วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 20:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2011, 12:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ส.ค. 2010, 13:16
โพสต์: 279

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




taweesak1.jpg
taweesak1.jpg [ 36.98 KiB | เปิดดู 2219 ครั้ง ]
ความแตกต่างระหว่าง “ผลของทาน” และ “อานิสงส์ของทาน”
อาจารย์ทวีศักดิ์ คุรุจิตธรรม

ข้าพเจ้าอยากจะสะกิดใจเพิ่มเติม
เพื่อชี้ให้ทุกท่านผู้ใฝ่ธรรมและผู้มีจิตศรัทธา
ได้ทราบถึงความแตกต่างระหว่าง “ผลของทาน”
และ “อานิสงส์ของทาน”

ซึ่งมีกล่าวไว้ใน ทานสูตร อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต
โดยพอสรุปใจความได้ดังนี้

ให้ทานเพราะ

๑. อยากได้รับผลแห่งทานที่ได้ให้ไป

เช่น ไปเกิดในที่ดีดีๆ ได้รับผลตอบแทนในทางใดทางหนึ่ง
จากทานที่ได้ให้ไป เป็นต้น

• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - ไม่มาก

๒. เห็นว่าให้ทานแล้วจะเป็นการสั่งสมบุญกุศลประจำตัวเรา

• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - ไม่มาก

๓. เห็นว่าพ่อแม่ปู่ยาตายายเคยทำกันมา ก็เลยทำตาม

• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - ไม่มาก

๔. เห็นว่าต้องการส่งเสริมและช่วยเหลือสมณพราหมณ์
ผู้ยังชีพจากทานที่มีบุคคลอื่นยื่นให้

• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - ไม่มาก

๕. ต้องการเดินตามแบบอย่างของผู้มีน้ำใจในการให้ทาน

• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - ไม่มาก

๖. เพราะหวังอยากให้ใจมีความสุข เกิด ปิติ
ความทุกข์จะได้ไม่ย่างกรายเข้ามา

• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - ไม่มาก

๗. เพราะเห็นว่าให้ทานจะเป็นเครื่องขัดเกลาจิตใจ
ให้หมดจดจากกิเลสเพื่อก้าวสู่ความเป็นพระอริยะบุคคล

• ผลของทาน - มาก
• อานิสงส์ - มาก

ท่านจะเห็นได้ว่าการให้ทาน การสร้างบุญ สร้างกุศลใดก็ตาม
แม้ผลของทานและบุญกุศลจะมีมาก

เช่น การได้เกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ
การได้เกิดเป็นเศรษฐีในโลกมนุษย์ ฯลฯ
แต่ก็ไม่อาจขัดกิเลส ๓ กองใหญ่ คือ โลภ โกรธ หลง
ให้สูญสิ้นไปจากจิตใจได้ จริงๆ

แม้คุณภาพของจิตหรือใจเราจะเหนือกว่าสามัญชนอื่นๆ
แต่ไม่อาจตัดวัฏฏะ
(การเวียนว่ายตายเกิดนั้นลงๆ จนถึงจุดสูงสุด
คือการไม่กลับมาเกิดอีกได้)

เพราะพุทธองค์ตรัสว่า

การเกิดเป็นการนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งปวงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

เพราะเมื่อมีเกิด ก็ต้องตามมาด้วยความแก่
ความเจ็บ (โรคภัยไข้เจ็บ) ความตาย
ความโศกเศร้า ความร่ำไห้รำพัน ความโทมนัส
ความคับแค้นใจ ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก
ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ความปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สิ่งนั้น ฯลฯ
ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์ทั้งสิ้น

ฉะนั้น ถ้าอยากจะดับทุกข์โดยสิ้นเชิง
ก็จะต้องไม่มาเกิดอีก
ซึ่งจะทำได้ก็ต้องตัดกิเลส ๓ กองใหญ่
อันได้แก่ โลภ (รวมราคะด้วย) โกรธ หลง
ให้หมดสิ้นไปให้เหลือเชื้อหลงเหลือ

ดังนั้นผู้ที่ยังหวังผลจากทานที่ได้ให้ไปหรือจากบุญกุศลที่ได้ทำ
ย่อมถือว่า ยังมีความอยากอยู่
แม้ผลของทานหรือบุญกุศลจะมีมาก

เพราะคำว่า “อานิสงส์” มุ่งเน้นให้จิตหมดจด
จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง
ไม่ให้หลงเหลือ เพื่อหลีกหนีการเกิดนั่นเอง
ข้าพเจ้าจึงขอฝากข้อคิดนี้ให้กับผู้อ่านทุกๆ ท่าน
เพื่อที่ทุกๆท่านจะได้ยกระดับจิตเหนือกว่า
ผู้ให้หรือผู้บำเพ็ญธรรมทั่วไป

อันเป็นเป้าหมายโดยตรงในการปฏิบัติธรรม
เพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏฏะอย่างแท้จริง........

การสร้างบารมีนั้นจะต้องไม่หวังผลตอบแทนใดใดทั้งสิ้น
จึงจะถือว่าเป็นการบารมีที่แท้จริง

ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม


คัดลอกบางตอนมามา : มาทำความเข้าใจ “ผลของทาน” และ “อานิสงส์ของทาน” ต่างกันอย่างไร
โดย อ.ทวีศักดิ์ คุรุจิตธรรม ในข่าวสารกัลยาณธรรม ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๐, หน้า ๒-๓
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร