ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
วัฒนธรรมสุวรรณภูมิในงานพระเมรุ (ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์) http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=19045 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 13 พ.ย. 2008, 23:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | วัฒนธรรมสุวรรณภูมิในงานพระเมรุ (ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์) |
(พระเมรุสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ณ บริเวณท้องสนามหลวง) วั ฒ น ธ ร ร ม สุ ว ร ร ณ ภู มิ ใ น ง า น พ ร ะ เ ม รุ ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ งานพระสุเมรุ หรือการทำศพเจ้านายชั้นสูงนั้น ตั้งอยู่บนฐานความเชื่อเกี่ยวกับการกำจัดศพอยู่สามอย่าง คือ ความเชื่อดั้งเดิมที่ปรากฏในหมู่ลายชนชาติของอุษาคเนย์ ศาสนาฮินดู และพระพุทธศาสนา ทั้งสามส่วนนี้ประกอบพิธีขึ้นโดยผสมกลมกลืนกัน แต่ความเชื่อดั้งเดิมเป็นแกนหลัก ส่วนอื่นประกอบเข้ามาในภายหลังและออกจะอยู่ที่ผิวนอก โ ล ก นี้ โ ล ก ห น้ า : แ ล ะ พิ ธี ศ พ ใ น ค ว า ม เ ชื่ อ ดั้ ง เ ดิ ม มีหลักฐานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้วว่า ผู้คนในอุษาคเนย์เชื่อว่าคนตายจะไปอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษ ซึ่งอาจอยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้วงน้ำ หรือบนยอดเขาสูง นั่นก็คือดินแดนของบรรพบุรุษ ภาพสลักบนกลองมโหระทึกชิ้นหนึ่ง แสดงการเดินทางของวิญญาณผู้ตายไปยังดินแดนบรรพบุรุษโดยทางเรือ บรรพบุรุษในดินแดนแห่งนี้คือพลังชีวิต หรือพลังที่ก่อให้เกิดความงอกงามบนพื้นโลก อาจติดต่อกับลูกหลานในโลกได้โดยผ่านพิธีกรรม และตราบเท่าที่ลูกหลานยังรักษาความสัมพันธ์ของบรรพบุรุษไว้ พลังชีวิตก็จะหลั่งเข้ามาชีวิตและแผ่นดินของลูกหลานตลอดไป ฉะนั้นการประกอบพิธีกรรมที่ถูกต้องเพื่อให้ได้รับพลังชีวิตที่ขาดหาย จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และหนึ่งในพิธีกรรมนี้ก็คือการทำศพ เมื่อคนตายกำลังเดินทางไปสู่แผ่นดินบรรพบุรุษ ในท้าวฮุ่งขุนเจือง ดูเหมือนวิญญาณของบรรพบุรุษเจ้าเท่านั้นที่จะกลายเป็นแถน ซึ่งสื่อสารกับชนชั้นเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่เสมอช่วยปกปักรักษาลูกหลานที่เป็นเจ้าทั้งด้วยอิทธิฤทธิ์ และการยกทัพลงมาช่วยทำสงคราม (หรือลงโทษลูกหลานที่ไม่อยู่ในฮีต ในคอง) ส่วนวิญญาณของสามัญชนและคนอื่นๆ ไม่ได้ร่วมเป็นพวกแถนด้วย ส่วนจะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรไม่ทราบได้ (ในความเชื่อของชวาและบาหลี ซึ่งจะกล่าวถึงข้างหน้า ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถรับพลังชีวิตจากบรรพบุรุษได้เท่าๆ กัน มีบางคนนั้นที่สามารถรับได้มากกว่าคนอื่น และเมื่อรับได้มากกว่าคนอื่นจึงสามารถระบายไปสู่คนอื่นหรือสังคมโดยรวมได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า เจ้าในท้าวฮุ่งเจือง คือกลุ่มคนที่สามารถรับพลังชีวิตได้มากกว่าคนธรรมดา) พิธีกรรมในการทำศพของชาวอุษาคเนย์โบราณ ก็มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งวิญญาณผู้ตายไปยังดินแดนของบรรพบุรุษ แต่เรารู้รายละเอียดเกี่ยวกับพิธีกรรมไม่มาก อย่างไรก็ตาม มีงานศึกษาพิธีกรรมทำศพของชาวบาหลี ซึ่งน่าจะรักษาคติเก่าไว้ได้มาก จึงขอนำมากล่าวสังเขปในที่นี้ เมื่อคนสำคัญ เช่นนักบวชหรือหัวหน้าหมู่บ้านถึงแก่กรรม เขาจะปล่อยให้ศพเน่าเปื่อยผุพังไปจนเหลือแต่โครงกระดูก แล้วจึงนำกระดูกนั้นลงไห นำไหไปฝังแล้วก็ตั้งรูปหินหรือไม้ของผู้ตายไว้เหนือหลุมศพ รูปเคารพนี้เจตนาให้อยู่เป็นการถาวรเพื่อให้ผู้ตายหมายรู้ได้ อาจหลั่งพลังชีวิตผ่านสถานที่นั้นได้ต่อไป นี่คือการฝังศพครั้งที่สอง การปล่อยให้เน่าเปื่อยผูพังเป็นครั้งที่หนึ่ง กระดูก (ที่ที่เผาแล้วและยังเผา) ในไหพบได้ทั่วไปในอุษาคเนย์ รวมทั้งแหล่งมีชื่อเช่นทุ่งไหหิน โกศน่าจะสืบมาจากไหนี้เอง นอกจากนี้ การที่หัวหน้าหรือนักบวชถึงแก่กรรม ย่อมหมายความว่าผู้ที่มีความสามารถพิเศษในการรับพลังชีวิตจากบรรพบุรุษได้สูญสิ้นไป เป็นช่วงเวลาที่สังคมหรือชุมชนขาดความสมดุลย์อย่างยิ่ง น่ากลัวอันตรายเพราะขาดพลังชีวิตที่เหมาะสมจากบรรพบุรุษ จึงต้องมีการจัดเลี้ยงฉลองเป็นการเลี้ยงหลายวัน เพื่อดึงเอาพลังชีวิตที่ชุมชนสูญเสียไปกลับคืนมา และเพื่อปลอบขวัญคนที่ยังมีชีวิตอยู่ หนึ่งในมหรสพที่ใช้ในพิธีศพคือการเล่นหนังชวา (วายัง ปุรวา) หนังชวามีกำเนิดมาจากการบูชาบรรพบุรุษโดยแท้ เพราะเงาที่เป็นรูปคนอันบิดเบี้ยวนั้นเป็นตัวแทนอย่างดีของวิญญาณบรรพบุรุษ (เชื่อกันในเมืองไทยว่าเพราะศาสนาอิสลามห้ามทำรูปคนหรือสัตว์แข่งพระเจ้า จึงทำให้หนังชวาต้องมีรูปบิดเบี้ยว แต่ได้พบภาพแกะสักรูปวายัง ปุรวา บนหินสมัยมัชปาหิต ก่อนที่จะรับนับถือศาสนาอิสลาม แสดงว่าประเพณีทำรุตัวหนังให้บิดเบี้ยวมีมาก่อน) แม้เรื่องที่เล่นคือมหาภารตะ แต่ก็มีการแต่เติมเสริมต่อ จนอาจถือได้ว่าเป็นการบรรยายวีรกรรมของบรรพบุรุษ หลังจากชาวบาหลีรับนับถือศาสนาฮินดูแล้ว พระบรมศพของกษัตรย์ (ซึ่งเหลือแต่อัฐิ) จะถูกถวายพระเพลิง แต่ก่อนจะถวายพระเพลิงจะมีพิธีกรรม เรียกเอาดวงพระวิญญาณกลับมาสิงที่อัฐินั้นเป็นการชั่วคราว และเรียก “ร่าง” นั้นว่า “ปุษปะศรีระ” หลังการถวายพระเพลิงแล้ว ก็จะลอยส่วนใหญ่ของพระบรมอัฐิทิ้งไป มีอะไรหลายอย่างในการทำศพ “เจ้านายไทย” ที่อาจเข้าใจได้จากพิธีกรรมของบาหลี เช่นการที่พระโกศมีช่องให้พระบุพโพไหออกนั้น ( และมีพิธีกรรมที่ต้องกระทำแก่พระบุพโพนั้น) เป็นไปได้หรือไม่ว่าการทำศพให้แห้งจากเนื้อหนังมังสา จนเหลือแต่ส่วนที่อาจกลายเป็น ปุษปศรีระมากที่สุด หลังจากบรรจุพระศพลงพระโกศแล้ว ก็ต้องเอาหน้ากากทองปิดพระพักตร์ จะว่าเพื่อป้องกันความไม่น่าดูเมื่อพระศพเน่าเปื่อยแล้วก็ได้ แต่น่าสังเกตด้วยว่า “หน้ากาก” มักเป็นตัวแทนของสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ผู้สวมเสมอ ซ้ำหน้ากากทองที่ใช้สวมนั้น ก็ทำเป็นรูปหน้าที่ปราศจากความรู้สึกใดใด เรียบเฉย และสงบ เป็นไปได้หรือไม่ว่า นี่คือพิธีกรรมขั้นหนึ่งในการเตรียมพระศพไปสู่ความเป็นบรรพบุรุษ สู่ดินแดนไกลโพ้นของบรรพบุรุษ ในประเพณีโบราณงานพระเมรุเป็นมหกรรมใหญ่ ประกอบด้วยมหรสพหลายๆ ชนิด (เช่นเดียวกับงานศพของชาวบ้าน) นี่คือการชดเชยพังชีวิตที่ขาดหายไป เพราะการสูญเสียเจ้านายที่สามารถรับพลังชีวิตได้สูง และเป็นการปลอบขวัญผู้มีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ ส่วนการเก็บพระอัฐิไว้ในเจดีย์สถาน เช่นวัดประจำรัชกาล หรือวัดที่เจ้านายทรงอุปถุมภ์ ก็สอดคล้องกับการฝังอัฐิไว้ไต้รูปเคารพแทนตน เพื่อให้สามารถกลับมาคืนพลังชีวิตแก่แผ่นดินได้ตลอดไป [ภาพเขาพระสุเมรุ-สัญลักษณ์ของระบบจักรวาลใน “ไตรภูมิพระร่วง” : ภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านหลังพระแก้วมรกต ภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม] ฮิ น ดู แ ล ะ พุ ท ธ นักประวัติศาสตร์ที่เป็นที่เคารพนับถือคนหนึ่งเสนอความเห็นว่า การสร้างพระเมรุเพื่อทำศพเจ้านายชั้นผู้ใหญ่นั้น คงเริ่มมีมาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งรับเอาประเพณีของเขมรเข้ามาหาอย่าง แทนที่จะสร้างด้วยศิลาขนาดใหญ่ ก็ทำให้เป็นเครื่องไม้ที่อลังการแทน พระเมรุมาศก็คือเขาพระสุเมรุอันเป็นที่ประทับของพระอินทร์ “บรรพบุรุษ” ของชาวอุษาคเนย์ได้ถูกเปลี่ยน หรือถูกปรับให้สอดคล้องกับความเชื่อของเทพเจ้าของฮินดูพุทธมานานแล้ว การนำเอาพระบรมศพไปตั้งทื่ยอดเขาพระสุเมรุ ก็คือการส่งดวงพระวิญญาณคืนกลับไปสู่พระเป็นเจ้าโดยตรง หรือหากพูดด้วยภาษาความเชื่อดั้งเดิม คือการจำลองที่อยู่ของบรรพบุรุษขึ้นบนพื้นโลก นำพระบรมศพไปส่งถึงที่นั่นเอง ในส่วนพระราชพิธีทางพระพุทธศาสนา ซึ่งมักมีกันเป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกัน หากมองจากคติของพุทธ ก็คือการเตือนให้มี มรณานุสติ แต่หากมองจากความเชื่อดั้งเดิม คือการเสกเป่ามิให้ลูกหลานต้องสูญเสียพลังชีวิตไปกับการจากไปของผู้ตายนั่นเอง รูปโฉมภายนอกของงานพระสุเมรุอาจดูเป็นฮินดูพุทธ แต่ลึกลงไปจริงๆ แล้วก็คือการปฏิบัติสืบความเชื่อดั้งเดิมของอุษาคเนย์นั่นเอง (ที่มา : วัฒนธรรมสุวรรณภูมิในงานพระเมรุ โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์, หน้า ๑๐๔-๑๐๙ ใน “พระเมรุ” แรกมียุคกรุงศรีอยุธยา เลียนแบบนครวัด “วิษณุโลก” : สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ. (เอกสารเผยแพร่โดย กองทุนเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะ กระทรวงวัฒนธรรม; ร่วมเผยแพร่โดย สถาบันอยุธยาศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย สถาบันการศึกษาทางเลือก) |
เจ้าของ: | ร่มเย็นเป็นสุข [ 28 มี.ค. 2015, 19:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฒนธรรมสุวรรณภูมิในงานพระเมรุ : นิธิ เอียวศรีวงศ์ |
ขอโมทนาสาธุการค่ะ |
เจ้าของ: | Duangtip [ 07 พ.ย. 2019, 08:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: วัฒนธรรมสุวรรณภูมิในงานพระเมรุ (ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์) |
ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |