วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ หรือ “หลวงพ่อองค์ดำ”
พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองนาลันทา กรุงราชคฤห์
พระพุทธรูปสำคัญที่เลื่องชื่อที่สุดในประเทศอินเดีย
:b47: :b45: :b47:

ณ เมืองนาลันทา กรุงราชคฤห์ ประเทศอินเดีย ศาสนวัตถุสำคัญนอกจากซากกองอิฐสีแดงและเศษรูปสลักหินอ่อนที่ปรักหักพังของ “มหาวิทยาลัยนาลันทา” มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลกแล้ว ยังมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งซึ่งประดิษฐานอยู่นอกเขตรั้วของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ทางด้านทิศตะวันตก มีพระนามว่า “หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ” หรือ “หลวงพ่อองค์ดำ” นับเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญและเลื่องชื่อที่สุดในประเทศอินเดีย เพราะเป็นพระพุทธรูปเพียงองค์เดียวที่หลุดรอดจากการถูกทำลายของกองทัพมุสลิมเติร์ก (ตุรกี) ในปี พ.ศ. ๑๗๖๖ พระพุทธลักษณะแกะสลักจากหินแกรนิตสีดำ มีขนาดหน้าตักกว้าง ๖๐ นิ้วฟุต ความสูงนับจากพระเพลาถึงยอดพระเกตุ ๖๙ นิ้วฟุต พระเกตุทรงดอกบัวตูม พระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาวางคว่ำที่พระชานุ (เข่า) องคุลี (นิ้วมือ) ของพระหัตถ์ขวาทั้งหมดชี้ให้พระแม่ธรณีมาเป็นพยาน คนไทยนิยมเรียกว่า ปางมารวิชัย (ปางชนะมาร, ปางสะดุ้งมาร) ส่วนคนอินเดียเรียกว่า ปางภูมิสัมผัสหรือปางภูมิผัสสะ มีอายุ ๑,๐๐๐ กว่าปี แม้บางองคุลีของพระหัตถ์ขวาและพระนาสิก (จมูก) จะหักบิ่นเล็กน้อย แต่ก็ยังทรงความสมบูรณ์งดงามอยู่มิได้จืดจาง

พระครูภาวนาจิตสุนทร (หลวงพ่อสมจิตร จิตตสังวโร) รองประธานสมาคมพุทธไทย-ภารต ประธานที่ปรึกษาวัดป่าพุทธคยา และเจ้าอาวาสวัดอรัญญิกาวาส อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี กล่าวว่า การบนบานศาลกล่าวขอพรจากพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินเดียนั้น เป็นไปในลักษณะเดียวกับคนไทย

ชาวอินเดียนับถือศรัทธาความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำเป็นอย่างมาก เวลาลูกไม่สบายก็พากันเอาน้ำมันเนยมาทาที่องค์ท่านก่อน แล้วลูบเอาน้ำมันเนยนั้นกลับมาทาตัวลูก ทำให้ลูกหายเจ็บป่วย หายงอแง กินข้าวได้ อ้วนท้วนสมบูรณ์ จนหลายคนขนานนามท่านว่า “หลวงพ่อน้ำมัน” หรือภาษาอินเดียว่า “เตลิยะบาบา” บางคนก็ขนานนามท่านว่า “หลวงพ่ออ้วน” หรือภาษาอินเดียว่า “โมต้าบาบา”

โดยเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ ก็เลยพากันมาบนบาน และแก้บนโดยเอาน้ำมันเนยมาทาลูบไล้ เอาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา เอาข้าวสารมาไหว้ถวาย จนข่าวความศักดิ์สิทธิ์แพร่กระจายออกไปทั่ว แม้กระทั่งชาวพุทธในเมืองไทย ถ้าได้มายังประเทศอินเดีย ก็ไม่เว้นที่จะแวะไปกราบไหว้นมัสการหลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ ณ มหาวิทยาลัยนาลันทา เมืองราชคฤห์ แห่งนี้

สำหรับบริเวณใกล้ๆ กันกับมหาวิทยาลัยสงฆ์นั้น มี “บ่อน้ำ” อยู่แห่งหนึ่ง ผู้คนชาวอินเดียมักจะมาบูชาพระอาทิตย์ และเอาน้ำในบ่ออาบกายตน เนื่องจากเชื่อว่าจะทำให้โชคดีมีสุข


รูปภาพ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 07:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

:b44: ประวัติหลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ

สำหรับประวัติความเป็นมาของ “หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ” หรือ “หลวงพ่อองค์ดำ” หรือ “หลวงพ่ออ้วน” นั้น จากบันทึกของท่านราม ปิล่า สิงห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานท่องเที่ยวอินเดีย ทำให้เราได้ทราบว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นโดยท่านธรรมปาล ในสมัยพระเจ้าเทวาปาล คือระหว่างปี พ.ศ. ๑๓๕๓-๑๓๙๓

ถ้าหากท่านทราบประวัติความเป็นมามากกว่านี้ ท่านจะรู้สึกศรัทธาและประหลาดใจเป็นแน่ เพราะเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้นที่เหลือจากการทำลายของคนศาสนาอื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือ เมื่อปี พ.ศ. ๑๗๖๖ พวกมุสลิมเติร์ก (ตุรกี) ได้ใช้วิธีเผยแผ่พระศาสนาโดยใช้กำลังอาวุธ ถ้าใครไม่นับถือศาสนาของตนจะต้องถูกทำร้าย โดยเฉพาะผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญจะต้องถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นคนหรือทรัพย์สมบัติในพระพุทธศาสนา จนกระทั่งพวกมุสลิมสามารถเข้ายึดครองดินแดนชมพูทวีปฝ่ายเหนือและแคว้นมคธได้ทั้งหมด ด้วยการใช้กำลังอำนาจเข้าห้ำหั่น ฆ่าฟัน ข่มเหง และย่ำยีด้วยวิธีการต่างๆ นานา ซึ่งมี “โมฮัมหมัด อิคเทีย ขิลจิ” ลูกชายของภัคเทีย ขิลจิ เป็นหัวหน้า ได้พาทหารสมัครพรรคพวกชาวเติร์กถืออาวุธเข้าห้ำหั่นชาวพุทธ ทุบทำลายเผาตำรับตำรา ถาวรวัตถุสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา

กระทั่งเป็นเหตุให้มหาวิทยาลัยนาลันทา หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ พระพุทธรูปองค์อื่นๆ และเอกสารตำรับตำราทางพระพุทธศาสนาทั้งหมด ได้ถูกเศษอิฐและหินทับถมจมลงใต้แผ่นดิน ถูกลบหายไปจากความทรงจำของผู้คนเป็นเวลานานเกือบ ๗ ศตวรรษ หรือประมาณเกือบ ๗๐๐ ปี คงเหลือไว้แต่ซากปรักหักพักอย่างที่เราเห็น เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก ว่ากันว่ากองทัพมุสลิมเติร์กเอาเชื้อเพลิงมาสุมแล้วจุดไฟเผา กินเวลาเป็นแรมเดือนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะมอดไหม้หมดสิ้น แสดงให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้มีความใหญ่โตกว้างใหญ่ไพศาลมากทีเดียว


สำหรับสาเหตุที่หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ ถูกฝังจมอยู่ใต้แผ่นดินกินเวลานานเกือบ ๗ ศตวรรษ (๗๐๐ ปี) นั้น ท่านตารนาท ธรรมสวามินปราชญ์ หรือท่านลามะธรรมสวามิน (Lama Dharmasvamin) พระลามะชาวธิเบตผู้เห็นเหตุการณ์ ได้บันทึกไว้ว่า...กองทัพมุสลิมเติร์กหลังจากเข้าปกครองดินแดนชมพูทวีปฝ่ายเหนือและแคว้นมคธได้ทั้งหมดแล้ว ก็เริ่มทำลายวัดวาอาราม ตลอดทั้งปูชนียสถานทางพระพุทธศาสนาเกือบทั้งหมด ในปี พ.ศ. ๑๗๖๖ กองทัพมุสลิมเติร์กนำโดย โมฮัมหมัด อิคเทีย ขิลจิ พร้อมด้วยทหารประมาณ ๒๐๐ คน ได้กรีฑาทัพเข้าไปในมหาวิทยาลัยนาลันทา ทำลายพระพุทธรูปและศิลปกรรมต่างๆ ที่ขวางหน้าอย่างมันมือและเมามัน โดยปราศจากผู้คนที่จะมาต่อต้านเกือบทั้งสิ้น เท่านั้นมิหนำใจยังเอาเชื้อเพลิงมาสุมแล้วจุดไฟเผา จนทำให้คัมภีร์ตำราทางพระพุทธศาสนาทั้งเก่าและใหม่ถูกไฟไหม้เกือบหมดสิ้น พอสาสมแก่ใจแล้ว โมฮัมหมัด อิคเทีย ขิลจิ และทหารสมัครพรรคพวกชาวเติร์กก็ยกทัพกลับไปยังเมืองภัคเทียปูร์

พอกองทัพมุสลิมเติร์กยกทัพกลับไปแล้ว พระนักศึกษาและพระอาจารย์ของมหาวิทยาลัยนาลันทาประมาณ ๗๐ องค์ ที่หลบซ่อนอยู่ก็พากันย้อนกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัย แล้วก็พบว่าพระพุทธรูปและศิลปกรรมส่วนใหญ่ถูกทำลายเสียหายอย่างย่อยยับ แต่ยังมีที่พอที่จะจัดการปฏิสังขรณ์ได้ จึงพร้อมใจกันดำเนินการซ่อมแซม โดยให้ท่านมุทิตาภัทร เป็นหัวหน้า ท่านรัฐมนตรีของกษัตริย์แคว้นมคธในสมัยนั้นได้จัดทุนทรัพย์จำนวนหนึ่ง ส่งไปจากแคว้นมคธเพื่อช่วยเหลือซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่นาลันทาขึ้นมาใหม่ แต่ก็ทำได้บางส่วนเท่านั้น

แต่แล้วต่อมาวันหนึ่ง ได้มีชูชก (ปริพาชก) ๒ คนเข้ามาวางอำนาจ ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลทางศาสนา จนกระทั่งเวลา ๑๒ ปีผ่านไป ๒ ชูชกดังกล่าวก็ยังวางตนเขื่องอยู่ มาถึงคราวหนึ่งทั้ง ๒ ชูชกได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาขึ้น และคงคิดว่าเพียงพอแล้วที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป จึงได้รวบรวมเศษไม้แล้วก่อไฟขึ้น พร้อมทั้งขว้างปาดุ้นฟืนที่ติดไฟไปตามสถานที่ต่างๆ โดยรอบ จนกระทั่งเกิดไฟลุกไหม้ไปทั่วมหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก จนแหลกลาญเป็นผุยผง สุดที่จะทำการซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ให้คืนดีได้ดังเดิม มหาวิทยาลัยนาลันทาอันเลื่องชื่อลือนามก็เป็นอันสิ้นสุดลง ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่ามาตั้งแต่บัดนั้น

ในยุคที่อังกฤษปกครองอินเดีย มีนักโบราณคดีจำนวนมากได้เข้ามาสำรวจขุดค้นพุทธสถานต่างๆ ในอินเดียโดยอาศัยบันทึกลายแทงของพระถังซัมจั๋ง (หลวงจีนเฮียงจัง, Xuanzang ท่านเป็นพระจีนที่เคยเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนา ณ มหาวิทยาลัยนาลันทา เป็นเวลาถึง ๑๔ ปี โดยได้บันทึกเหตุการณ์และสถานที่สำคัญต่างๆ เอาไว้อย่างละเอียด) เกี่ยวกับเรื่องของมหาวิทยาลัยนาลันทา คนแรกที่เข้ามาสำรวจ คือ ท่านลอร์ดแฮมิลตัน (Lord Hamilton) เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๘ แต่ไม่ค้นพบโบราณวัตถุสำคัญใดๆ ค้นพบเพียงพระพุทธรูปและเทวรูป ๒ องค์เท่านั้น ซึ่งสถานที่ค้นพบอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยสงฆ์เพียง ๑ กิโลเมตร

ต่อมาอีก ๔๕ ปี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๓ มีนักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ นายพลโทเซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม (Sir Alexander Cunningham) ได้ศึกษาและอ่านบันทึกลายแทงของพระถังซัมจั๋งดังกล่าวจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงนำคณะเข้ามาสำรวจและขุดค้น ก็ปรากฏผลดังที่ตนปรารถนาไว้ทุกประการ คือได้ค้นพบพระเจดีย์องค์ที่ตั้งอยู่ใจกลางมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทาพอดี ซึ่งในขณะนั้นเป็นเพียงกองดินสูงเท่านั้น จากนั้นเซอร์คันนิ่งแฮมก็ได้ทำแผนที่ตามบันทึกลายแทงที่มีอยู่ (คือจากหนังสือของพระถังซัมจั๋ง) เพื่อค้นหาพระเจดีย์องค์อื่นๆ โดยมอบหมายให้กลุ่มนักสำรวจขุดค้นซึ่งมี นาย เอ.เอ็ม.พรอดเล่ย์ และ ดร.สปูนเนอร์ เป็นหัวหน้า เข้าไปค้นหาปูชนียวัตถุตามบันทึกนั้น ก็ปรากฏว่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้ค้นพบซากพระเจดีย์องค์อื่นๆ และตัวมหาวิทยาลัยสงฆ์ รวมทั้ง หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ และพระพุทธรูปองค์อื่นๆ อีกมากมายหลายองค์ซึ่งส่วนมากจะเสียหายหักบิ่นจากการถูกทำลายของกองทัพมุสลิมเติร์กดังกล่าว ในครั้งนั้นกลุ่มนักสำรวจขุดค้นได้ส่งเข้าไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษเกือบทั้งหมด (ปัจจุบันได้นำกลับมาเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์นาลันทา) การค้นพบครั้งนี้เท่ากับว่า “มหาวิทยาลัยนาลันทา” มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก ได้ปรากฏแก่สายตาชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง

สำหรับ “หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ” นั้น ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกส่งไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษด้วย และเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้นที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุด จะมีหักบิ่นเล็กน้อยเฉพาะที่บางองคุลี (นิ้วมือ) ของพระหัตถ์ขวาและพระนาสิก (จมูก) เท่านั้น สรุปแล้วก็คือเป็นพระพุทธรูปเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่เหลือรอดจากการถูกทำลายของกองทัพมุสลิมเติร์ก และไม่ถูกอังกฤษยึดไป

หากมองจากภาพโดยทั่วๆ ไปแล้ว หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำนั้นมีขนาดใหญ่และประดิษฐานตั้งไว้บนฐานที่มั่นคง จึงยากลำบากต่อการเคลื่อนย้าย ตามคำบอกเล่าทราบว่าในภายหลังรัฐบาลอินเดียพยายามที่จะย้ายองค์หลวงพ่อไปเก็บรักษาไว้ภายในพิพิธภัณฑ์เมืองนาลันทา แต่ทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้ายมักเกิดเหตุอาเพศที่ไม่คาดฝันเสมอ เช่น ฝนตกอย่างหนัก เกิดฟ้าผ่าอย่างรุนแรง เป็นต้น กระทั่งเป็นเหตุให้การเคลื่อนย้ายองค์พระไม่สำเร็จ

ขณะเดียวกันชาวบ้านได้มาดูแลรักษาหลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำไว้ หากเกิดการเจ็บป่วยก็จะนำน้ำมันมาทาลูบไล้องค์พระ แล้วอธิษฐานขอให้องค์หลวงพ่อรักษาโรคต่างๆ ซึ่งนับเป็นมหัศจรรย์ว่าโรคต่างๆ ได้ถูกรักษาด้วย “พลังความศักดิ์สิทธิ์” ขององค์พระ ปัจจุบันแม้แต่ชาวพุทธผู้แสวงบุญชาวไทยต่างได้เดินทางมาสักการะและอธิษฐานขอพรซึ่งก็สามารถรักษาโรคต่างๆ หายได้อย่างน่าประหลาดใจ นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งนัก

ครั้นต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙ หลวงพ่อ ดร.เจ กัสสปะ พระสงฆ์ชาวอินเดียซึ่งได้รับการอุปสมบทที่ประเทศศรีลังกา กลับมาฟื้นฟูมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้ขึ้นอีกครั้ง ท่านได้จัดให้มีการเรียนการสอนแผนกภาษาบาลีโดยเฉพาะ ระยะแรกๆ ยังไม่มีสถานที่ทำการเรียนการสอนถาวร ก็อาศัยวัดจีนไปพลางก่อน ต่อมาได้สร้างอาคารเรียนขึ้นมาตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับที่ตั้งมหาวิทยาลัยนาลันทา (เก่า) ให้ชื่อว่า “นวนาลันทามหาวิหาร” ซึ่งก็ได้มีพระสงฆ์ไทยเดินทางไปศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอกทางภาษาบาลี จากมหาวิทยาลัยแห่งนี้หลายรูป

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยนาลันทา ได้กลายเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญมากแห่งหนึ่ง โดยมีพื้นที่ประมาณ ๘๐ ไร่เศษ ด้านหน้าของมหาวิทยาลัยเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ ชื่อว่า พิพิธภัณฑ์นาลันทา โดยเป็นที่เก็บรักษาและรวบรวมโบราณวัตถุสำคัญซึ่งขุดค้นพบได้ในบริเวณนาลันทาและราชคฤห์เอาไว้เป็นจำนวนมาก ส่วนมากเป็นรูปสลักหินและรูปสำริดของพระโพธิสัตว์ และเทพของศาสนาพราหมณ์ ที่ล้วนมีความงดงามมาก ดูจากป้ายคำอธิบายส่วนมากเขียนบอกว่า เป็นศิลปะยุคคุปตะและยุคปาละ ทั้งนี้ ทางพิพิธภัณฑ์นาลันทาไม่อนุญาตให้บันทึกภาพใดๆ ภายในพิพิธภัณฑ์


รูปภาพ
หลวงจีนเฮียงจัง (พระถังซัมจั๋ง) เมื่อครั้งเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยนาลันทา
[ภาพดัดแปลงจากหนังสือภาพประวัติพระถังซัมจั๋ง เรียบเรียงโดย ล.เสถียรสุต]


รูปภาพ
ซากกองอิฐสีแดงและเศษรูปสลักหินอ่อนที่ปรักหักพังของ “มหาวิทยาลัยนาลันทา”
มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก ซึ่งยังคงทิ้งร่องรอยของความยิ่งใหญ่ในอดีต
ปัจจุบันตั้งอยู่ที่เมืองราชคฤห์ (ใหม่) ห่างจากเมืองปัตนะ เมืองหลวงของรัฐพิหาร ๙๐ กิโลเมตร
“มหาวิทยาลัยนาลันทา” ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ได้แสดงพระสัทธรรมให้เราเห็นถึงกฎแห่งไตรลักษณ์


รูปภาพ
“มหาวิทยาลัยนาลันทา” มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก
ศูนย์กลางสำคัญของการศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยโบราณ
มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
แห่งราชวงศ์โมริยะ ประมาณปีพุทธศตวรรษที่ ๓ เป็นสถานศึกษาที่รุ่งเรืองยิ่ง
มีนักศึกษาประมาณ ๑๐,๐๐๐ ท่าน มีครูอาจารย์ประมาณ ๑,๕๐๐ ท่าน
มีตึกสูงถึง ๖ ชั้น มีพระพุทธรูปปางสมาธิสูงถึง ๑๖ วา มีห้องสมุดใหญ่ถึง ๓ หลัง
อยู่ในมหาวิทยาลัยเดียว โดยผู้มาศึกษาเล่าเรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น


รูปภาพ
“นวนาลันทามหาวิหาร” มหาวิทยาลัยนาลันทา (ใหม่)

:b47: :b40: :b47:

• มหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39415

• พระถังซัมจั๋ง : ตถาตาหมื่นลี้ที่ปลายจมูก
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=20219

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2011, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

:b44: คำสวดบูชาหลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
(ให้สวด ๓ จบ)

คำสวดบูชา

อิติปิ โส ภะคะวา กาฬะวัณณะพุทธะปฏิมัง อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมาสาระถิ สัตถาเทวะ มะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
(ให้สวด ๙ จบ หรือ ๑๐๘ จบ)


ขอพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ พุทธบารมี สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงวรรณะองค์ดำ ที่ข้าพเจ้าได้บูชาแล้ว จงมีอานุภาพ พลานุภาพ บุญญฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ จงบันดาลส่งผลให้ข้าพเจ้า มีอุดมมงคลสูงสุดในตัวข้าพเจ้าและครอบครัว ธุรกิจการงานของข้าพเจ้า จงชนะตลอด ปลอดภัยตลอด เจริญรุ่งเรืองตลอด ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บตลอดชีวิต มีพลานามัยที่สมบูรณ์ยิ่ง

ในที่สุดขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาได้ดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้ง เห็นจริงในอริยสัจ ๔ ประการ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมอย่างไร ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าจงรู้ธรรมอย่างนั้น ด้วยเดชแห่งบุญนี้เทอญ


รูปภาพ

:b8: รวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหามาจาก ::
(๑) พระวิเทศโพธิคุณ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ), สู่แดนพระพุทธองค์ อินเดีย-เนปาล
: ธรรมสภาและสถาบันลือธรรม, ๒๕๔๔.
(๒) พระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ), พระพุทธมนต์
(ฉบับตามรอยบาทพระศาสดา อินเดีย-เนปาล)
: ธรรมสภาและสถาบันลือธรรม, ๒๕๕๐.
(๓) พระมหา ดร.คมสรณ์ คุตฺตธมฺโม, คู่มือเส้นทางบุญสู่สังเวชนียสถาน : ดาวเหนือ, ๒๕๔๙.
(๔) พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), จาริกบุญ จารึกธรรม : มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๔๗.
(๕) ชิว ซูหลุน, ถังซำจั๋ง
จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง
: มติชน, ๒๕๔๗.

:b8: ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ :: เอื้อเฟื้อโดย คุณ Venfaa Aungsumalin
และ
http://www.painaima.com/board/index.php?topic=214.0

:b47: พระพุทธรูปองค์ดำ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=42195

:b39: พุทธสังเวชนียสถาน
: สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39377

◆◆◆ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ๓ องค์ ในประเทศอินเดีย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=56021

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2011, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ต.ค. 2009, 15:47
โพสต์: 417

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: วิปัสนา-กรรมฐาน เล่ม 1-2
ชื่อเล่น: นา
อายุ: 44
ที่อยู่: 140/19 ถ.อภัย อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าแก้ไขคนอื่น จงแก้ไขตัวเราเอง

....................................................

เจ้าเกิดมามีอะไรมาด้วยเล่า
เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
เจ้ามาเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร
เจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา

...................................................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2015, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1012


 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ไปกราบสักการะหลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ ที่นาลันทา ประเทศอินเดียมาแล้วค่ะ :b8: อีกทั้งยังได้ร่วมทำบุญในการหล่อหลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ ที่วัดในประเทศไทยอีกด้วยค่ะ :b20: :b16:

กราบสาธุๆๆ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2018, 12:56 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2019, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b8: :b8: :b8: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2021, 08:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 702

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2024, 20:45 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร