วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=25



กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2008, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
[พระบรมรูปเขียนสีน้ำมัน สร้างสรรค์โดย อาจารย์นันทพงศ์ สินสวัสดิ์
: อาจารย์ประจำงานจิตรกรรมต้นแบบภาพปัก สวนจิตรลดา]



ท ศ พิ ธ ร า ช ธ ร ร ม ข อ ง
พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เ จ้ า อ ยู่ หั ว

พระนิพนธ์
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


อำนวยพร ท่านอธิการบดี คณาจารย์ และท่านผู้เกียรติ
วันนี้อาตมาภาพได้รับอาราธนาให้มาบรรยายในรายการบรรยายพิเศษเรื่อง
“พระราชจริยาวัตรของระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
ในหัวข้อย่อยที่ว่า “ทศพิธราชธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

ซึ่งทาง สถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา
ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ นี้

และเพื่อเฉลิมฉลองวโรกาสรัชมังคลาภิเษก ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๑
หัวข้อที่กำหนดให้บรรยายในวันนี้หากจะกล่าวกันอย่างกว้างๆ แล้ว
ก็ได้แก่เรื่องพระจริยาวัตรในด้านที่เนื่องกับพระพุทธศาสนา
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเอง

• พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า กั บ ค น ไ ท ย

คงเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า
พระพุทธศาสนาได้มีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนไทยมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์
คืออาจจะกล่าวได้ว่าเริ่มตั้งแต่ชาติไทยขึ้นมาเป็นปึกแผ่น
และก็ได้รับการอนุรักษ์สืบทอดต่อๆกันมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดยมิได้ขาดสาย

ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างพระพุทธศาสนากับคนไทยนั้น
เราอาจจะกล่าวได้อย่างกว้างๆ ว่า
มีทั้งในด้านการปกครอง การศึกษา การสังคม และจารีตประเพณี
ซึ่งทั้งหมดนี้ เมื่อประมวลเข้าด้วยกันแล้วก็รวมเรียกได้ว่า “วัฒนธรรมไทย”
อันหมายความว่า ระบบหรือแบบแผนที่สร้างความวัฒนะ
คือ ความเจริญให้แก่คนไทยหรือของคนไทย


ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า วัฒนธรรมของไทย
ทั้งในด้านการปกครอง การศึกษา การสังคมจารีตประเพณี นั้น
ได้สร้างสมหรือเจริญเติบโตขึ้นมาโดยอาศัยพระพุทธศาสนา
หรือธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นรากฐานมาโดยตลอด
ความจริงดังนี้ คงจะเห็นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทั้งโดยตรงและทางอ้อม

(มีต่อ : พระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ไทย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2008, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า กั บ พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ ไ ท ย

การปกครองของไทยแต่โบราณมา
มีศูนย์ของการปกครองรวมอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นพระประมุขของรัฐ

เมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างพระพุทธศาสนากับการปกครองของไทย
ก็คือการกล่าวถึงความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างพระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์นั่นเอง

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนา
จึงมิได้แสดงระบบหรือระบอบการปกครองทางการเองอย่างใดอย่างหนึ่ง
แสดงแต่ทางการศาสนาคือธรรม
แต่ธรรมนี่เองพึงนำไปปฏิบัติให้การทุกๆ อย่างโดยเหมาะสม


เช่น ในทางการปกครอง ทางการศึกษา ทางสังคม เป็นต้น
เพื่อให้เกิดความสุขความเจริญ เป็นวัฒนธรรม อารยธรรม ในทางต่างๆ

วิธีการที่พระพุทธเจ้าทางแสดงธรรมนั้น
คือทรงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงตามเหตุผล
ตามความเหมาะสมแก่สภาพสภาวการณ์เป็นต้นที่เกี่ยวข้อง
โดยวิธีที่จะให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ฟังในทางที่เกื้อกูล ในทางก่อให้เกิดสุข
เรียกสั้นด้วยคำในปัจจุบันว่า เพื่อความสุขความเจริญ

นอกจากนี้ ยังเป็นหลักธรรมที่นำไปปฏิบัติได้ตลอดไปทุกกาลสมัย
ธรรมที่ตรัสสอนไว้ในครั้งพุทธกาล จึงปฏิบัติได้ผลเกื้อกูล
ให้เกิดความสุข ความเจริญได้ในปัจจุบัน บัดนี้ของทุกกาลสมัย
เช่น เมื่อทรงแสดงธรรมแก่ผู้ปกครอง ก็ทรงแสดง “ทศพิธราชธรรม”
คือ ธรรมสำหรับพระราชา ๑๐ ประการ


เพราะศูนย์รวมของการปกครอง หรือกลไกสำคัญ
อันจะนำไปสู่ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการปกครองอยู่ที่ผู้ปกครอง
ตั้งต้นแต่พระราชาผู้เป็นพระประมุขของรัฐ


ฉะนั้น หลักทศพิธราชธรรม จึงเน้นความสำคัญของผู้นำ
หรือเน้นที่ตัวผู้นำ ว่าจะต้องมีคุณสมบัติหรือมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
จึงจะนำประเทศชาติไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุข


ทรงแสดง “อปริหานิยธรรม” คือ ธรรมอันจะไม่ก่อให้เกิดความเสื่อม
แต่ก่อให้เกิดความเจริญอย่างเดียว ๗ ประการ
แก่ คณะเจ้าลิจฉวีผู้ปกครองแคล้นวัชชี
ซึ่งมีจุดสำคัญของการปกครองอยู่ที่การร่วมมือร่วมใจ
ของคณะผู้ร่วมดำเนินการปกครอง หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าคณะปกครอง

ฉะนั้น หลักอปริหานิยธรรม จึงเน้นที่ความสามัคคีพร้อมเพรียง
และความเป็นธรรมของคณะผู้ปกครอง


นอกจากนี้ ก็ยังได้ทรงแสดงธรรมปลีกย่อย
อันเนื่องในการปกครองและเกี่ยวกับผู้ปกครองไว้อีกมาก

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2008, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ดังเช่น ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่แคว้นสักกะ
ตอนเช้าเสด็จเข้าบิณฑบาตในศากยนิคมแห่งหนึ่ง
ในขณะที่พราหมณ์คฤหบดีกำลังประชุมกันอยู่ในสภาด้วยกรณีย์บางอย่าง

ขณะนั้น ฝนลูกเห็บตก พระพุทธเจ้าจึงเสด็จหลบฝนเข้าไปในสภา
พวกพราหมณ์คฤหบดีได้เห็นพระองค์แล้ว กล่าวว่า

สมณะโล้นพวกไหน คงจะไม่รู้จักสภาธรรม
คือ ธรรมบัณฑิตขนบธรรมเนียมพูดเป็นของสภา

พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบว่า

“สภาที่ไม่มีสัตบุรุษ (คือผู้สงบ) หรือคนดี ไม่ชื่อว่าสภา
ผู้ไม่พูดเป็นธรรม ไม่ชื่อว่าสัตบุรุษ ผู้ละ (หรือสงบ) ราคะ โทสะ โมหะ
พูดเป็นธรรม ย่อมชื่อว่าสัตบุรุษ”


เป็นอันว่าได้ทรงประกาศว่าพระองค์รู้จักสภาธรรม

ดังนี้จะเห็นได้ว่า หลักธรรมสำหรับการปกครองพระพุทธศาสนาได้แสดงไว้นั้น
มีลักษณะเป็นกลางๆ สามารถนำมาปรับใช้ได้กับการปกครองทุกรูปแบบ


ในทางทฤษฎีนั้นเหมือนว่าคำสอนหรือหลักธรรมที่ทรงแสดงไว้แต่ละหมวด
หรือแต่ละเรื่องเหล่านี้ต่างกันหรือแยกจากกัน
แต่ในทางปฏิบัติหลักธรรมต่างๆ ล้วนมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกันเสมอ
ดังเช่น เรื่องทศพิธราชธรรม แลอปริหานิยธรรมที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

ก็หมายความว่า ผู้ปกครองควรปฏิบัติตนตาม
หลักทศพิธราชธรรม และหลักอปริหานิยธรรม
รวมทั้งตามหลักปกครองประการอื่นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการปกครอง
อันอาจจะสรุปเข้าในคำเดียว คือ “โดยธรรม เพื่อธรรม”
ได้แก่ โดยความเป็นธรรมเพื่อความเป็นธรรม


ฉะนั้น ธรรมทางการปกครองแม้จะมีเป็นอันมาก
แม้ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ก็ดี
ที่ศาสตร์การปกครองต่างๆแสดงไว้ก็ดี
ก็รวมเข้าในคำเดียวว่า
“โดยธรรม เพื่อธรรม”
ที่จะให้เกิดประโยชน์เกื้อกูล
และความสุขอันเป็นความเจริญงอกงามไพบูลย์ต่างๆ


พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงพระเจ้าจักรพรรดิโดยความว่า
พระเจ้าจักรพรรดิ ทรงยังจักรคืออำนาจให้เป็นไปโดยธรรม
จึงเป็นผู้ที่ใครๆ ปฏิวัติไม่ได้


หลักธรรมที่พระเจ้าจักรพรรดิทรงประกอบในการปกครองเพื่อให้เป็นไปโดยธรรมนั้น
ก็คือ ทรงรู้เหตุ ทรงรู้ผล ทรงรู้ประมาณ ทรงรู้กาลเวลา ทรงรู้บริษัท
แม้พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้จักเหตุ ทรงรู้จักผล
ทรงรู้จักประมาณ ทรงรู้จักกาลเวลา ทรงรู้จักบริษัทดังนี้

ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่ง กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า
ใครเป็นพระราชาของพระเจ้าจักรพรรดิ

พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบว่า คือ ธรรม นั่นเอง
เป็นราชาของพระเจ้าจักรพรรดิ


พระเจ้าจักรพรรดิจึงได้ทรงเคารพนับถือธรรม
มีธรรมเป็นธง มีธรรมเป็นใหญ่
ตรัสคำว่า “ธรรมาธิปไตย” มีธรรมเป็นใหญ่


ฉะนั้น เมื่อทุกฝ่ายยอมรับนับถือธรรมเป็นใหญ่ เป็นธรรมาธิปไตย
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสรุปไว้อย่างยิ่งที่สุดนี้
ก็สำเร็จประโยชน์ของการปกครองได้ทั้งหมด


(มีต่อ : การปกครองแบบไทย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2008, 13:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ก า ร ป ก ค ร อ ง แ บ บ ไ ท ย

สำหรับประเทศไทยนั้น แต่โบราณกาลมา
มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุข
ตามรูปแบบมาจากคตินิยมดั้งเดิมของไทยเองเป็นที่ตั้ง
ประกอบกับธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นแกน
และมีวิวัฒนาการมาโดยลำดับตามคตินิยม แบบนานาประเทศที่เกี่ยวข้อง

เช่น พราหมณ์จากอินเดีย และแบบอื่นๆที่เป็นมาโดยลำดับจนถึงปัจจุบันนี้
ตามความเหมาะสมแก่ประเทศไทย คนไทย เป็นแกนมาโดยตลอด
และมีพระมหากษตริย์เป็นองค์พระประมุขมาโดยตลอด

ลักษณะที่พระมหากษัตริย์ไทยโบราณทรงปฏิบัติเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
ทรงปฏิบัติอยู่เป็นประจำนั้น มีปรากฏในประวัติการณ์ของคนชาติไทย
นับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในรูปของพระราชานุกิจที่กำหนดไว้ในกฏมณเฑียรบาล


ดังเช่น กฏมณเฑียรบาลในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เป็นต้น
อันเป็นแบบแผนสำหรับพระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติเป็นประจำวันในการปกครองแผ่นดิน
พระราชานุกิจที่ได้ตราไว้ในกฏมณเฑียรบาลที่ตั้งขึ้นครั้งกรุงศรีอุยุธยาดังกล่าวนี้
พระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงปฏิบัติตามสืบๆ กันมาทุกพระองค์
ตั้งแต่ครั้งปรากฏกฏมณเฑียรบาลในสมัยกรุงศรีอยุยา จนกระทั่งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างก็เพียงรายละเอียด ส่วนสารัตถะนั้นยังคงเดิม
จะขอยกมาพอเป็นตัวอย่างเฉพาะที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ดังนี้

“๙ นาฬิกา เสด็จประทับหอพระฯ
ฯลฯ
๒๓ นาฬิกา โหรและราชบัณฑิตเข้าเฝ้า ทรงสนทนาธรรม”


มาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
มีเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ดังนี้

“๙ นาฬิกา เสด็จลงบาตร
๑๐ นาฬิกา เสด็จออกท้องพระโรง ถวายภัตตาหาเลี้ยงพระสงฆ์ ในท้องพระโรง ฯลฯ
๑๙ นาฬิกา เสด็จออกท้องพระโรง ทรงสดับพระธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่ง ฯลฯ


จากตัวอย่างที่ได้ยกมาพอเป็นสังเขปข้างต้นนี้
จะเห็นได้ว่า พระพุทธศาสนาได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง
กับการปกครองของไทยอย่างแนบแน่นมาโดยตลอด
ตั้งแต่อดีตกาลนานไกลมาจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบัน


และหลักธรรมสำคัญที่พระมหากษัตริย์ไทย
ทรงยึดถือปฏิบัติในการทรงปกครองแผ่นดินสืบๆ กันมาแต่โบราณกาลนั้นก็คือ

ทศพิธราชธรรม และราชธรรมประการอื่นๆ ที่พระพุทธศาสนาได้แสดงไว้
เช่น ราชสังควัตถุ ๕ จักรวรรดิวัตร ๑๒ พละ ๕ เป็นต้น


จากพระจริยาวัตรของพระมหากษัตริย์ไทยดังที่ปรากฏในพระราชานุกิจดังกล่าวแล้ว
จะเห็นได้ว่าองค์พระประมุขของชาติทรงใฝ่พระราชหฤทัยในการศึกษา
และปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นประจำวันมิได้ขาด

พระราชจริยาวัตรอันนี้มิได้ส่งผลดีเฉพาะแต่ในทางการปกครองแผ่นดินเท่านั้น
แต่เป็นผลดีแก่พระพุทธศาสนาอีกด้วย

กล่าวคือ การที่ทรงสนทนาธรรมหรือทรงสดับพระธรรมเทศนาเป็นประจำทุกวันนั้น
เป็นเหตุให้พระเถรานุเถระต้องเรียบเรียงหรือแปลคำสอนของพระพุทธศาสนา
จากพระคัมภีร์ต่างๆ เป็นบทเทศนาบ้าง เป็นบทวิสัชนาพระราชปุจฉาบ้าง
ถวายเป็นประจำวันตามที่เห็นสมควรถวายหรือตามพระราชประสงค์


ด้วยเหตุนี้เอง ตำรับตำราทางพระพุทธศาสนาในภาษาไทย
อันเป็นอุปกรณ์สำคัญในการศึกษาพระพุทธศาสนา
จึงได้เกิดขึ้นมีขึ้นตั้งแต่ครั้งโบราณ

เช่น พระไตรปิฎกแปล มิลินทปัญหาแปล พระปฐมสมโพธิ (พระพุทธประวัติ) เป็นต้น
อันนับได้ว่าเป็นการส่งเสริมการศึกษา และการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่งด้วย

เหตุไฉนพระมหากษัตริย์หรือผู้ปกครองจึงจะต้องปฏิบัติทศพิธราชธรรม

ตามคติทางพระพุทธศาสนานั้น
ถือว่าการปฏิบัติทศพิธราชธรรมก็คือการบำเพ็ญบารมีของพระมหากษัตริย์
เช่นเดียวกับการปฏิบัติบารมีธรรม ๑๐ ประการ
อันเป็นการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์


ต่างกันแต่ว่า การบำเพ็ญบารมีของพระมหากษัตริย์หรือผู้ปกครองนั้น
มุ่งผลคือ ความสุขของประชาชนในปกครอง
ส่วนการบำพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น
มุ่งผลคือความเป็นพระพุทธะหรือความหลุดพ้น


ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า ทศพิธราชธรรม
คือบารมีธรรมของผู้ปกครองแผ่นดิน
เช่นเดียวกับ บารมี ๑๐
คือบารมีธรรมของพระโพธิสัตว์ผู้มุ่งพระโพธิญาณหรือความหลุดพ้น


ฉะนั้นตามคติแห่งพระพุทธศาสนาจึงถือว่าทศพิธราชธรรมนั้น
เป็นคุณธรรมจำเป็นสำหรับผู้ปกครองแผ่นดิน
เพราะความผาสุกของแผ่นดินจะมีมากน้อยเพียงใดนั้น
ขึ้นอยู่กับธรรมของผู้ปกครองทั้งปวง


(มีต่อ : ทศพิธราชธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2008, 16:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

• ทศพิธราชธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน

ทั้งหมดที่กล่าวมาในตอนนี้
ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นมา
แห่งความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับการปกครองของไทย

ซึ่งถ้าจะกล่าวเจาะจงลงไปก็คือ
เรื่องทศพิธราชธรรมกับองค์พระประมุขของชาติไทยนั่นเอง
ในฐานะที่เป็นคุณธรรมหลักแห่งพระราชจริยาวัตร
ในการทรงปกครองแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรทั้งปวง

คุณธรรมนี้ได้เป็นที่ยึดถือปฏิบัติ
ของพระมหากษัตริย์ไทยสืบเนื่องกันตลอดมาโดยมิได้สลาย
เพราะนั้น การปกครองของมืองไทยเราตั้งแต่โบราณกาลจึงกล่าวได้ว่า
แม้องค์พระมหากษัตริย์จะทรงอยู่ในฐานะที่เรียกว่า
“สมบูรณาญาสิทธิ” หรือ “ปริมิตสิทธิ” ก็ตาม
ก็จำกัดอยู่โดยธรรม คือทรงปกครองโดยธรรม คือธรรม ปริมิตะ
คือว่ากำหนดอยู่โดยธรรมทุกกาลสมัย


ดังจะพึงเห็นได้ว่า
องค์พระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยโบราณกาลมาแล้วนั้น
มิได้มีพระบรมราชโอการในการปกครอง
ที่เป็นหลักสำคัญโดยลำพังเพียงพระองค์เดียว
แต่ย่อมมีมุขอำมาตย์มนตรี
และมีกฎหมายต่างๆ ที่บัญญัติขึ้นสำหรับในการปกครอง
ทรงบัญชาให้การปกครองนั้นเป็นไปตามตัวบทกฏหมาย เป็นต้น
ที่ได้ตราขึ้นไว้ในสมัยนั้น
ซึ่งกล่าวได้ว่า ให้เป็นไปโดยธรรม
หรือที่เรียกว่าโดยยุติธรรมนั่นเอง


เพราะฉะนั้น การปกครองแบบไทยตั้งแต่โบราณกาล
คือตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงสุโขทัยมาก็ดี จากกรุงสุโขทัยมาแล้วก็ดี
เมื่อได้รับนับถือพระพุทธศาสนามาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว
ก็ย่อมเป็นไปเช่นนั้น เป็นธรรมปริมิตะอยู่เช่นนี้เสมอเหมือนกันหมด
จะมียิ่งหรือหย่อนกันบ้างก็ตามยุคสมัยนั้นๆ


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขของชาติไทย
ก็ได้ทรงดำรงมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม
ตามเยี่ยงโบราณราชประเพณีมาโดยตลอด
นับแต่ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ
เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ เป็นต้นมา
และได้ทรงประกาศพระราชปณิธานในการปกครองแผ่นดินไว้อย่างชัดเจน

ดังพระปฐมพระบรมราชโองการที่ได้พระราชทานในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ ว่า

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

คำว่า โดยธรรมในพระบรมราชโองการนี้
พึงเข้าใจว่า ตามครรลองแห่งทศพิธราชธรรม
และพระคุณธรรมในทางพระพุทธศาสนานั่นเอง
คำสอนเรื่อง ทศพิธราชธรรม นั้น
มีแสดงไว้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาว่า
เป็นของเก่า มีมาก่อนพุทธกาล
โบราณบัณฑิตนิยมแสดงถวายพระราชาผู้ปกครองประชาชน

ครั้นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จอุบัติขึ้น
ทรงเห็นว่าเป็นคำสอนที่ดีมีประโยชน์
จึงได้ทรงนำมาตรัสสอนโดยตรัสเล่าไว้ในคัมภีร์ชาดก
นั้นเป็นที่รวมของเรื่องเก่าก่อนพุทธกาลเรียกคำสอนหมวดนี้ว่า
“ราชธรรม” มี ๑๐ ประการ คือ

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2008, 17:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


๑. ทาน

การให้ เพื่อสงเคราะห์ อนุเคราะห์ บูชา เป็นต้น

๒. ศีล

การระวังรักษาความประพฤติทางการ วาจา ตลอดถึงใจ ให้สงบเรียบร้อย

๓. ปริจาคคะ

การเสียสละ เช่น การเสียสละสุขส่วนตน เพื่อประโยชน์ส่วนสุขรวม
การเสียสละสุขที่พอประมาณเพื่อประโยชน์สุขที่เป็นส่วนใหญ่
การเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ การเสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต
การที่ยอมเสียสละทั้งชีวิต ทั้งทรัพย์เพื่อรักษาธรรม

๔. อาชชวะ

ความซื่อตรง

๕. มัททวะ

ความอ่อนโยน

๖. ตปะ

ความเพียรพยายามเพื่อกำจัดความเกียจคร้าน และความชั่ว
ในอันปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จด้วยดี ไม่ทอดทิ้งหน้าที่

๗. อักโกธะ

ความไม่โกรธ ตลอดถึงไม่พยาบาท มุ่งร้ายผู้อื่น

๘. อวิหิงสา

ความไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตลอดจนถึงสัตว์มีชีวิตให้ได้ทุกข์เดือดร้อน

๙. ขันติ

ความอดทนต่อความทุกข์ยาก ต่อถ้อยคำ
และเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ทั้งปวง

๑๐. อวิโรธนะ

การปฏิบัติไม่ให้ผิดจากทางที่ถูกที่ควร
ไม่ให้ผิดจากทำนองคลองธรรม แต่ให้เป็นไปตามธรรม

เนื่องจากราชธรรมมี ๑๐ ประการ
จึงนิยมเรียกกันว่า “ทศพิธราชธรรม”
ซึ่งแปลตรงตัวว่า ธรรมสำหรับพระราชา ๑๐ ประการ


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2008, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชจริยาวัตรเนื่องใน ทศพิธราชธรรม อย่างไรบ้าง

สำหรับประชาชนทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะมีความรู้เกี่ยวกับทศพิธราชธรรมแล้ว
ก็คงจะไม่เข้าใจหรือมองไม่เห็นว่า
ทรงมีพระราชจริยาวัตรที่นับว่าเป็นการปฏิบัติทศพิธราชธรรมอย่างไรบ้าง

แต่สำหรับผู้ที่รู้เรื่องทศพิธราชธรรมดีก็คงประจักษ์ด้วยตนเองว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น
ทรงมีพระราชจริยาวัตรที่มั่นคงอยู่ในหลักทศพิธราชธรรมอย่างไรบ้าง
พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในด้านต่างๆ
เท่าที่ทรงปฏิบัติเป็นประโยชน์สุขแก่ประชาชาติและประชาชน
นับแต่เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติมาจนกระทั่งถึงบัดนี้
ซึ่งเป็นเวลายาวนานถึง ๔๒ ปีนั้น
มีมากมายเกินกว่าที่จะบรรยายได้ในที่นี้

และพระราชกรณียกิจเหล่านั้น
ก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงพระราชจริยาวัตรอันนับเนื่องใน ทศพิธราชธรรม ทั้งนั้น

ในที่นี้จะขอนำมาแสดงพอเป็นตัวอย่าง
เพื่อประกอบความเข้าใจในเรื่องทศพิธราชธรรม
แต่เพียงบางประการเท่าที่เวลาจะอำนวยให้
พระราชกรณียกิจที่สำคัญประการหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่พวกเราคุ้นหูคุ้นตากันเป็นอย่างดี
ก็คือการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเยียนประชาชนในที่ต่างๆ
ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค

และทุกครั้งที่เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมเยียนนั้น
ก็จะพระราชทานสิ่งของต่างๆ แก่ประชาชนของพวกเขาเหล่านั้น
เพื่อเป็นการช่วยบรรเทาหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประชาชนบ้าง
เพื่อเป็นการช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้นบ้าง

เช่น ในดินแดนที่ห่างไกลไร้สถานที่ศึกษา
ก็พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
ให้สร้างโรงเรียนตลอดถึงพระราชทานอุปกรณ์การเรียนแก่นักเรียน
ในที่ที่ประชาชนขาดที่ที่ทำมาหากิน ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้มีการจัดสรรที่ดินให้ประชาชนเข้าทำมาหากิน
ในรูปของโครงการจัดพัฒนาที่ดินตามพระราชประสงค์

เช่น โครงการฯ หุบกะพงจังหวัดเพชรบุรี
โครงการฯ ทุ่งลุยลาย จังหวัดชัยภูมิ
และพระราชทานที่นาของสำนักงานทรัพย์สินส่วนมหากษัตริย์ในจังหวัดต่างๆ
รวมกว่า ๕๐,๐๐๐ ไร่สำหรับจัดสรรให้ประชาชนผู้ยากจนทำกิน เป็นต้น

ในบางท้องที่ที่ขาดแคลนอุปกรณ์การเกษตร
ก็ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอุปกรณ์ที่จำเป็น
พร้อมทั้งพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆ
ในท้องถิ่นที่ขาดแคลนน้ำก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัดสร้างเหมืองฝายบ้าง อ่างเก็บน้ำบ้าง
พระราชทานหรือพระราชทานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบ้างเป็นต้น

นอกจากจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพัสดุสิ่งของอันจำเป็นแก่การยังชีพ
และการพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้นในด้านต่างๆ ดังกล่าวแล้ว
ยังได้ทรงกรุณาพระราชทานพระราชดำริและพระราชดำรัสในทางวิชาการ
อันเป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์และพัฒนาการศึกษา การอาชีพ การสุขอนามัย
และความเป็นอยู่ของประชาชนอีกเป็นอเนกประการ

ดังเป็นที่รู้กันอยู่ สิ่งที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่ประชาชน
ในลักษณะต่างๆ ดังกล่าวมานี้
ก็มีทั้งส่วนที่พระราชทานจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
และจากทุนทรัพย์ที่มีผู้โดยเสด็จพระราชกุศล

ที่กล่าวมาพอเป็นตัวอย่างนี้ก็
คือพระราชจริยาวัตรในส่วนที่เป็นการปฏิบัติ

ทศพิธราชธรรม ข้อที่ ๑ คือ ทาน

การให้ปันอันเป็นการเฉลี่ยความสุขแก่ผู้อื่นตามควรแก่ฐานะนั้นเอง
และจะเห็นได้ว่า สิ่งที่พระราชทานแก่ประชาชนนั้น
มีทั้งพัสดุสิ่งของและความรู้ความคิดอันเป็นประโยชน์

ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า
พระราชจริยาวัตรใน ทศพิธราชธรรมข้อที่ ๑ คือ ทาน นั้น
ได้ทรงปฏิบัติอย่างครบถ้วน คือทั้ง อามิสทาน
การให้ปันพัสดุสิ่งของและ ธรรมทาน
การให้ปันธรรม คือ ความรู้ ความคิด
และข้อแนะนำอันเป็นประโยชน์ต่อผู้รับในด้านต่างๆ

ผู้ที่มีโอกาสได้เฝ้าแทนหรือใกลชิดพระยุคลบาท คงจะได้ประจักษ์ว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น
ทรงมีพระราชจริยาวัตรทั้งทางพระกายและพระวาจาสงบเรียบร้อยงดงาม
ทรงดำรงพระองค์อยู่ในความสงบและมั่นคง
ไม่ว่าจะเสด็จฯหรือประทับ ณ ที่ใดๆ ไม่ว่าจะอยู่ทามกลางสถานการณ์ใดๆ
ไม่ทรงกระทำการใดๆ ที่จะก่อให้เกิดเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ผู้อื่น

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2008, 10:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


ตรงกันข้าม ทรงปฏิบัติแต่พระราชภารกิจ
อันจะก่อประโยชน์สุขทั้งแก่ทั้งพระองค์เองและผู้อื่นเท่านั้น
ไม่ตรัสพระวาจาอันจะก่อให้เกิดความแตกร้าวและเสียหายต่อผู้อื่น

แต่ตรัสเท่าที่จำเป็นและในสิ่งที่มีประโยชน์เท่านั้น
อันแสดงถึงการที่ทรงควบคุมพระองค์ได้เป็นเลิศในทุกสถานการณ์

ฉะนั้น ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จฯ หรือประทับอยู่ ณ ที่ใด
จึงเป็นที่เย็นใจของผู้ใกล้ชิด
เป็นที่เคารพยำเกรงของผู้ประสบพบเห็น
และเป็นที่ชื่นชมของพสกนิกรทั่วไป

พระราชจริยาวัตรอันสงบเยือกเย็นและงดงาม ดังนี้
นับได้ว่าเป็นการทรงปฏิบัติใน ทศพิธราชธรรรม ข้อที่ ๒ คือ ศีล
การระวังรักษาความประพฤติทางกาย ทางวาจาให้สงบเรียบร้อย
ด้วยทรงรักษาพระราชหฤทัยให้สงบเรียบร้อย

นอกจากจะทรงดำรงพระองค์อยู่ในศีลอย่างมั่นคงแล้ว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงใฝ่พระราชหฤทัยศึกษา
และปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาตลอดมามิได้ขาด
ทำให้พระราชหฤทัยประกอบด้วยพระคุณธรรมอื่นๆ อีกอเนกประการ
อันเป็นผลสนับสนุนให้ทรงดำรงพระองค์อยู่ในศีลอย่างมั่นคงได้
โดยไม่ลำบากจนกลายเป็นพระปกตินิสัย
ซึ่งเป็นศีลแท้ดังเป็นที่ปารกฎเราท่านทั้งหลายแล้ว


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงใช้เวลาเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนประชาชนในถิ่นต่างๆ
ทุกภาคของพระราชอาณาจักรประมาณปีละ ๘ เดือน
ท้องถิ่นที่เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมเยียนนั้น บางแห่งก็ทุรกันดารมาก

บางแห่งถึงต้องเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเป็นระยะทางนับเป็นกิโลเมตร
แต่ก็มิได้ทำให้ทรงย่อท้อพระราชหฤทัย
เพราะทรงมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นในอันที่จะเสด็จฯ ไปให้ถึงที่ที่มีปัญหา

ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จฯ ไป
ทอดพระเนตรทุกข์สุขของประชาชนด้วยพระองค์เอง
เพื่อที่จะได้ทรงประจักษ์ถึงปัญหาและความต้องการของประชาชนโดยตรงด้วยพระองค์
ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะได้พระราชทานความช่วยเหลือ
หรือที่จะพระราชทานพระราชดำริแนะนำได้อย่างถูกต้อง
คราวหนึ่งได้ทรงมีพระราชดำรัสกับนักข่าวว่า

“ในหลายๆ ประเทศ
สถาบันกษัตริย์เปรียบเสมือนรูปปิระมิดที่มีประชาชนเป็นฐาน
สูงขึ้นไปก็มีข้าราชการต่างๆ และกษัตริย์อยู่บนยอดปิระมิด
แต่หน้าที่ของพระมหากษัตริย์ไทยในปัจจุบัน
กลับกันเป็นปิระมิดที่คว่ำหัวลง

คือ ประชาชนประชาชนทั้งหลายอยู่ข้างบน
และสถาบันพระมหากษัตริย์กลับอยู่ข้างล่างสุด
ทำหน้าที่บริการสนองความต้องการของประชาชนที่อยู่ข้างบน”


จากพระราชดำรัสนี้แสดงถึงพระราชปณิธานในอันที่จะทรงปฏิบัติพระองค์
เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
ตามพระปฐมบรมราชโองการที่พระราชทานประชาชนว่า

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

ด้วยพระราชปณิธานดั่งนี้นั่นเอง ที่กระตุ้นเตือนให้พระองค์
ทรงเสียสละความสุขสำราญส่วนพระองค์เสด็จฯ
ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ ในที่ทุกสถาน
ไม่ว่าจะใกล้ไกลหรือยากลำบากเพียงไร
ดังเป็นภาพที่คุ้นตาของพวกเราทั้งหลายอยู่แล้ว

ซึ่งอันที่จริงแล้วโดยฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์
อันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของชาติ
พระองค์ไม่จำต้องทรงปฏิบัติดังกล่าวมาแล้วข้างต้นก็ได้

แต่ด้วยพลังแห่งพระมหากรุณาและพระราชปณิธานอันแน่วแน่
จึงทำให้พระองค์ไม่อาจจะทรงเฉยเมยต่อความเป็นไปของพสกนิกรของพระองค์ได้


พระราชกรณียกิจในส่วนนี้
นับได้ว่าเป็นการเสียสละประโยชน์สุขส่วนพระองค์
เพื่อประชาชนและประเทศชาติโดยแท้
นับได้ว่าเป็นพระราชจริยาวัตรใน ทศพิธราชธรรม ข้อที่ ๓ คือ ปริจจาคะ
การเสียสละประโยชน์สุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2008, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

การที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ อย่างเที่ยงตรงต่อภาระหน้าที่
เที่ยงตรงต่อกาลเวลา และเที่ยงตรงพระราชปณิธานในพระราชหฤทัย
ที่ทรงมีต่อพสกนิกร โดยมิได้ทรงละเลยและย่อท้อนั้น
นับว่าเป็นพระราชจริยาวัตร ใน ทศพิธราชธรรม ข้อที่ ๔ คือ อาชชวะ
ความซื่อตรงต่อตนเอง ต่อหน้าที่ และต่อประชาชน

และด้วยพระราชสำนึกในพระคุณธรรมข้อนี้นั้นเอง
บางครั้งแม้จะทรงพระประชวร หากไม่มีพระอาการมากจนเกินไป
ก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจโดยมิได้ทรงผัดเพี้ยน


ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ
ไม่ว่าจะในวโรกาสใด หรือ ณ สถานที่ใด
จะทรงมีความละมุนละไมและอ่อนโยนเสมอ

เป็นต้นว่า ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับประชาชนตามควรแก่ฐานะ
ด้วยพระพักตร์ที่ยิ้มแย้ม ด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนโยนเป็นปกติ
โดยมิได้ทรงแบ่งชั้นวรรณะ และโดยมิได้ทรงถือพระองค์

บ่อยครั้งที่เราจะเห็นภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ประทับราบบนพื้นเพื่อทรงสนทนากับประชาชน

พระราชจริยาวัตรในส่วนนี้นับได้ว่า
ทรงปฏิบัติใน ทศพิธราชธรรมข้อที่ ๕ คือ มัททวะ
ความอ่อนโยน ไม่เย่อหยิ่งถือตัว

และด้วยพระคุณธรรมข้อนี้นั้นเองจึงทรงเป็นที่เคารพรักของประชาชนทั่วไป
ไม่ว่าจะเสด็จ ที่ไหนประชาชนต่างก็พอใจที่จะเฝ้าชมพระบารมีโดยไม่รู้จักเบื่อ
บางคนอาจจะเดินทางมาจากที่ไกลๆ
เพียงเพื่อขอได้เฝ้าชมพระบารมีเท่านั้นก็พอใจแล้ว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้พระราชทานโครงการและพระราชดำริไว้มากมายหลายสาขา
ในอันที่จะบรรเทาหรือแก้ไขปญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน
ตลอดถึงได้ทรงติดตามตรวจสอบผล
อันจะพึงได้จากโครงการและพระราชดำรินั้นๆ โดยใกล้ชิดเสมอ
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเสด็จฯไปทอดพระเนตร
โครงการตามพระราชดำริต่างๆ นั้นด้วยพระองค์เองเสมอมิได้ขาด

เมื่อทรงพบข้อบกพร่อง ก็จะทรงพยายามปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น
เมื่อทรงเห็นว่าได้ผลดีมีประโยชน์
ก็จะพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ส่งเสริมให้พัฒนายิ่งๆ ขึ้น
นี้นับว่าเป็นพระราชวิริยะอุตสาหะในอันที่จะแก้ไขปัญหา
และพัฒนาสิ่งที่จะเป็นประโยชน์สุขแก่ประเทศชาคิและประชาชนโดยแท้
พระองค์ทรงมีพระราชวิริยะอุตสาหะในพระราชกรณียกิจส่วนนี้อย่างมิรู้จักหยุดยั้ง

ฉะนั้น ในปัจจุบันจึงมีโครงการตามพระราชดำริในสาขาต่างๆ
เกิดขึ้นมากกว่า ๑,๐๐๐ โครงการ
ซึ่งโครงการเหล่านี้มีลักษณะคล้ายเป็นการเริ่มต้นให้รัฐบาลก่อน
เป็นแบบที่เรียกกันว่า Pilot Project
เมื่อทรงริเริ่มแล้ว รัฐบาลเห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
ก็จะเข้ามาร่วมสนับสนุนในภายหลัง

เหล่านี้คือพระราชจริยาวัตรใน ทศพิธราชธรรม ข้อที่ ๖ คือ ตปะ
ความเพียรพยายามเพื่อกำจัดสิ่งเลวร้ายและสร้างสรรค์สิ่งดีงาม
อันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นทั้งในรูปของวัตถุธรรมและนามธรรม

ส่วนพระราชจริยาวัตรอันแสดงออกซึ่งพระเมตตาต่อปวงพสกนิกรในทุกโอกาส
ที่เสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ
ไม่เคยทรงแสดงความเกรี้ยวกราดแข็งกระด้างต่อใครๆ
แต่ทรงปฏิบัติต่อบุคคลต่างๆ ด้วยความสุภาพอ่อนโยน
อย่างพอเหมาะพอควรแก่สถานะนั้น
นับเป็นการทรงปฏิบัติใน ทศพิธราชธรรม ข้อที่ ๗ อักโกธะ
ความไม่โกรธไม่แข็งกระด้างและไม่พยาบาทมุ่งร้ายต่อใครๆ
พระคุณธรรมข้อนี้ คงเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนอยู่แล้วเช่นกัน

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2008, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


เนื่องจากทรงดำรงพระองค์มั่นอยู่ใน
ทศพิธราชธรรมข้อ อักโกธะ คือความไม่โกรธ
ไม่พยาบาทมุ่งร้ายต่อใครๆ
จึงเป็นการตัดทางที่จะนำไปสู่การกระทำใดๆ
ที่จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อผู้อื่น
อย่างปราศจากศีลธรรมและเหตุผลด้วย

และก็ไม่เคยปรากฏว่า ได้ทรงกระทำการใดๆ
อันเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ตลอดไปถึงสัตว์ด้วย

มีแต่พระราชทานความร่มเย็นอันเป็นพระมหากรุณา
ในลักษณะต่างๆ ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า
ได้ทรงปฏิบัติพระองค์อยู่ใน ทศพิธราชธรรม ข้อที่ ๘ อวิหิงสา
ความไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน อย่างบริบูรณ์

การปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในโอกาสและสถานที่ต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาพอเป็นตัวอย่างทั้งหมดนี้
ล้วนแสดงให้เห็นพระคุณธรรมอีกข้อหนึ่งคือ
ขันติ ความอดทน อันเป็นทศพิธราชธรรม ข้อที่ ๙

เพราะในการทางปฏิบัติพระราชกรณียกิจในหลายๆ โอกาส ในหลายๆ สถานที่
ต้องทรงบุกป่าฝ่าดงไปเป็นระยะทางไกลๆ
บางครั้งก็ต้องทรงพระราชดำเนินไป
ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุบ้าง ท่ามกลางสายฝนบ้าง
และพระราชกรณยกิจที่ต้องทรงปฏิบัตินั้น
ก็มีมากมายจนแทบจะไม่มีเวลาทรงพระสำราญส่วนพระองค์

แต่ถึงกระนั้นก็ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ เหล่านั้น
ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีโดยมิได้ทรงย่อท้อ
ทั้งนี้ด้วยพลังแห่งพระขันติธรรมอันเต็มเปี่ยมอยู่ในพระราชหฤทัยนั่นเอง

และเมื่อประมวลพระราชจริยาวัตรทั้งมวลที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเข้าด้วยกัน
ก็จัดได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงปฏิบัติพระองค์อยู่ในทำนองคลองธรรม
และต้องตามพระราชประเพณีที่พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทั้งหลายในอดีต
ที่ได้ทรงปฏิบัติสืบๆ กันมาแต่โบราณ

ไม่ทรงปฏิบัติพระองค์แผกเพี้ยนไปจากขัตติยราชประเพณีอันดีงาม
และไม่ทรงละเลยคุณธรรมในทางพระศาสนา
ไม่ทรงแสวงหาความสุขสำราญส่วนพระองค์
โดยทรงละเลยพระราชภารกิจอันจะพึงปฏิบัติ
หรือก่อให้เกิดความทุกข์ยากแก่ประชาชน

แต่ตรงกันข้าม ทรงดำรงพระองค์มั่นอยู่ใน ทศพิธราชธรรม
ทรงใฝ่พระราชหฤทัยในการพระศาสนาและศีลธรรม
ทรงปฏิบัติรักษาขนบประเพณีอันดีงามของชาติ
และทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชนในทุกด้าน
ทั้งหมดนี้นับได้ว่าเป็นพระราชจริยาวัตรใน
ทศพิธราชธรรมข้อสุดท้าย คือ อวิโรธนะ


การไม่ปฏิบัติให้ผิดจากที่ถูกที่ควร ไม่ผิดจาดทำนองคลองธรรม
ก็คือปฏิบัติให้เป็นไปตามธรรมดังที่ได้ตรัสไว้ในพระปฐมบรมราชโองการว่า

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” นั่นเอง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ
ดังตัวอย่างที่ได้กล่าวมานี้อย่างสอดคล้องกลมกลืน
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐบาลและประชาชน
โดยมิได้ทรงยกหรือแยกพระองค์ออกไป
เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากจากรัฐบาลและประชาชน

โดยฐานที่ทรงเป็นพระองค์พระประมุขแห่งชาติ
ก็ด้วยทรงปฏิบัติพระองค์ตามหลักของทศพิธราชธรรม
เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขของปวงพสกนิกร


เช่นเดียวกับที่คนไทยทั้งปวงปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเอง
เพื่อความเจริญก้าวหน้าของชาติบ้านเมืองนั่นเอง
ทรงมีพระราชสำนึกอยู่เสมอว่าคนไทยทุกคน
ไม่ว่าจะในฐานะเป็นองค์พระประมุขแห่งรัฐคณะรัฐบาล
หรือประชาชนสามัญทั่วไป
ต่างก็จะต้องใช้สติปัญญาความสามารถ
ให้เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองตามควรแก่สถานภาพของตน
ด้วยสำนึกในความเป็นชาติและโดยมีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
เป็นหลักเป็นแกนแห่งการกระทำเสมอเหมือนกัน ไม่มียกเว้น

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2008, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ นั้น
จึงทรงปฏิบัติด้วยพระราชสำนึกและตามพระคุณธรรมมีทศพิธราชธรรม เป็นต้น
เยี่ยงที่คนไทยทั้งหลายในทุกฐานะปฏิบัติกันอยู่โดยฐานที่เป็นคนไทย
เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่
ตลอดมามิได้หยุดหย่อน นับแต่เริ่มรัชกาลเป็นต้นมาจนทุกวันนี้


ในปัจจุบันมีคณะกรรมการซึ่งมาจากหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล
ปฏิบัติสนองพระราชดำริทุกแห่ง
และมีคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการ
อันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เรียกสั้นว่า กปร.
มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้

ตามที่ได้กลาวมาค่อนข้างจะยืดยาวนี้
เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
ที่แสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงปฏิบัติตามหลักทศพิธราชธรรมอย่างไรบ้าง
และผลของการที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรมนั้น
ก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างไร
ทั้งยังเป็นการชี้ให้เห็นอีกด้วยว่า

สำหรับชาติไทยนั้น ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เป็นสิ่งที่จะแยกจากกันไม่ได้


เพราะ ชาติ ก็คือเอกภาพแห่งปวงชน
ปวงชนจะมีเอกภาพได้ก็เพราะมี พระมหากษัตริย์ หรือผู้นำเป็นจุดรวมใจ
พระมหากษัตริย์หรือผู้นำที่จะเป็นจุดรวมใจของปวงชนได้นั้น
จะต้องมี พระศาสนา คือคุณธรรมเป็นที่ยึดมั่น
เพื่อเป็นแบบบอย่างที่ดีและเป็นที่พึ่งได้ของปวงชน


พระศาสนาคือคุณธรรมจึงเท่ากับเป็นจุดศูนย์กลางของเอกภาพแห่งชาติ
เพราะจะต้องเป็นหลักยึดสำหรับทุกคนในชาติ
นับแต่พระมหากษัตริย์ตลอดไปจนถึงประชาชนทั้งปวงโดยนัยนี้
แม้คำสอนเรื่องทศพิธราชธรรมก็เช่นเดียวกัน
เป็นหลักธรรมที่ไม่เพียงแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่ควรปฏิบัติแม้รัฐบาล
ข้าราชการ ประชาชนทั่วไป ก็ควรปฏิบัติ
เพราะแต่ละคนก็มีส่วนในการปกครองด้วยกันทั้งนั้น
ต่างกันแต่มากน้อยไปตามฐานะ
เริ่มแต่ปกครองตน ปกครองสังคม ตลอดไปจนถึงปกครองประเทศ


แต่ที่ทรงยกพระราชาขึ้นมาแสดงเพราะว่า
พระราชาหรือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นธงของประเทศชาติ
ทรงเป็นแบบอย่างของประชาชน
และเป็นที่ปรากฏชัดกว่าบุคคลใดๆ ในสังคมเดียวกัน

ฉะนั้น จึงทรงอยู่ในฐานะที่ต้องให้ความสำคัญและเน้นเป็นพิเศษ
เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างแก่คนทั่วไป
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทั้งหลาย
ได้ทรงปฏิบัติมาแล้วเป็นอย่างดียอดเยี่ยม


ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ


และถ้าจะมีข้อผิดพลาดบกพร่องไม่ถูกไม่ควรประการใด
ขอพระราชทานอภัยและขออภัยท่านผู้ฟังทั่วไป

ขออวยพรแก่ทุกท่านที่มาร่วมฟังการบรรยาย
และขอเชิญให้ร่วมอธิษฐานจิตถวายถวายพระพรให้ทรงพระเจริญ


ขออวยพร.

:b8: :b8: :b8:

(ที่มา : “ทศพิธราชธรรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
: พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 08:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ค. 2009, 08:29
โพสต์: 2


 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนของพ่อต่อความพอเพียง
........ความพอเพียง...........
...คำว่า พอเพียง มีความหมายว่า พอมีพอกิน
เศรษฐกิจแบบพอเพียง หมายความว่าลิตอะไรมีพอที่จะใช้
ไม่ต้องขอยืมคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง
แปลจากภาษาฝรั่งได้ว่า ให้ยืนบนขาตัวเอง
หมายความว่า สองขาของเรายืนบนพื้นให้อยู่ได้
ไม่หกล้ม ไม่ต้องไปขอยืมของคนอื่นเพื่อที่จะยืนอยู่
................คำว่าพอ.....................
คนเราถ้าพอในความต้องการมันก็มีความโลภน้อย
เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย
พอเพียง อาจมีมาก อาจมีของหรูหราก็ได้
แต่ว่าต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2011, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ธ.ค. 2004, 19:48
โพสต์: 1732

ชื่อเล่น: admin
อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

:b8:

.....................................................
-- วิธีใช้บอร์ด --
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=11&t=22930
- สมาชิกใหม่แนะนำตัวที่นี่
http://www.dhammajak.net/forums/viewforum.php?f=29
- กฎกติกาบอร์ด
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=19110
- เครื่องมือผู้ดูแลบอร์ด -
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=11&t=23048
facebook ลานธรรมจักร
http://www.facebook.com/larndhammajak


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร