วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=22



กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2009, 14:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

พระประวัติและปฏิปทา
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
(พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค)
พุทธศักราช ๒๔๓๔-๒๔๓๕


วัดบวรนิเวศวิหาร (วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร)
แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร


:b44: หัวข้อ

• พระประวัติในเบื้องต้น
• ทรงบรรพชาและอุปสมบท
• ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ (พระอุปัชฌาย์)
• ทรงรับมหาสมณุตมาภิเษก
• การพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก
• ประกาศการมหาสมณุตมาภิเศก
• ทรงเป็นปราชญ์ทางภาษาบาลี
• ทรงเป็นสถาปนิก
• ทรงเป็นนักโบราณคดี
• ทรงเป็นนักประวัติศาสตร์
• ทรงเป็นนักดาราศาสตร์และโหราศาสตร์
• ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์
• ทรงเป็นกวี
• ทรงให้กำเนิดพระกริ่งในประเทศไทย
• พระอวสานกาล
• ทรงสถาปนาเปลี่ยนคำนำพระนาม
• ประวัติและความสำคัญของวัดบวรนิเวศวิหาร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2009, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
สุมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
(พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค)



พระประวัติในเบื้องต้น

นับแต่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
สิ้นพระชนม์ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๙๖ ในรัชกาลที่ ๔ แล้ว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใด
เป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกจนตลอดรัชกาล เป็นเวลานานถึง ๑๕ ปี
ฉะนั้น ในรัชกาลที่ ๔ จึงว่างสมเด็จพระสังฆราชจนเกือบตลอดรัชกาล
เพราะสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่เพียงปีเศษตอนต้นรัชกาลเท่านั้น

เมื่อ สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนั้น
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ทรงดำรงพระอิศริยยศเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์
ทรงดำรงสมณฐานันดรเป็นที่สองรองจาก สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
มาในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก็มิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราช
ตลอดช่วงต้นแห่งรัชกาล เป็นเวลานานถึง ๒๓ ปี

ฉะนั้น ในช่วงต้นรัชกาลที่ ๕ ซึ่งว่างสมเด็จพระสังฆราช
อยู่เป็นเวลานานถึง ๒๓ ปี ต่อมาจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ขณะทรงดำรงพระอิศริยยศเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์
ขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช
นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นพระราชโอรส องค์ที่ ๑๘
ใน สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
และ เจ้าจอมมารดาน้อยเล็ก
ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะเส็ง เอกศก
จุลศักราช ๑๑๗๑ ตรงกับวันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๓๕๒
อันเป็นวันเริ่มสวดมนต์ตั้งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
จึงได้รับพระราชทานนามว่า “พระองค์เจ้าฤกษ์”


ทรงบรรพชาและอุปสมบท

พุทธศักราช ๒๓๖๕ พระชนมายุ ๑๓ พรรษา ทรงผนวชเป็นสามเณร ณ วัดมหาธาตุ
โดยมี สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็นพระอุปัชฌาย์
ทรงศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่ในสำนักพระญาณสมโพธิ (รอด)
เมื่อทรงผนวชเป็นสามเณรได้ ๔ พรรษา ประชวรไข้ทรพิษ
จึงต้องลาผนวชออกไปรักษาพระองค์ชั่วคราว ครั้นเมื่อหายประชวรแล้ว
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ ๓
ทรงจัดการให้ทรงผนวชเป็นสามเณรอีกครั้งหนึ่ง ณ พระราชวังบวรสถานมงคล

พุทธศักราช ๒๓๗๒ พระชนมายุ ๒๐ พรรษา ครบทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ทรงลาผนวชออกไปสมโภชตามราชประเพณีแล้ว ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ
แห่พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๒ เจ้าฟ้าอาภรณ์
ที่จะทรงผนวชเป็นสามเณรในเวลานั้น

ในการทรงผนวชเป็นพระภิกษุนั้น โดยมี
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เป็นพระอุปัชฌาย์
สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ขณะทรงดำรงพระอิศริยยศเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส
และ พระวินัยรักขิต วัดมหาธาตุ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ทรงได้รับพระนามฉายาว่า “ปญฺญาอคฺโค”

เมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุแล้วทรงศึกษาพระปริยัติธรรม
ในสำนัก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ ณ วัดมหาธาตุ นั้นเช่นกัน

ในเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
ทรงพระเจริญพระชนมายุกว่า ๕ พรรษา เป็นเหตุให้ทรงเลื่อมใส
ในลัทธิธรรมวินัยตามอย่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ

ภายหลังจึงได้ทรงทำ ทัฬหีกรรม อุปสมบทซ้ำอีกครั้งหนึ่งในนทีสีมา
ตามธรรมเนียมนิยมของพระสงฆ์ธรรมยุตในครั้งนั้น
โดยมี พระสุเมธมุนี (ซาย พุทฺธวํโส) เป็นพระอุปัชฌาย์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ทรงศึกษาพระปริยัติธรรมจนทรงแตกฉานในภาษาบาลี
แต่ไม่ทรงเข้าสอบเพื่อเป็นเปรียญ
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพัดยศสำหรับเปรียญเอก
ที่เคยพระราชทานแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
เมื่อครั้งยังมิได้ทรงเป็นพระราชาคณะ ให้ทรงถือเป็นเกียรติยศสืบมา

พระนิพนธ์อันเป็นเครื่องแสดงถึงพระปรีชาสามารถ
ในภาษาบาลีของพระองค์ก็คือ พระนิพนธ์เรื่อง สุคตวิทัตถิวิธาน
ซึ่งทรงนิพนธ์เป็นภาษาบาลีว่าด้วยเรื่องการวิเคราะห์คืบพระสุคต
อันเป็นมาตราวัดที่มีกล่าวถึงในทางพระวินัย

นอกจากนี้ ก็ได้ทรงนิพนธ์เรื่องเบ็ดเตล็ดอื่นๆ เป็นภาษาบาลีไว้อีกหลายเรื่อง
นับว่าทรงเป็นปราชญ์ทางภาษาบาลีที่สำคัญพระองค์หนึ่งในยุครัตนโกสินทร์

ในรัชกาล ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ตั้งเป็นพระราชาคณะ สมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นสามัญ
พระราชทานตาลปัตรแฉกถมปัดเป็นพัดยศ

พุทธศักราช ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ซึ่งขณะยังทรงผนวชอยู่
ทรงเป็นพระเถราจารย์ประธานแห่งพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย
ทรงลาผนวชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๔ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
สถาปนาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าฤกษ์ เป็น กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์
ทรงอิศริยยศเป็นประธานาธิบดีแห่งพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย
ซึ่งขณะนั้นเรียกว่า “ธรรมยุติกนิกายิกสังฆมัธยมบวรนิเวสาธิคณะ”

ทรงดำรงสมณฐานันดรเป็นที่สองรองจาก สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระมหาสังฆปริณายกคือสมเด็จพระสังฆราช อยู่ในขณะนั้น

สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
จึงนับว่าทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตพระองค์แรก
และเป็นหนึ่งในสิบของพระเถระผู้เป็นต้นวงศ์พระธรรมยุต
ซึ่งปรากฏชื่อในหนังสือสีมาวิจารณ์


(มีต่อ ๑)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2009, 14:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระรูปหล่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีภายในพระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร



ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์

พุทธศักราช ๒๔๑๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ขณะทรงพระอิศริยยศที่
กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ (พระอุปัชฌาย์)
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์

เมื่อทรงผนวชแล้ว เสด็จประทับจำพรรษาที่
พระพุทธรัตนสถานมนทิราราม ในพระบรมมหาราชวังชั้นใน
โดยทรงเชิญเสด็จ สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
และนิมนต์พระราชาคณะผู้ใหญ่ต่างวัดเข้าไปอยู่ด้วยพอครบคณะสงฆ์
ทรงผนวชอยู่ ๑๕ วันก็ทรงลาผนวช

หลังจากเสด็จออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปรารภ
ที่จะถวายมหาสมณุตมาภิเษกพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์
ในตำแหน่งที่สมเด็จพระสังฆราช

แต่สมเด็จมหาสมณเจ้าฯ พระองค์นั้นไม่ทรงรับ
ทรงถ่อมพระองค์อยู่ว่า เป็นพระองค์เจ้าในพระราชวังบวรสถานมงคล
จักข้ามเจ้านายที่เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอทั้งทรงเจริญพระชนมายุกว่าก็มี
จักเป็นที่ทรงรังเกียจของท่าน จึงทรงรับเลื่อนเพียงเป็น กรมพระ
เสมอด้วยเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ในชั้นเท่านั้น
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระอิศริยยศเป็น
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๑๖

การที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเลื่อนพระอิศริยยศ
เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ ครั้งนี้
แม้ว่าพระองค์จะไม่รับถวายมหาสมณุตมาภิเษกเป็นที่สมเด็จพระสังฆราช
แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก็ถวายพระเกียรติยศในทางสมณศักดิ์สูงสุดเท่ากับทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช

ดังปรากฏในคำประกาศเลื่อนกรมดังนี้


“สมควรเป็นสังฆปรินายกประธานาธิบดี มีสมณศักดิ์อิศริยยศ
ใหญ่ยิ่งกว่าบรรดาสงฆ์บรรพสัชทั้งปวงในฝ่ายพุทธจักร”


ฉะนั้น ในช่วงต้นรัชกาลมาจนถึงพุทธศักราช ๒๔๓๔
เป็นเวลา ๒๓ ปี จึงว่างสมเด็จพระสังฆราช


รูปภาพ
รัชกาลที่ ๕ ขณะทรงผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๖

:b44: ภาพประวัติศาสตร์
พระมหาเถระ กับ รัชกาลที่ ๕ ขณะทรงผนวช

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=47953


ทรงรับมหาสมณุตมาภิเษก

เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๔ อันเป็นบั้นปลายแห่งพระชนม์ชีพ
แห่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
จึงทรงถวายมหาสมณุตมาภิเษกเป็นที่สมเด็จพระสังฆราช

ขณะเมื่อทรงรับถวายมหาสมณุตมาภิเษกนั้น
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงเจริญพระชนมายุถึง ๘๒ พรรษาแล้ว
มาในคราวนี้ ทรงยอมรับถวายมหาสมณุตมาภิเษก
เพราะเจ้านายชั้นเดียวกันสิ้นพระชนม์แล้วทั้งสิ้น
มีเจ้านายผู้ใหญ่เจริญพระชนมายุเหลืออยู่แต่พระองค์เพียงพระองค์เดียว


การพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก
(ของเดิมเขียน มหาสมณุตมาภิเศก)

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชพิธีสงฆ์ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร
มีเทียนชัยและเตียงพระสวดภาณวารตั้งพระแท่นเศวตฉัตร
ในนั้น ตั้งพระแท่นสรงที่ศาลากำแพงแก้ว
โรงพิธีพราหมณ์ตั้งริมคูนอกกำแพงบริเวณนั้นออกมา
มีสวดมนต์ตั้งน้ำวงด้ายวัน ๑ พระสงฆ์ ๒๐ รูป

รุ่งเช้าจุดเทียนชัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น
โปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงจุด
พระสงฆ์เข้าพระราชพิธี ๓๐ รูป สวดมนต์ ๓ เวลา และสวดภาณวาร ๓ วัน ๓ คืน

เช้าวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๓๔ สรงแล้ว เสด็จขึ้นพระแท่นเศวตฉัตร
มีประกาศกระแสพระบรมราชโองการทรงสถาปนาแล้ว
ทรงรับพระสุพรรณบัฏ เครื่องยศ ดอกไม้ธูปเทียนและต้นไม้ทองเงินของหลวงแล้ว
ทรงถวายศีล เป็นเสร็จการรับมหาสมณุตมาภิเษกเพียงเท่านี้
ต่อนั้นทรงธรรม ๔ กัณฑ์อนุโลมตามบรมราชาภิเษกกัณฑ์ทศพิธราชธรรมจรรยา
เปลี่ยนเป็นไตรสิกขาและ ทรงรับดอกไม้ธูปเทียนของ
พระสงฆ์ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการ

รูปภาพ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
(พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค)


(มีต่อ ๒)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2009, 14:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พัดยศสำหรับพระสมณศักดิ์ที่
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์



ประกาศการมหาสมณุตมาภิเศก

“ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนกาล เป็นอดีตภาคล่วงแล้ว ๒๔๓๔
ปัตยุบันกาล จันทรคตินิยม สสสังวัจฉรกรรติกมาศกาฬปักษ์
พาระสีดิถี ศุกรวาร สุริยคติกาล รัตนโกสินทรศก ๑๑๐
พฤศจิกายนมาศ สัตตวีสติมวารปริเฉทกาลกำหนด

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ
บุรุษรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศ์บริพัตรวรขัติยราชนิกโรดม
จาตุรัตนบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศอุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี
จักรีบรมนารถ มหามกุฏราชวรางกูรสุจริตมูลสุสาธิต อรรคอุกฤษฐไพบูลย์
บูรพาดูลย์กฤาฎาภินิหารสุภาธิการรังสฤษดิ ธัญญลักษดิ
ธัญญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคล
ประสิทธิสรรพศุภผลอุดมบรมสุขุมาล ทิพยเทพาวตาร
ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษสรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิฐศักดิสมญา
พินิตประชานารถเปรมกระมลขัตยราชประยูร มูลมุขมาตยาภิรมย์
อุดมเดชาธิการ บริบูรณ์คุณสารสยามาทินคร วรุตเมกราชดิลก
มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษศิรินธร
อเนกชนิกร สโมสารสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ
นพปดลเสวตรฉัตราดิฉัตร ศิริรัตโนปลักษณมหาสวามินทร์
มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนารถ ชาติอาชาวไศรย
พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิอรรคนเรศราธิบดี
เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดินทร์
ปรมินทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตรพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ทรงพระราชดำริว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์
ได้ดำรงพระยศเปน พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าต่างกรมผู้ใหญ่
แลเปนสังฆปรินายกปธานาธิบดีมีสมณะศักดิใหญ่ยิ่งกว่าบรรดาสงฆบรรพสัช
ทั่วพระราชอาณาเขตร มาตั้งแต่วันศุกร์ เดือน ๓ ขึ้น ๖ ค่ำ
ปีระกาเบญจศก จุลศักราช ๑๒๓๕ ล่วงมาจนกาลบัดนี้
มีพระชนมายุเจริญยิ่งขึ้นจนไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใด
ในมหาจักรีบรมราชตระกูลนี้ ที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี ที่ยังดำรงอยู่ดี
จะได้มีพระชนมายุยืนยาวมาเสมอด้วยพระชนมายุสักพระองค์เดียว
เปนเหตุให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แลพระบรมวงศานุวงศ์ทรงยินดี
มีความเคารพนับถือยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

อีกประการหนึ่งฝ่ายบรรพชิต บรรดาพระสงฆ์ซึ่งมีสมณศักดิ์ในเวลานี้
ก็ไม่มีผู้ใดซึ่งจะมีพรรษาอายุเจริญยิ่งกว่าพระชนมายุแลพรรษา
ก็ย่อมเปนที่ยินดีเคารพนับถือยิ่งใหญ่ในสมณะมณฑลทั่วทุกสถาน

อนึ่งแต่ก่อนมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานมหาสมณุตมาภิเศกแด่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ก็ด้วยทรงพระราชปรารถ
พระชนมายุซึ่งเจริญยิ่งกว่าพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวง

อีกประการหนึ่ง ด้วยการที่ทรงผนวชมาช้านาน
ทรงคุณธรรมทางฏิบัติในพระพุทธสาสนา
แลได้เปนครูอาจารย์แห่งราชตระกูลแลมหาชน เป็นอันมากเป็นที่ตั้ง
ก็ถ้าจะเทียบแต่ด้วยคุณธรรมการปฏิบัติในทางพระพุทธสาสนาฤา
ด้วยการที่เป็นครูอาจารย์ของพระบรมวงศานุวงศ์แลมหาชนเปนอันมากนี้
ก็พิเศษกว่า ด้วยได้ทรงเปนพระอุปัธยาจารย์ในพระเจ้าแผ่นดิน
และพระบรมวงศานุวงศ์มีเจ้าฟ้า แลพระองค์เจ้าต่างกรม แลพระองค์เจ้า
จนตลอดข้าราชการเป็นอันมาก จนถึงในครั้งนี้ก็ยังได้ทรงเปนพระอุปัธยาจารย์
ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฏราชกุมาร
ซึ่งยังทรงผนวชเปนสามเณรอยู่ในบัดนี้

เพราะฉะนั้นบรรดาบรมราชตระกูลแลตระกูลทั้งปวงทั้งในสมณะมณฑล
ทั่วทุกหมู่เหล่าย่อมมีความเคารพนับถือในพระองค์ทั้งสองประการ
คือเป็นพระเจ้าบรมวงศ์ซึ่งทรงมีพระชนมายุเจริญ
ยิ่งกว่าพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวง แลทั้งเปนพระอุปัธยาจารย์ด้วยอีกฝ่ายหนึ่ง

จึงมีความนิยมยินดีที่จะใคร่ให้ได้ดำรงพระยศอันยิ่งใหญ่
เสมอกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส โดยรับมหาสมณุตาภิเศกแลเลื่อนกรม
เป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมสมเด็จพระ ให้เต็มตามความยินดีเลื่อมใส
จะได้เปนที่เคารพสักการบูชา เป็นที่ชื่นชมยินดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แลพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยแลอเนกนิกรมหาชนบรรดา
ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาทั่วหน้า

จึงมีพระบรมราชโองการมา ณ พระบัณฑูรสุรสิงหนาท โปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งการมหาสมุตาภิเศก แลเลื่อนพระอิสริยยศ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์
ขึ้นเปนกรมสมเด็จพระยา มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัตรว่า

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ บวรรังสีสุริยพันธุ์
ปิยพรหมจรรย์ธรรมวรยุตร ปกิบัติสุทธิคณะนายก ธรรมนิติสาธกปวรัยบรรชิต
สรรพธรรมิกกิจโกศล สุวิมลปรีชาปัญญาอะค มหาสมณุดม บรมพงศาธิบดี
จักรีบรมนารถ มหาเสนานุรักษ์อนุราชวรางกูร ปรมินทร
บดินทร์สูริย์หิโตปัธยาจารย์ มโหฬารเมตยาภิธยาไศรย
ไตรปิฎกโหรกลาโกศล เบญจปดลเสวตรฉัตร
ศิริรัตโนปลักษณมหาสมณุตมาภิเศกาภิสิต ปรมุกฤฐสมณศักดิธำรง
มหาสงฆปรินายก พุทธสาสนดิลกโลกุตม มหาบัณฑิตย์ สุนทรวิจิตรปฏิภาณ
ไวยัติญาณมหากระวี พุทธาทิศรีรัตนไตรยคุณารักษ์
เอกอรรคมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาธิโลกยปฏิพัทธพุทธบริสัษยเนตร
สมณคณินทราธิเบศร์ สกลพุทธจักโรปการกิจ
สฤษดิศุภการมหาปาโมกษประธานวโรดม บรมนารถบพิตร
เสด็จสถิตย์ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร พระอารามหลวง (มุสิกนาม)


ให้ทรงศักดินา ๑๕๐๐๐ ตามพระราชกำหนด
อย่างพระองค์เจ้าต่างกรมตำแหน่งใหญ่ ในพระบรมมหาราชวัง
แลดำรงพระยศฝ่ายสมณศักดิ์เป็นเจ้าคณะใหญ่แห่งพระสงฆ์ทั้งกรุงเทพฯ
แลหัวเมืองทั่วพระราชอาณาเขต พระราชทานนิตยภัทรบูชาเดือนละ ๑๒ ตำลึง

ขออาราธนาให้ทรงรับธุระพระพุทธศาสนาเปนภาระสั่งสอน
ช่วยระงับอธิกรณ์พระภิกษุสงฆ์สามเณรทั่วไป
โดยสมควรแก่พระอิศริยยศสมณศักดิ์
จงทรงเจริญพระชนมายุพรรณศุขพลปฏิภาณคุณสารสมบัติสรรพศิริสวัสดิ
พิพัฒมงคล วิบูลยศุภผลจิรฐิติกาลในพระพุทธศาสนาเทอญฯ”
*

หมายเหตุ : อักขรวิธีตามต้นฉบับ

รูปภาพ
ที่ประทับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
อยู่ด้านหน้าพระตำหนักจันทร์ วัดบวรนิเวศวิหาร


(มีต่อ ๓)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2009, 14:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
(พระองค์เจ้าฤกษ์ ปญฺญาอคฺโค)



ทรงเป็นปราชญ์ทางภาษาบาลี

สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ทรงพระอัจฉริยภาพในหลายด้าน ซึ่งคนส่วนมากไม่ค่อยจะได้รู้จัก
ประการแรก ทรงเป็นปราชญ์ทางภาษาบาลี
ที่สำคัญพระองค์หนึ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีอยู่จำนวนไม่มากนัก
ผลงานด้านภาษาบาลีที่สำคัญของพระองค์ก็คือ
พระนิพนธ์เรื่อง “สุคตวิทิตถิวิธาน”

ซึ่งทรงวิเคราะห์ และอธิบายเรื่องคืบพระสุคต
พระนิพนธ์เรื่องนี้ ทรงพระนิพนธ์เมื่อพุทธศักราช ๒๓๘๘ ในปลายรัชกาลที่ ๓
และได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในลังกา ในตอนต้นรัชกาลที่ ๕
สำหรับในประเทศไทยนั้นเพิ่งจะมารู้จักพระนิพนธ์เรื่องนี้เมื่อต้นรัชกาลที่ ๖

นอกจากพระนิพนธ์เรื่องนี้แล้ว
พระองค์ยังทรงพระนิพนธ์เรื่องอื่นๆ เป็นภาษาบาลีไว้อีกหลายเรื่อง
ส่วนพระนิพนธ์ในภาษาไทยก็ทรงไว้หลายเรื่องเช่นกัน ทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม
และทรงพระปรีชาสามารถทั้งในทางร้อยแก้วและร้อยกรอง ที่สำคัญ
เช่น ลิลิตพงศาวดารเหนือ โครงพระราชประวัติในรัชกาลที่ ๔


ทรงเป็นสถาปนิก

พุทธศักราช ๒๓๙๖ อันเป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลที่ ๔
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชดำริที่จะปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์
ซึ่งองค์เดิมเป็นพระเจดีย์ขนาดย่อม
ให้เป็นพระมหาเจดีย์สำหรับเป็นที่สักการบูชาของมหาชนสืบไทย

จึงโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
แต่ยังทรงเป็นกรมหมื่นออกแบบพระเจดีย์
และทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค)
เป็นแม่กองปฏิสังขรณ์ เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาฯ ถึงแก่พิราลัย
ก็โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)
เป็นผู้บัญชาการทำการปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ
พระปฐมเจดีย์ดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้
จึงเป็นผลงานออกแบบของ สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์


ทรงเป็นนักโบราณคดี

เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงผนวชอยู่
ได้เสด็จธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่างๆ เป็นเหตุให้ทรงพบ
ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ และจารึกอื่นๆ ในเวลาต่อมาอีกมาก
และพระองค์ทรงพยายามศึกษา จนสามารถทรงอ่านข้อความในจารึกดังกล่าวนั้นได้
ซึ่งอำนวยประโยชน์ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติไทยอย่างมหาศาล

สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ซึ่งทรงเป็นศิษย์ใกล้ชิด
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์หนึ่ง ก็ได้ทรงดำเนินรอยตาม
เป็นเหตุให้ทรงเชี่ยวชาญในทางโบราณคดีพระองค์หนึ่งของไทย
ในยุคนั้น ทรงเป็นนักอ่านศิลาจารึกรุ่นแรกของไทย
ได้ศึกษาและรวบรวมจารึกต่างๆ ในประเทศไทยไว้มาก
และได้ทรงอ่านจารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ (อักษรขอม) เป็นพระองค์แรก


ทรงเป็นนักประวัติศาสตร์

นอกจากจะทรงสนพระทัยในการศึกษาทางโบราณคดีแล้ว
สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ยังทรงสนพระทัยในเรื่องประวัติศาสตร์ด้วย
ดังจะเห็นได้จากผลงานทางด้านประวัติศาสตร์ที่ทรงพระนิพนธ์ไว้หลายเรื่อง
เช่น ลิลิตพงศาวดารเหนือ เรื่องพระปฐมเจดีย์
พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็นต้น


ทรงเป็นนักดาราศาสตร์และโหราศาสตร์

สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นที่เลื่องลือว่า
เชี่ยวชาญในทางโหราศาสตร์เป็นอันมากแต่ไม่ทรงนิยมการพยากรณ์
ในด้านดาราศาสตร์ก็ทรงเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง
ได้ทรงพระนิพนธ์ “ตำราปักขคณนา”
(คือตำราการคำนวณปฏิทินทางจันทรคติ) ไว้อย่างพิสดาร
พระนิพนธ์อันเป็นผลงานของพระองค์ในด้านนี้ไม่ค่อยได้ตีพิมพ์ออกเผยแพร่
คนทั่วไปจึงไม่ค่อยรู้จักพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในเรื่องดังกล่าวเหล่านี้มากนัก


ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์

สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงบันทึกจำนวนฝนตกเป็นรายวัน
ติดต่อกันเป็นเวลาถึง ๔๕ ปี เริ่มแต่ปีพุทธศักราช ๒๓๘๙ ในรัชกาลที่ ๓
จนถึงพุทธศักราช ๒๔๓๓ ในรัชกาลที่ ๕ เพื่อเป็นการเก็บสถิติน้ำฝนในประเทศไทย
นับว่าทรงมีความวิริยะอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง
ทรงเรียกบันทึกของพระองค์ว่า “จดหมายเหตุบัญชีน้ำฝน”
และในจดหมายเหตุนี้ยังได้ทรงบันทึกเหตุการณ์บ้านเมืองที่สำคัญๆ ไว้ด้วย
นับเป็นจดหมายเหตุทางประวัติที่มีค่ามากเรื่องหนึ่ง


ทรงเป็นกวี

สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ทรงพระนิพนธ์เรื่องราวต่างๆ ไว้มาก
ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาบาลี ในส่วนที่เป็นภาษาไทยนั้น
ทรงพระนิพนธ์เป็นโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ไว้ก็จำนวนมาก
เช่น โคลงพระราชประวัติรัชกาลที่ ๔
กาพย์เสด็จนครศรีธรรมราช ลิลิตพงศาวดารเหนือ เป็นต้น
จึงกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นกวีนักอักษรศาสตร์
ที่สำคัญพระองค์หนึ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์


ทรงให้กำเนิดพระกริ่งในประเทศไทย

เมื่อกล่าวถึงเรื่องพระกริ่ง คนส่วนมากก็คงจะเคยได้ยินเรื่อง พระกริ่งปวเรศ
ซึ่งนิยมนับถือกันว่าเป็นยอดแห่งพระกริ่งในสยามพระกริ่งปวเรศเป็นพุทธศิลป์
ที่สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ได้ทรงพระดำริสร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๕
นับเป็นการให้กำเนิดพระกริ่งขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
และได้เป็นแบบอย่างให้มีการสร้างพระกริ่ง กันขึ้นในเวลาต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้

รูปภาพ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕


พระอวสานกาล

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ทรงเป็นที่เคารพนับถือของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕ ตลอดถึงพระบรมวงศานุวงศ์เป็นอันมาก
ทรงเป็นที่ปรึกษาในกิจการบ้านเมืองที่สำคัญๆ
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ มาตลอดพระชนมชีพ
ดังจะเห็นได้จากความในพระราชหัตถเลขา
ที่กราบทูลสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น บางตอนว่า

“ทุกวันนี้หม่อมฉันเหมือนตัวคนเดียว
ได้อาศัยอยู่แค่สมเด็จกรมพระกับสมเด็จเป็นที่พึ่งที่ปรึกษา
เป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ ขอให้ทรงพิเคราะห์การให้ละเอียดด้วย”


ในบั้นปลายแห่งพระชนมชีพ สมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ทรงประชวรต้อกระจก ในที่สุดพระเนตรมืด ครั้งพุทธศักราช ๒๔๓๕
ทรงประชวรพระโรคกลัดพระบังคนหนัก จัดเข้าในพระโรคชรา
สิ้นพระชนม์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๓๕
เวลา ๒๓.๐๓ นาฬิกา ตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะโรง จัตวาศก ๑๒๕๔
สิริรวมพระชนมายุได้ ๘๓ พรรษา ๑๓ วัน ผนวชเป็นพระภิกษุได้ ๖๔ พรรษา

ทรงครองวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา ๔๑ ปี
ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช อยู่เพียง ๑๑ เดือน ๑ วัน
ก็สิ้นพระชนม์ ได้พระราชทานพระโกศกุดั่นใหญ่ทรงพระศพ


พระศพสมเด็จฯ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ประดิษฐานอยู่ ณ พระตำหนักเดิม (คือที่เสด็จประทับ) วัดบวรนิเวศวิหาร
เป็นเวลาถึง ๘ ปี จึงได้พระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง
เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๔๓

รูปภาพ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖


ทรงสถาปนาเปลี่ยนคำนำพระนาม

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
ขณะเมื่อทรงดำรงพระสมณฐานันดรเป็น
สมเด็จพระมหาสังฆปริณายก ที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น
ยังไม่มีคำนำพระนามที่บ่งบอกถึงพระเกียรติยศในทางสมณศักดิ์
คือเรียกพระนามไปตามพระอิศริยยศแห่งพระบรมราชวงศ์
ว่า “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์”
หรือเรียกอีกพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์

มาในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเปลี่ยนคำนำพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์
ซึ่งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระประมุขแห่งสังฆมณฑลว่า
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า เพื่อให้ปรากฏพระนามในส่วนสมณศักดิ์ด้วย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเปลี่ยนคำนำพระนามเป็น
“สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์”
ในคราวเดียวกันกับที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเปลี่ยนคำนำพระนาม
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
เป็น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๔ จึงได้เรียกพระนามกันว่า
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แต่นั้นเป็นต้นมา

:b44: คำเรียกตำแหน่ง “สมเด็จพระสังฆราช” มี ๓ อย่าง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=51799

(มีต่อ ๔)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2009, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร


ประวัติและความสำคัญของวัดบวรนิเวศวิหาร

:b47: ประวัติ...วัดบวรนิเวศวิหาร (วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร)
วัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายแห่งแรกในประเทศไทย

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19342

(มีต่อ ๕)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2009, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

หมายเหตุ : โปรดติดตามอ่าน

๑. ประวัติ “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=47044

๒. ประวัติและความสำคัญของ “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=21082

๓. ประวัติ “มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ”

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=20842

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

:b8: :b8: :b8: รวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหามาจาก ::
(๑) หนังสือชุดพระเกียรติคุณ สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ :
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
วัดบวรนิเวศวิหาร, สุเชาวน์ พลอยชุม เรียบเรียง, มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑.
(๒) หนังสือประวัติคณะธรรมยุต, สุเชาวน์ พลอยชุม เรียบเรียง, มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๗.
(๓) ราชกิจจานุเบกษา, พระประวัติพระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
เล่ม ๙, ตอน ๒๘, ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๕, หน้า ๒๒๔-๒๒๗
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2435/028/224.PDF
- ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศการมหาสมณุตตมาภิเศก,
เล่ม ๘, ตอน ๓๖, พ.ศ. ๒๔๓๔, หน้า ๓๑๒-๓๑๕
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2434/036/312.PDF
- พระบรมราชโองการ ประกาศสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า,
เล่ม ๓๘, ตอน ๐ ก, ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๔, หน้า ๑๐-๑๒
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2464/A/10.PDF
- ราชกิจจานุเบกษา, ข่าวสิ้นพระชนม์
พระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมสมเด็จพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์,
เล่ม ๙, ตอน ๒๗, ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๕, หน้า ๒๑๗
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2435/027/217.PDF
- ราชกิจจานุเบกษา, การพระเมรุท้องสนามหลวง,
เล่ม ๑๗, ตอน ๔๔, ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๔๓, หน้า ๖๒๗-๖๓๑
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2443/044/623.PDF


:b42: กระทู้ในบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13428

:b44: ••• ประวัติตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชไทย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=19521

:b44: ระยะเวลาการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช (พระองค์ใหม่)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=49539

:b44: ประวัติ “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=47044


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร