วันเวลาปัจจุบัน 15 พ.ค. 2025, 07:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2011, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่จริงแล้ว มีจุดประสงค์อธิบายถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่เนื้อหาจำต้องเกี่ยวเนื่องถึงธรรมที่ลึกซึ้ง เพราะว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้น เป็นเรื่องยากๆ ๆ ๆ จริงแม้แต่พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ยาก ดังเช่นพระอานนท์ ครั้งหนึ่งเคยพิจารณาปฏิจจสมุปบาทนี้ แล้...วไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ง่าย เพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้าจึงตอบติงพระอานนท์ว่า ปฏิจจสมุปบาทไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งพระองค์เปรียบถึงความลึกของน้ำว่า ๑. บางครั้งดูน้ำเหมือนว่า ลึก แต่ความจริง ตื้น ๒. บางครั้งดูน้ำเหมือนตื้น แต่ความจริง ลึก ๓. บางครั้งดูน้ำเหมือนว่า ตื้น แต่ความจริง ตื้น ๔ บางครั้งดู้น้ำเหมือนลึก แต่ความจริง ลึก พระพุทธเจ้าสรุปว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื้องลึก และมีความลึกซึ้งเกินกว่าปัญญาปุถุชนทั่วไปจะรู้ได้ ดังนั้น อาจารย์พยายามอย่างเต็มที่ เพราะเนื้อหาต่อไป จะค่อยๆ คลี่คลายทีละเปราะ และการยกตัวอย่างให้ชัดกว่านี้ ก็จะกลายเป็นนอกประเด็นไป จะพยายายาม

จาก พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2011, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๗ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
เราได้รู้จัก “อวิชชา” พอสังเขปแล้ว ดูซิว่า “อวิชชา” เป็นต้นเหตุให้เกิดอะไรบ้าง ซึ่งล้อปฏิจจสมุปบาท เริ่มหมุนแล้ว ให้ติดตามไปดูได้ดังต่อไปนี้

๒. การปรุงแต่งที่ถูกจัดแจงด้วยบุญ บาป เพื่อจะไปเกิดๆ ตายๆ ในภพทั้งสามคือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ การปรุงแต่งนี้เรียกว่า “สังขาร” เมื่อเนื่องกับภพทั้งสาม ก็เป็น สังขารในกามภพ, สังขารในรูปภพ, สังขารในอรูปภพ ต่อไปนี้จะแสดงความสัมพันธ์ “เหตุ” “ผล” คือ
*****อวิชชาในกามภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด สังขารทั้งหลาย ในกามภพ (...คือ อบาย ๔ มี นรกเป็นต้น จัดเป็นกามภพ ที่มีบาปอกุศลปรุงแต่งจัดแจง, มนุษย์ และสวรรค์ จัดเป็นกามภพ ที่บุญกุศลปรุงแต่งจัดแจง);
อวิชชาในรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดสังขารทั้งหลายในรูปภพ (คือ รูปพรหม ๑๖ ชั้น จัดเป็นรูปภพ ที่บุญอเนญชาปรุงแต่งจัดแจง);
อวิชชาในอรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดสังขารทั้งหลาย ในอรูปภพ (คือ อรูปพรหม ๔ ชั้น จัดเป็นอรูปภพ ที่บุญอเนญชาปรุงแต่งจัดแจง)*****
หมายเหตุ คำว่า “สังขาร” แปลว่า การปรุงแต่งจัดแจง การทำบุญกุศล และการทำบาปอกุศล โดยทั่วไปปรุงแต่งจัดแจง ส่งผลให้เกิดในภพภูมิต่างๆ และปรุงแต่งจัดแจงทำให้ได้รับผลสุขทุกข์ต่างๆ หลังเกิดในภพภูมินั้นๆ แล้ว
๓. ปฏิสนธิวิญญาณ คือ จิตที่ทำหน้าที่เกิด อันมีบุญบาปปรุงแต่งให้เกิด ปฏิสนธิวิญญาณนี้เรียกว่า “วิญญาณ” เมื่อเนื่องกับภพทั้งสาม ก็เป็น ปฏิสนธิวิญญาณในกามภพ, ปฏิสนธิวิญญาณในรูปภพ, ปฏิสนธิวิญญาณในอรูปภพ ต่อไปนี้จะแสดงความสัมพันธ์ “เหตุ” “ผล” คือ
***** สังขารในกามภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณในกามภพ
สังขารในรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณในรูปภพ
สังขารในอรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดปฏิสนธิวิญญาณในอรูปภพ *****
หมายเหตุ คำว่า “วิญญาณ” โดยทั่วไปจะคิดไปว่า “วิญญาณ คือ ผีที่ล่องลอย ไม่ผุดเกิด” ซึ่งผิดหลักพระพุทธศาสนา ตามความเป็นจริงแล้ว เมื่อตายปั๊ป ก็เกิดปุ๊ป ทันทีทันควันไม่มีระหว่างคั่น แล้วที่เรียกว่า “ผี” คือ ซากศพ เป็นคำเรียก ของคนไทยเวลาไป เผาศพ ก็เรียกว่า “ไปเผาผี” แล้วที่บอกว่า “เห็นผี” นั้น คือ เห็น “เปรต” ซึ่งเป็นสัตว์ผู้เกิด ในอบายภูมิ ที่มีโอกาสรับส่วนบุญ จากญาติของตน หรือผู้ที่ตนสื่อถึงได้ เพื่อให้คนเหล่านั้นอุทิศส่วนกุศล จึงเกิดธรรมเนียม “ทำบุญครบ ๗ วัน” ก็มิได้หมายถึง “ผีล่องลอย”

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2011, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๘ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ว่าตามพระพุทธศาสนาแล้ว จะไม่มี “ผี” หรือ “วิญญาณ” ตามที่เข้าใจกัน แต่เป็น “เปรตที่ตายจากมนุษย์” มาขอส่วนบุญส่วนกุศล เพื่อทำตนให้พ้นจากอบาย คือ เปรต ในภพภูมิเปรตนั่นเอง

ภพภูมิของเปรตก็อยู่บนโลกมนุษย์ ที่เรียกว่า “ภพ” จึงหมายถึงความเป็นอยู่ เปรตจะมีรูปร่างแปลก และแตกต่างกัน ตามอกุศลกรรม ที่ตนได้กระทำไว้ เช่น เปรตมีปากเท่ารูเข็ม หิวกระหาย จะกินอะไร ก็ไม่ได้ แม้แต่น้ำก็ดื่มกินได้ไม่สะดวก เพราะได้ทำอกุศลกรรมคื...อ ด่าพ่อแม่ หรือเปรต ที่มีท้องเท่าภูเขา ภายในท้อง มีไฟแผดเผา เพราะได้ทำอกุศลกรรม คือความละโมบโลภมาก ชอบกอบโกย ในทางทุจริต อยากได้ไม่สิ้นสุด เป็นอันว่า “วิญญาณ” ก็คือ “จิต” ทั้งจิต และวิญญาณ (เป็นชื่อที่เรียกแทนกัน) มีธรรมชาติ รู้นึกคิดอารมณ์ เมื่อไม่มีอารมณ์ จิตก็ไม่เกิดขึ้น; คำว่า “อารมณ์” แปลว่า ยึด, เหนี่ยว อันได้แก่ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สภาพเย็น, ร้อน, อ่อน, แข็ง, หย่อน, ตึง) และธัมมารมณ์ (เรื่องราวที่ทำ ให้เกิดการคิดทางใจ) ดังนั้น สี เป็น อารมณ์ ให้แก่วิญญาณจิต ที่เกิดทางตา ได้เห็น, เสียง เป็น อารมณ์ ให้แก่วิญญาณจิต ที่เกิดทางหู ได้ยิน, กลิ่น เป็น อารมณ์ ให้แก่วิญญาณจิต ที่เกิดทางจมูก ได้รู้กลิ่น, รส เป็น อารมณ์ ให้แก่วิญญาณจิต ที่เกิดทางลิ้น ได้รู้รส, โผฏฐัพพะ เป็น อารมณ์ ให้แก่วิญญาณจิต ที่เกิดทางกาย ได้รู้สัมผัสถูกต้อง, ธัมมารมณ์ เป็น อารมณ์ ให้แก่วิญญาณจิต ที่เกิดทางใจ ได้นึกคิด ในเรื่อง “วิญญาณ” “จิต” นี้ จำเป็นจะต้องศึกษา ให้ละเอียด คงแสดงให้เข้าใจ ในตอนนี้ ได้เพียงนี้ก่อน
๔. ร่างกายและจิตใจ ที่เป็นอยู่นี้ พระพุทธเจ้าทรงแบ่งเป็น ๕ กอง เรียกว่า “ขันธ์ ๕” เมื่อย่อ ได้เป็น ๒ คือ รูปขันธ์ เรียกว่า “รูป” เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ เรียกว่า “นาม” ดังนั้น ขันธ์ ๕ จึงย่อเรียกว่า “นามรูป” เมื่อเนื่องกับภพทั้งสาม จึงเป็น นามรูปในกามภพ, นามรูปในรูปภพ, นามในอรูปภพ ต่อไปนี้จะแสดงความสัมพันธ์ “เหตุ” “ผล” คือ
*****ปฏิสนธิวิญญาณในกามภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดนามรูปในกามภพ.
ปฏิสนธิวิญญาณในรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดนามรูป ในรูปภพ.
ปฏิสนธิวิญญาณในอรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดนามอย่างเดียว ในอรูปภพ.*****
หมายเหตุ คำว่า “ขันธ์ ๕” ได้แก่ ๑. รูปขันธ์ กองรูป คือ เนื้อ หนัง กระดูก น้ำเลือด น้ำหนอง เป็นต้น ๒. เวทนาขันธ์ กองเวทนา คือ ความรู้สึกทุกข์กาย ทุกข์ใจ สุขกาย สุขใจ และเฉยๆ ๓. สัญญาขันธ์ กองสัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ว่า ช้อน ปากกา ข้าว เป็นต้น ๔. สังขารขันธ์ คือ สภาวะปรุงแต่งใจ ทำให้โลภ โกรธ เป็นต้น ๕. วิญญาณขันธ์ คือ จิตที่มีธรรมชาติรู้อารมณ์ คำว่า “นามในอรูปภพ” หมายความว่า ในอรูปพรหมนั้น เป็นพรหมที่ไม่มีรูปธรรม มีแต่นามธรรม ซึ่งเรียกว่า “นามขันธ์ ๔” ในภูมินี้ จะไม่มีการมองเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการรู้กลิ่น ไม่มีการรู้รส และไม่มีการรู้สัมผัสถูกต้อง มีแต่นามธรรมที่เกี่ยวข้อง กับอรูปฌาน ซึ่งมีความเห็นว่า “รูปธรรม” มีโทษ ฉะนั้นเมื่อจะไปเกิดในอรูปพรหม จึงมีเพียงนามอย่างเดียวเท่านั้นไปเกิด

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2011, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๙ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
เราได้รู้จักนามธรรม และรูปธรรม ซึ่งนามธรรม เน้นไปที่ “จิต” “วิญญาณ” เพราะเมื่อจิต(วิญญาณขันธ์) ไม่เกิด “เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์” ก็จะไม่เกิดเช่นเดียวกัน ส่วนรูปธรรมเน้นไปที่รูปที่เป็นแหล่งเกิดจิต

๕. แหล่งกำเนิด เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อ เรียกว่า “อายตนะ” ซึ่งแหล่งกำเนิด เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อ มี ๖ เรียกว่า “สฬายตนะ” เมื่อเนื่องกับภพทั้งสาม จึงเป็น สฬายตนะในกามภพ; อายตนะ ๓ ในรูปภพ; อายตนะหนึ่งเดียวในอรูปภพ ต่อไปนี้จะแสดงความสัมพันธ์... “เหตุ” “ผล” คือ
*****นามรูปในกามภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดอายตนะ ๖ ในกามภพ. นามรูปในรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดอายตนะทั้ง ๓ ในรูปภพ. นามในอรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดอายตะอย่างเดียว ในอรูปภพ.*****
หมายเหตุ คำว่า “สฬายตนะ” ได้แก่ ๑. แหล่งกำเนิดทางตา เรียกว่า “จักขายตนะ” เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อให้เห็น ๒. แหล่งกำเนิดทางหู เรียกว่า “โสตายตนะ” เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อให้ได้ยิน ๓. แหล่งกำเนิดทางจมูก เรียกว่า “ฆานายตนะ” เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อให้รู้กลิ่น ๔. แหล่งกำเนิดทางลิ้น เรียกว่า “ชิวหายตนะ” เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อให้ลิ้มรส ๕. แหล่งกำเนิดทางกาย เรียกว่า “กายายตนะ” เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อให้รู้สัมผัส ๖. แหล่งกำเนิดทางหัวใจ เรียกว่า “มนายตนะ” เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อให้นึกคิดได้; ในกามภพเท่านั้นที่จะมี อายนะได้ครบทั้ง ๖ ในภพที่เหลือจะมีไม่ครบ; คำว่า “อายตนะ ๓ ในรูปภพ” หมายความว่า พรหมผู้เกิด ในรูปภพนั้น จะมีแหล่งกำเนิด เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อ มีเพียง ๓ เท่านั้น คือ จักขายตนะ โสตายตนะ และมนายตนะ; คำว่า “อายตนะหนึ่งเดียวในอรูปภพ” หมายความว่า พรหมที่ไม่มีรูปธรรม ในอรูปภพ จะมีแหล่งกำเนิด เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อมีเพียง ๑ เท่านั้น คือ มนายตนะ ครั้นรู้เช่นนี้บางคนอาจจะคิดถึงรูปร่างหน้าตา ของพรหม ว่าเป็นอย่างไรหนอ ไม่ต้องคิดมาก รูปทรงสัณฐานอย่างเราๆ นี่แหละ

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๑๐ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)เจริญพร
เรารู้จัก “อายตนะ” เป็นแหล่งกำเนิดของจิต เป็นเหตุเกิดความรู้สึกนึกคิดต่างๆ นี่แหละ คือ จุดเริ่มต้น การทำกุศล อกุศลต่างๆ กลายเป็น กุศลกรรม อกุศลกรรม

จนต้องรับผลกรรมนั้นๆ ซึ่งต่อไปใกล้จะค่อยๆ คลี่คลาย ในเหตุ และผล ของปฏิจจสมุปบาท ดังนี้
๖. การกระทบ เกิดจาก “จิต” รู้อารมณ์ ในแหล่งกำเนิดทั้ง ๖ เรียกการกระทบว่า “ผัสสะ” เช่น การร่วมพร้อมกันของ จักขายตนะ กับ รูปารมณ์ ทำให้เกิด จักขุสัมผัสสะ เป...็นต้น เมื่อเนื่องกับภพทั้งสาม จึงเป็น ผัสสะในกามภพ; ผัสสะ ๓ คือ จักขุสัมผัสสะ โสตสัมผัสสะ และมโนสัมผัสสะ ในรูปภพ; ผัสสะหนึ่งเดียว คือ มโมสัมผัสสะ ในอรูปภพ ต่อไปนี้จะแสดงความสัมพันธ์ “เหตุ” “ผล” คือ
*****อายตนะ ๖ ในกามภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดผัสสะ ๖ อย่าง ในกามภพ. ๓ อายตนะในรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด ๓ ผัสสะในรูปภพ. ๑ อายตนะในอรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด ๑ ผัสสะในอรูปภพ. *****
หมายเหตุ เมื่อมีการปฏิสนธิแล้ว นามรูปเกิด ในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่แสดงให้เห็น ถึงความเป็นตัวตนเลย ถ้าเราสมมติว่า จะทำให้เห็นตัวตนก็จะมี “ตา” ได้แก่ ลูกตา ภายในลูกตา มีแหล่งกำเนิด ที่เรียกว่า “จักขายตนะ” ดังนั้น ลูกตาทั้งลูก ไม่ใช่ จักขายตนะๆ นี้เป็นแหล่งกำเนิดของ “จิต” ที่เกิดทางตา เรียกว่า “จักขุวิญญาณจิต” ที่ทำหน้าที่เห็น “สี” ที่เรียกว่า “รูปารมณ์” องค์ประกอบ ในการเห็นมี ๔ อย่าง คือ วัตถุ(สีหรือภาพ) แสงกระทบ จักขายตนะ จักขุวิญญาณ เมื่อจะเปรียบ ก็เหมือน “กล้องถ่ายรูป” แผ่นฟิล์ม เหมือน “จักขุวิญญาณ” เพราะสีหรือภาพ จะไปติดที่ฟิล์ม เหมือนทำหน้าที่เห็น ตัวชัตเตอร์ (เป็นตัวให้แสงที่กระทบ สีหรือภาพเข้าติดที่ฟิล์ม) เหมือน “จักขายตนะ” องค์ประกอบทำงาน ร่วมพร้อมกัน ของ รูปารมณ์ จักขุวิญญาณ จักขายตนะ ทั้ง ๓ นี้ จนสำเร็จเป็น “ผัสสะ” แปลว่า การกระทบ เปรียบได้กับ สีหรือภาพ ฟิล์ม และชัตเตอร์ สำเร็จเป็นรูปภาพ ส่วนเปลือกตาที่เปิด และเลนซ์ตา เปรียบเหมือน การเปิดหน้ากล้อง; การกระทบอารมณ์ ของผัสสะนี้ ไม่เหมือนกับการกระทบกันระหว่าง รูป ต่อ รูป เช่น มือ ๒ ข้างกระทบกัน หรือวัตถุ ๒ สิ่งกระทบกัน แต่เป็นการกระทบ ในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ตามสภาวะ แต่บางคราวการกระทบ อารมณ์ตามสภาวะ ที่ชื่อว่า ผัสสะนี้ ก็ปรากฏชัดเจน คล้ายกับมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากระทบกับกาย เช่น ขณะที่แลเห็นคนอื่น กำลังกินของเปรี้ยวๆ อยู่ ผู้เห็นก็รู้สึกน้ำลายไหล หรือคนใดคนหนึ่ง กำลังลับมีดอยู่บนหินลับมีด คนที่ได้ยินเสียง แซดๆ นั้นแล้วเกดอาการเสียวฟัน หรือบางคนที่ใจอ่อน มองเห็นคน ขึ้นไปบนที่สูงมากๆ ก็รู้สึกเสียวกลัวแทน มีอาการขาสั่นใจหวิว หรือคนขี้ขลาด เห็นคนตีกัน เลือดไหลอาบ ก็รู้สึ่กใจสั่นเป็นลมล้มพับไป หรือผู้ที่ได้เข้าไปในสถานที่สงบเงียบ มีสัปบุรุษทั้งหลายกำลังบำเพ็ญกัมมัฏฐานอยู่ เมื่อได้แลเห็นบุคคล และสถานที่เช่นนี้แล้ว ก็มีความรู้สึกว่าจิตใจสบายชุ่มชื่นผ่องใสขึ้นทันที ความเป็นดังกล่าวนี้ ก็คือ การกระทบกันระหว่างจิตกับอารมณ์ที่เรียกว่า ผัสสะนั่นเอง

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2011, 00:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๑๑ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)เจริญพร
๗. ธรรมชาติที่เสวยอารมณ์ มี ๓ อย่าง คือ สุข ทุกข์ เฉยๆ ชื่อว่า “เวทนา” แต่เมื่อเวทนา เกี่ยวกนื่องกับผัสสะการกระทบ จึงมี ๖ อย่าง คือ

๑. การเสวยอารมณ์ที่เกิดขึ้น โดยอาศัยการกระทบกัน ระหว่างจักขุวิญญาณ กับรูปารมณ์ ชื่อว่า จักขุสัมผัสสชาเวทนา;
๒. การเสวยอารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัย การกระทบกันระหว่าง โสตวิญญาณ กับสัททารมณ์(เสียง) ชื่อว่า โสตสัมผัสสชาเวทนา;
๓. การเสวยอารมณ์ ...ที่เกิดขึ้นโดยอาศัย การกระทบกันระหว่างฆานวิญญาณ กับคันธารมณ์(กลิ่น) ชื่อว่า ฆานสัมผัสสชาเวทนา;
๔. การเสวยอารมณ์ ที่เกิดขึ้นโดยอาศัย การกระทบกันระหว่าง ชิวหาวิญญาณ กับรสารมณ์(รส) ชื่อว่า ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา;
๕. การเสวยอารมณ์ ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยการกระทบ กันระหว่างกายวิญญาณ กับโผฏฐัพพารมณ์(เย็น,ร้อน,อ่อน,แข็ง,หย่อน,ตึง) ชื่อว่า กายสัมผัสสชาเวทนา; ๖. การเสวยอารมณ์ที่เกิดขึ้น โดยอาศัยการกระทบกัน ระหว่างมโนวิญญาณ กับธัมมารมณ์(เรื่องที่คิด) ชื่อว่า มโนสัมผัสสชาเวทนา ต่อไปนี้จะแสดงความสัมพันธ์ “เหตุ” “ผล” คือ
*****ผัสสะ
๖ ในกามภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดเวทนา ๖ในกามภพ. ๓ ผัสสะ คือ จักขุสัมผัส, โสตสัมผัส, มโนสัมผัสในรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด ๓ เวทนาในรูปภพนั้น นั่นเอง. ผัสสะ ๑ คือ มโนสัมผัส ในอรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดเวทนา ๑ ในอรูปภพนั้นนั่นเอง. *****

หมายเหตุ ความสุข ได้แก่ สุขกาย สุขใจ ความทุกข์ ได้แก่ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ ความรู้สึกเฉยๆ เวทนาเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ เพราะอาศัยผัสสะการกระทบกันระหว่าง จิต กับ อารมณ์ ฉะนั้น ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี จะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ กำลังของผัสสะ เมื่อการกระทบn ระหว่างจิตกับอารมณ์ มีกำลังมาก ความสุข ทุกข์ จะปรากฏมาก เมื่อการกระทบ ระหว่างจิตกับอารมณ์ มีกำลังน้อยความสุข ทุกข์ จะปรากฏน้อย เหมือนขณะกินอาหาร ฟันมีหน้าที่เคี้ยวบดอาหาร ลิ้นมีหน้าที่รู้รส ถ้าฟันบดเคี้ยวอาหารไม่เต็มที่ ลิ้นก็รู้รสได้ไม่ชัดเจน ถ้าฟันบดเคี้ยวอาหารเต็มที่ ลิ้นก็รู้รสได้ชัดเจน ผัสสะก็เหมือนฟัน เวทนาเหมือนการรู้รสของลิ้น อารมณ์เหมือนอาหาร ผัสสะการกระทบกันระหว่างจิตกับอารมณ์เหมือนการเคี้ยวอาหาร กำลังการกระทบมากหรือน้อย เหมือนการเคี้ยวอาหารได้เต็มที่และไม่เต็มที่ อย่างเช่น การดูภาพยนต์ ถ้าเห็นหรือได้ยินไม่ชัด อาจจะเป็นเพราะนั่งไกลเกินไป หรือนั่งตำแหน่งที่มีแสงสว่างน้อยเกินไป ผัสสการกระทบมีกำลังน้อย คนที่ดูจึงต้องขยับตำแหน่งให้ใกล้ หรือที่มีแสงสว่างมาก เพื่อจะได้เห็น หรือได้ยินชัดเจนขึ้น เวทนาการเสวยอารมณ์สุข ทุกข์ปรากฏชัดเจน ในขณะใดที่เวทนากำลังเสวยความสุขในอารมณ์อยู่ ก็ทำให้บุคคลผู้นั้น มีหน้าตาแจ่มใสชื่นบาน แต่ในขณะที่เวทนากำลังเสวยความทุกข์ในอารมณ์ บุคคลนั้น มีหน้าตาเศร้าหมอง

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2011, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๑๒ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)เจริญพร
๘. สัตว์บุคคลยินดีติดใจวัตถุกาม มี รูป เสียง เป็นต้น ชื่อว่า “ตัณหา” เมื่อจำแนกโดยอารมณ์มี ๖ คือ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา (ยินดีติใจในธรรมารมณ์ คือ สภาพเรื่องต่างๆ ที่คิด) ต่อไปนี้จะแสดงความสัมพันธ์ “เหตุ” “ผล” คือ

*****เวทนา ๖ ในกามภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดกองตัณหา ๖ มีรูปตัณหาเป็นต้น ในกามภพ. เวทนา ๓... คือ รูปตัณหา สัททตัณหา ธัมมตัณหา ในรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดกองตัณหา ๓ ในรูปภพนั้นนั่นเอง. เวทนา ๑ ธัมมตัณหา ในอรูปภพ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดกองตัณหา ๑ ในอรูปภพ. *****
หมายเหตุ สภาพการรับรู้ อารมณ์ที่เป็นวัตถุกาม มี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และสภาพเรื่องต่างๆ ที่คิด ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเหตุให้เกิดตัณหาความยินดีติดใจ แก่คนธรรมดาทั่วไป ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะอาศัยเวทนา คือ ความรู้สึกในการเห็น ได้ยิน เป็นต้นนั่นเอง และเมื่อยินดีติดใจในอารมณ์ใดก็ตาม จะต้องเป็นอารมณ์ที่ตนได้เคยประสบมาแล้ว หรือกำลังได้รับอยู่ ถ้าอารมณ์ที่ตนยังไม่เคยพบ ตัณหาเกิดได้ยาก เพราะเวทนา ยังไม่เคยเสวยอารมณ์นั่นเอง ซึ่งเป็นตามหลักที่ว่า “เวทนา เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดตัณหา”; ตัณหาพอใจติดใจในอารมณ์มีรูป เป็นต้น ที่เป็นเหตุให้เกิดสุขเวทนา และตัณหานั้นก็พอใจติดใจสุขเวทนาที่กำลังได้รับ จนเกิดความปรารถนายิ่งๆ ขึ้น ส่วนผู้ที่กำลังได้รับความทุกข์ลำบากไม่สบายต่างๆ ก็จะคิดความสุข และอารมณ์ที่จะทำให้เกิดความสุข แล้วพยายามขวนขวายหาทางที่จะพ้นจากความทุกข์ลำบากนั้นๆ ด้วยวิธีต่างๆ เมื่อเป็นคนเจ็บไข้ ก็พยายามหาหมอรักษา หรือซื้อยามาทาน ครั้นยังไม่พ้นทุกข์เหล่านั้น ก็รำพึงรำพันว่า เมื่อไรจะหายหนอ นี้ก็เป็นเพราะอาศัยอำนาจตัณหาที่เกิดเนื่องมาจากทุกขเวทนาเป็นเหตุนั้นเอง ดังนั้น ทุกขเวทนาก็เป็นเหตุให้เกิดตัณหาได้เช่นกัน ส่วนผู้ที่อยู่ปกติไม่ทุกข์ไม่สุขที่เป็นพิเศษ จัดเป็นอุเบกขา ซึ่งมีสภาพที่สงบ คล้ายกับสุขเวทนา ก็ทำให้มีความยินดีพอใจต่ออุเบกขาเวทนานี้ และคิดว่า “แม้ว่าจะไม่ได้รับความสุขพิเศษ ก็ขอให้เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ไป ขอให้ความทุกข์อย่าได้เกิดขึ้นเลย นี้เป็นเพราะอำนาจตัณหาที่เกิดเนื่องมาจากอุเบกขาเวทนาเป็นเหตุ ดังนั้น อุเบกขาเวทนา เป็นเหตุปัจจัยให้ตัณหาเกิดได้
เมื่อจำแนกตัณหาโดยอารมณ์มี ๖ อย่าง คือ รูปตัณหาเป็นต้น นั่นก็คือ รูปารมณ์มากระทบกับจักขายตนะ(แหล่งกำเนิดจักขุวิญญาณ) จักขุวิญญาณก็เกิดขึ้น พร้อม ผัสสะ เวทนา ทำหน้าที่เห็น เสร็จแล้ว ต่อเนื่องไปทางใจมีความรู้สึกในการเห็น ว่าเป็นสุข ทุกข์ เฉยๆ และเป็นเหตุกระตุ้นตัณหานุสัย ที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ให้ตื่นขึ้นยินดีพอใจ ดังอธิบายข้างต้น ฉะนั้น เวทนา จึงเป็นเหตุให้เกิดตัณหา สำหรับผู้ปราศจากตัณหานุสัย หรือผู้ที่กำลังมีสติกำหนดการเห็นเป็นต้นอยู่ อีกทั้งสติสมาธิของผู้นั้นกำลังเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ถ้าเวทนารู้สึกเห็นมีเพียงเล็กน้อย ก็ไม่สามารถกวนจิตใจคนเหล่านี้ได้ เวทนานี้ก็ไม่สามารถเป็นเหตุให้เกิดตัณหาได้ ดังพุทธพจน์ ในนิทานวรรคสังยุตนิกายว่า
“จกฺขุญฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺญานํ ติณฺณํ สงฺคติ ผสฺโส ผสฺสปจฺจยา เวทนา เวทนาปจฺจยา ตณฺหา”
แปลว่า เหตุ คือ ๑) จักขุวิญญาณ เกิดขึ้น เพราะอาศัย ๒) จักขายตนะ และ ๓) รูปารมณ์ ทั้ง ๓ ประการนี้ ร่วมกัน ผัสสะ เกิด เพราะผัสสะเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดเวทนา เพราะเวทนา เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด ตัณหา (คือ รูปตัณหา)

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2011, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๑๓ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ในหลักการเดียวกัน สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา เกิดขึ้น คล้ายรูปตัณหา ส่วนธัมมตัณหา ในขณะนึกคิดถึงความโลภ โกรธ หลง เย่อหยิ่ง เป็นต้น ที่เป็นฝ่ายอกุศล หรือนึกถึงศรัทธา สติ ความเพียร เป็นต้น
ที่เป็นฝ่ายกุศล หรือนึกถึงการเห็น ได้ยินเสียงเป็นต้น ที่เป็นฝ่ายกามวิบาก เป็นต้น ทั้งหมดนี้ เป็นเหตุให้เกิด ความยินดีพอใจเกิดขึ้น เรียกว่า “ธัมมตัณหา”
ความยินดีติดใจ ในการเจริญสมถะ และวิปัสสนา ก็เรียกว่า “ธัมมตัณหา” เช่นกัน ดังอรรถกถาขยายควา...ม ในมัชฌิมปัณณาส ว่า
“ธมฺมราเคน ธมฺมนนฺทิยาติ ปททฺวเยหิ สมถวิปสฺสนาสุ ฉนฺทราโค วุตฺโต”
แปลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกล่าวถึงความยินดีติดใจ ในการเจริญสมถกัมมัฏฐาน และวิปัสสนากัมมัฏฐาน ด้วย ๒ บทว่า “ธรรมราคะ ธรรมนันที ซึ่งหมายความว่า ฉันทราคะที่เกิดขึ้น ในสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา ชื่อว่า “ธัมมตัณหา”
ตัณหาดังกล่าว เมื่อว่าโดยอาการที่เป็นไปมี ๓ อย่าง คือ
๑) กามตัณหา ได้แก่ ความยินดีติดใจในอารมณ์ ๖ ที่เกี่ยวกับกามคุณ ๕ มี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ไม่ประกอบ ด้วยความเห็นผิดว่า “ยั่งยืน(สัสสตทิฏฐิ)” และความเห็นผิดว่า “ขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ)”; ๒) ภวตัณหา ได้แก่ ตัณหาที่เกิดพร้อมกันกับ สัสสตทิฏฐิ โดยอาศัย รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แล้วลงความเห็นว่า รูป เป็นต้นเหล่านี้ จีรัง ยั่งยืน ไม่สูญหายไปไหน ไม่เข้าใจถึงความเกิด และดับ จะคงอยู่ไม่ได้ ภวตัณหานี้ อยู่ในลักษณะยินดีพอใจในภพต่างๆ กล่าวคือ ราคะที่เกิดขึ้น โดยความปรารถนากามภพ ประการหนึ่ง ราคะที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับสัสสตทิฏฐิ ประการหนึ่ง ราคะที่เกิดขึ้นในรูปภพ อรูปภพประการหนึ่ง และราคะที่เกิดขึ้นในฌานสมาบัติ ประการหนึ่ง; ๓) วิภวตัณหา ได้แก่ ตัณหาที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับ อุจเฉททิฏฐิ โดยอาศัยอารมณ์ทั้ง ๖ ที่เป็นสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิตทั้งหลาย ในโลกล้วนมีตัวตนอยู่ และตัวตนนี้แหละไม่สามารถตั้งอยู่ได้ ต้องสูญหายไป ไม่ว่าใครทั้งนั้น ต้องสาบสูญหายไปไม่เกิดอีก และเข้าใจว่า นิพพานมีตัวตน แล้วปรารถนานิพพานนั้น ความปรารถนานี้ชื่อว่า วิภวตัณหา
๙. ความยึดมั่น ถือมั่น ไม่ปล่อยวาง อันเกี่ยวเนื่องกับตัณหาและทิฏฐิที่มีกำลังแรง ยึดถืออย่างเหนียวแน่น ถ้าตัณหายินดีติดใจอย่างไม่ยอมปล่อย ตัณหานี้ได้ชื่อว่า อุปาทาน และถ้าทิฏฐิความเห็นผิดติดแน่นแก้ไขไม่ได้ ทิฏฐินี้ได้ชื่อว่า อุปาทาน ต่อไปนี้จะแสดงความสัมพันธ์ “เหตุ” “ผล” คือ
*****ตัณหานั้นๆ ในกามภพเป็นต้นนั้นๆ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดอุปาทานนั้นๆ.*****
อธิบาย อุปาทาน มี ๔ คือ ๑) กามุปาทาน ความยึดมั่นในวัตถุกามทั้ง ๖ มีรูปารมณ์เป็นต้น; ๒) ทิฏฐุปาทาน ความยึดมั่นในการเห็นผิด มีนิยตมิจฉาทิฏฐิ ๓ มิจฉาทิฏฐิ ๖๒ และอันตัคคาหิกทิฏฐิ ๑๐; ๓) สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในการปฏิบัติผิด มีการปฏิบัติเยี่ยงโค และสุนัขเป็นต้น; ๔) อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในขันธ์ ๕ ของตน และของคนอื่น

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 เม.ย. 2011, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๑๔ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร ...
อธิบาย สีลัพพตุปาทาน คือ การปฏิบัติผิดแนวทาง ไม่ถูกต้อง เช่น ปฏิบัติตนให้เหมือนกับโค หรือสุนัข โดยผู้นั้นมีจุดมุ่งหมาย อยากพ้นจากทุกข์ความลำบากต่างๆ ในสังสารวัฏ หรือต้องการไปเกิด ในเทวโลกแต่ไม่มีโอกาส ได้สมาคมกับสัปบุรุษทั้งหลาย มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น และไม่มีโอกาสได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่ถูกต้อง บุคคลจำพวกนี้คิดเห็นว่า อกุศลต่างๆ ที่ตนได้รับ มีจำนวนมากมาย หาประมาณมิได้ จำต้องหาหนทาง กำจัดอกุศลต่างๆ เหล่านี้ให้หมดไป เ...พราะอกุศลเหล่านี้ ไม่พาให้ไปเสวยสุขในแดนสวรรค์ เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว จึงลงความเห็นว่า ตนต้องเป็นหนี้อกุศลกรรมเก่า จะต้องพยายามใช้หนี้เก่าให้หมด และต้องไม่สร้าง อกุศลกรรมใหม่ เช่นนี้จึงจะล้างหนี้อกุศลกรรมได้หมด อีกทั้งอกุศลกรรมเก่า ที่เป็นเจ้าหนี้นี้ เป็นต้นเหตุให้ตน ได้รับความทุกข์ลำบาก เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ทำตัวเองให้ลำบากเสียเองก่อน จะได้เป็นการใช้หนี้ตอบแทน เหมือนเมื่อสมัยก่อน พอต้องเป็นหนี้ จนไม่สามารถหาใช้คืนได้ ก็ขายตัวเองเป็นทาสแทนการคืนเงิน ความลำบากที่ไปเป็นทาสเขานั่นแหละ สามารถช่วยให้ตนเองหลุดพ้นจากหนี้อกุศลกรรมเก่านั้นได้ จึงตกลงปลงใจได้เช่นนี้ว่า ต้องประพฤติให้ตนเองลำบากเหมือนสัตว์ดิรัจฉาน จำพวกโค สุนัข เป็นต้น ความลำบากเช่นนี้แหละจะเป็นเครื่องช่วยให้ตนพ้นจากเจ้าหนี้อกุศลกรรมเก่า จึงประพฤติตนกิน นอน นั่ง ยืน ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ตลอดกระทำแต่งกาย เยี่ยง โค เยี่ยง สุนัข ซึ่งตรงข้ามกับความเป็นอยู่ธรรมดาสามัญของมนุษย์ การปฏิบัติเช่นนี้แหละ ชื่อว่า สีลัพพตุปาทาน
อธิบาย อัตตวาทุปาทาน มี ๒ คือ ยึดถือว่า เป็นอัตตา ตัวตนนี้ สามารถสร้างโลกขึ้นได้ บรรดาสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในโลกทุกวันนี้ ก็ล้วนแต่เกิดมาด้วยอำนาจของ อัตตาทั้งสิ้น ความยึดมั่นเช่นนี้เรียกว่า ปรมอัตตา อย่างหนึ่ง และความยึดมั่นว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในโลกนี้ มีตัวมีตน คือมีชีวิตรักษาอยู่ ความยึดมั่นเช่นนี้ได้ชื่อว่า ชีวะอัตตา อย่างหนึ่ง
ในเรื่องของปรมอัตตา นี้ มีความเป็นมาว่า เมื่อสมัยที่โลกได้ถูกทำลายด้วยไฟแล้ว และเริ่มสร้างขึ้นใหม่นั้น ภูมิชั้นพรหมปฐมฌานภูมิ ๓ ภูมิ ได้สร้างขึ้นก่อนภูมิชั้นอื่นๆ ช่วงเวลาสร้างเสร็จใหม่ๆ ภูมินี้ว่างเปล่ายังไม่มีพรหมองค์ใดองค์หนึ่งเกิดขึ้นเลย จนกระทั่งมีพรหมองค์แรกอุบัติขึ้นบนชั้นภูมินี้ ซึ่งเราเรียกว่า ท้าวมหาพรหม ซึ่งพรหมองค์นี้สิ้นบุญจากภูมิชั้นทุติยฌานภูมิ จุติตาย ลงมาปฏิสนธิเกิดในชั้นปฐมฌานภูมิ ท้าวมหาพรหมองค์นี้ มีรัศมีรุ่งเรืองมาก แต่อยู่เพียงผู้เดียวนานๆ เข้า ก็เกิดความเหงา เปล่าเปลี่ยว อ้างว้าง ว้าเหว่ใจ ชั้นภูมินี้ก็กว้างใหญ่ไพศาล และยังมีอีก ๒ ชั้นปฐมฌานภูมิ ที่ร้างวางเปล่าไม่มีใครเช่นกัน ท้าวเธอจึงนึกปรารถนาในใจว่า “เอ่อ! เราน่าจะมีพรหมอีกสักองค์ มาเกิดร่วมเป็นเพื่อน” ขณะนั้นเผอิญประจวบเหมาะมีพรหมองค์อื่นๆ อุบัติขึ้นพอดี ซึ่งพรหมองค์นี้ก็ได้หมดบุญหมดอายุในชั้นภูมินั้นๆ ก็พากันจุติตาย ลงมาปฏิสนธิเกิดในเวลาใกล้เคียงติดๆ กัน ในชั้นปฐมฌานอีก ๒ ชั้นภูมิที่เหลือนี้ เป็นจำนวนมากซึ่งชั้นภูมิที่เหลือดังกล่าว พรหมบางพวกที่อุบัติจะกลายเป็นพรหมปาริสัชชา ในชั้นพรหมปาริสัชชาภูมิ บางพวกที่อุบัติจะกลายเป็นพรหมปุโรหิตา ในชั้นพรหมปุโรหิตาภูมิ พรหมทั้งสองภูมินี้ จะเป็นบริวารของท้าวมหาพรหม ซึ่งมีรัศมีน้อยกว่าท้าวมหาพรหม ในขณะนั้นท้าวมหาพรหมเห็นเหล่า พรหมเหล่านั้น อุบัติขึ้น ก็เข้าใจและคิดว่า “เมื่อเราปรารถนาอยากได้พรหมพวกอื่นๆ มาอยู่เป็นเพื่อน ก็สำเร็จได้สมประสงค์ นี่ก็แสดงว่า เรานี่แหละเป็นผู้สร้างพรหมเหล่านี้ ให้ปรากฏขึ้นในโลก”

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2011, 00:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๑๕ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ส่วนพวกพรหมเหล่าอื่นที่เกิดมาภายหลัง พออุบัติเกิดขึ้น ก็แลเห็นท้าวมหาพรหม ผู้มีรัศมีรุ่งเรือง เครื่องอาภรณ์ที่ประดับกายตลอดจนกระทั่งวิมานที่อยู่ก็สวยงามมากจึงพากันปรารภขึ้นว่า “อยํ โข ภวํ พฺรหฺมา มหาพฺรหฺมา อภิภู อนภิภูโต ... อิมินา มยํ โภตา พฺรหฺมุนา นิมฺมิตา” (มาในพรหมชาลสูตร พระไตรปิฏก แห่งสีลขันธวรรค ว่าด้วยเรื่องมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิด) แปลว่า
พรหมองค์นี้เป็นท้าวมหาพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ครอบงำสัต...ว์ทั้งหลาย ทรงไม่อยู่ใต้อาณัติของใครๆ เลย ทรงเป็นพระเจ้าที่สามารถรู้เห็นสิ่งต่างๆ ทั้งหมด ทั้งสิ้น ทรงมีอำนาจสั่งให้สัตว์ทั้งหลายปฏิบัติตามความพอใจขององค์ท่านได้ ทั้งทรงเป็นท้าวอิศวรปรเมศวรปกครองเหล่าสัตว์ทั้งหลาย ทรงเป็นผู้เสกสร้างโลกและสัตว์ทั้งหลาย ทรงเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ทรงเป็นผู้จัดจำแนกสัตว์ให้เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นเศรษฐี เป็นคนรวย คนจน ตามสมควรแก่ฐานะ ทรงเป็นบิดา ของสัตว์ที่ปรากฏขึ้นแล้ว และที่จะปรากฏต่อไปในภายภาคหน้า แม้เราทั้งหลายที่ปรากฏเกิดขึ้น ณ สถานที่นี้ได้ ก็เพราะท้าวมหาพรหมองค์นี้นั่นเองเป็นผู้สร้างขึ้น” เมื่อปรารภกันเช่นนี้แล้ว ก็พากันมาเฝ้าคอยปรนนิบัติรับใช้ท้าวมหาพรหมทุกประการ
ต่อมาพวกพรหมที่เป็นบริวารเหล่านี้ เมื่อสิ้นบุญสิ้นอายุ จากพรหมแล้ว ก็จุติตาย ลงมาปฏิสนธิเกิดในมนุษย์โลก สำหรับท้าวมหาพรหมนั้นยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีอายุขัยยืนยาวกว่าพรหมพวกนั้น ส่วนเหล่าพรหมที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว บางพวกก็ทำสมถะกัมมัฏฐาน จนได้ฌานอภิญญา สามารถเห็นท้าวมหาพรหมได้ ก็จำได้ว่าตนเคยถูกท้าวมหาพรหมสร้างขึ้น ตอนที่อยู่บนภูมิชั้นพรหม จึงทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นเชื่อยิ่งๆ ขึ้นไปว่า ที่เรากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน รวมทั้งสัตว์ทั้งหลาย ได้เกิดอยู่บนโลกนี้ แม้กระทั่งโลกใบนี้ ท้าวมหาพรหมเป็นผู้สร้างขึ้นทั้งสิ้น ฉะนั้น ท้าวมหาพรหมนี้เป็นพระเจ้าผู้ประเสริฐ ได้ชื่อว่า “ปรมอัตตา” เป็นผู้ไม่ตายไม่สูญหายไปไหน ความเห็นยึดมั่นเช่นนี้ ได้สืบสานความเชื่อ ต่อเนื่องกันมาอย่างแพร่หลาย จนถึงปัจจุบันนี้ ยังมีความเชื่อเลยเถิดกันไปใหญ่ว่า ความสบาย ความลำบาก ความมั่งมี ความจน ความสวย ความไม่สวย มีตระกูลสูง มีตระกูลต่ำเป็นต้นเหล่านี้ เกิดเป็นได้มีได้ก็เพราะปรมอัตตาเป็นผู้สร้างขึ้นนั้น คือ พรหมลิขิตขีดเส้นทางชีวิตเรา ด้วยเหตุที่ตนสาวหาต้นเหตุไม่ได้นั่นเอง ก็ประเด็นดังกล่าว เกิดมาจากการรับรู้ของคนในสมัยต้นกัปป์ (ยุคแรกที่เริ่มเกิดมนุษย์) ที่ได้ฌาน อภิญญา ทำให้สามารถเห็นท้าวมหาพรหมได้นั่นเอง แล้วไปบอกกล่าวเล่าเรื่อง ให้ผู้ไม่สามารถรู้ ไม่สามารถเห็น ให้เชื่อตามตน จึงกลายเป็นต้นเหตุ ให้คนรุ่นหลังต่อๆ มา มีความเห็นและเชื่อเจริญรอยตามกันมา อีกทั้งคนในยุคหลังนี้ ไม่ได้อภิญญา จึงไม่สามารถเห็นท้าวมหาพรหมได้ เมื่อถูกถามขึ้นว่า พระเจ้าผู้สร้างโลกนั้นอยู่ที่ไหน ก็ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วตอบได้แต่เพียงว่า อยู่เบื้องบนอากาศเท่านั้น ดังนั้น ปรมอัตตานั้น ก็คือ พระเจ้า ที่ศาสนาต่างๆ (นอกจากศาสนาพุทธ) เรียกและนับถือกันโดยทั่วไปนั่นเอง
ได้อธิบาย ปรมอัตตา ในอัตตวาทุปาทาน จบแล้ว ก็จะอธิบาย ชีวอัตตา ในส่วนของอัตตวาทุปาทานเช่นกัน ก็บุคคลผู้มีความเห็นผิดคิดว่า ชีวิตเป็นตัวตน มี ๕ ความเห็นคือ(๑) ผู้ที่มีความเห็นว่า ภายในร่างกายของสัตว์ทั้งหลายนี้มีอัตตาที่เรียกว่าตัวชีวิตๆ นี้ มีความสามารถกระทำการงานต่างๆ ได้ เช่นในเวลาที่กำลังเดินอาการกิริยาที่ก้าวเดินไปนั้น หาใช่เป็นไปด้วยอำนาจของเท้าไม่ หากเป็นไปด้วยอำนาจของชีวิอัตตานั้นเอง... เป็นผู้สั่งให้ยกเท้าก้าวเดินไป หรือในเวลาใด ชีวอัตตามีความประสงค์จะทำในสิ่งที่ไม่ดี กาย วาจา ก็กระทำในสิ่งที่ไม่ดีนั้นตามความประสงค์ของชีวอัตตา หรือชีวอัตตาอยากจะทำสิ่งที่ดี กาย วาจา ก็กระทำสิ่งที่ดีตามคำสั่งของชีวอัตตา เช่น ในเวลาที่กำลังยกมือไหว้อยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปนั้น การยกมือขั้นประนมใหว้ให้รงหน้าพระพุทธรูปได้นั้น ก็ด้วยอำนาจของชีวอัตตา หรือเวลาที่กำลังสวดมนต์อยู่ การเปล่งวาจา สวดไปนั้น ก็ด้วยอำนาจของชีวอัตตา และการสวดได้ถูกต้องก็ด้วยอำนาจของชีวอัตตาอย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้น ชีวอัตตานี้ จึงเรียกว่า การกะ(ผู้กระทำ) ประการหนึ่ง;

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 เม.ย. 2011, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๑๖ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร

๒) ผู้ที่มีความเห็นว่า ชีวอัตตานี้ เป็นผู้เสวยผลที่เกิดจากกรรมดี และกรรมชั่ว ความสุข ความทุกข์ เจ็บ ปวด และการเสพอาหารรสดี รสไม่ดี เหล่านี้ ชีวอัตตา ก็เป็นผู้เสวย
การทำดี ทำไม่ดี ที่จะได้รับผลในกาลข้างหน้านั้น ชีวอัตตาก็จะเป็นผู้ได้เสวย ฉะนั้น ชีวอัตตานี้ จึงเรียกว่า เวทกะ(ผู้เสวย) ประการหนึ่ง;
(๓) ผู้มีความเห็นว่า ชีวอัตตานี้ เป็นเจ้าของร่างกายของสัตว์ทั้งหลาย เพราะสามารถเป็นผู้ปกครองอัวยวะทั่งร่างก...ายได้ ฉะนั้น ชีวอัตตานี้จึงเรียกว่า สามี(เจ้าของ) ประการหนึ่ง;
(๔) ผู้ที่มีความเห็นว่า ชีวอัตตานี้ เมื่อร่างกายของสัตว์ทั้งหลาย เสียไปแล้ว ด้วยความเก่าแก่ หรือด้วยเหตุหนึ่งเหตุใด ที่เป็นอุบัติเหตุก็ตาม ชีวอัตตานี้ ก็จัดแจงสร้างร่างกายขึ้นใหม่ แล้วก็ย้ายไปอยู่ในร่างกายใหม่นั้น ร่างกายของสัตว์ทั้งหลาย แม้ว่าจะเสียไป แต่ชีวอัตตานี้ก็ไม่มีเสีย สามารถสร้างร่างกายใหม่ๆ อยู่ได้เรื่อยไป เช่น พิฆเนศ – ตัดเอาหัวช้าง มาใส่แทนหัวตน, นาจา เอารากบัวแทนร่างกาย เป็นต้น หรือบางพวกก็เห็นว่า ชีวอัตตานี้เป็นส่วนหนึ่งของปรมอัตตา(พระเจ้า) เมื่อสัตว์ใกล้จะตาย ร่างกายก็กลับไปสำนักของปรมอัตตาที่อยู่เบื้องบนทันที หมายความว่า ปรมอัตตาเป็นผู้เรียกกลับไป เป็นอันว่าชีวอัตตานี้ ไม่มีการตาย ฉะนั้น ชีวอัตตานี้ จึงเรียกว่า นิวาสี(อยู่เป็นนิจนิรันดร์) ประการหนึ่ง;
(๕) ผู้มีความเห็นว่า ชีวอัตตานี้ มีอำนาจในร่างกาย ของสัตว์ทั้งหลาย สามารถบังคับร่างกายของสัตว์ทั้งหลายนั้น ทำทุกสิ่งทุกอย่างตามความประสงค์ของตนได้ ฉะนั้น ชีวอัตตานี้ จึงเรียกว่า สยํวสี(ผู้สามารถบังคับร่างกายได้) ประการหนึ่ง
เมื่อรวมความเห็น ๒ อย่าง คือ นิวาสี กับสยํวสี เข้าด้วยกันแล้ว ก็กลายเป็นพวกที่มีความเห็นทั้ง ๒ อย่างนี้รวมกัน มีเข้าใจว่า ชีวอัตตานี้เป็นแก่น เป็นสสารที่มั่นคงที่สุด ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่จะสามารถมาทำลายให้สูญเสียไปได้ และมีอำนาจพิเศษ ที่สามารถจะบังคับ ร่างกายของสัตว์ทั้งหลาย ให้ทำไปตามประสงค์ของตนได้ เรียกว่า วสวัตตนะ (ผู้มีอำนาจพิเศษ)
ความยึดถือว่าเป็นชีวอัตตา ๕ ประการ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ บางพวก ก็ยึดเอาวิญญาณขันธ์เป็นตัวชีวิต บางพวกก็ยึดเอารูปขันธ์เป็นตัวชีวิต และบางพวกก็ยึดเอาเวทนาขั้นธ์ สัญญาขันธ์ หรือสังขารขัน์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นตัวชีวิต คือ เป็นตัวของตน ฉะนั้น ความเห็นที่ยึดถือในขันธ์ ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ว่าเป็นตัวของตนเช่นนี้แหละ จึงชื่อว่า สักกายทิฏฐิ และก็เข้าอยู่ในจำพวกที่เรียกว่า อัตตวาทุปาทาน
อนึ่ง แม้ว่าจะชี้ขาดลงไปไม่ได้ว่า พุทธศาสนิกชนโดยมาก จะจัดเป็นชีวอัตตาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่นั้น แต่เมื่อมีความเห็นที่ยึดมั่นในรูปนามว่า เป็นตัวเป็นตนนี้ ก็ย่อมมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น ยกเว้นแต่อริยะบุคคล ๔ จำพวกเท่านั้น คือ ยึดถือเอาวิญญาณขันธ์ เป็นตัวเป็นตน เช่น ผู้ใดผู้หนึ่งตาย มักจะกล่าวกันว่า ผู้นั้นมีชีวิตแตกดับออกจากร่างกายไปแล้ว หรือเด็กเล็กๆ ที่สะดุ้งตกใจ ผู้ใหญ่มักจะพูดว่า ขวัญหนี ซึ่งคำว่า “ขวัญหนี” นี้ ก็หมายเอา จิต หรือวิญญาณของเด็กหนีออกจากร่างไปชั่วขณะนั่นเอง หรือบางทีคนที่ตายไปแล้ววิญญาณยังคงล่องลอยอยู่ ยังไม่ได้ไปเกิดที่ไหน และบางทีวิญญาณของผู้นั้น ก็มาเรียกชักชวนพี่น้อง ลูกหลาน สามี ภรรยา เป็นต้น ให้ไปอยู่ด้วยกัน หรือ บางทีวิญญาณของผู้ตายนั้นก็เข้ามาสิงอยู่ในร่างกายของญาติพี่น้อง ภรรยา สามีเหล่านั้น ทำให้ต้องเกิดมีการทำพิธีขับไล่วิญญาณกัน อย่างนี้เป็นต้น

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


แก้ไขล่าสุดโดย ผู้ชายสบายๆ เมื่อ 13 เม.ย. 2011, 20:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 เม.ย. 2011, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๑๗ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ความยึดถือที่เป็นอัตตทิฏฐินี้ มีลักษณะการยึดถือที่มากมาย ไม่เฉพาะแต่จะยึดถือเพียงขันธ์ ๕ คือ ร่างกายเท่านั้นก็ยังไปเอาจำพวกสิ่งที่มีอยู่ภายนอกตัวเรา เช่น ภูเขา ต้นไม้ แผ่นดิน น้ำ เหล่านี้ มาเป็นตัวตน นี้คือ ชีวอัตตทิฏฐิ ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงไว้ในภูตคามสิกขาเสนาสนะ แห่งภิกขุปาจิตตีย์พระบาลีว่า “ชีวสญฺญิโน หิ โมฆปุริสา มนุสฺสา รุกฺขสฺม...ึ” แปลว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ มนุษย์ทั้งหลาย มีความยึดถือว่า ต้นไม้นี้มีชีวิต
จึงสรุปได้ว่า ปุถุชนเดินดินโดยทั่วไปมีความเห็นว่า สัตว์ทั้งหลายไม่ว่าใครที่กำลังทำการงานต่างๆ ของตนได้ และตั้งอยู่ได้นั้น ก็เพราะอาศัยอำนาจของตัวชีวิตนั้นเอง และตัวชีวิตนี้ เป็นผู้สามารถกระทำการงานต่างๆ ได้เป็นผู้เสวยผลดีผลไม่ดีต่างๆ ได้ เป็นเจ้าของร่างกายของสัตว์ทั้งหลาย สามารถสร้างร่างกายขึ้นใหม่ หรือกลับไปสู่สำนักปรมอัตตา(พระเจ้า) ได้ไม่สูญหายไปไหน มีอำนาจบังคับร่างกายของสัตว์ทั้งหลายให้ทำทุกสิ่งทุกอย่างตามความประสงค์ของตนได้ ดังนั้น อัตตทิฏฐิ ที่จัดเป็นอัตตวาทุปาทานได้นั้น ต้องมีความยึดถือตัวตน ในร่างกายของสัตว์ แต่ถ้ากล่าวถึง อัตตา ที่เป็นการแสดงธรรม เช่น “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ” แปล ตนนั้นแหละเป็นที่พึ่งของตน หรือใช้คำว่า “เชื่อตนเอง” อย่างนี้ ไม่จัดเป็น อัตตวาทุปาทาน
ธรรมดาต้นไม้ที่พึ่งงอกขึ้นใหม่ๆ นั้น รากยังเล็กและหยั่งลงเข้าไปในดินยังไม่ลึก ถ้าต้องการจะโยกย้ายไปปลูกที่อื่น ก็สามารถถอนออกได้ง่ายๆ ไม่ทำให้รากนั้นขากเสียหาย ส่วนต้นไม้ที่เจริญเติบโตแล้ว ย่อมมีรากยาวหยั่งลงเข้าไปในดินลึกและยึดแน่นแล้ว ก็ยากที่จะถอนโยกย้ายไปที่อื่น ข้อนี้ฉันใด ความเป็นไปแห่งตัณหา และกามุปาทานก็เช่นเดียวกัน ตัณหาคือความพอใจในอารมณ์ต่างๆ ที่ยังมีกำลังอ่อนอยู่ ยังไม่ได้ยึดแน่นในอารมณืเหล่านั้น ส่วนกามุปาทานนั้น คือ ความพอใจในอารมณ์ที่มีกำลังแรงขึ้นแล้ว และยึดแน่นในอารมณ์นั้นๆ ไว้ไม่ยอมปล่อย
แสดงตัณหาเป็นปัจจัยให้กามุปาทานเกิดนั้นมีตัวอย่างในสังกัปปราคชาด ว่า พระโพธิสัตว์ในชาติที่เป็นดาบส ได้สำเร็จฌานอภิญญาสามารถเหาะไปในอากาศได้ ได้ไปพักอยูในพระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสี แล้วเข้าไปฉันอาหารในพระราชวังทุกๆ วัน ต่อมาพระเจ้าพาราณสีมีพระประสงค์จะเสด็จไประงับเหตุการณ์ที่ชายแดน จึงตรัสเรียกพระเทวีมาแล้วตรัสว่า น้องนางผู้เจริญ เจ้าควรยับยั้งอยู่ ยังพระนครก่อน. พระเทวีทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ เพราะอาศัยเหตุอะไร พระองค์จึงตรัส อย่างนี้ พระราชา เพราะอาศัยพระดาบสผู้มีศีล ซิน้องนางผู้เจริญ. พระเทวีทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพหม่อมฉันจักไม่ประมาทในพระดาบสนั้น การปรนนิบัติพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์เป็นภาระของหม่อมฉัน ขอพระองค์อย่าทรงกังวล จงเสด็จเถิด. พระราชาจึงเสด็จออกไป. ฝ่ายพระเทวีก็ตั้งใจอุปัฎฐากพระโพธิสัตว์ เหมือนเช่นเคย. ฝ่ายพระโพธิสัตว์หลังจากพระราชาเสด็จไปแล้ว ก็มิได้ไปตามเวลาที่เคยมา ได้ไปยังพระราชนิเวศน์กระทำภัตตกิจตามเวลาที่ตนชอบใจ. อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพระโพธิสัตว์ชักช้าอยู่ยังไม่มา พระราชเทวีจัดแจงขาทนียโภชนียาหารทุกอย่างเสร็จแล้ว จึงโสรจสรงพระองค์ประดับพระวรกายแล้ว ให้นางพนักงานแต่งเตียงน้อย บรรทมคอยดูการมาของพระโพธิสัตว์ โดยทรงนุ่งพระภูษาเนื้อเกลี้ยงอย่างหย่อนๆ.

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 เม.ย. 2011, 16:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๑๘ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร

ฝ่ายพระโพธิสัตว์กำหนดว่า ได้เวลาแล้ว ก็ถือภิกขาภาชนะเหาะมาจนถึงช่องพระแกลใหญ่. พระเทวีได้ทรงสดับเสียงผ้าเปลือกไม้กรองของพระโพธิสัตว์ ก็เสด็จลุกขึ้นโดยฉับพลัน พระภูษาเนื้อเกลี้ยงที่ทรงนุ่งนั้นก็หลุดลุ่ยลงทันทีพระโพธิสัตว์ได้เห็นวิสภาคารมณ์มิได้สำรวมอินทรีย์ ตลึงแลดูด้วยสามารถแห่งความงาม. ลำดับนั้น กิเลสของพระโพธิสัตว์ (ซึ่งสงบนิ่งด้วยกำลังฌาน)ก็กำเริบขึ้น เหมือนอสรพิษที่ถูกขังอยู่ในข้อง พอออกจากข้องได้ ก็แผ่พังพานขึ้นฉะนั้น. พระโพธิสัตว์ได้...เป็นผู้มีอาการเหมือนเวลา ที่ต้นยางถูกกรีดด้วยมีดฉะนั้น. องค์ฌานทั้งหลายเสื่อมไปพร้อมกับ ระยะที่กิเลสเกิดขึ้น. อินทรีย์ทั้งหลายก็มิได้บริบูรณ์ ตนเองได้มีสภาพเหมือนกาปีกขาดฉะนั้น. พระโพธิสัตว์นั้น มิอาจที่จะนั่งกระทำภัตตกิจ เหมือนแต่ก่อนได้ แม้พระเทวีจะตรัสบอกให้นั่งก็ไม่นั่ง. ลำดับนั้น พระเทวี จึงทรงใส่ขาทนียะ โภชนียาหารทุกอย่างลงใน ภิกขาภาชนะของพระโพธิสัตว์. ก็วันนั้น พระโพธิสัตว์ไม่อาจไปเหมือนในวันก่อนๆ ซึ่งกระทำภัตตกิจแล้วก็เหาะออกไป ทางสีหบัญชร ได้แต่รับภัตตาหารแล้ว เดินลงทางบันใดใหญ่ไปยังพระราชอุทยาน แม้พระเทวีก็ทรงทราบว่าพระดาบส มีจิตปฏิพัทธ์ในพระองค์. พระโพธิสัตว์นั้นไปถึงพระราชอุทยานแล้วไม่บริโภคภัตตาหารเลย เอาวางไว้ใต้เตียง นอนรำพรรณว่า พระหัตถ์เห็นปานนี้ของพระเทวีงาม พระบาทนั้นก็งามเห็นปานนี้ ลักษณะของพระอูรุ(ต้นขา)เห็นปานนี้ ดังนี้เป็นต้น นอนบ่นเพ้ออยู่ถึง ๗ วัน ภัตตาหารบูด มีหมู่แมลงวันหัวเขียวตอมกันสะพรั่ง. ฝ่ายพระราชาทรงระงับ ปัจจันตชนบทได้แล้วก็เสด็จกลับมา ทรงกระทำประทักษิณพระนคร ซึ่งชาวเมืองตกแต่งประดับประดาไว้รับเสด็จ แต่หาได้เสด็จไปยังพระราชนีเวศน์ไม่ ได้เสด็จไปยังพระราชอุทยานด้วยหวังพระทัยว่า จักเยี่ยมพระโพธิสัตว์ ได้ทอดพระเนตรเห็นอาศรมบท รกรุงรังด้วยหยากเยื่อ ทรงสำคัญว่า พระดาบสจักหนีไปแล้ว จึงทรงเปิดประตูบรรณศาลา เสด็จเข้าไปข้างใน ทอดพระเนตรเห็นดาบสนั้น นอนอยู่ จึงทรงดำริว่า ชรอยจะมีความไม่ผาสุกบางประการ จึงรับสั่งให้ทิ้งภัตตาหารบูดชำระปัดกวาดบรรณศาลาแล้วตรัสถามว่า พระคุณเจ้า ท่านไม่สบายไปหรือ ? พระดาบสทูลตอบว่า มหาบพิตร อาตมาภาพ ถูกลูกศรเสียบแทง. พระราชาเข้าพระทัยว่า ชะรอยพวกปัจจามิตรของเรา ไม่ได้โอกาสในตัวเรา จึงมายิงพระดาบสนี้ โดยคิดว่า จักทำฐานะอันเป็นที่รัก ของพระราชานั้นให้ทุรพลภาพ จึงทรงพลิกร่างกาย ตรวจดูรอยที่ถูกยิง ก็ไม่เห็นรอย ที่ถูกยิง จึงตรัสถามว่า ท่านถูกเขายิงที่ไหนหรือ พระคุณเจ้า. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า มหาบพิตร อาตมาภาพมิได้ถูกคนอื่นยิง แต่อาตมาภาพยิงตัวของตัวเองแหละที่หัวใจ ครั้นทูลแล้วจึงลุกขึ้นนั่งกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
อาตมาภาพถูกแทงที่หัวใจ ด้วยลูกศรนั้น อันกำซาบด้วยราคะ เกิดจากความดำริ ที่ถูกลับด้วยหินลับมีด คือ วิตก อันนายช่างมิได้ตกแต่งให้เรียบร้อย อันนายช่างศร มิได้ทำให้พ้นหมวกหู ทั้งยังไม่ติดขนนกยูง แต่ทำความเร่าร้อนให้ทั่วสรรพางค์กาย อาตมาภาพไม่เห็นรอยรูแผล ที่เลือดไหลออก ลูกศรนั้น แทงจิตที่ไม่แยบคายได้มั่นเหมาะ ความทุกข์นี้อาตมาภาพนำมาด้วยตนเอง.
เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดกามุปาทาน คือ ขณะที่พระดาบสได้เห็นร่างของพระนาง เกิดความยินดี พึงพอใจขึ้นเป็นครั้งแรกนั้น เป็นช่วงที่ตัณหาเกิด ต่อมาความพอใจนั้นมีกำลังแรงมากขึ้น ถึงกับไม่เป็นอันกินอันนอนตลอด ๗ วันนั้น เป็นตอนที่กามุปาทานเกิดขึ้นแล้ว

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 16:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๑๙ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
ยังมีในกามชาดก แห่งทวาทสนิบาต ได้ยกเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปของกามุปาทาน ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยตัณหาเป็นเหตุนั้น มีดังนี้คือในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัต ณ พระนครพาราณสี มีพระโอรส ๒ พระองค์ ท้าวเธอประทานที่อุปราชแก่พระโอรสองค์ใหญ่ พระราชทานตำแหน่งเสนาบดี แก่พระโอรสองค์เล็ก ครั้นต่อมาพระเจ้าพรหมทัตสิ้นพระชนม์ พวกอำมาตย์พากันตั้งการอภิเษกแก่พระองค์ใหญ่ ท้าวเธอตรัสว่า... ฉันไม่ต้องการครองราชสมบัติ พวกท่านจงพากันให้แก่น้องชายของฉันเถิด แม้ได้รับคำทูลวิงวอนบ่อยๆ ก็ทรงห้ามเสีย ครั้นพวกอำมาตย์ทำการอภิเษกถวายพระเจ้าน้องแล้ว ทรงดำริว่า เราไม่ต้องการความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ ไม่ทรงปรารถนา แม้แต่ตำแหน่งอุปราชเป็นอาทิ ถึงเมื่อพระราชา ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เชิญเสวย โภชนะที่มีรสดีๆ ประทับอยู่ในพระนครนี้เถิด ตรัสว่า ฉันไม่มีเรื่องที่ต้องกระทำในพระนครนี้ เสด็จออกจากพระนครพาราณสี ไปสู่ชนบทปลายแดนอาศัยสกุลเศรษฐีตระกูลหนึ่ง ทรงกระทำการงานด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองประทับอยู่.



ครั้นกาลต่อมา พวกเหล่านั้นรู้ความที่ท้าวเธอเป็นพระราชกุมาร ก็ไม่ยอมให้ทำการงาน พากันห้อมล้อมท้าวเธอ ในฐานเป็นพระราชกุมารทีเดียว จำเนียรกาลนานมา พวกข้าราชการพากันไปสู่ชนบทปลายแดน ได้ไปถึงบ้านนั้น เพื่อรังวัดเขต ท่านเศรษฐีเข้าไปเฝ้าพระราชกุมารกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเจ้านาย พวกข้าพระองค์พากันบำรุงเลี้ยงพระองค์ ขอพระองค์ทรงส่งหนังสือถึงพระเจ้าน้องให้ทรงลดส่วยแก่พวกข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า ท้าวเธอทรงรับว่า ได้ซี ทรงส่งหนังสือไปว่า ฉันอาศัยสกุลเศรษฐีชื่อโน้นพำนักอยู่ โปรดเห็นแก่ฉันยกเว้นส่วยแก่พวกเหล่านั้นเถิด พระราชารับสั่งว่า ดีแล้ว ทรงโปรดให้กระทำอย่างนั้น ครั้งนั้น พวกชาวบ้านบ้าง ชาวชนบทบ้าง ชาวบ้านอื่นๆ บ้าง พากันเข้าไปเฝ้าท้าวเธอ ทูลว่า พวกข้าพระองค์จักถวายส่วยแด่พระองค์เท่านั้น โปรดให้ พระราชาทรงยกเว้นแก่พวกข้าพระองค์บ้างเถิด ท้าวเธอทรงส่งหนังสือไป เพื่อช่วยเหลือพวกเหล่านั้น ให้พระราชาทรงยกเว้นส่วยให้ ตั้งแต่บัดนั้น พวกเหล่านั้นก็พากันถวายส่วย แก่ท้าวเธอ จึงบังเกิดลาภสักการะใหญ่ แก่ท้าวเธอด้วยเหตุนั้น ความอยากของท้าวเธอก็พลอยเติบใหญ่ไปด้วย กาลต่อมา ท้าวเธอทูลขอชนบทนั้นแม้ทั้งหมด แล้วทูลขอราชสมบัติกึ่งหนึ่ง แม้พระเจ้าน้องก็ได้ประทานแก่ท้าวเธอทั้งนั้น ท้าวเธอเมื่อความอยากพอกพูน ไม่ทรงพอพระทัยด้วยราชสมบัติเพียงกึ่งนั้น ทรงดำริจะยึดราชสมบัติแวดล้อมด้วยชาวชนบทเสด็จไปสู่พระนครนั้น หยุดทัพอยู่ภายนอกพระนคร ทรงส่งหนังสือแก่พระเจ้าน้องว่า จงให้ราชสมบัติแก่เรา หรือจะรบกันก็ได้.

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2011, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:10
โพสต์: 194

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง พวกเรามารู้จักพระพุทธเจ้ากันเถอะ! (ต่อครั้งที่แล้ว) ตอนที่ ๒๐ คุณสมบัติ อรหํ (อ่านว่า “อะระหัง”)
เจริญพร
พระเจ้าน้องทรงดำริว่าพระพี่นี้เป็นพาล เมื่อก่อนทรงห้ามราชสมบัติ แม้กระทั่งตำแหน่งอุปราชก็ทรงห้ามคราวนี้ตรัสว่า จักยึดเอาด้วยการรบ ก็ถ้าว่า เราจักฆ่าพระพี่นี้ให้ตาย ด้วยการรบ ข้อครหาจักมีแก่เราได้เราจะต้องการอะไร ด้วยราชสมบัติ จึงทรงส่งสาส์นแด่ท้าวเธอว่า ไม่ต้องรบดอก เชิญทรงครองราชสมบัติเถิดพระเจ้าข้า ท้าวเธอทรงครองราชสมบัติ ประทานที่อ...ุปราชแก่พระเจ้าน้อง จำเดิมแต่นั้น ทรงครองราชสมบัติทรงตกอยู่ในอำนาจแห่งตัณหา มิได้ทรงพอพระหทัยด้วยราชสมบัติพระนครเดียว ทรงปรารถนาราชสมบัติ ๒-๓ นคร ไม่ทรงเห็นที่สุดแห่งความอยากเลย ครั้งนั้นท้าวสักกเทวราชทรงตรวจดูว่า ในโลกชนเหล่าไหนบ้างล่ะที่บำรุงมารดาบิดา เหล่าไหนทำบุญต่างๆ มีให้ทานเป็นต้น เหล่าไหนตกอยู่ในอำนาจตัณหา ทรงทราบความที่ท้าวเธอเป็นไปในอำนาจตัณหาทรงดำริว่า พระราชาองค์นี้เป็นพาล ไม่ทรงพอพระหทัย แม้ด้วยราชสมบัติในพระนครพาราณสี เราต้องให้ท้าวเธอศึกษาบ้าง จำแลงเพศเป็นมาณพประทับยืนที่พระทวารหลวง ให้กราบทูลว่า มาณพผู้ฉลาดในอุบาย ผู้หนึ่ง ยืนอยู่ที่พระทวารหลวง ครั้นรับสั่งว่า เข้ามาเถิด ก็เสด็จเข้าไปกราบทูลถวายชัยพระราชา เมื่อตรัสว่าเจ้ามาด้วยเหตุไร กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้อที่ข้าพระองค์กราบทูลมีอยู่หน่อย ข้าพระองค์ต้องการที่รโหฐานพระเจ้าข้า ด้วยอานุภาพท้าวสักกะ ฝูงคนพากันหลบไปหมด ทันใดนั้นเอง ครั้งนั้นมาณพกราบทูลท้าวเธอว่า ข้าแต่พระมหาราช ข้าพระองค์เห็นพระนคร ๓ แห่ง มั่งคั่งมีฝูงคนแออัด สมบูรณ์ด้วยพลและพาหนะ ข้าพระองค์จักยึดราชสมบัติทั้งสามด้วยอานุภาพของตนถวายแด่พระองค์ ควรที่พระองค์จะไม่ทรงชักช้ารีบเสด็จไปเถอะพระเจ้าข้า พระราชานั้นทรงตกอยู่ในอำนาจแห่งความโลภ ทรงรับว่า ดีละ แต่ด้วยอานุภาพแห่งท้าวสักกะ มิได้ทรงถามว่า เจ้าเป็นใคร หรือเจ้ามาจากไหน หรือว่าควรที่เจ้าจะได้สิ่งไรท้าวสักกะนั้นเล่าตรัสเพียงเท่านี้แล้ว ก็ได้เสด็จไปดาวดึงส์พิภพทีเดียว.
พระราชาตรัสให้พวกอำมาตย์มาเฝ้า ตรัสว่า มาณพผู้หนึ่งกล่าวว่าจักยึดราชสมบัติ ๓ นครให้พวกเรา พวกเธอจงเรียกมาณพนั้นมาทีเถิด จงนำกลองไปเที่ยวตีประกาศในพระนคร เรียกประชุมพลกาย พวกเราต้องยึดครองราชสมบัติ ๓ นคร ไม่ต้องชักช้า เมื่อพวกอำมาตย์พากันกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้าก็พระองค์ทรงกระทำสักการะแก่มาณพนั้นอย่างไร หรือทรงถามที่อยู่อาศัยของมาณพนั้นไว้อย่างไร ตรัสว่า เราไม่ได้ทำสักการะเลย ไม่ได้ถามที่พักอาศัยไว้เลย พวกเธอจงพากันไปค้นหาเขาเถิด พวกอำมาตย์พากันค้น ไม่เห็นเขา กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์ไม่เห็นมาณพนั้นทั่วพระนครพระเจ้าข้า ทรงสดับคำนั้นแล้ว พระราชาทรงเกิดโทมนัส ทรงพระดำริเรื่อยๆ ว่า ราชสมบัติในพระนครทั้ง ๓ เสื่อมหายแล้ว เราเสื่อมเสียจากยศอันใหญ่มาณพคงโกรธเราว่า ไม่ให้เสบียงแก่เรา แล้วก็ไม่ให้ที่อยู่อาศัยด้วย เลยไม่มา ครั้งนั้นความร้อนบังเกิดขึ้นในพระกายแห่งพระองค์ผู้ทรงตกอยู่ในอำนาจตัณหา เมื่อสรีระทุกส่วน เร่าร้อนอยู่ โลหิตมีอาการวิ่งพล่านทำให้ท้องกำเริบแล้ว กระอักพระโลหิตพลุ่งออก ภาชนะอันหนึ่งเข้า อันหนึ่งออก พวกแพทย์สุดฝีมือที่จะถวายการรักษาได้ครั้งนั้นการที่ท้าวเธอ ถูกความเจ็บป่วยเบียดเบียนได้เลื่องลือไปทั้งพระนคร.

พระมหาธีระยุทธ ปราชญ์นิวัฒน์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 126 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร