาพ
“ประตูเซี่ยวกาง” ตามคตินิยมของจีน


• ปูชนียวัตถุ-ปูชนียสถานของวัดราชประดิษฐฯ

วัดราชประดิษฐ์ฯ ถึงแม้จะเป็นพระอารามหลวงที่มีขนาดเล็ก
ซึ่งมีเนื้อที่ตั้งวัดอยู่เพียง ๒ ไร่ ๒ งาน กับ ๙๘ ตารางวาเท่านั้น
แต่ภายในบริเวณวัดได้บรรจุเอาความสวยงามวิจิตรตระการตาเป็นสง่าภาคภูมิ
ไม่น้อยไปกว่าพระอารามหลวงอื่นๆ ที่มีบริเวณพระอารามใหญ่กว่าเลย

ดังจะเห็นว่า เมื่อก้าวพ้นประตูวัดทางด้านทิศเหนือซึ่งมีบานประตูเป็นไม้สักสลัก
เป็นรูป “เซี่ยวกาง” มีลักษณะเป็นนักรบจีนหนวดยาวหน้าตาขึงขัง
นายทวารบาลตามคตินิยมของจีน กำลังรำง้าวอยู่บนหลังสิงห์โต
ก็จะเห็น “พระวิหารหลวง” ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นไพที
ทรวดทรงทั่วไปสวยงามมาก มีมุขหน้าและหลัง
ทั้งหลังประดับด้วยหินอ่อนตลอด หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีส้มอ่อนๆ

มีช่อฟ้า ใบระกา ประดับเสริมด้วยพระวิหารหลวง
ทำให้เด่นประดุจตั้งตระหง่านอยู่บนฟากฟ้านภาลัย
หน้าบันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
เป็นตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์รัชกาลที่ ๔
คือเป็นรูปมหาพิชัยมงกุฎบนพระแสงขรรค์
ซึ่งมีพานแว่นฟ้ารองรับมหาพิชัยมงกุฎและพระขรรค์นั้น

พานแว่นฟ้าประดิษฐานอยู่บนหลังช้าง ๖ เชือก
ทั้งสองข้างประดับด้วยฉัตร ๕ ชั้น
พื้นของหน้าบันเป็นลายกนกลงรักปิดทองทั้งหมด

ตัวหน้าบันเป็นไม้สักแกะสลักเป็นลวดลายดังกล่าวนั้น
นับว่าเป็นหน้าบันที่งดงามวิจิตรพิสดาร
เป็นยอดของสถาปัตยกรรมอันดับหนึ่งของประเทศไทย

รูปภาพ
ซุ้มหน้าต่างพระวิหารหลวง ทรงมงกุฎ


ซุ้มประตูและซุ้มหน้าต่างทุกบานประดับรูปลายปูนปั้น
ลงรักปิดทองติดกระจกสีเป็นรูปทรงมงกุฎ
ตัวบานประตูหน้าต่างสลักด้วยไม้สักเป็นลายก้านแย่ง
ซ้อนกันสองชั้นลงรักปิดทองติดกระจกสี ทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น

พระประธานในพระวิหารหลวง มีพระนามว่า พระพุทธสิหังคปฏิมากร
เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ มีหน้าตักราว ๑ ศอก ๖ นิ้ว
ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีภายใต้ษุษบก
ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
โปรดเกล้าฯ ให้หล่อจำลองจากพระพุทธสิหิงค์ องค์ที่ประดิษฐาน
ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร

เนื่องจากทรงโปรดปรานในพุทธลักษณะและทรงมีพระราชศรัทธาเป็นพิเศษ
จึงอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ พระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐ์ฯ แห่งนี้
และถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธสิหังคปฏิมากร”

อนึ่ง ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญ พระบรมอัฐิ (บางส่วน) ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
มาบรรจุภายในพระพุทธอาสน์ของ “พระพุทธสิหังคปฏิมากร”


ทั้งนี้ แม้วัดราชประดิษฐ์ฯ จะเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔
แต่ “ประตูเซี่ยวกาง” ก็เป็นศิลปะที่ยังคงได้รับอิทธิพลจากจีนอยู่
คำว่าเซี่ยวกาง สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “เซ่ากัง” ที่แปลว่า ยืนยาม นั่นเอง

วัดราชประดิษฐ์ฯ เป็นพระอารามหลวงที่ไม่มีพระอุโบสถ
มีเฉพาะพระวิหารหลวงใช้ประกอบพิธีสังฆกรรม
ดังนั้น พระวิหารหลวงจึงถือว่าเป็นพระอุโบสถของวัดด้วย


ในพระวิหารหลวงมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของขรัวอินโข่ง
ที่วาดเป็นรูปเกี่ยวกับพระราชพิธี ๑๒ เดือน นับเป็นภาพวาดที่มีค่ายิ่ง
โดยรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วาดไว้
เพราะทำให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึงเรื่องราวในอดีต
อย่างเช่นพระราชพิธีเดือนอ้าย หรือเดือนธันวาคม
จะมีพิธีตรุษเลี้ยงขนมเบื้อง ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว

รูปภาพ
ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพระราชพิธี ๑๒ เดือน


นอกจากนี้ยังมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังจำลองเหตุการณ์
เป็นพระรูปรัชกาลที่ ๔ ทรงเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคา
ตามความจริงนั้นพระองค์เสด็จไปที่ตำบลหว้ากอ เมืองประจวบคีรีขันธ์
เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ซึ่งพระองค์ทรงคำนวนได้อย่างถูกต้อง
แต่ในภาพนี้ได้วาดฉากให้เป็นการทอดพระเนตรที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย

ด้านหลังพระวิหารหลวงมีพระเจดีย์ทรงลังกาองค์ใหญ่
คือ ปาสาณเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงกลมฐานสี่เหลี่ยม
ก่ออิฐถือปูน ภายนอกประดับด้วยกระเบื้องหินอ่อนทั้งองค์
เป็นที่มาของคำว่า ปาสาณเจดีย์ ซึ่งหมายถึงเจดีย์หิน

และด้านหน้าปาสาณเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐาน
พระรูปหล่อของสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
ซึ่งหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ประดับด้วยกระเบื้องหินอ่อน
ในท่านั่งแสดงพระธรรมเทศนา ฝีมือช่างชาวสวิส ชื่อ เวนิง
ซึ่งการสร้างพระวิหารและมีพระเจดีย์อยู่ด้านหลังนี้
ถือเป็นแบบแผนการสร้างวัดของรัชกาลที่ ๔
เพราะถือว่าเมื่อไหว้พระประธานในพระวิหารแล้ว
ก็จะได้ไหว้พระเจดีย์ไปด้วยพร้อมกันในคราวเดียว

นอกจากนี้แล้วยังมีสถาปัตยกรรมอื่นๆ ภายในวัดที่สำคัญอันน่าชมยิ่ง
เช่น พระปรางค์ขอม ตั้งอยู่บนพื้นไพทีด้านหลังพระวิหารหลวง
เป็นปราสาทก่ออิฐถือปูน ทรงสี่เหลี่ยม มียอดปรางค์แบบขอม
ภายในบรรจุ พระอังคารของสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
สรีรังคารของพระสาสนโสภณ (อ่อน อหิงฺสโก)
และ สรีรังคารของพระพรหมมุนี (แย้ม อุปวิกาโส)
อดีตเจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ทั้ง ๓ รูป

ด้านข้างถัดจาก “หอพระจอม” ออกไป คือ ศาลาการเปรียญ
ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระวิหารหลวง เป็นอาคารคอนกรีตชั้นเดียว
ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโบสถ์ขนาดเล็กของกรีกโบราณ
เพดานประดับด้วยดวงตราประจำพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔

บริเวณนี้เป็น เขตหวงห้ามสำหรับสตรี หรือเขตสังฆาวาส
อันเป็นบริเวณที่ห้ามสตรีผ่านเข้าออกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ จนถึงปัจจุบัน
เนื่องจากเป็นบริเวณที่ตั้งกุฏิสงฆ์ มีป้ายปิดที่ประตูว่า ห้ามสตรีเพศผ่าน
ด้วยเพราะธรรมยุติกนิกายนั้นเคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก

รูปภาพ
ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังพระรูปรัชกาลที่ ๔
ทรงเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคา


(มีต่อ ๙)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2009, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระบรมรูปหล่อรัชกาลที่ ๔ เท่าพระองค์จริง ณ หอพระจอม


• ศิลาจารึกวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม

ด้านหลังพระวิหารหลวงมีซุ้มซึ่งแกะสลักด้วยหินอ่อนทั้งแผ่น
ภายในซุ้มเป็นที่ประดิษฐาน ศิลาจารึก
ประกาศในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒ ฉบับ

ฉบับแรกเป็นประกาศการสร้างวัดถวายพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย
จารึกในปีพุทธศักราช ๒๔๐๗
ฉบับหลังเป็นประกาศเรื่องงานพระราชพิธีผูกพัทธสีมาวัด
จารึกในปีพุทธศักราช ๒๔๐๘
ประกาศทั้ง ๒ ฉบับลงพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


ข้อความในศิลาจารึกทั้ง ๒ ฉบับนั้นนับว่ามีความสำคัญ
ซึ่งเป็นมหามรดกล้ำค่าที่เป็นมหาสมบัติของคณะธรรมยุติกนิกาย
ที่ได้รับพระราชทานตกทอดมาจากล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔

ศิลาจารึกตอนบน

อิมํ ภนฺเต วิหารารมภูมี สมนฺตโต ปาการมูเลสุ หิฎฺฐกา จยปริจฺฉินฺนํ
วิสํคามเขตตฺตํ กตวา ปริจฺฉิชฺชมานํ อาคตานาคตสฺส จาตุทฺทิสฺส
ธมฺมยุตฺติกนกายิกสํฆสฺส อนญฺญนิกายิกสส โอโนเชม สาธุ ฯลฯ สุขาย.


ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้ ขอประกาศว่า
ที่ภายในพระนครติดต่อไปข้างใต้ จังหวัดตึกดินเก่า ซึ่งบัดนี้เป็นสนามทหาร
แลติดต่อข้างด้านตะวันออกหลังวังหม่อมเจ้าดิศช่างหล่อ
แลติดต่อข้างเหนือวังกรมหมื่นอมเรนทรบดินทร์
แลติดต่อข้างด้านตะวันตกถนนริมคลองโรงสีคิดที่ยาวไปข้างตะวันออก ๓๕ วา
กว้างไปข้างเหนือต่อใต้ ๓๑ วา ๓ ศอก เดิมเป็นที่หลวงอยู่ข้างตึกดิน

สำหรับพระราชทานข้าราชการที่ต้องพระราชประสงค์ใช้ใกล้ๆ อาศัยอยู่
แลแต่ก่อนมีผู้สร้างโรงธรรมลงในด้านตะวันออกของที่นี้
โรงนั้นได้เป็นที่มีธรรมเทศนา แลทำบุญให้ทานของชาวบ้านอยู่ใกล้เคียงที่นี้ช้านาน
แลเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระบดเขียน
เหมือนกับเป็นพระอารามวิหารโดยสังเขป

ครั้นมาเมื่อแผ่นดินพระบาทพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ต้องพระราชประสงค์ที่นี้เป็นสวนกาแฟ จึงให้ไล่บ้านเรือนที่อยู่ในที่นี้เสียสิ้น
เจ้าของโรงธรรมการเปรียญต้องรื้อโรงธรรมไปปลูกที่อื่นเสียด้วย
ที่นี้ก็เป็นที่สวนกาแฟมาหลายปีจนแผ่นดินปัจจุบันนี้

แลบัดนี้ไม่ได้ทำสวนกาแฟก็รกร้างว่างเปล่าอยู่
ก็บัดนี้เจ้านายแลข้าราชการข้างหน้าบ้างข้างในบ้าง
ซึ่งเคยเป็นศิษย์ศึกษาประพฤติการทำบุญให้ทาน
ตามคติลัทธิอย่างธรรมยุตติกา พากันบ่นว่าวัดพระสงฆ์คณะธรรมยุตติกาอยู่ไกล
จะทำบุญให้ทานก็ยากไปต้องไปไกลลำบาก

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ข้างล่าง เดิมเป็นครูอาจารย์ต้นลัทธิชำระข้อปฏิบัติต่างๆ
ให้เป็นเยี่ยงอย่างในคณะพระสงฆ์ธรรมยุตติกนิกาย
คิดถึงการพระพุทธศาสนาซึ่งตนได้ชำระไว้
มีความปรารถนาจะใคร่ได้พระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายนั้นมามีอยู่ในที่ใกล้ที่ตัวอยู่
แลจะให้สมประสงค์ ท่านทั้งหลายชายหญิงทั้งปวงถือชอบใจดังว่าแล้วนั้นด้วย

อนึ่งคิดว่าศาลาโรงธรรมการเปรียญก็สมมติว่าเป็นที่ดังหอพระพุทธรูป
หรือหอพระไตรปิฎก หรืออาสนศาลาที่ประชุมสงฆ์
เป็นที่นมัสการทำบุญให้ทานของทายกสัปบุรุสผู้มีศรัทธาคล้ายกับอารามวิหาร
เป็นที่เจดีย์สถานแลที่อยู่พระสงฆ์โดยสังเขปก็โรงธรรมศาสลาการเปรียญเก่า
ซึ่งมีในที่นั้นเจ้าของรื้อไปเสียแล้ว ควรจะปลูกสร้างขึ้นใหม่ด้วย

เพราะเหตุดังกล่าวแล้วนั้น

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ท้ายหนังสือนี้
จึงได้คิดจะทำเจดีย์ แลธรรมสภาแลวิหารที่อยู่พระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกาย
ตามประสงค์ของตน แลท่านทั้งหลายชายหญิงอื่นเป็นอันมากนั้น
ในที่นี้ใกล้พระบรมมหาราชวังซึ่งเป็นที่อยู่
จึงคิดว่าที่นี้เป็นที่สวนกาแฟของหลวงของแผ่นดินเป็นของกลางอยู่
ไม่ควรจะยกเอามาถวายเฉพาะเป็นของพระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายเป็นที่พิเศษได้
เห็นว่าจะเป็นทำให้เสียประโยชน์แผ่นดินไป

จึงได้สั่งให้กรมพระนครบาลวัดที่นี้กะลงเป็นตารางละวาแล้วตีราคาตารางละบาท
ที่นี้ยาวไปข้างตะวันตกมาตะวันออก ๓๕ วา กว้างไปข้างเหนือต่อใต้ ๓๑ วา ๓ ศอก
เป็นตารางวาได้ ๑,๐๙๘ วา

ฯข้าฯ มีชื่อจดไว้ให้ท้ายหนังสือนี้จึงได้สละทรัพย์เป็นของนอกจำนวน
มิใช่ของขึ้นท้องพระคลัง ๑,๐๙๘ บาท คิดเป็นเงิน ๑๘ ชั่งตำลึงกึ่ง
ได้มอบเงินให้กรมพระนครบาลรับไปจัดซื้อที่อื่นที่ต้องการในราชการแผ่นดิน
คือที่เป็นที่ตั้งกองรักษาถนนหนทางบางบ้านเมือง
ที่ซึ่งจัดซื้อด้วยทรัพย์จำนวนนั้น
เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์สมันตพงษ์พิสุทธมหาบุรุษย์รัตโนดม สมุห์พระกลาโหม
ได้รู้เห็นตรวจตราให้จ่ายเงินจัดซื้อที่อื่นเป็นอันเปลี่ยนที่นี้เสร็จสมควรแล้ว
ก็บัดนี้ที่อันนี้ตกเป็นของ ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้ผู้เดียว

จึง ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ยอมยกที่นี้ให้เป็นส่วนเพื่อกุศลแก่บุตรภรรยาญาติพี่น้อง และบริษัทฝ่ายหน้าฝ่ายใน
บันดาที่มีน้ำใจเลื่อมใสศรัทธานับถือปรนนิบัติพระพุทธศาสนา
อย่างคติลัทธิพระสงฆ์ธรรมยุตติกนิกายทั้งปวงแล้ว
จึงพร้อมใจกันด้วยปรึกษากันบ้าง คาดใจกันบ้างขอยอมยกที่นี้ซึ่งได้ก่อคันขึ้นด้วยอิฐ
มีหลุมที่ปักเสาสีมานิมิตในทิศทั้งแปดนี้
ให้เป็นส่วนตัดขาดจากพระราชอาณาเขต เป็นแขวงวิเศษเรียกว่า
วิสุงคามสีมา มอบถวายแก่พระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกาย

อันมีในทิศทั้ง ๔ อันมาแล้วก็ดี ยังไม่มาแล้วก็ดี
เพื่อว่าในที่กำหนดไว้จะสร้างพระเจดีย์แลที่ตั้งพระปฏิมากร
เนื้อที่เท่าใดพระเจดีย์แลชุกชีรอบได้ตั้งลง
ที่เท่าใดชุกชีแท่นพระพุทธรูปจะได้ตั้งลง ที่เท่านั้นยกถวายเป็นพระพุทธบูชา
แก่สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค ซึ่งเป็นพระบรมศาสดา
อันเสด็จปรินิพพานแล้วที่นอกนั้นรอบคอบจังหวัดที่กำหนดแล้ว
ขอยกให้เป็นที่อยู่ที่อาศัยประพฤติพรหมจรรย์
แลประพฤติการพระพุทธศาสนาสั่งสอนศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย
แลทำสังฆกรรมน้อยใหญ่ตามวินัยกิจโดยสะดวกทุกประการ

แต่ที่นี้คงขาดเป็นของพระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกาย
ผู้เป็นศิษย์ศานุศิษย์ศึกษาตามลัทธิซึ่ง

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้ ได้เริ่มได้ริได้ชำระตกแต่งตำราขึ้น
แลท่านผู้มีปัญญาละเอียดได้ชำระตกแต่งต่อไปนั้น
พวกเดียวก็ผู้จะได้อยู่ได้บริโภคที่นี้ต่อไปนั้น

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ท้ายหนังสือนี้
ยอมให้อยู่แต่ท่านผู้ที่คนทั้งปวงรู้พร้อมกันว่าเป็นศิษย์ศึกษาต่อๆ ไปจาก
ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้ๆ ไม่ยอมให้พระสงฆ์สามเณรพวกอื่น
ที่มีใช่ศิษย์ศานุศิษย์ศึกษาสืบไป

ฯข้าฯ นั้นเข้าอยู่เป็นเจ้าของเลยเป็นแต่ไปสู่มาหาหรืออาศัย
ในกำหนดวันเวลาตามน้ำใจยอมโดยชอบใจของพระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายนั้นได้
ก็ถ้าพระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายที่อยู่ในที่นี้ก็ดี ที่อื่นก็ดี
กลับจิตกลับใจกลับรีดลัทธิถืออย่างพระสงฆ์นิกายอื่นก็ดี
เข้ารีตฝรั่งแลศาสนาอื่นก็ดีแล้ว ก็เป็นอันขาดหลุดจากเป็นเจ้าของที่นี้
จะอยู่ในที่นี้ไม่ได้ ก็ถ้าด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง
พระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายสาบสูญสิ้นไม่มีในแผ่นดิน
เมื่อนั้นที่อันนี้จงตกเป็นของพระผู้มีพระภาคพระบรมศาสดาอรหังสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ปรินิพพานแล้วนั้นเถิด

ใครมีศรัทธาจะปรนนิบัตินมัสการพระเจดีย์ ก็จงปรนนิบัตรนมัสการเถิด
ใครจะใคร่จำศีลภาวนา ก็จงมาจำศีลภาวนาตามควรแก่ความเลื่อมใสเทอญ

เมื่อที่นี้เป็นของพระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายดังนี้แล้ว
ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ถ้ายังยืนยงคงชีพอยู่ ก็จะอุสาหะสร้างทำพระเจดีย์
แลเรือนพระพุทธปฏิมากรแลโรงธรรมสภา แลกุฏิวิหารที่อยู่พระภิกษุสงฆ์
แลที่ต่างๆ เป็นเครื่องประดับพระอารามทั้งปวงไปตามกำลัง
จนบริบูรณ์สถิตธรรมยุตติการาม

แต่ที่นี้ใกล้พระราชวัง ถ้าพระเจ้าแผ่นดินในอนาคตไม่โปรด
จะต้องประสงค์ที่นี้ใช้ในราชการแผ่นดินก็ขอให้ซื้อที่อื่นเท่าที่นี้ หรือใหญ่กว่านี้
ด้วยราคาเท่าที่นี้ ในที่ใกล้บ้านคนถือพระพุทธศาสนา
ไม่รังเกียจ เกลียดชัง พระสงฆ์ธรรมยุตติกนิกายพอเป็นที่ภิกขาจารได้
แลไม่ใกล้เคียงชิดติดกับวัดอื่น เปลี่ยนก่อนจึงได้ของอะไร

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ได้สร้างสถาปนาการลงไว้ในที่นี้ ก็ต้องสร้างใช้ให้ดีให้งามเหมือนกัน
จึงควรจะเอาที่นี้เป็นหลวงใช้ในราชการได้
ถ้าจะโปรดให้เป็นวัดที่อยู่พระสงฆ์พวกอื่นเหล่าอื่นก็เหมือนกัน
ขอรับประทานให้ซื้อที่ใช้สร้างวัดใช้ก่อน
จึงจะเปลี่ยนให้พระสงฆ์พวกอื่นหมู่อื่นอยู่ได้

ถ้าไม่ได้ซื้อที่อื่นสร้างวัดใช้ ไล่พระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายของ ฯข้าฯ
ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้เสียเปล่า
พระสงฆ์พวกอื่นเข้ามาอยู่เป็นเจ้าของ
เอาอำนาจเจ้านายมาไล่เจ้าของเสียชิงเอา ก็จะเป็นปสัยหาวหารอทินนาทานไป

ขอท่านผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินในอนาคต จงโปรดประพฤติตาม
ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ซึ่งเป็นเจ้าของที่ทำวัดราชประดิษฐ์นี้สั่งไว้จงทุกประการ
จึงจะมีความเจริญสุข

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ได้แผ่ส่วนกุศลถวายแด่เทพยดารักษาพระนครทั้งปวง
แลได้ฝากวัดราชประดิษฐ์นี้ไว้แด่เทพยดาให้รักษาอยู่แล้ว

ประกาศไว้วัน ๖ ฯ ๑๒ ๑๒ ค่ำ ปีชวด ฉศก
พระพุทธศาสนกาล ๒๔๐๗ พรรษา ศักราช ๑๒๒๖
เป็นปีที่ ๑๔ เป็นวันที่ ๔๙๔๕ ในรัชกาลปัจจุบันนี้

อิทํ มยา ปรเมนฺทมหามกุฎสฺมา
สฺยามวิชิเต รชฺชํ การยตา.

บันทึกทั้งปวงในกระดาษนี้เป็นสำคัญ
แต่สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม


รูปภาพ
ศิลาจารึกวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม


ศิลาจารึกตอนล่าง

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ขอประกาศเผดียงว่าในที่ภายในพระนคร ฯลฯ
ตามควรแก่ความเลื่อมใสเทอญฯ
จะว่าวัดสำหรับพระสงฆ์ทั้งแผ่นดินไม่ได้
แต่พัทธสีมานั้นตามพระวินัยจริงๆ จะผูกในบ้านก็ได้ ที่ของใครๆ ก็ได้

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อในท้ายหนังสือนี้ ไม่มีสงสัยเลย
ขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวงผูกพัทธสีมาในที่นี้
ด้วยปาสาณนิมิตรคือเสาใหญ่ซึ่งปักไว้ในทิศทั้ง ๘ นี้เถิด เสาทั้ง ๘ นั้น

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ขอถวายเสาศิลาในทิศซึ่งปักไว้ในทิศทั้ง ๘
เพื่อจะให้เป็นนิมิตรมหาพัทธสีมา แลอีกเสาสองต้นประกับกัน
เพื่อจะให้เป็นที่สังเกตที่สวดสมมติให้ท่ามกลางรวม ๑๐ ต้นนี้
เป็นของพระสงฆ์ในคณะธรรมยุตติกนิกาย
ประดับพระอารามนี้ด้วย มอบถวายอีกพร้อมกันทั้งเสาศิลา ๑๐ ต้นปักอยู่ในกลางสอง
อยู่ในทิศทั้งแปดอีกแปด เพื่อจะให้เป็นนิมิตรในทิศทั้งแปด
แลเป็นสำคัญที่พระสงฆ์ยืนสวดผูกสีมาในท่ามกลางด้วย
เพื่อจะได้สมมติสีมา

ณ วัน ๖ ฯ ๑๗ ค่ำ ปีฉลู สัปตศก พระพุทธศาสนกาล ๒๔๐๘ พรรษา
จุลศักราช ๑๒๒๗ เป็นปีที่ ๑๕ หรือเป็นวันที่ ๕๑๔๐ ในรัชกาลปัจจุบันนี้

อิทํ มยา รญฺญา ปรเมนฺทมหามกุฎสฺมา
สฺยามวิชิเต รชฺชํ การยตา.


หนังสือนี้ แต่ข้าพระพุทธเจ้า
สมเด็จพระปรเมนทรามหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม


รูปภาพ

:b8: :b8: :b8:

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

>>> หมายเหตุ : โปรดติดตามอ่าน

:b49: วัดประจำรัชกาลที่ ๔ : วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19383

:b49: ประมวลพระรูป “สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=50368

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

:b8: :b8: :b8: รวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหามาจาก ::
(๑) หนังสือชุดพระเกียรติคุณ สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ :
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม, สุเชาวน์ พลอยชุม เรียบเรียง, มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑.
(๒) หนังสือ ๑๙ สมเด็จพระสังฆราชกรุงรัตนโกสินทร์,
โกวิท ตั้งตรงจิตร เรียบเรียง, สวีริยาศาสน์ จัดพิมพ์, ๒๕๔๙.
(๓) หนังสือพระประวัติ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช
จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสวาระครบ ๒๐๐ ปี
วันประสูติสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ปฐมเจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม, วันพุธที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
(๔) หนังสือประวัติวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
จากเว็บไซต์วัดราชประดิษฐ์ http://www.rajapradit.com/


:b42: กระทู้ในบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13527

:b44: ••• ประวัติตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชไทย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=19521

:b44: ระยะเวลาการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช (พระองค์ใหม่)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=49539

:b44: ประวัติ “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=47044


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ย. 2011, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ต.ค. 2009, 15:47
โพสต์: 417

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: วิปัสนา-กรรมฐาน เล่ม 1-2
ชื่อเล่น: นา
อายุ: 44
ที่อยู่: 140/19 ถ.อภัย อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าแก้ไขคนอื่น จงแก้ไขตัวเราเอง

....................................................

เจ้าเกิดมามีอะไรมาด้วยเล่า
เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
เจ้ามาเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร
เจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา

...................................................


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร