วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 01:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ค. 2010, 22:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




yan_l001.jpg
yan_l001.jpg [ 26.76 KiB | เปิดดู 7521 ครั้ง ]
yan_l009.jpg
yan_l009.jpg [ 24.31 KiB | เปิดดู 7517 ครั้ง ]
ในครั้งพุทธกาลพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจาก การสังคายนาพุทธศาสนาครั้งที่ ๓ (ตติยสังคายนา) แล้ว พระ พุทธศาสนาในอินเดียเริ่มร่วงโรยลง และต่อมาได้ย้ายไปประดิษฐานในลังกา ศาสนาพุทธกับพราหมณ์ในอินเดียสมัยนั้น ได้ผสมผสาน กันมา จนเกิดมีลัทธิ พุทธตันตระ (ลัทธิพุทธศาสนาอันเกี่ยวกับการใช้คาถาอาคม)เกิดขึ้น อีกลัทธิหนึ่ง

ศาสนาพราหมณ์ในขณะนั้น มีความมั่นคงเลื่อมใส ในลัทธิไสยศาสตร์มาก มีการใช้เวทมนตร์คาถาเป่าพ่นปลุกเสกและลงเลขยันต์ ประกอบ อาถรรพณ์ต่างๆแม้ในทางพระพุทธศาสนาก็ใช่ว่าจะปฏิเสธเสียทีเดียว เพราะ พระพุทธศาสนาเองก็ยังมีคุณอัศจรรย์ ที่จัดเป็น ปาฏิหาริย์ไว้ ๒ อย่าง คือ

๑. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนที่เป็นอัศจรรย์

๒. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ที่เป็นอัศจรรย์ถึงกับ พระพุทธเจ้าได้ทรงยกย่อง พระโมคคัลลานะ เถระไว้เป็น ยอดของพระภิกษุที่ทรงอิทธิฤทธิ์ หากแต่ พระองค์ไม่ทรงยกย่อง อิทธิปาฏิหาริย์เท่ากับ อนุสาสนีปาฏิหาริย์

การใช้เวทมนตร์คาถานั้น ผลสำเร็จ จะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ดวงจิตสำรวมเป็นสมาธิ และสมาธินี้ท่านจัดบาทฐาน แห่ง วิปัสสนาญาณถึงแม้หาก ว่าปุถุชนเราจะบรรลุได้อย่างสูงไม่เกินฌานสมาบัติก็ตามกระนั้นก็สามารถที่จะแสดง อิทธิฤทธิ์ ได้ตามภูมิของตน เช่น พระเทวทัตต์หนแรกที่เธอได้รูปฌาน เธอก็ยังสามารถบิดเบือน แปลงกายกระทำอวด ให้อชาตศัตรูกุมารหลงใหลเลื่อมใสได้

ส่วนอารมณ์ของรูปฌานนั้น ท่านใช้กสิณบ้างใช้คาถาบริกรรมบ้าง สุดแต่นิสัยของผู้บำเพ็ญปฏิบัติ โดยเฉพาะ ที่ใช้คาถาบริกรรมนั้น ผู้บริกรรม จะรู้ถึงเนื้อความของคาถาที่บริกรรมนั้น หรือไม่ก็ตามนั่นมิใช่สิ่ง ที่เป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะความมุ่งหมายต้องการแต่จะให้สมาธิเท่านั้น
เพื่อผลในทางอิทธิปาฏิหาริย์ที่ตนมุ่งหวังปรารถนา และการทำ สมาธิแบบนี้ ได้เจริญ แพร่หลาย มากขึ้น ได้เกิดมีคณาจารย์มุ่งสั่งสอนเวทมนตร์กัน และได้ดัดแปลงแก้ไขวิธีการทางไสยศาสตร์ ของพราหมณ์มาใช้ โดยคัดตัดตอนเอาเนื้อมนต์ของพราหมณ์นั้นออกเสีย บรรจุพระพุทธมนต์ แทรกเข้าไปแทน เพราะมาคิดเห็นกันว่ามนต์พราหมณ์ยังเรืองอานุภาพถึงอย่างนี้ ถ้าหากว่า เป็นพุทธมนต์ คงจะยิ่งกว่าเป็นแน่
ฉะนั้นในการใช้เวทมนตร์คาถาที่พวกเราพุทธศาสนิกชนปฏิบัติกันทุกวันนี้ จึงล้วนแล้วแต่เป็นพระพุทธมนต์ที่ท่าน โบราณาจารย์ดัดแปลง แก้ไขเลียนแบบอย่างวิธีทางลัทธิไสยศาสตร์เดิมมาเท่านั้นหาใช่เป็นลัทธิไสยศาสตร์ ของพราหมณ์ดังที่บางท่านเข้าใจกันไม่

การรวบรวมคัมภีร์พระเวท อย่างจริงจังเกิดขึ้นในสมัย เจ้าพระคุณพระมงคลราชมุนี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ฯ แต่เมื่อครั้ง ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีสัจจญาณมุนีอยู่นั้นพระคุณท่านเป็น ผู้สนใจในศาสตร์ ประเภทนี้อยู่มาก จึงได้พยายามรวบรวมขึ้นไว้จากสรรพตำราต่างๆ ส่วนมากเป็นของ สมเด็จ พระสังฆราช (แพ) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาจารย์ของท่าน อันได้รับสืบต่อมาจาก สมเด็จพระวันรัต (แดง) ท่านได้ตั้ง ปณิธานที่จะให้วิชาเหล่านี้ได้เผยแพร่ต่อไปเพราะเกรงว่าจะสาบสูญเสียหมด

ในการรวบรวมคัมภีร์พระเวทเหล่านี้ข้อความบางแห่งพอ ที่จะมี ต้นฉบับสอบทาน ก็ได้จัดการ สอบทานแก้ไข ให้ถูกต้อง ตามต้นฉบับเดิม ซึ่งได้คัดลอกสืบต่อกันมา แต่ก็ยังมีอักขระ เนื้อมนต์นั้นบางทีก็มีความ คลาดเคลื่อนไปบ้าง สำหรับบทที่หาต้นฉบับ สอบทานไม่ได้ ก็คงไว้ ตามรูปเดิม ซึ่งถ้าหากได้ผ่านสายตาท่าน ผู้รู้ทั้งหลายก็ได้โปรด กรุณา แก้ไขต่อเติมเสีย ให้ครบถ้วน เพื่อจะได้เป็นตำราที่ถูกต้องบริบูรณ์ ดุจต้นฉบับ ของเดิมเพื่อเป็นการเทิดทูน วิทยาการอันประเสริฐ รวมทั้งได้ดำรงคงอยู่เป็นแนวศึกษาของชั้นหลังสืบต่อไป
ยันต์ ถือว่าเป็น วิชาที่มีมาคู่กับชาติไทยเราแต่ครั้งบรรพกาล เพี้ยน มาจากคำว่า ยัญญ์ เป็นภาษาบาลีแปลว่า สิ่งที่มนุษย์ พึงเซ่น สรวงบูชา ให้มีความสุข ความเจริญ แต่ภาษาไทยเราเปลี่ยนเขียนเป็น ยันต์ ซึ่งหมายถึง รอยเส้น ที่ขีดขวางไปมาสำหรับลง คาถา

เพื่อความชัดเจน ของอักขระ (อักษรที่ลง) ครูอาจารย์สมัยโบราณจึงคิดทำเป็นตารางบ้าง (รูปเคารพ ปูชนียวัตถุต่างๆ บ้าง) แล้วเขียนอักษรลงไปในตารางหรือ รูปภาพที่คิดขึ้น เช่น เสือ สิงห์ หนุมาน ฯลฯ) จึงได้บังเกิดรูปยันต์ต่างๆ ตามที่เรานิยมนับถือกันในปัจจุบันนี้

ยันต์จำเป็นอย่างยิ่งที่ใช้ในวิชาไสยศาสตร์ ไม่ว่าเป็นชาติใดภาษาใด ที่นับถือความศักดิ์สิทธิ์ ความขลังของ พระเวท คาถาอาคมหรือพุทธมนต์ในศาสนาพุทธก็ใช้ยันต์ เพื่อลงอักขระ (อักษร)หรือตัวเลขด้วยกันทั้งนั้น นอกจากนี้แล้วการเขียนยันต์ยังปรากฏในตำราทุกชาติทุกภาษาอีกด้วย ถ้าเป็นยันต์พวกอาหรับที่แพร่หลาย หรือแม้แต่ยุโรปส่วนใหญ่ มักลงตัวเลขในยันต์ทั้งนั้น (ตัวเลขเป็นเกณฑ์กำลังของดวงดาวต่างๆ)

การลงยันต์เป็นตัวเลข (แท้จริงๆ ก็เป็นเครื่องย่อของอักขระอีกทีหนึ่ง เพื่อเป็นการประหยัดเนื้อที่ จึงย่อรวมลงใช้เป็น ตัวเลขแทนเช่น จะเขียนคาถาว่า อะสังวิสุโลปุสะพุภะ (นวหรคุณ) ก็ให้เขียนเลข ๙ ลงไปแทนแล้วภาวนาเพื่อความ มั่นคงแห่งจิต ก็ให้ภาวนาว่า อะสังวิสุโลปุสะพุภะ นั่นเอง ๓ ๕ ๗๙ (อาจหลายครั้งก็ได้)

ตำรายันต์ของไทยเราที่เป็นตัวเลข เช่น ยันต์จัตุโร ยันต์โสฬสมงคลยันต์ตรีนิสิงเห ลงเป็นตัวเลขเช่นกัน ลงพิสดารกว้างขวางมากส่วนประเทศในเอเชียมักลงยันต์เป็นตัวอักษรเป็นส่วนมาก (จีน ลาว พม่า ไทย ทิเบต ฯลฯ)

โบราณาจารย์ท่านถือว่า เส้นยันต์นั้น เปรียบเสมือน สายรกของพระพุทธเจ้า แล้วแต่นิยม เช่น ยันต์กลม หมายถึง พระพักตร์ของพระพุทธเจ้า หรือของพระพรหม

ยันต์สามเหลี่ยม หมายถึง พระรัตนตรัย (คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) หรือเทพเจ้าทั้งสาม ได้แก่ (พระพรหม อิศวร พระนารายณ์)

ยันต์สี่เหลี่ยม หมายถึง ธาตุทั้ง ๔ จตุราริยสัจจ์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ (ทุสะนิมะ)ยันต์บางชนิดทำเป็นรูปเทวดา (เทพ) มนุษย์ รูปหนุมาน รูปราชสีห์ เสือและรูปอื่นๆ ซึ่งแล้วแต่คตินิยมของเกจิอาจารย์ มาตั้งแต่สมัยโบราณ

การเขียนยันต์มีข้อห้ามอย่างหนึ่ง คือห้ามมิให้ลงอักขระหรือเลข ชนกันหรือก้าวก่ายกันกับ เส้นยันต์เป็นอันขาดมิฉะนั้นยันต์จะเสีย ใช้ไม่ได้

ประเทศไทยเท่าที่พบอักขระ ที่ใช้ลงในยันต์นั้น เฉพาะ วิชา ไสยศาสตร์ ของไทยใช้อักษร (อักขระ) เป็น อักขระขอมเพราะถือ ว่าเป็นอักษรที่ศักดิ์สิทธิ์จะมีอักษรไทยลงในยันต์อยู่บ้าง ใช้กันแถว ภาคใต้ ลงด้วย อักขระพระเจ้า (นอโม ๒๙ตัว) ซึ่งถือว่าเป็น กำเนิดปฐม อักขระ เช่น อ นอ โม พุ ทอ ธา ยอ สิ ทอ ธม ออ อา อิอี อึ อื อุ อู ฤ ฤา ฦ ฦา เอ แอ ไอใอ โอ เอา อำ อะ ฯ....

ในภาคกลาง ภาคเหนือ และอีสาน ส่วนมาก คงลงเป็น รูปอักขระขอม ขอมลาว (อักขระธรรม) บางยันต์ก็ใช้ตัวเลขแทน อักขระ ลงไปหลายๆ คำ ทั้งช่องยันต์ที่จะลงก็จำกัดที่ จึงใช้เป็นตัวเลขแทน เช่น จะเขียนหัวใจ นวหรคุณ (อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ฯ.........) ก็ใช้เขียนเลข ๙ แทนลงไป หรือหัวใจอื่นๆก็ลงตัวเลขแทน เช่นเดียวกับ พระ อภิธรรม ๗ คัมภีร์ (สังวิชาปุกะยะปะ ฯ...) เขียน ๗ แทนลงไป


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 03 พ.ค. 2010, 22:42, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.ย. 2007, 23:29
โพสต์: 1065


 ข้อมูลส่วนตัว


cool ท่านหลับอยู่

มีต่ออีกมั้ย และบทความนี้ท่านได้แต่ใดมา....?

หากได้บอกที่มาด้วย จักขอบคุณยิ่ง smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 23:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


มัทนา ณ หิมะวัน เขียน:
cool ท่านหลับอยู่

มีต่ออีกมั้ย และบทความนี้ท่านได้แต่ใดมา....?

หากได้บอกที่มาด้วย จักขอบคุณยิ่ง smiley


ลอกมาสิครับ :b13:
แต่ผมตัดออกบางส่วนครับ

ที่มา,,,ลืมแล้ว :b13: จำได้ว่าเวปพลังจิตมี แต่อันนี้ลอกมาจากที่อื่น


แก้ไขล่าสุดโดย เว็บมาสเตอร์ เมื่อ 07 พ.ค. 2010, 09:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร