วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

เปิดปูม “ลอยกระทง” ตามวิถีแห่งวัฒนธรรม

ใกล้ถึงวันเพ็ญ เดือน ๑๒ หรือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ อันเป็นวันลอยกระทงแล้ว

“ประเพณีลอยกระทง” มีคติความเชื่อที่มาแตกต่างกัน โดยในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการทำพิธีเพื่อต้อนรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเสด็จลงมาจากดาวดึงส์เทวโลกสู่มนุษย์โลก ภายหลังจากทรงแสดงพระธรรมเทศนาอภิธรรม ๗ คัมภีร์โปรดเทพบุตรพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บ้างก็เชื่อว่าเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้ในพระจุฬามณี พระเจดีย์บนสวรรค์ บ้างก็เชื่อว่าเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทที่ทรงประทับไว้ ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ประเทศอินเดีย (Narmada River - India) รวมถึงลอยกระทงเพื่อขอบคุณพระแม่คงคาที่ให้ได้อาศัยน้ำกินน้ำใช้ ตลอดจนขอขมาพระแม่คงคาที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงไปในน้ำ

การลอยกระทงในบ้านเรานั้น มีชื่อเรียกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด อาทิ ที่เชียงใหม่ เรียกว่า ประเพณียี่เป็ง ซึ่งมีการลอยกระทงทั้งในแม่น้ำและจุดประทีปโคมลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วย, ส่วนที่สุโขทัย เรียกว่า ประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ, ที่ตาก เรียกว่า ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีปพันดวง โดยใช้กะลามะพร้าวเป็นกระทง, ที่แม่ฮ่องสอน เรียกว่า ประเพณีลอยกระทงสวรรค์, ที่สมุทรสงคราม เรียกว่า ประเพณีลอยกระทงสายกาบกล้วย, ที่พะเยา เรียกว่า ประเพณียี่เป็ง ลอยโคม กว๊านพะเยา, ที่ลำปาง เรียกว่า ประเพณีล่องสะเปาจาวละกอน ประเพณีลอยประทีปทางน้ำแบบโบราณของทางภาคเหนือ ซึ่ง “สะเปา” ในภาษาเหนือ ก็หมายถึงคำว่า “สำเภา” ในภาษากลางนั่นเอง, ที่พระนครศรีอยุธยา เรียกว่า ประเพณีลอยกระทงตามประทีป ซึ่งเป็นการจำลอง ‘พระราชพิธีชักโคมลอยพระประทีป’ ตามที่ปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุ และที่ฉะเชิงเทรา เรียกว่า ประเพณีลอยกระทง ย้อนเวลา หาวิถีไทย ซึ่งจัดบนพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง เพื่อถ่ายทอดวิถีชีวิตประเพณีแบบไทยโบราณ เป็นต้น

รูปภาพ
โคมลอยถูกปล่อยเกลื่อนฟ้า
ในงานประเพณียี่เป็ง จ.เชียงใหม่



• ทำไมกระทงจึงต้องเป็นรูปดอกบัว

ในหนังสือ “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือตำรับนางนพมาศ” กล่าวไว้ว่า

ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ จะมีพระราชพิธีจองเปรียง ซึ่งเป็นนักขัตฤกษ์ชักโคมลอยโคม นางนพมาศได้ประดิษฐ์โคมลอยเป็นรูปดอกกระมุทบานกลีบรับกับแสงจันทร์ใหญ่ ประมาณเท่ากงระแทะ (กงล้อเกวียน) และเสียบแซมเทียนธูป แลประทีปน้ำมันเปรียงเจือด้วยไขข้อพระโค เมื่อพระร่วงเจ้าทอดพระเนตร ก็ตรัสชมว่างามประหลาดกว่าที่เคยมี แล้วตรัสถามว่านางคิดเช่นไรหรือ

นางก็กราบบังคมทูลว่า “ข้าพระองค์สำคัญใจคิดเห็นว่า เป็นนักขัตตฤกษ์วันเพ็ญเดือนสิบสอง ปราศจากเมฆมลทิน อันว่าดวงดอกชาติโกสุมภ์ประทุมมาลย์มีแต่จะเบ่งบานกลีบรับแสงพระอาทิตย์ ถ้าชาติ อุบลเหล่าใดบานผกาเกษรรับแสงพระจันทร์แล้วก็ได้ชื่อว่า ดอกกระมุท ข้าพระองค์จึ่งทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุท ซึ่งบังเกิดมีอยู่ยังนัมมทานที อันเป็นที่บวรพุทธบาทประดิษฐานกับแกะรูปมยุราพนานกวิหคหงษ์ประดับ แลมีประทีปเปรียงเจือด้วยไขข้อพะโคถวายในการทรงพระราชอุทิศครั้งนี้ด้วยจะให้ถูกต้องสมกับนัตขัตตฤกษ์ วันเพ็ญเดือนสิบสองพระราชพิธีจองเปรียงโดยพุทธศาสน์ไสยศาสตร์”

พระร่วงเจ้าจึงมีพระราชดำรัสว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตตฤกษ์ วันเพ็ญเดือนสิบสองพระราชพิธีจองเปรียงแล้ว ก็ให้กระทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุท อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน

รูปภาพ
ประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จ.สุโขทัย


• นางนพมาศมีตัวตน ?

จากตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ทำให้คนไทยเชื่อว่าประเพณีลอยกระทงถือกำเนิดมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัย แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ทรงเชื่อว่าหนังสือดังกล่าวเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ดังความตอนหนึ่งที่ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงพระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) อธิบายเหตุผลข้อพิรุธต่างๆ และสรุปว่า

“...ประเพณีลอยกระทงจึงหามีในรัฐสุโขทัยไม่ เนื่องจากพิธีลอยกระทงมีพัฒนาการมาจากการบูชาแม่น้ำของรัฐในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ ซึ่งมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำ นอกจากพิธีลอยกระทงแล้วยังมีอีกมาก และกลายเป็นประเพณีที่สำคัญมากๆ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา...”

• ลอยกระทงไม่ได้มาจากอินเดีย

พระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) ปราชญ์เอกของไทย ได้รวบรวมและสอบถามถึงการลอยกระทงในที่ต่างๆ แล้วจึงสันนิษฐานว่า การลอยกระทงจะเป็นคติของชน ชาติที่ประกอบกสิกรรม ซึ่งย่อมอาศัยน้ำเป็นสำคัญ เมื่อพืชพรรณธัญชาติงอกงามดี และเป็นเวลาน้ำเจิ่งก็ทำกระทงลอย ไปตามกระแสน้ำไหล เพื่อขอบคุณแม่คงคาหรือเทพเจ้าที่ประทานน้ำมาให้อุดมสมบูรณ์ เหตุนี้จึงได้ลอยกระทงในฤดูกาลน้ำมาก เสร็จแล้วก็เล่นรื่นเริงกันด้วยความยินดี เท่ากับสมโภชการงานที่กระทำว่าได้ลุล่วงรอดมาจนเห็นผลแล้ว ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความเจริญแล้ว ความวิตกทุกข์ร้อนเรื่อง เพาะปลูกว่าจะไม่ได้ผลก็น้อยลงไป แต่ก็ยังทำการเซ่นสรวง ตามที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี เพียงแต่ต่างก็แก้ให้เข้ากับคติลัทธิทางศาสนาที่ตนนับถือ เช่น มีการทำบุญสุนทานเพิ่มขึ้น เป็นต้น

ที่ชาวอินเดียในมัธยมประเทศอธิบายว่าการลอยกระทง เป็นเรื่องบูชาเทวดาที่ตนนับถือไม่จำกัดองค์แน่นอนลงไป ก็เป็นเรื่องที่แก้รูปให้เข้ากับคติศาสนา ที่แท้ก็เป็นเรื่องเซ่นบูชาผีสางเทวดามาแต่ดั้งเดิม ซึ่งเข้าใจว่าเป็นผู้ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ตนและครอบครัว ที่บอกว่าเป็นพิธีทำเป็นประเพณีสืบมาแต่โบราณนมนานไกล จนไม่ทราบได้ว่ามีขึ้นเมื่อไร ก็แสดงว่าการลอยกระทงเป็นของเก่า จนไม่รู้ต้นเหตุเสียแล้ว

รูปภาพ
ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีปพันดวง จ.ตาก


• แต่อินเดียมีการจุดประทีป

พระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) บอกไว้ว่า การจุดประทีปนี้ทางอินเดียก็มี เรียกว่า พิธีปวลีหรือทีวลี ซึ่งเขาให้ต้นเหตุมีอยู่มากเรื่อง ในหนังสือ Hindu Fasts and Feasts ของ A.C. Muderji กล่าวไว้ในตอนเทศกาลทีวลีหรือทีปมาลิกา ว่า มีเรื่องเป็นต้นเหตุจุดประทีปไว้หลายเรื่อง แต่ว่าเหตุที่แท้จริงอาจเกี่ยวกับการบูชาผีปู่ ย่า ตา ยาย เป็นจำพวกทำพิธีศราทธ์อุทิศผลส่งไปให้ดังนี้ เรื่องก็มาเข้าเค้ากับลอยกระทงในลางลักษณะ

ส่วนในหนังสือสังกัปพิธีกรรม โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุเมธ เมธาวิทยากุล ได้กล่าวถึงประเพณีลอยกระทงในอินเดียว่าเป็นประเพณีของพราหมณ์ โดยเฉพาะที่เป็นฮินดู เรียกว่า “ทีปวลี” เป็นเทศกาลแห่งแสงสีที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่ง โดยพิธีจะมีขึ้นในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นการบูชาพระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร และเทพเจ้าอื่นๆ โดยจะมีการจุดประทีปในถ้วยดินเผาในเวลาค่ำคืน บางแห่งก็มีการลอยประทีปในน้ำเพื่อบูชาพระแม่คงคา รวมทั้ง มีการจุดพลุ ประทัด และดอกไม้ไฟนานาชนิด

รูปภาพ
ประเพณีลอยกระทงสวรรค์ จ.แม่ฮ่องสอน


• รัชกาลที่ ๕ ทรงเล่าถึงเรื่องลอยกระทง

ใน “พระราชพิธี ๑๒ เดือน” พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้กล่าวถึงพระราชพิธีจองเปรียง ทรงระบุว่าพระราชพิธีในเดือน ๑๒ ซึ่งมีมาในกฎมณเทียรบาลว่า พิธีจองเปรียง ลดชุดลอยโคม นั้น “...มีความแปลกออกไปนิดเดียวแต่ที่ว่าการพิธีจองเปรียง ลดชุดลอยโคม และเติม “ลงน้ำ” เข้าอีกคำหนึ่ง...การก็ตรงกันกับลอยกระทง ลางทีจะสมมติว่าลอยโคม...”

และทรงกล่าวต่อไปว่า “...การที่ยกโคมขึ้นนั้นตามคำโบราณกล่าวว่า ยกขึ้นเพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม การซึ่งว่าบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามนี้เป็นต้นตำราแท้ในเวลาถือไสยศาสตร์ แต่ครั้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงนับถือพระพุทธศาสนาก็กล่าวว่าบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระจุฬามณีในดาวดึงสพิภพ และบูชาพระพุทธบาทซึ่งปรากฏอยู่ ณ หาดทรายเรียกว่า นะมะทานที เป็นที่ฝูงนาคทั้งปวงสักการบูชาอยู่...” และทรงระบุต่อไปว่าในเดือนสิบสอง นี้มีการลอยพระประทีปด้วย

โดยทรงอธิบายว่า “...การลอยพระประทีป ลอยกระทงนี้ เป็นนักขัตฤกษ์ที่รื่นเริงทั่วไปของชนทั้งปวงทั่วไป ไม่เฉพาะแต่การหลวง แต่จะนับว่าเป็นพระราชพิธีอย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่ได้มีพิธีสงฆ์พิธีพราหมณ์อันใดเกี่ยวเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่าตรงกับคำที่ว่าลอยโคมลงน้ำเช่นที่กล่าวมาแล้ว แต่ควรนับได้ว่าเป็นราชประเพณีซึ่งมีมาในแผ่นดินสยามแต่โบราณ...”

ส่วนเทียนที่จุดในพระราชพิธีจองเปรียงนั้น ทรงกล่าวไว้ว่า “...แต่ถึงว่าโคมชัยที่อ้างว่าบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธบาทดังนี้แล้ว ก็ยังเป็นพิธีของพราหมณ์พวกเดียวคือตั้งแต่เริ่มพระราชพิธี พราหมณ์ก็เข้าพิธีที่โรงพิธีในพระบรมมหาราชวัง และเวลาเช้าถวายน้ำพระมหาสังข์ตลอดจนวันลดโคม เทียนซึ่งจุดในโคมนั้นก็ทาเปรียง คือไขข้อพระโค ซึ่งพราหมณ์นำมาถวายทรงทา การที่บูชากันด้วยน้ำมันไขข้อพระโคนี้ก็เป็นลัทธิพราหมณ์แท้ เป็นธรรมเนียมสืบมาจนแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า การพระราชพิธีทั้งปวงควรจะให้เนื่องด้วยพระพุทธศาสนาทุกๆ พระราชพิธี...”

นอกจากนั้นในพระราชพิธี ๑๒ เดือน ยังทรงกล่าวถึงกระทงหลวงที่มีมาแต่เดิมนั้นคือเรือรูปสัตว์ต่างๆ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ กระทงหลวงสำรับใหญ่ที่ทำถวายนั้น ต่อเป็นถังบ้าง ทำเป็นแพหยวกบ้าง กว้างแปดศอกบ้าง เก้าศอกบ้าง กระทงสูงตลอดยอดสิบศอกสิบเอ็ดศอก ทำประกวดประขันกัน นับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ขนาดใหญ่ที่ลอยน้ำได้ และในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีการใช้เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชและเรือชัยแทนกระทงใหญ่ ตั้งเทียนขนาดใหญ่และยาวตาม กระทงเรือ ส่วนในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการใช้เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์แทนเรือชัย และยังมีกระทงขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างอลังการอีกด้วย แต่ก็ไม่โปรดให้จัดทำทุกปี

รูปภาพ
ประเพณีลอยกระทงสายกาบกล้วย จ.สมุทรสงคราม


• ทำไมต้องใส่เงินลงในกระทง

พระยาอนุมานราชธน (เสฐียรโกเศศ) ได้ให้คำตอบในเรื่องนี้ไว้ว่า “...ลอยกระทงของเราในหมู่ราษฎรที่มีเงินปลีกใส่ไปด้วย ก็เห็นจะเป็นเรื่องเซ่นผีสางเทวดา เดิมเห็นจะใช้เบี้ยอย่างที่เรียกว่า เบี้ยบน เหลือเป็นเค้าอยู่ ก่อนนั้นขึ้นไปเห็นจะมีอาหารและข้าวของใส่ลงไปในกระทงด้วย อย่างที่ภาคพายัพและภาคอีสานยังทำกัน หากของเราเป็นกระทงขนาดเล็ก ไม่ใช่เป็นกระทงขนาดใหญ่ จึงได้เปลี่ยนเป็นใส่เงินปลีกแทน ส่วนกระทงใหญ่มีแต่ของหลวง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าใส่อะไร และก็เลิกไปนานแล้ว ชาวบ้านอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ซึ่งส่วนมากเป็นพวกลาวพวน มีอาหารคาวหวานและผลไม้ต่างๆ ทำรวมกันทั้งหมู่บ้าน บรรจุลงในแพหยวกแล้วปล่อยไปในวันเพ็ญเดือน ๑๒ นอกนี้ในแพยังมีธูปเทียนและสตางค์ แล้วแต่จะใส่ไป นี่เห็นจะเพิ่มเติมทีหลัง...”

รูปภาพ
ประเพณีล่องสะเปาจาวละกอน จ.ลำปาง


• ลอยกระทงจากยุคโบราณสู่ยุคไซเบอร์

จากกระทงสมัยโบราณที่ทำด้วยวัสดุธรรมชาติ เช่น หยวกกล้วย ใบตอง เป็นต้น ก็เริ่มหันมาสู่การใช้โฟมและกระดาษมากขึ้น แต่โฟมย่อยสลายตามธรรมชาติได้ยากจึงเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม หน่วยงานต่างๆ จึงออกมาช่วยกันรณรงค์ให้ใช้วัสดุธรรมชาติทำกระทงแทนโฟม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีผู้คิดค้นวัสดุต่างๆ ที่ย่อยสลายง่ายมาทำกระทงในปัจจุบัน เช่น เทียนหอม, แป้งมันสำปะหลัง, ขนมปัง ฯลฯ โดยเฉพาะกระทงที่ทำมาจากขนมปังนั้น กล่าวกันว่านอกจากใช้เป็นสิ่งบูชาแล้ว ยังเป็นทานสำหรับสัตว์น้ำได้อีกด้วย และเมื่อโลกก้าวสู่ยุคไซเบอร์ที่คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทอย่างมากในสังคม ก็ได้มีการนำการลอยกระทงมาสู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เรียกกันว่า “ลอยกระทงออนไลน์” โดยจัดทำทุกอย่างเหมือนกับการไปลอยกระทงยังสถานที่จริง นับตั้งแต่การเลือกประดิษฐ์กระทงที่ต้องการ แล้วเริ่มจุดธูปเทียน (มีควันลอยเหมือนจริง) เขียนคำอธิษฐาน รวมถึงการเลือกสถานที่ที่ต้องการลอย เช่น แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดพระแก้ว, ที่ จ.สุโขทัย หรือที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น เพียงแค่คลิ๊กเมาท์ไม่กี่ครั้ง กระทงก็จะเริ่มลอยไปยังสถานที่ที่ต้องการภายในเวลาไม่ถึงนาที

รูปภาพ
ประเพณียี่เป็ง ลอยโคม กว๊านพะเยา จ.พะเยา


• วิธีลอยกระทงตามจารีตพุทธ

ศาสตราจารย์ (เกียรติคุณ) ดร.อภิณัฏฐ์ กิติพันธุ์ จากชมรมชีวานุภาพ ได้บอกถึงวิธีลอยกระทงตามจารีตแห่งพุทธว่า “วันนี้เป็นวันน้ำสมบูรณ์ที่สุด พระจันทร์สวยที่สุด ในฝั่งไทย ควรตั้งใจบูชาพระพุทธเจ้าอย่างเต็มที่ เพราะบางทีน้ำทุกสายขยายไปทับวัด ในน้ำอาจจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป พระธาตุ พระบาท พระเจดีย์อยู่ ขณะที่ลอยต้องทำกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด อย่างน้อยถือศีล ๕ ตั้งใจให้อิ่มเต็มในกุศลเหมือนน้ำที่เต็มฝั่ง คนโบราณใช้วันนี้เป็นวันที่เรียกว่าส่งท้ายขอขมา แต่ไม่ได้ขอขมาแต่เพียงพระแม่คงคา แต่ขอขมาในนัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเราได้เคยล่วงเกินมา ขอให้น้ำนี้ได้ช่วยนำขอขมาทั้งหมด เพราะกระทงล่องไปผ่านวัดริมน้ำทั้งหมด แปลว่าเราไหว้ทุกวัดแล้วนะ เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นวันที่รื่นเริงในธรรมเบิกบานในบุญ ไม่ได้หมายความว่าเราจะเอาอกุศลมาเติมกับตัวเอง”

รูปภาพ
ประเพณีลอยกระทงตามประทีป จ.พระนครศรีอยุธยา


• อธิษฐานอย่างไรดี

ดร.อภิณัฏฐ์ ได้บอกถึงวิธีอธิษฐานโดยย่อดังนี้ “ตั้งนโม ๓ จบ เสร็จแล้วบอกว่าพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา พุทธบูชามหาเตชวันโต ข้าพเจ้าขอบูชาคุณพระพุทธด้วยเครื่องสักการะนี้ ในการบูชานี้ขอให้ข้าพเจ้าอุดมด้วยเดชเดชะ ธรรมบูชามหาปัญโญ ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรมเจ้าด้วยเครื่องสักการะนี้ ด้วยการบูชาครั้งนี้ขอให้ข้าพเจ้าอุดมด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ สังฆบูชามหาเตชวโห ด้วยการบูชาพระสังฆเจ้าด้วยเครื่องบูชานี้ ขอให้ข้าพเจ้าจงอุดมด้วยโภคสมบัติ แล้วบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเรียงเสียงอะไร อยู่บ้านที่ไหน ได้อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินพระแม่ธรณี อันจะกลับไปสู่แผ่นพระแม่ธรณีเช่นเดิม หล่อเลี้ยงชีวิตให้ชุ่มชื่นด้วยพระแม่คงคา ด้วยคุณน้ำคุณนทีมีความอบอุ่น เพราะอาหารอันทำให้เกิดความอบอุ่นแห่งไฟในร่างกายเคลื่อนไหวได้ด้วยธาตุลม ขอเอาทั้งหมดมาประชุมกันเพื่อเป็นเครื่องบูชาในวันนี้ อาศัยเอาท่าน้ำสายน้ำนี้เป็นเครื่องบูชาความบริบูรณ์ของพระพุทธเจ้า มีวิชาและจารณะเป็นต้น

วันนี้ข้าพเจ้าบูชาแล้วซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในโอกาสวันเพ็ญเดือน ๑๒ ขออวิชชาทั้งปวง กิเลสทั้งหลายของข้าพเจ้าจงบรรเทาหายหมดไป ขอปัญญาข้าพเจ้ารุ่งเรืองผ่องใสดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ นี้เถิด แล้วก็ตั้งใจวางลงไปด้วยความเคารพนบนอบบูชา พอลอยไปเสร็จแล้ว ก็บอกว่าข้าพเจ้าขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงในสายน้ำนทีนี้ และที่ใดๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้เคยข้ามได้เคยเหยียบได้เคยใช้ ล่วงล้ำก้ำเกิน จะเป็นด้วยกายวาจาใจก็ดี ทั้งนี้เพราะว่าข้าพเจ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่มีปัญญาลึกซึ้ง ข้าพเจ้าขอขมาในสิ่งนี้ด้วย แล้วกลับบ้านไปไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิจิตใจผ่องใส จะทำแบบนี้ก็ได้ หรืออาจจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือมีจารีตที่เคยกระทำมา ก็ไม่ว่ากัน”

รูปภาพ
ประเพณีลอยกระทง ย้อนเวลา หาวิถีไทย จ.ฉะเชิงเทรา


ลอยกระทงของนานาชาติ

พม่า ลอยเพื่อบูชาพระอุปคุต พระยานาค ที่อยู่กลางสะดือทะเล แต่ก็ไม่มีการบรรจุอาหารหรือสิ่งของลงไปในกระทง มีต้นเหตุเรื่องลอยกระทงของชาวบ้านเรื่องหนึ่งว่า พระเจ้าธรรมาโศกราชจะทรงสร้างพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ แต่ถูกพระยามารคุกคามทำลายพระเจดีย์เหล่านั้น พระเจ้าธรรมาโศกราชจึงทรงขอร้องพระอุปโคต พระยานาค ให้ช่วยจับพระยามารด้วย พระอุปคุตจึงจัดการปราบพระยามารเป็นผลสำเร็จ แต่นั้นมาราษฎรจึงทำพิธีลอยกระทงเพื่อขอบคุณพระอุปโคต พระยานาค สืบมาทุกปี

กัมพูชา มีการลอยสองครั้ง คือ ลอยกระทงของหลวงกลางเดือน ๑๑ ส่วนราษฎรก็ทำกระทงเล็กและบรรจุอาหารไปด้วย แต่ไม่มีเสื้อผ้าหรือของอื่น ส่วนกลางเดือน ๑๒ จะมีกระทงของหลวงเป็นกระทงใหญ่ ราษฎรจะไม่ได้ทำ และกระทงนี้จะมีอาหารบรรจุลงไปด้วย โดยมีคติว่าเพื่อส่งส่วนบุญไปให้เปรต

อินเดีย เป็นเรื่องที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์จนไม่ทราบสาเหตุ จึงเป็นเพียงการปฏิบัติสืบกันมาเป็นประเพณี เป็นเรื่องบูชาพระเป็นเจ้าหรือเทวดาที่ตนนับถือเท่านั้น สิ่งของที่บรรจุในกระทงจึงมีแต่ประทีปและดอกไม้บูชามากกว่าอย่างอื่น การลอยไม่มีการกำหนดเป็นฤดูกาลแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นหากอยู่ในที่ดอนก็จะนำกระทงไปวางบนดินเฉยๆ ก็มี

รูปภาพ

ลาว เป็นการบูชาแม่น้ำด้วยการลอยประทีปและไหลเรือไฟ โดยเชื่อว่าเป็นการบูชาคุณแห่งแม่น้ำโขงที่เลี้ยงดูมา และเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จกลับมาจากการเทศนาโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

จีน ประเทศจีนทางตอนเหนือในหน้าน้ำ น้ำท่วมเสมอ บางปีไหลแรงมากจนทำให้มีคนจมน้ำตายนับจำนวนเป็นแสนๆ ประเทศจีนจึงมักมีการลอยกระทงในช่วงเดือนเจ็ด (ตามปฏิทินจีน) เพราะเชื่อกันว่าเป็นเดือนแห่งวิญญาณ มีการจุดประทีปโคมไฟลอยน้ำ เพื่อเป็นไฟนำทางแก่วิญญาณเร่ร่อน เพื่อมุ่งไปสู่การเดินทางของจิตวิญญาณไปยังปรโลก ในกระทงจะจุดโคมและมีอาหารบรรจุเพื่อเป็นทานแก่ดวงวิญญาณ

นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศเวียดนาม เกาหลี หรือญี่ปุ่น ก็มีพิธีกรรมในการขอขมาและลอยทุกข์ลงในน้ำเช่นกัน โดยสันนิษฐานกันว่าต้นแบบของความเชื่อนี้มาจากศาสนาพุทธแบบมหายานที่แพร่หลายไปจากประเทศจีน

รูปภาพ

(มีต่อ)

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


แก้ไขล่าสุดโดย สาวิกาน้อย เมื่อ 24 ต.ค. 2009, 10:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 08:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


จะใช้อะไรทำ “กระทง” มีทางเลือกไหน...ถ้าไม่ลอยโฟม

ปัจจุบันก็มีกระทงทางเลือกมากมายที่ไม่กลายเป็นขยะย่อยสลายยากเหมือนกระทงโฟม อาทิ กระทงแป้งมันสำปะหลัง กระทงขนมปัง กระทงดอกบัว กระทงใบตอง กระทงกะลา กระทงหยวกกล้วย และกระทงอีกมากมายตามแต่ความคิดสร้างสรรค์จะรังสรรค์ออกมา นับเป็นโชคดีของคนรักสิ่งแวดล้อมในยุคนี้

รูปภาพ
กระทงมันสำปะหลัง

รูปภาพ
กระทงขนมปัง

รูปภาพ
กระทงดอกบัว

รูปภาพ
กระทงกะลา

รูปภาพ
กระทงกาบกล้วย

รูปภาพ
กระทงใบพารา

รูปภาพ
กระทงลอตเตอรี่

รูปภาพ
กระทงใบตอง


:b8: :b8: :b8: บทความจากหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการออนไลน์

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 มิ.ย. 2004, 01:20
โพสต์: 1785


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

:b37: ลอยกระทงออนไลน์ที่ไหนดี

ต่อไปนี้คือบางส่วนของเว็บไซต์ที่เปิดให้นักท่องเน็ตชาวไทยทั่วโลก ได้ลอยกระทงขอขมาพระแม่คงคาแบบไฮเทค หนึ่งคือ loikrathong.net ที่ยกจังหวัดเชียงใหม่ ตาก พระนครศรีอยุธยา สุโขทัย และกรุงเทพมหานคร มาไว้ให้เลือกตามใจชอบ, thaihealth.net เปิดให้มีการจุดเทียนธูปเพื่อความสมจริง ขณะที่ mthai.com เน้นเรื่องคำอธิษฐานที่ผู้ใช้รายอื่นสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ ชอบแบบไหนเลือกเลย

http://www.loikrathong.net/th/loy_online_th.swf

http://www.mthai.com/loykrathong

http://www.myfri3nd.com/board/view_topi ... st_id=3007

http://season.sanook.com/loykrathong

รูปภาพ

:b8: :b8: :b8: โดย หนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการออนไลน์

:b47: กระทู้เกี่ยวเนื่องกัน :b47:

• วิถีบุญ วิถีธรรม : ลอยกระทง...อธิษฐานอะไรดี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=26454

• ตำนาน วันลอยกระทง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=43935

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ร่วมด้วยช่วยกันครับ :b4: :b38: :b39: :b40: :b41: :b42: :b43: :b44: :b45: :b49: :b48:

รูปภาพ
ทางเดินสายคลาสสิคสู่ “พระมณฑปพระพุทธบาท”
วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี



การลอยกระทงในเมืองไทยมีมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย เรียกว่า การลอยพระประทีป หรือ ลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทงหรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแค้วนทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า แม่น้ำเนรพุททา

รูปภาพ

การลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท

รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้สักการบูชา

การลอยกระทงที่มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ยังมีอีก 2 เรื่อง คือ

1. การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ และ

2. การลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธองค์ในวันที่เสด็จกลับจากเทวโลก


รูปภาพ

ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี

เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ในเวลากลางคืนด้วยม้ากัณฐกะ พร้อมนายฉันนะ มหาดเล็กผู้ตามเสด็จ ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที เจ้าชายทรงขับม้ากัณฐกะกระโจนข้ามแม่น้ำไปโดยสวัสดี เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด ตรัสให้นายฉันนะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระนคร ทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา โดยเปล่งวาจา “สาธุ โข ปพฺพชฺชา” แล้ว จึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับพระเมาลีไว้ และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณี เจดียสถานในเทวโลก

พระจุฬามณี ตามปกติมีเทวดาเหาะมาบูชาเป็นประจำ แม้พระศรีอริยเมตไตรยเทวโพธิสัตว์ ซึ่งในอนาคตจะมาจุติบนโลกและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งก็ยังเสด็จมาไหว้ การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี จึงถือเป็นการไหว้บูชาพระศรีอริยไตรยด้วย


รูปภาพ

ตำนานการลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หลังจากเผยพระธรรมคำสั่งสอนแก่สาธุชนโดยทั่วไปได้ระยะหนึ่ง จึงเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา ครั้งจำพรรษาจนครบ 3 เดือน พระองค์จึงเสด็จกลับลงสู่โลกมนุษย์ เมื่อท้าวสักกเทวราชทราบพุทธประสงค์ จึงเนรมิตบันไดทิพย์ขึ้น อันมี บันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้ว ทอดลงสู่ประตูเมืองสังกัสสนคร บันไดแก้วนั้นเป็นที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลง บันไดทองเป็นที่สำหรับเทพยดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ บันไดเงินสำหรับพรหมทั้งหลายส่งเสด็จ

ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพและประชาชนทั้งหลายได้พร้อมใจกันทำการสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามคตินี้จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิภพ (เป็นตำนานเดียวกับประเพณีการตักบาตรเทโวฯ รับเสด็จพระพุทธองค์ลงจากดาวดึงส์)


รูปภาพ

การลอยกระทงเพื่อบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์

ยังมีพิธีการลอยกระทงตามคติพราหมณ์อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งกระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ พระนารายณ์ที่บรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร นิยมทำกันในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็น 2 ระยะ จะทำในกำหนดใดก็ได้

รูปภาพ
“รอยพระพุทธบาท” ภายในพระมณฑปพระพุทธบาท
วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี



ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหม

นิทานต้นเหตุเกี่ยวกับอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นนิทานชาวบ้าน กล่าวถึงเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ในป่าหิมพานต์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำ วันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหากินแล้วหลงทาง กลับรังไม่ได้ ปล่อยให้นางกาตัวเมียซึ่งกกไข่อยู่ 5 ฟองรอด้วยความกระวนกระวายใจ

จนมีพายุใหญ่พัดรังกระจัดกระจาย ฟองไข่ตกลงน้ำ แม่กาถูกลมพัดไปทางหนึ่ง
เมื่อแม่กาย้อนกลับมา มีรังไม่พบฟองไข่ จึงร้องไห้จนขาดใจตาย ไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมอยู่ในพรหมโลก ฟองไข่ทั้ง 5 นั้นลอยน้ำไปในสถานที่ต่างๆ บรรดาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์ มาพบเข้า จึงนำไปรักษาไว้ตัวละ 1 ฟอง ครั้งถึงกำหนดฟักกลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมด ไม่มีฟองไหนเกิดมาเป็นลูกกาตามชาติกำเนิดเลย กุมารทั้ง 5 ต่างเห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาสและเห็นอานิสงส์ในการบรรพชา จึงลามารดาเลี้ยงไปบวชเป็นฤาษี ฤาษีทั้ง 5 ได้มีโอกาสพบปะกันและถามถึงนามวงศ์และมารดาของกันและกัน จึงทราบว่าเป็นพี่น้องกัน ฤาษีทั้ง 5 มีนามดังนี้


คนแรก ชื่อ กกุสันโธ (วงศ์ไก่)
คนที่สอง ชื่อ โกนาคมโน (วงศ์นาค)
คนที่สาม ชื่อ กัสสโป (วงศ์เต่า)
คนที่สี่ ชื่อ โคตโม (วงศ์โค)
คนที่ห้า ชื่อ เมตเตยโย (วงศ์ราชสีห์)

ต่างตั้งจิตอธิษฐาน ว่าถ้าต่อไปจะได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ร้อนไปถึงมารดา ด้วยแรงอธิษฐาน ท้าวพกาพรหมจึงเสด็จมาจากเทวโลก จำแลงองค์เป็นกาเผือก แล้วเล่าเรื่องราวแต่หนหลังให้ฟัง พร้อมบอกว่าถ้าคิดถึงมารดา เมื่อถึงเพ็ญเดือน 11 เดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกา ปักธูปเทียนบูชาลอยกระทงในแม่น้ำ ทำอย่างนี้เรียกว่าคิดถึงมารดา แล้วท้าวพกาพรหมก็ลากลับไป

ตั้งแต่นั้นมาจึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหม แล้วเพื่อบูชารอยพระบาทซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ส่วนฤาษีทั้ง 5 ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้

ฤาษีองค์แรก กกุสันโธ ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกกุสันโธ

ฤาษีองค์ที่สอง โกนาคมโน ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโกนาคมน์

ฤาษีองค์ที่สาม กัสสโป ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกัสสปะ

ฤาษีองค์ที่สี่ โคตโม ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม

ฤาษีองค์ที่ห้า เมตเตยโย ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรย

พระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรกได้มาบังเกิดบนโลกแล้วในอดีตกาล พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 4 คือ พระสมณโคดม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 คือ พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดบนโลกในอนาคต ได้แก่ พระศรีอาริยเมตไตรย

รูปภาพ
รูปหล่อพระอุปคุตต์


ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตต์

การลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตต์นี้ เป็นประเพณีของชาวเหนือและชาวพม่า พระอุปคุตต์ เป็นพระอรหันตเถระหลังสมัยพุทธกาล โดยมีตำนานความเป็นมาดังนี้

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้โปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์และพุทธวิหารขึ้นทั่วชมพูทวีป มหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ “อโศการาม” ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแคว้นมคธ หลังจากที่สร้างพระสถูปเจดีย์ถึง 84,000 องค์สำเร็จแล้ว พระเจ้าอโศกทรงมีพระราชประสงค์จะนำพระบรมสารีริกธาตุของสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบรรจุในในพระสถูปต่างๆ และบรรจุในพระมหาสถูปองค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นใหม่ มีความสูงประมาณครึ่งโยชน์ และประดับประดาด้วยแก้วต่างๆ ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาให้ปาฎลีบุตร อีกทั้งต้องการให้มีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน

แต่ด้วยเกรงว่าพญามารจะมาทำลายพิธีฉลอง มีเพียงพระอุปคุตต์ที่ไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลเพียงท่านเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถปราบพญามารได้ เมื่อพระอุปคุตต์ปราบพญามารจนสำนึกตัวหันมายึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว พระอุปคุตต์จึงลงไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลตามเดิม

พระอุปคุตต์นี้ไทยเรียกว่า พระบัวเข็ม ชาวไทยเหนือหรือชาวอีสานและชาวพม่านับถือพระอุปคุตต์มาก ชาวพม่าไม่ว่าจะมีงานอะไรเป็นต้องนิมนต์มาเช้าพิธีด้วยเสมอ ไทยเราใช้บูชาในพิธีขอฝนหรือพิธีมงคล ฯลฯ


:b37: :b37: :b37:

:b8: :b8: :b8: คัดมาจาก : หนังสือ ประเพณี พิธีมงคล และวันสำคัญของไทย
ธนากิต เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ปิรามิด พิมพ์ครั้งที่ 4 : ชมรมเด็ก, 2539

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


แก้ไขล่าสุดโดย ฌาณ เมื่อ 31 ต.ค. 2008, 09:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ย. 2008, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ย. 2008, 11:39
โพสต์: 316

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b18: :b16: :b17:

.....................................................
คิดดี พูดดี ทำดี มองเเต่ดีเถิด...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 15:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2008, 14:58
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณค่ะ
ได้ประโยชน์มากเลยค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร