วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2008, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 มี.ค. 2005, 04:18
โพสต์: 1877


 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

พิธีกรรมกับจริยธรรมในสังคม
โดย ดวงเด่น นุเรมรัมย์


รูปแบบของพิธีกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมนั้น เป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้เกิดจริยธรรมในสังคมหรือไม่

“พิธีกรรม” (Rituals) หมายถึง การปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานทางวัฒนธรรมอันเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่กระทำในโอกาสต่างๆ หรือหมายถึงพฤติกรรมทางสังคมอันละเอียดอ่อนที่ถูกกำหนดขึ้นโดยขนบธรรมเนียม กฎหมาย หรือระเบียบของสังคม ซึ่งแสดงออกถึงสัญลักษณ์ของคุณค่านิยมหรือความเชื่อ พิธีกรรมเป็นรูปแบบหนึ่งของพิธีการ แต่มิได้มีความหมายตรงกันนัก

ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ พิธีการเป็นการปฏิบัติในสังคมที่มีคนจำนวนมากกว่าหนึ่งคน แต่พิธีกรรมอาจจะปฏิบัติเพียงคนเดียวก็ได้ นอกจากนี้ พิธีการมักจะจัดให้มีขึ้นในเหตุการณ์สำคัญๆ ส่วนลักษณะสำคัญของพิธีกรรมคือ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา และมักเกี่ยวข้องกับการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ในการแสดงความหมาย และมีการแสดงให้เห็นความมหัศจรรย์ หรือความสำคัญของสิ่งต่างๆ เพื่อให้บุคคลเกิดความเกรงขาม หรือเคารพนับถือด้วย (สมิทธ์ สระอุบล. ๒๕๓๔: ๖๒.)

ตามทรรศนะของท่านภิกขุโพธิ์ แสนยานุภาพ กล่าวว่า ประเพณี พิธีกรรม ก็เปรียบเสมือนคอกที่ล้อมคนในสังคมให้เข้ามารวมกันไว้เป็นหมู่ เป็นพวก เพื่อไม่ให้กระจัดกระจายกันไปต่างคนต่างทำกิจกรรมกันไปคนละทิศละทาง ไม่อาจจะร่วมกันเป็นปึกแผ่นสามัคคีกันได้ คนประเภทที่ฉลาดน้อยจำเป็นต้องเอาพิธีกรรมเข้าล้อมพวกเขาไว้ก่อน ในวันข้างหน้าถ้าพวกเขามีสติปัญญาสูงขึ้นก็จะสามารถเข้าใจและค่อยๆ ข้ามรั้วคอก คือ ประเพณีออกมาได้เอง ข้อนี้นับว่าเป็นวิธีการที่ดี ถ้าเหตุการณ์เป็นไปเช่นกล่าวมานี้

แต่เท่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันคนเราติดพิธีกรรมจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ติดอยู่ในคอกของประเพณีพิธีกรรมจนเข้าไม่ถึงหลักคำสอนที่แท้จริงของศาสนา เช่น คนไทยชาวพุทธบางคน เห็นว่าพระพุทธรูป คือ พระพุทธเจ้า อย่างคำที่นักปราชญ์ผู้หนึ่งกล่าวว่า “พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า ใบลานบังพระธรรม ผ้าเหลืองบังพระสงฆ์”

อีกประการหนึ่ง ท่านภิกขุโพธิ์ แสนยานุภาพ กล่าวว่า “ประเพณี พิธีกรรมเปรียบเสมือนเรือที่มีไว้ให้คนนั่งพายเข้าหาฝั่ง คือ ศาสนา” แต่เมื่อขึ้นฝั่งได้แล้วจงสละเรือเสีย อย่ามัวติดอยู่ในเรือนั้น ถ้ายังติดอยู่ในเรือก็ไม่ได้ขึ้นฝั่งสักที จากข้อคิดนี้แสดงให้เห็นว่า ประเพณี พิธีกรรม กับเรือนั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่จะนำคนเราไปสู่จุดหมายข้างหน้า ซึ่งอยู่นอกประเพณี พิธีกรรม และนอกเรือ ถ้าคนเรามัวติดอยู่แต่ในประเพณี พิธีกรรมก็จะไม่ได้บรรลุจุดมุ่งหมายที่แท้จริงเลย ฉะนั้น ท่านจึงแนะนำให้ทิ้งเรือเสียจึงจะถึงฝั่ง คือ แก่นแท้ของศาสนา

การปฏิบัติตามประเพณี พิธีกรรมทางศาสนาพุทธนั้น นับว่าเป็นการทำความดีเป็นบุญกุศล แต่ในที่สุดก็ต้องละทิ้งบุญนี้เสีย จึงจะถึงฝั่ง คือพระนิพพาน นั่นคือผู้ที่ได้บรรลุนิพพานเป็นพระอรหันต์ จึงเป็นผู้ละได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งบุญและบาป (ปุญญปาปปหินํ) นี่คือจุดหมายสูงสุดของพุทธศาสนา สำหรับผู้ที่เข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาเหล่านี้ แม้จะมีโอกาสเข้าร่วมทำพิธีกรรมอยู่ก็ตาม ก็ทำไปตามสังคมเพื่ออนุเคราะห์คนที่ยังติดอยู่ในคอกแห่งประเพณี พิธีกรรมเท่านั้น แต่ตัวท่านทั้งหลายเหล่านั้นหาข้องอยู่ไม่ ดั่งใจความในพุทธภาษิตที่ ว่า “สูเจ้าทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องติดอยู่ไม่” (มหาวิทยาลัยรังสิต. ๒๕๔๐.)

หากย้อนกลับไปพิจารณาประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติแล้ว จะพบว่าพิธีกรรมมีความเกี่ยวพันกับชีวิตของมนุษย์มาเนิ่นนาน ตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งพิธีกรรมต่างๆ ได้มีพัฒนาการไปตามลำดับความเจริญก้าวหน้าของสังคม และเป็นที่น่าสังเกตว่าพิธีกรรมต่างๆ นั้น นับเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งของทุกๆ ศาสนา ทั้งนี้เพราะพิธีกรรมเป็นเสมือนเครื่องมือหล่อเลี้ยงศาสนาที่คนทั่วไปถือว่า (ศาสนา) เป็นแหล่งกำเนิดของประเพณีและวัฒนธรรมต่างๆ ของสังคม

แต่กระนั้นก็ตาม การที่พิธีกรรมจะดำรงอยู่ได้ ย่อมต้องได้รับการเกื้อกูลจากศาสนาเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ก่อนที่พิธีกรรมใดๆ จะปรากฏขึ้นนั้น ย่อมต้องมีรากฐานมาจากความเชื่อและความศรัทธา รวมทั้ง ประสบการณ์ทางศาสนา (Religion Experience) ที่แต่ละปัจเจกบุคคลได้รับจากศาสนานั้นๆ อันนำไปสู่การประกอบพิธีกรรมต่างๆ เพื่อใช้เป็นสื่อหรือหนทางที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จในสิ่งที่คาดหวังไว้ ทำให้เกิดความสบายใจ และมีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไป

นอกเหนือจากนี้ พิธีกรรมและศาสนาเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันใกล้ชิดกัน เพราะมีรากฐานมาจาก “ความเชื่อ” (Beliefs) ก็คือการยอมรับสิ่งต่างๆ ว่าเป็นจริง ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นจะพิสูจน์ไม่ได้ก็ตาม ด้วยเหตุผลหรือปราศจากเหตุผลมารองรับ (สมิทธ์ สระอุบล. ๒๕๓๔: ๕๔.)

“พิธีกรรมทางศาสนา” หรือที่เรียกว่า “ศาสนพิธี” ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับศาสนาที่เป็นแบบแผนปฏิบัติสืบๆ กันมา หรือเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อทางศาสนา ซึ่งการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนานี้เป็นสิ่งที่ทุกศาสนาจะต้องมี หากชาวพุทธได้ศึกษาศาสนพิธีของศาสนาพุทธให้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วย่อมจะเป็นประโยชน์ ในฐานะที่เป็นการธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา และนำมาซึ่งความสุขในการดำเนินชีวิต

สำหรับศาสนพิธีต่างๆ ที่กระทำกันในศาสนาพุทธนั้นเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผลและมีจุดมุ่งหมาย มิใช่เกิดจากศรัทธาที่เลื่อนลอยหรือไร้เหตุผล ตัวอย่างศาสนพิธีทางพระพุทธศาสนา ยกตัวอย่างเช่น การทำบุญตักบาตร, การถวายสังฆทาน, การกราบ, การไหว้, เวียนเทียน, แห่เทียนพรรษา, เป็นต้น

จากศาสนพิธีดังกล่าวช่วยเสริมสร้างจริยธรรมในแง่ที่ว่า พิธีกรรมดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบพิธีกรรมน้อมจิตระลึกถึงความสำคัญของพิธีกรรมนั้นๆ แล้วตั้งจิตเพื่อบูชาพระรัตนตรัย และแน่นอนว่าผู้ที่เข้าร่วมในพิธีกรรมนั้นล้วนแต่มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใจ จิตใจก็จะปลอดโปร่งด้วยความอิ่มเอมในบุญกุศลที่ตนเองได้ทำ และเมื่อศาสนิกชนปฏิบัติศาสนพิธีอย่างต่อเนื่องแล้ว ย่อมมีจิตใจเป็นกุศล และการทำใจให้เป็นสมาธิย่อมทำให้เกิดปัญญา ทำให้สามารถควบคุมจิตใจให้สงบ สามารถข่มใจไม่ไหวหวั่นต่อสิ่งที่จะมากระทบกระเทือนใจ อีกทั้งการประกอบศาสนพิธีย่อมทำให้เกิดความสามัคคีขึ้นในหมู่ชนอย่างแน่แท้

สังคมไทยแม้จะมีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนาก็ตาม แต่คนบางส่วนของสังคมก็ยังคงมีความเชื่อในเรื่องที่เร้นลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีมาช้านานในสังคมไทย โดยทั่วไปความเชื่อมักจะมีเรื่องของความผูกพันกันของคนในสังคมแฝงอยู่ และสะท้อนออกมาในรูปแบบของพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งการประกอบพิธีกรรมนั้นต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชน เพื่อให้สังคมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

แต่แม้กระนั้นในส่วนของคนแต่ละคนมักมีความเชื่อ และศรัทธาต่อสิ่งต่างๆ แตกต่างกันออกไป จนนำไปสู่การประกอบพิธีกรรมตามรูปแบบความเชื่อของแต่ละคน และไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมประเภทใดๆ ก็ตามล้วนแต่มีสารัตถะอยู่ที่การเสริมสร้างความดีงาม และความบริสุทธิ์แห่งความคิดของผู้ร่วมพิธีกรรมเป็นพื้นฐาน เป็นต้นว่า การกราบไหว้หรือบูชาพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเพื่อเสริมสร้างกำลังใจและความเป็นสิริมงคลให้แก่ตน หาใช่เป็นไปเพื่อการวิงวอนร้องขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการประกอบพิธีกรรมนั้น เป็นการแสดงถึงคุณธรรมที่มีอยู่ในทรรศนะของผู้ประกอบพิธีกรรม และสิ่งที่น่าพิจารณานั่นคือการประกอบพิธีกรรมใดๆ ก็ตาม ควรคำนึงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของตน และควรเป็นพิธีกรรมที่มีประโยชน์ต่อตนเองและสังคมด้วย.


>>>>> จบ >>>>>


บรรณานุกรม

กรมการศาสนา, วัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรมการศาสนา.

มหาวิทยาลัยรังสิต. เอกสารประกอบการสอน วิชาอารยธรรมไทย. ภาคเรียนที่ ๑ : ปีการศึกษา ๒๕๔๐.

เมธีธรรมาภรณ์, พระ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). (๒๕๓๕). พุทธศาสนากับปรัชญา. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย.

ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๒๔). พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์.

เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, สำนัก. สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์แห่งชาติ. (๒๕๓๙). คำถาม-คำตอบเกี่ยวกับพุทธศาสนา เล่ม ๑ - ๒. กรุงเทพฯ.

สมิทธ์ สระอุบล. (๒๕๔๔). มานุษยวิทยาเบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ ๑). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์

คัดลอกมาจาก ::
http://www.duangden.com/Buddhism.html

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร