วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 06:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 285 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

สำหรับเรื่อง สภาวะความรักในโลกปัจจุบัน ที่เราเพิ่งผ่านมา แต่ยังมีการชดใช้อยู่
ตอนนี้ความรู้สึกของเราแผ่วเบาลงไปเรื่อยๆ เพราะเข้าใจถึงเหตุและผล
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทั้งหมด นั่นคือ เราได้ชดใช้ให้กับเขาคนนั้น ก็ยังทะยอยใช้เขาอยู่นะ
เขายังคงมีทวงเราประปราย เพียงแต่เรานั้น ไม่ไปทุกข์จากการกระทำของเขาเหมือนเมื่อก่อน
เป็นผู้ดูมากขึ้น ยิ่งเขากระทำมากเท่าไหร่ จิตมันซึมซับไว้หมด ทำให้เกิดความปล่อยวางมากขึ้น

:b20: :b20: :b20:
ใช้กรรมดีที่เคยทำมา คานกับกรรมไม่ดีที่เคยทำมาเช่นกัน
กรรมไม่ดีก็จะค่อยๆลดลงเนื่องจากการชดใช้อยู่เรื่อยๆและทำกรรมดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
การฝึกวิปัสสนาจะทำให้การปล่อยวางสภาวะต่างๆได้เร็วขึ้น
ไม่ใช่เราเป็นผู้วาง แต่ผลจากการพิจารณาจนจิตยอมรับในสภาวะต่างๆที่ไม่เคยเที่ยงแท้เลย
มันจะวางเอง เราไม่ได้เป็นผู้วางแต่เป็นผู้สร้างเหตุให้จิตสามารถวางได้เร็วขึ้น
ด้วยการวิปัสสนา มีสติพิจารณาสภาวะต่างๆเกิดดับตามความเป็นจริง



walaiporn เขียน:
นี่แหละ เหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดจากเพราะความไม่รู้ จึงได้สร้างเหตุที่ไม่ดี ผลที่ได้รับเลยไม่ดีเช่นนี้
เราเคยทำร้ายเขา เขาก็มาทำร้ายเรา เมื่อเราเข้าใจตรงเหตุและผลแล้ว เราจะมีแต่จิตที่คิดให้อภัยกับเขา
ไม่มารู้สึกคับแค้นใจ ทุกข์ใจ เสียใจเหมือนก่อนๆ มีแต่จะมองด้วยความเข้าใจว่า ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้นกับเรา


ใช่ครับๆ มีผลก็ต้องย่อมมีเหตุ การเชื่อเรื่องบาปกรรมที่เราทำไว้จะทำให้เกิดเมตตา
ยิ่งถ้าเมตตากับผู้ที่ทำให้เราทุกข์ จะเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง หาได้ยากนัก
ที่จริงแล้วก็เราเองนั่นแหละเคยก่อเหตุไว้จึงต้องมารับผลนั้นเอง

ผมก็มีความคิดแบบนี้นะครับ ยิ่งตัวเองทุกข์มากจะยิ่งสงสารคนที่มาทำให้เราทุกข์
นึกเสียใจมากในสิ่งที่เราเคยทำกับเขาไว้ในชาติก่อนๆ จึงเป็นผลทำให้เราทุกข์เช่นนี้
นึกขอโทษเขาอยู่ตลอด



walaiporn เขียน:

กับอีกคนที่ไร้ตัวตน ได้ยินแต่เสียงเฝ้าถามว่า เมื่อไหร่จะกลับไปสักทีนั้น
ตอนนี้ไม่คิดจะไปไหนอีกแล้ว มีแต่มุ่งหน้าไปเส้นทางเดียวเท่านั้น ไม่ปรารถนาการเกิดอีกแล้ว
เหนื่อยนะ ทุกข์นะ เพราะทุกๆครั้งของการเกิดจะมีความไม่รู้เป็นของแถมมาคู่กัน
ไม่รู้ก่อนที่จะรู้ แล้วกว่าจะรู้ล่ะ สร้างเหตุใหม่ไปอีกตั้งเท่าไหร่ แค่คิดก็สยองแล้ว


อนุโมทนาสาธุครับกับการไม่ปารถนาการเกิดอีกแล้ว
ผมว่าไม่นานหรอกครับ มันไม่ได้ยากเกินกำลังเลย
โดยเฉพาะผู้ที่มีพื้นฐานวิปัสสนาที่ดีด้วยแล้ว

อย่าหาว่าผมมาทำตัวเป็นผู้รู้หรืออะไรเลยนะครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมกลัวคือการที่คนอื่นมองว่าผมอวดเก่ง อวดรู้
แต่คิดดูแล้วว่าถ้าเราไม่ช่วยเหลือ ไม่ช่วยแนะนำ
ทั้งๆที่เราเห็นว่า สภาวะที่เป็นอยู่ของเขา
เขาควรทำอย่างไรต่อ หรือติดอะไรอยู่
คิดดูแล้วยังไงก็ต้องช่วยไว้ก่อน จะเกิดผลอะไรกับผมนั้นก็ยอมรับได้อยู่แล้ว
แม้จะกลัวแต่ถ้าเกิดสิ่งที่เรากลัวนั้นขึ้นมาจริง
ใจเราก็หนักแน่นพอที่จะไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรมนั้นๆอยู่แล้ว

ที่จริงผมก็ไม่เก่งเรื่องบัญญัติที่ละเอียดซับซ้อนสักเท่าไร
แต่เป็นเพราะเข้าใจในสิ่งที่เห็นจากการปฏิบัติของตัวเอง
และเทียบเคียงความเป็นเหตุเป็นผลของครูบาอาจารย์
ทราบว่าทางใดเป็นทางตรงและเดินไปยังจุดหมายได้เร็ว
โดยที่ไม่ต้องแวะเข้าซอยต่างๆก่อนที่จะเข้าถึงจุดหมายให้เสียเวลา
และอาจจะทำให้ไม่ถึงจุดหมายในชาตินี้

การมองเห็นโครงสร้างใหญ่และจุดหมายของการปฏิบัติได้ชัดเจน
จึงทราบว่าควรปฏิบัติอย่างไร ควรจะไปในทางใด
และก็พอจะช่วยผู้อื่นได้บ้าง สำหรับผู้ที่เปิดรับและพิจารณาตามแล้วเห็นว่า
สิ่งที่ผมบอกนั้นเป็นความจริงและให้ผลจริง

สุดท้ายสิ่งที่ต้องอาศัยด้วยก็คือ การสร้างบารมีมาด้วยกัน
การเคยเป็นมิตร คอยช่วยเหลือกันมาตั้งแต่ในอดีต
ที่จะทำให้ใจของเขายอมรับได้ในสิ่งที่เรามอบให้ได้



walaiporn เขียน:
ทำความเพียรต่อเนื่อง เล็กๆน้อย เก็บสะสมหน่วยกิตตลอด เก็บไว้สะสมเป็นกำลัง เป็นเสบียงใช้ในการเดินทาง
ชีวิตทุกวันนี้ นับว่า มีความสุขมากๆเลยนะ ทุกข์สักแต่ว่ารู้มากขึ้น ดับไวมากขึ้น ไม่ไปเกาะเกี่ยวนาน

ความเหงาแทบจะไม่มีในหัวใจเลย เพียงแต่บางครั้ง เมื่อฟังเพลง เราก็ยังมีอารมณ์ประมาณนี้อยู่
มีนะ แต่มีความสุข ไม่ได้ไปรู้สึกเหงาแต่อย่างใด ยิ่งเข้าใจ ยิ่งพบแต่ความสุข


เข้าใจเลยครับ
ความสุขมากๆที่ว่า มันเป็นความสุขจากการไม่ยึดมั่นถือมั่น จากความสงบลึกๆในจิตใจ
ไม่ใช่ความสุขในโลกธรรม แต่เป็นความเบาสบายของจิตที่ถูกฝึกมาจนปล่อยวางสิ่งต่างๆได้มากขึ้น :b16:

ทุกข์นั้นไม่เที่ยง ความเหงานั้นไม่เที่ยง แต่ความสุขก็ไม่เที่ยง ความไม่เหงานั้นก็ไม่เที่ยงเช่นกัน
ดับไวก็ไม่เที่ยง ดับช้าก็ไม่เที่ยง มีอารมณ์ก็ไม่เที่ยง ไม่มีอารมณ์ก็ไม่เที่ยง บุญก็ไม่เที่ยง บาปก็ไม่เที่ยง
ทุกอย่างล้วนเป็นสภาวะที่ไม่เที่ยง ไม่สามารถบังคับให้เป็นหรือไม่ให้เป็นได้เลย



walaiporn เขียน:
ทางที่กำลังเดินอยู่นี้ ไม่ไปคาดหวังว่าเมื่อไหร่จึงจะถึงจุดหมายปลายทาง
ไม่เคยคำนึงถึงตรงนี้เลยนะ นิดเดียวไม่มี ไม่ไปคิดว่า เมื่อไหร่จะถึง แล้วจะทำสำเร็จไหม
รู้แต่ว่า หากเราทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สักวันเราต้องจบการเดินทางนี้แน่นอน ไม่ต้องมาเดินทางอีกต่อไป
เพียงแต่ตอนนี้เรากำลังสร้างเหตุใหม่ เป็นเหตุที่ดี เพื่อเป็นปัจจัยสำหรับการเดินทางต่อไป
จนกว่าจะถึงจดหมายปลายทาง ต้องมีสักวันที่ฝันนั้นเป็นจริงอย่างแน่นอน :b12:


มาถูกทางแล้วครับ
เน้นวิปัสสนา พิจารณาความเป็นจริงของรูปนาม (ขันธ์๕)
ถึงได้ไม่ยากอย่างแน่นอน :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2010, 22:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:

ผมว่าไม่นานหรอกครับ มันไม่ได้ยากเกินกำลังเลย
โดยเฉพาะผู้ที่มีพื้นฐานวิปัสสนาที่ดีด้วยแล้ว





คุณพงพันพึงระวังในคำพูดที่ออกแนวสรรเสริญด้วยะนะคะ
เพราะถ้าโยคี ทีมีมานะกิเลสแรง คำพูดที่แสดงความชื่นชมนั้น เท่ากับไป
เพิ่มพูนกิเลสที่เขามีอยู่ให้มากกว่าเดิม ถึงแม้ว่า เราไม่ได้มีเจตนาจะไม่ได้คิดอะไรก็ตาม
แต่เรื่องการปฏิบัติ กิเลสเป็นเรื่องละเอียดอ่อน พึงระวังข้อนี้ด้วยค่ะ
เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า เราไปหยิบยื่นยาพิษให้เขาดื่ม



พงพัน เขียน:

มาถูกทางแล้วครับ เน้นวิปัสสนา พิจารณาความเป็นจริงของรูปนาม (ขันธ์๕)
ถึงได้ไม่ยากอย่างแน่นอน




ปัญหาส่วนมากที่เกิดขึ้นกับการสนทนาคือ ความสุดโต่งของผู้ปฏิบัติ
การที่กล่าวว่าเน้นอะไรนั้น ไม่ควรกล่าวเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะกลายเป็นข้อถกเถียงไม่รู้จบ

การเจริญสติ ให้ทั้งผลที่เป็นสมถะและวิปัสสนา
ส่วนถ้าคนไหนเขาเน้นหนักไปทางสมถะ ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะนั่นคือ เหตุที่เขาได้กระทำมา
ส่วนใครเน้นหนักไปทางวิปัสสนาหรือหันไปพิจรณาขันธ์ ๕ แบบที่คุณพงพันนำมากล่าวนั้น
ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะนั่นก็คือ เหตุที่เคยได้กระทำมา

คำว่า " มาถูกทาง " อาจจะถูกทางของเรา แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับเขา
แต่ละคนสร้างเหตุแตกต่างกันไป ตามกิเลสที่มีมากน้อยของแต่ละคน
บางคนเป็นชาวบ้านธรรมดา หนังสือก็ไม่ได้เรียน อ่านก็ไม่ออก ไปบอกให้เขาพิจรณาขันธ์ ๕
แล้วเขาจะทำได้อย่างไร ขนาดคนเรียนหนังสือ ยังพิจรณาไม่เป็นเลย
แล้วจะไปนับประสาอะไรกับตาสีตาสา ที่ไม่ได้เรียนหนังสือมา

เหตุแต่ละคนสร้างมาแตกต่างกันไป กุศโลบายในแนวทางการปฏิบัติจึงมีหลากหลาย
ใครเชื่อใคร ล้วนเกิดจากเหตุที่เขาเคยกระทำมาร่วมกัน :b44:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 01:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
พงพัน เขียน:

ผมว่าไม่นานหรอกครับ มันไม่ได้ยากเกินกำลังเลย
โดยเฉพาะผู้ที่มีพื้นฐานวิปัสสนาที่ดีด้วยแล้ว



คุณพงพันพึงระวังในคำพูดที่ออกแนวสรรเสริญด้วยะนะคะ
เพราะถ้าโยคี ทีมีมานะกิเลสแรง คำพูดที่แสดงความชื่นชมนั้น เท่ากับไป
เพิ่มพูนกิเลสที่เขามีอยู่ให้มากกว่าเดิม ถึงแม้ว่า เราไม่ได้มีเจตนาจะไม่ได้คิดอะไรก็ตาม
แต่เรื่องการปฏิบัติ กิเลสเป็นเรื่องละเอียดอ่อน พึงระวังข้อนี้ด้วยค่ะ
เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า เราไปหยิบยื่นยาพิษให้เขาดื่ม


ที่ผมกล้าพูดอย่างนั้นเพราะผมเห็นจริงๆว่าคนที่ผมบอกนั้นมีพื้นฐานวิปัสสนาที่ดีจริงๆครับ
และก็มั่นใจว่าผู้ที่ผ่านการวิปัสสนามาขนาดนี้ ผัสสะเล็กๆน้อยๆอย่างนี้ แทบจะไม่ส่งผลอะไรเท่าไหร่อย่างแน่นอนครับ
และน่าจะเป็นการให้กำลังใจในการปฏิบัติได้ไม่มากก็น้อยครับ

ขอน้อมรับในคำแนะนำครับ และจะนำไปใช้ในการระมัดระวังคำพูดในการสนทนาธรรมให้มากขึ้นนะครับ

walaiporn เขียน:
พงพัน เขียน:

มาถูกทางแล้วครับ เน้นวิปัสสนา พิจารณาความเป็นจริงของรูปนาม (ขันธ์๕)
ถึงได้ไม่ยากอย่างแน่นอน


ปัญหาส่วนมากที่เกิดขึ้นกับการสนทนาคือ ความสุดโต่งของผู้ปฏิบัติ
การที่กล่าวว่าเน้นอะไรนั้น ไม่ควรกล่าวเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะกลายเป็นข้อถกเถียงไม่รู้จบ

การเจริญสติ ให้ทั้งผลที่เป็นสมถะและวิปัสสนา
ส่วนถ้าคนไหนเขาเน้นหนักไปทางสมถะ ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะนั่นคือ เหตุที่เขาได้กระทำมา
ส่วนใครเน้นหนักไปทางวิปัสสนาหรือหันไปพิจรณาขันธ์ ๕ แบบที่คุณพงพันนำมากล่าวนั้น
ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะนั่นก็คือ เหตุที่เคยได้กระทำมา

คำว่า " มาถูกทาง " อาจจะถูกทางของเรา แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับเขา
แต่ละคนสร้างเหตุแตกต่างกันไป ตามกิเลสที่มีมากน้อยของแต่ละคน
บางคนเป็นชาวบ้านธรรมดา หนังสือก็ไม่ได้เรียน อ่านก็ไม่ออก ไปบอกให้เขาพิจรณาขันธ์ ๕
แล้วเขาจะทำได้อย่างไร ขนาดคนเรียนหนังสือ ยังพิจรณาไม่เป็นเลย
แล้วจะไปนับประสาอะไรกับตาสีตาสา ที่ไม่ได้เรียนหนังสือมา

เหตุแต่ละคนสร้างมาแตกต่างกันไป กุศโลบายในแนวทางการปฏิบัติจึงมีหลากหลาย
ใครเชื่อใคร ล้วนเกิดจากเหตุที่เขาเคยกระทำมาร่วมกัน :b44:


ผมเป็นคนนึงที่เน้นหนักในสมถะเหมือนกันครับ เคยสุดโต่งทางสมถะด้วยซ้ำ
แต่ผมแทบจะไม่พยายามพูดถึงสมถะเลย
เพราะว่าผมรู้แล้วว่าผลหรือปัญญาที่ได้รับนั้น สมถะมีส่วนช่วยเสริมก็จริง แต่
วิปัสสนามีบทบาทมากกว่าอย่างมากครับ อีกอย่างในสถานภาพของฆราวาสนั้น
การทำสมถะเป็นเรื่องที่ดูจะลำบากเนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่เอื้ออำนวย
ต่างจากการวิปัสสนาที่ทำได้ตลอดเวลาและจะทำให้เกิดปัญญาได้
มากกว่าที่จะต้องรอมีเวลาทำสมถะน่ะครับ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงพูดถึงแต่วิปัสสนาครับ


คำว่า มาถูกทาง คือ ถ้าทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆหลุดพ้นได้แน่นอนครับ
ผมไม่ได้หมายความว่าวิธีอื่นผิดทาง วิธีอื่นทำไม่ได้เลยนะครับ
และการพูดถึงขันธ์๕ ของผมในแต่ละครั้งนั้น ผมจะดูผู้ที่สนทนาด้วยก่อนเสมอครับ
เพราะทราบจุดอ่อนในการแนะนำการปฏิบัติเรื่องนี้ดีครับ
ถ้าคิดว่าสามารถพูดได้ก็จะพูด ถ้าคิดว่าพูดแล้วไม่เข้าใจแน่ก็จะไม่พูดครับ
จะเลี่ยงใช้คำพูดทั่วไปที่เข้าใจได้ง่ายๆมากกว่า
ยิ่งในเว็บบอร์ดแบบนี้น้อยครั้งนักที่ผมจะพยายามแนะนำใคร
อยากจะเข้ามาสนทนาให้กำลังใจธรรมดามากกว่าครับ
แต่เห็นคนที่มีพื้นฐานวิปัสสนาดีแล้ว ก็อดไม่ได้จริงๆที่จะต้องยื่นมือยื่นไม้อ่ะครับ
ว่า การทำวิปัสสนานั้นดีมากๆแล้ว และพยายามพิจารณาให้ครอบคลุมขันธ์๕ ก็เท่านั้นครับ

ต้องขออภัยและขออโหสิกรรมด้วยนะครับ ถ้าสิ่งที่ผมพูดอาจทำให้เกิดการเข้าใจไม่ตรงกัน
ขอย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่ได้เก่งกาจไปกว่าใคร
แต่ยังไงผมก็มั่นใจว่าคุณ walaiporn ต้องเข้าใจในเจตนาของผมที่ผมพยายามสื่อ

ขอน้อมรับสิ่งต่างๆในการสนทนาเพื่อการแก้ไขและพัฒนาทักษะการสื่อสารของตนเองในเรื่องธรรม
อนุโมทนาสาธุกับคุณ walaiporn ด้วยอย่างยิ่งครับ ที่มีส่วนช่วยในการแก้ไขและพัฒนาของผม :b8: :b8:
เพื่อจะได้เป็นกำลังของพระพุทธศาสนาในการแนะแนวทางธรรมเพื่อช่วยคนให้หลุดพ้นได้มากที่สุดครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 08:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
walaiporn เขียน:

สำหรับเรื่อง สภาวะความรักในโลกปัจจุบัน ที่เราเพิ่งผ่านมา แต่ยังมีการชดใช้อยู่
ตอนนี้ความรู้สึกของเราแผ่วเบาลงไปเรื่อยๆ เพราะเข้าใจถึงเหตุและผล
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทั้งหมด นั่นคือ เราได้ชดใช้ให้กับเขาคนนั้น ก็ยังทะยอยใช้เขาอยู่นะ
เขายังคงมีทวงเราประปราย เพียงแต่เรานั้น ไม่ไปทุกข์จากการกระทำของเขาเหมือนเมื่อก่อน
เป็นผู้ดูมากขึ้น ยิ่งเขากระทำมากเท่าไหร่ จิตมันซึมซับไว้หมด ทำให้เกิดความปล่อยวางมากขึ้น

:b20: :b20: :b20:
ใช้กรรมดีที่เคยทำมา คานกับกรรมไม่ดีที่เคยทำมาเช่นกัน
กรรมไม่ดีก็จะค่อยๆลดลงเนื่องจากการชดใช้อยู่เรื่อยๆและทำกรรมดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
การฝึกวิปัสสนาจะทำให้การปล่อยวางสภาวะต่างๆได้เร็วขึ้น
ไม่ใช่เราเป็นผู้วาง แต่ผลจากการพิจารณาจนจิตยอมรับในสภาวะต่างๆที่ไม่เคยเที่ยงแท้เลย
มันจะวางเอง เราไม่ได้เป็นผู้วางแต่เป็นผู้สร้างเหตุให้จิตสามารถวางได้เร็วขึ้น
ด้วยการวิปัสสนา มีสติพิจารณาสภาวะต่างๆเกิดดับตามความเป็นจริง



walaiporn เขียน:
นี่แหละ เหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดจากเพราะความไม่รู้ จึงได้สร้างเหตุที่ไม่ดี ผลที่ได้รับเลยไม่ดีเช่นนี้
เราเคยทำร้ายเขา เขาก็มาทำร้ายเรา เมื่อเราเข้าใจตรงเหตุและผลแล้ว เราจะมีแต่จิตที่คิดให้อภัยกับเขา
ไม่มารู้สึกคับแค้นใจ ทุกข์ใจ เสียใจเหมือนก่อนๆ มีแต่จะมองด้วยความเข้าใจว่า ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้นกับเรา


ใช่ครับๆ มีผลก็ต้องย่อมมีเหตุ การเชื่อเรื่องบาปกรรมที่เราทำไว้จะทำให้เกิดเมตตา
ยิ่งถ้าเมตตากับผู้ที่ทำให้เราทุกข์ จะเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง หาได้ยากนัก
ที่จริงแล้วก็เราเองนั่นแหละเคยก่อเหตุไว้จึงต้องมารับผลนั้นเอง

ผมก็มีความคิดแบบนี้นะครับ ยิ่งตัวเองทุกข์มากจะยิ่งสงสารคนที่มาทำให้เราทุกข์
นึกเสียใจมากในสิ่งที่เราเคยทำกับเขาไว้ในชาติก่อนๆ จึงเป็นผลทำให้เราทุกข์เช่นนี้
นึกขอโทษเขาอยู่ตลอด



walaiporn เขียน:

กับอีกคนที่ไร้ตัวตน ได้ยินแต่เสียงเฝ้าถามว่า เมื่อไหร่จะกลับไปสักทีนั้น
ตอนนี้ไม่คิดจะไปไหนอีกแล้ว มีแต่มุ่งหน้าไปเส้นทางเดียวเท่านั้น ไม่ปรารถนาการเกิดอีกแล้ว
เหนื่อยนะ ทุกข์นะ เพราะทุกๆครั้งของการเกิดจะมีความไม่รู้เป็นของแถมมาคู่กัน
ไม่รู้ก่อนที่จะรู้ แล้วกว่าจะรู้ล่ะ สร้างเหตุใหม่ไปอีกตั้งเท่าไหร่ แค่คิดก็สยองแล้ว


อนุโมทนาสาธุครับกับการไม่ปารถนาการเกิดอีกแล้ว
ผมว่าไม่นานหรอกครับ มันไม่ได้ยากเกินกำลังเลย
โดยเฉพาะผู้ที่มีพื้นฐานวิปัสสนาที่ดีด้วยแล้ว

อย่าหาว่าผมมาทำตัวเป็นผู้รู้หรืออะไรเลยนะครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมกลัวคือการที่คนอื่นมองว่าผมอวดเก่ง อวดรู้
แต่คิดดูแล้วว่าถ้าเราไม่ช่วยเหลือ ไม่ช่วยแนะนำ
ทั้งๆที่เราเห็นว่า สภาวะที่เป็นอยู่ของเขา
เขาควรทำอย่างไรต่อ หรือติดอะไรอยู่
คิดดูแล้วยังไงก็ต้องช่วยไว้ก่อน จะเกิดผลอะไรกับผมนั้นก็ยอมรับได้อยู่แล้ว
แม้จะกลัวแต่ถ้าเกิดสิ่งที่เรากลัวนั้นขึ้นมาจริง
ใจเราก็หนักแน่นพอที่จะไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรมนั้นๆอยู่แล้ว

ที่จริงผมก็ไม่เก่งเรื่องบัญญัติที่ละเอียดซับซ้อนสักเท่าไร
แต่เป็นเพราะเข้าใจในสิ่งที่เห็นจากการปฏิบัติของตัวเอง
และเทียบเคียงความเป็นเหตุเป็นผลของครูบาอาจารย์
ทราบว่าทางใดเป็นทางตรงและเดินไปยังจุดหมายได้เร็ว
โดยที่ไม่ต้องแวะเข้าซอยต่างๆก่อนที่จะเข้าถึงจุดหมายให้เสียเวลา
และอาจจะทำให้ไม่ถึงจุดหมายในชาตินี้

การมองเห็นโครงสร้างใหญ่และจุดหมายของการปฏิบัติได้ชัดเจน
จึงทราบว่าควรปฏิบัติอย่างไร ควรจะไปในทางใด
และก็พอจะช่วยผู้อื่นได้บ้าง สำหรับผู้ที่เปิดรับและพิจารณาตามแล้วเห็นว่า
สิ่งที่ผมบอกนั้นเป็นความจริงและให้ผลจริง

สุดท้ายสิ่งที่ต้องอาศัยด้วยก็คือ การสร้างบารมีมาด้วยกัน
การเคยเป็นมิตร คอยช่วยเหลือกันมาตั้งแต่ในอดีต
ที่จะทำให้ใจของเขายอมรับได้ในสิ่งที่เรามอบให้ได้



walaiporn เขียน:
ทำความเพียรต่อเนื่อง เล็กๆน้อย เก็บสะสมหน่วยกิตตลอด เก็บไว้สะสมเป็นกำลัง เป็นเสบียงใช้ในการเดินทาง
ชีวิตทุกวันนี้ นับว่า มีความสุขมากๆเลยนะ ทุกข์สักแต่ว่ารู้มากขึ้น ดับไวมากขึ้น ไม่ไปเกาะเกี่ยวนาน

ความเหงาแทบจะไม่มีในหัวใจเลย เพียงแต่บางครั้ง เมื่อฟังเพลง เราก็ยังมีอารมณ์ประมาณนี้อยู่
มีนะ แต่มีความสุข ไม่ได้ไปรู้สึกเหงาแต่อย่างใด ยิ่งเข้าใจ ยิ่งพบแต่ความสุข


เข้าใจเลยครับ
ความสุขมากๆที่ว่า มันเป็นความสุขจากการไม่ยึดมั่นถือมั่น จากความสงบลึกๆในจิตใจ
ไม่ใช่ความสุขในโลกธรรม แต่เป็นความเบาสบายของจิตที่ถูกฝึกมาจนปล่อยวางสิ่งต่างๆได้มากขึ้น :b16:

ทุกข์นั้นไม่เที่ยง ความเหงานั้นไม่เที่ยง แต่ความสุขก็ไม่เที่ยง ความไม่เหงานั้นก็ไม่เที่ยงเช่นกัน
ดับไวก็ไม่เที่ยง ดับช้าก็ไม่เที่ยง มีอารมณ์ก็ไม่เที่ยง ไม่มีอารมณ์ก็ไม่เที่ยง บุญก็ไม่เที่ยง บาปก็ไม่เที่ยง
ทุกอย่างล้วนเป็นสภาวะที่ไม่เที่ยง ไม่สามารถบังคับให้เป็นหรือไม่ให้เป็นได้เลย



walaiporn เขียน:
ทางที่กำลังเดินอยู่นี้ ไม่ไปคาดหวังว่าเมื่อไหร่จึงจะถึงจุดหมายปลายทาง
ไม่เคยคำนึงถึงตรงนี้เลยนะ นิดเดียวไม่มี ไม่ไปคิดว่า เมื่อไหร่จะถึง แล้วจะทำสำเร็จไหม
รู้แต่ว่า หากเราทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สักวันเราต้องจบการเดินทางนี้แน่นอน ไม่ต้องมาเดินทางอีกต่อไป
เพียงแต่ตอนนี้เรากำลังสร้างเหตุใหม่ เป็นเหตุที่ดี เพื่อเป็นปัจจัยสำหรับการเดินทางต่อไป
จนกว่าจะถึงจดหมายปลายทาง ต้องมีสักวันที่ฝันนั้นเป็นจริงอย่างแน่นอน :b12:


มาถูกทางแล้วครับ
เน้นวิปัสสนา พิจารณาความเป็นจริงของรูปนาม (ขันธ์๕)
ถึงได้ไม่ยากอย่างแน่นอน :b12:



พงพัน เขียน:
walaiporn เขียน:
พงพัน เขียน:

ผมว่าไม่นานหรอกครับ มันไม่ได้ยากเกินกำลังเลย
โดยเฉพาะผู้ที่มีพื้นฐานวิปัสสนาที่ดีด้วยแล้ว



คุณพงพันพึงระวังในคำพูดที่ออกแนวสรรเสริญด้วยะนะคะ
เพราะถ้าโยคี ทีมีมานะกิเลสแรง คำพูดที่แสดงความชื่นชมนั้น เท่ากับไป
เพิ่มพูนกิเลสที่เขามีอยู่ให้มากกว่าเดิม ถึงแม้ว่า เราไม่ได้มีเจตนาจะไม่ได้คิดอะไรก็ตาม
แต่เรื่องการปฏิบัติ กิเลสเป็นเรื่องละเอียดอ่อน พึงระวังข้อนี้ด้วยค่ะ
เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า เราไปหยิบยื่นยาพิษให้เขาดื่ม


ที่ผมกล้าพูดอย่างนั้นเพราะผมเห็นจริงๆว่าคนที่ผมบอกนั้นมีพื้นฐานวิปัสสนาที่ดีจริงๆครับ
และก็มั่นใจว่าผู้ที่ผ่านการวิปัสสนามาขนาดนี้ ผัสสะเล็กๆน้อยๆอย่างนี้ แทบจะไม่ส่งผลอะไรเท่าไหร่อย่างแน่นอนครับ
และน่าจะเป็นการให้กำลังใจในการปฏิบัติได้ไม่มากก็น้อยครับ

ขอน้อมรับในคำแนะนำครับ และจะนำไปใช้ในการระมัดระวังคำพูดในการสนทนาธรรมให้มากขึ้นนะครับ

walaiporn เขียน:
พงพัน เขียน:

มาถูกทางแล้วครับ เน้นวิปัสสนา พิจารณาความเป็นจริงของรูปนาม (ขันธ์๕)
ถึงได้ไม่ยากอย่างแน่นอน


ปัญหาส่วนมากที่เกิดขึ้นกับการสนทนาคือ ความสุดโต่งของผู้ปฏิบัติ
การที่กล่าวว่าเน้นอะไรนั้น ไม่ควรกล่าวเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะกลายเป็นข้อถกเถียงไม่รู้จบ

การเจริญสติ ให้ทั้งผลที่เป็นสมถะและวิปัสสนา
ส่วนถ้าคนไหนเขาเน้นหนักไปทางสมถะ ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะนั่นคือ เหตุที่เขาได้กระทำมา
ส่วนใครเน้นหนักไปทางวิปัสสนาหรือหันไปพิจรณาขันธ์ ๕ แบบที่คุณพงพันนำมากล่าวนั้น
ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะนั่นก็คือ เหตุที่เคยได้กระทำมา

คำว่า " มาถูกทาง " อาจจะถูกทางของเรา แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับเขา
แต่ละคนสร้างเหตุแตกต่างกันไป ตามกิเลสที่มีมากน้อยของแต่ละคน
บางคนเป็นชาวบ้านธรรมดา หนังสือก็ไม่ได้เรียน อ่านก็ไม่ออก ไปบอกให้เขาพิจรณาขันธ์ ๕
แล้วเขาจะทำได้อย่างไร ขนาดคนเรียนหนังสือ ยังพิจรณาไม่เป็นเลย
แล้วจะไปนับประสาอะไรกับตาสีตาสา ที่ไม่ได้เรียนหนังสือมา

เหตุแต่ละคนสร้างมาแตกต่างกันไป กุศโลบายในแนวทางการปฏิบัติจึงมีหลากหลาย
ใครเชื่อใคร ล้วนเกิดจากเหตุที่เขาเคยกระทำมาร่วมกัน :b44:


ผมเป็นคนนึงที่เน้นหนักในสมถะเหมือนกันครับ เคยสุดโต่งทางสมถะด้วยซ้ำ
แต่ผมแทบจะไม่พยายามพูดถึงสมถะเลย
เพราะว่าผมรู้แล้วว่าผลหรือปัญญาที่ได้รับนั้น สมถะมีส่วนช่วยเสริมก็จริง แต่
วิปัสสนามีบทบาทมากกว่าอย่างมากครับ อีกอย่างในสถานภาพของฆราวาสนั้น
การทำสมถะเป็นเรื่องที่ดูจะลำบากเนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่เอื้ออำนวย
ต่างจากการวิปัสสนาที่ทำได้ตลอดเวลาและจะทำให้เกิดปัญญาได้
มากกว่าที่จะต้องรอมีเวลาทำสมถะน่ะครับ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงพูดถึงแต่วิปัสสนาครับ


คำว่า มาถูกทาง คือ ถ้าทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆหลุดพ้นได้แน่นอนครับ
ผมไม่ได้หมายความว่าวิธีอื่นผิดทาง วิธีอื่นทำไม่ได้เลยนะครับ
และการพูดถึงขันธ์๕ ของผมในแต่ละครั้งนั้น ผมจะดูผู้ที่สนทนาด้วยก่อนเสมอครับ
เพราะทราบจุดอ่อนในการแนะนำการปฏิบัติเรื่องนี้ดีครับ
ถ้าคิดว่าสามารถพูดได้ก็จะพูด ถ้าคิดว่าพูดแล้วไม่เข้าใจแน่ก็จะไม่พูดครับ
จะเลี่ยงใช้คำพูดทั่วไปที่เข้าใจได้ง่ายๆมากกว่า
ยิ่งในเว็บบอร์ดแบบนี้น้อยครั้งนักที่ผมจะพยายามแนะนำใคร
อยากจะเข้ามาสนทนาให้กำลังใจธรรมดามากกว่าครับ
แต่เห็นคนที่มีพื้นฐานวิปัสสนาดีแล้ว ก็อดไม่ได้จริงๆที่จะต้องยื่นมือยื่นไม้อ่ะครับ
ว่า การทำวิปัสสนานั้นดีมากๆแล้ว และพยายามพิจารณาให้ครอบคลุมขันธ์๕ ก็เท่านั้นครับ

ต้องขออภัยและขออโหสิกรรมด้วยนะครับ ถ้าสิ่งที่ผมพูดอาจทำให้เกิดการเข้าใจไม่ตรงกัน
ขอย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่ได้เก่งกาจไปกว่าใคร
แต่ยังไงผมก็มั่นใจว่าคุณ walaiporn ต้องเข้าใจในเจตนาของผมที่ผมพยายามสื่อ

ขอน้อมรับสิ่งต่างๆในการสนทนาเพื่อการแก้ไขและพัฒนาทักษะการสื่อสารของตนเองในเรื่องธรรม
อนุโมทนาสาธุกับคุณ walaiporn ด้วยอย่างยิ่งครับ ที่มีส่วนช่วยในการแก้ไขและพัฒนาของผม :b8: :b8:
เพื่อจะได้เป็นกำลังของพระพุทธศาสนาในการแนะแนวทางธรรมเพื่อช่วยคนให้หลุดพ้นได้มากที่สุดครับ





คุณพงพันเห็นอะไรบ้างไหมคะ?
แนะนำให้คุณพงพันกลับไปอ่านคห. ของคุณทั้งสองหัวข้อ
กิเลสน่ะมันเนียนค่ะ ถึงได้ถามว่า คุณเห็นอะไรบ้างไหมคะ? :b1:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 11:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

คุณพงพันเห็นอะไรบ้างไหมคะ?
แนะนำให้คุณพงพันกลับไปอ่านคห. ของคุณทั้งสองหัวข้อ
กิเลสน่ะมันเนียนค่ะ ถึงได้ถามว่า คุณเห็นอะไรบ้างไหมคะ? :b1:


สาธุครับ
สำหรับกิเลสของตัวเอง ผมย่อมเห็นแน่ครับ
ใช่ครับกิเลส(โลภ โกรธ หลง)มันเนียนจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
walaiporn เขียน:

คุณพงพันเห็นอะไรบ้างไหมคะ?
แนะนำให้คุณพงพันกลับไปอ่านคห. ของคุณทั้งสองหัวข้อ
กิเลสน่ะมันเนียนค่ะ ถึงได้ถามว่า คุณเห็นอะไรบ้างไหมคะ? :b1:


สาธุครับ
สำหรับกิเลสของตัวเอง ผมย่อมเห็นแน่ครับ
ใช่ครับกิเลส(โลภ โกรธ หลง)มันเนียนจริงๆ





โลภ โกรธ หลง นั่นเรื่องปกติค่ะ มองเห็นได้ง่ายกว่าค่ะ
แต่กิเลสตัวนี้ เนียนมากกว่านั้นค่ะ ลองดูอีกทีนะคะ อ่านคห.ซ้ำใหม่ :b48:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
ผมเป็นคนนึงที่เน้นหนักในสมถะเหมือนกันครับ เคยสุดโต่งทางสมถะด้วยซ้ำ
แต่ผมแทบจะไม่พยายามพูดถึงสมถะเลย
เพราะว่าผมรู้แล้วว่าผลหรือปัญญาที่ได้รับนั้น สมถะมีส่วนช่วยเสริมก็จริง แต่
วิปัสสนามีบทบาทมากกว่าอย่างมากครับ อีกอย่างในสถานภาพของฆราวาสนั้น
การทำสมถะเป็นเรื่องที่ดูจะลำบากเนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่เอื้ออำนวย
ต่างจากการวิปัสสนาที่ทำได้ตลอดเวลาและจะทำให้เกิดปัญญาได้
มากกว่าที่จะต้องรอมีเวลาทำสมถะน่ะครับ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงพูดถึงแต่วิปัสสนาครับ





ตรงนี้ยกตัวอย่างใหดูหนึ่งตัวอย่างก่อน
หากผู้ปฏิบัติมีพื้นฐานด้านสมถะแน่นดี จะไม่พูดแบบนี้หรอกค่ะ



พงพัน เขียน:
ผมเป็นคนนึงที่เน้นหนักในสมถะเหมือนกันครับ เคยสุดโต่งทางสมถะด้วยซ้ำ
แต่ผมแทบจะไม่พยายามพูดถึงสมถะเลย
เพราะว่าผมรู้แล้วว่าผลหรือปัญญาที่ได้รับนั้น สมถะมีส่วนช่วยเสริมก็จริง แต่
วิปัสสนามีบทบาทมากกว่าอย่างมากครับ อีกอย่างในสถานภาพของฆราวาสนั้น
การทำสมถะเป็นเรื่องที่ดูจะลำบากเนื่องจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่เอื้ออำนวย
ต่างจากการวิปัสสนาที่ทำได้ตลอดเวลาและจะทำให้เกิดปัญญาได้
มากกว่าที่จะต้องรอมีเวลาทำสมถะน่ะครับ




หากสุดโต่งทางสมถะ นั่นหมายถึง คนๆนั้นพื้นฐานด้านสมถะต้องแน่น
ไม่ว่าคนๆนั้นจะอยู่ในอริยาบทใดๆ สถานที่ใดๆก็ตาม ต่อให้มีเสียงอึกกระทึกครึกโครมมากแค่ไหนก็ตาม
คนๆนั้น สามารถกำหนดเข้าออกสมาธิได้ทุกสถานที่ ได้ทุกเวลาและทุกนาทีดังที่ใจเขาปรารถนา
ความสงบ เขาจะต้องการระดับไหนก็ได้ ต้องการระยะสั้นหรือยาว เขาสามารถกำหนดได้
ฉะนั้นการที่คุณบอกมาว่า คุณเคยสุดโต่งด้านสมถะ แต่คำพูดของคุณที่พูดมานั้น มันขัดกันน่ะค่ะ
นี่คือหนึ่งข้อละที่คำพูดคุณขัดกันเอง ส่วนกิเลสที่บอกคุณไปนั้น รบกวนให้คุณอ่านสภาวะของคุณซ้ำอีก
คือ คห. ที่คุณแสดงมา อาจจะทำให้คุณเห็นจุดบางจุดที่คุณมองผ่านไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




untitled.bmp
untitled.bmp [ 351.62 KiB | เปิดดู 4052 ครั้ง ]

ชีวิตมนุษย์นั้นสุดจะคิด แต่ละชีวิตไม่ผิดนาวา
จะลอยถอยหลังหรือเหินเดินหน้าด้วยวาสนาสร้างมาแต่หลัง

เรือมนุษย์ สุดลำบากมากล้นต่างคนดิ้นรนให้รอดพ้นถึงฝั่ง
บางเวลาพายุโหมโถมประดัง แทบสิ้นกำลังหมดหวังเกือบอาสัญ

ถึงคราวลมว่าว พัดผ่าวพราวใจ เรือโลดลิ่วไปคล้ายอยู่ในสวรรค์ขึ้นเหนือลงใต้
ไปได้ดังฝันพอลมหยุดพลันสวรรค์คืออเวจี



ชาติหนึ่งพึงรู้ใครจะอยู่ค้ำฟ้า มุ่งใจใฝ่หาศรัทธาแหละไมตรี
ทุกคนต้องตายร่างกลายเป็นผี สถิตย์แต่ชั่วดีไม่มีวันดับสูญ


http://www.charyen.com/jukebox/play.php?id=5314





ผู้คนส่วนมากมักจะไม่ค่อยย้อนกลับมามองที่ตัวเอง ชอบนำจิตส่งออกนอก
เมื่อเอาจิตส่งออกนอก จิตย่อมฟุ้ง ปรุงแต่งไปตามสิ่งที่มากระทบ เกิดความชอบใจ ไม่ชอบใจ
เลยปรุงแต่งไปตามกิเลสของตัวเอง

เมื่อยังมองไม่เห็นกิเลส ย่อมมองเห็นใจตัวเองได้ยากยิ่งนัก เพราะมันเป็นโรคชอบปรุง ปรุงไปเรื่อย
สุดท้ายเลยกลายเป็นโรคหวาดระแวง ระแวงว่าใครๆจะมานินทาว่าร้ายตัวเอง สายตาคอยสอดส่าย
หูก็คอยเงี่ยฟัง วันนี้มีใครว่าตัวเองบ้าง ทั้งๆที่เขาคุยเรื่องอื่นๆ ก็เอาไปฟุ้งปรุงว่าเขาว่าตัวเอง
นี่แหละความความไม่รู้ ไม่รู้เพราะอะไร เพราะอวิชชาครอบงำไว้
อวิชชาคืออะไร คือ กิเลสนั่นเอง

ใครทุกข์ คนคิดนั่นแหละทุกข์ ทุกข์ยังไม่พอ ไปคิดละเมิดคนอื่นๆเขาอีก สร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นแล้ว
ชีวิตถึงได้เวียนวนอยู่แบบนี้ตลอดเวลา คลุกคลีอยู่แต่ในกิเลสตัวเอง จิตมีแต่ความหม่นหมอง
ไม่มีใครทำให้เลยนะ มีแต่ตัวเองทำร้ายตัวเองตลอดเวลา

การเจริญสติปัฏฐาน ทำให้รู้จักแยกแยะ อะไรควรไม่ควร ทำให้อ่านตัวออก บอกตัวได้
รู้ว่าควรจัดการกับชีวิตที่เหลือยังไง รู้ว่าควรสร้างเหตุอย่างไรจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร คนที่เจริญสติ
ยิ่งทำความเพียรต่อเนื่อง จะเป็นผู้ที่มีความอดทน อดทนต่อทุกๆสภาวะที่เกิดขึ้น ( สิ่งที่มากระทบ )
เพราะแต่ละสภาวะที่เกิดขึ้น ย่อมมีความชอบและความชังเกิดอยู่เสมอ

เมื่อเราเข้าใจถึงเหตุและผลที่แท้จริงแล้ว เราจะเป็นผู้เฝ้าดูต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุมี ผลย่อมมี
เราจึงไม่คิดก่อเหตุที่ทำให้เกิดภพชาติใหม่ไม่รู้จักจบจักสิ้น 1 ความคิดที่คิดว่าผู้อื่น นั่นคืออกุศลแล้ว
แม้จะไม่ใช่การเบียดเบียนทางวาจาก็ดี แต่เป็นทางความคิด

ใหม่ๆเราอาจจะต้องพยายามควบคุมตัวเองโดยอาจจะใช้การกำหนดเข้าช่วย
เพื่อให้จิตบันทึกเอาไว้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ จิตจะบันทึกไว้หมด เก็บข้อมูลไว้หมดทุกถ้อยคำ

การกำหนด เมื่อเรากำหนดบ่อยๆมากขึ้น สติย่อมเกิดมากขึ้น ย่อมรู้เท่าทันจิตมากขึ้น แม้ว่าจะเป็น
เพียงความคิดก็ตาม เมื่อถึงจุดๆหนึ่งจิตจะหันกลับมาทบทวน นี่กำลังทำอะไรอยู่
กำลังสร้างเหตุใหม่ที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นนะ ถ้าเราไม่ต้องการเกิดอีกต่อไป
จงอย่าไปแตะต้องสิ่งใดๆ ที่เป็นอกุศล

จงหมั่นสำรวมอายตนะให้ดี หมั่นพิจรณาทบทวนจิตตัวเองบ่อยๆสม่ำเสมอ วันนี้ได้ทำอะไรไปบ้าง
แล้วให้คะแนนกับตัวเอง ไม่ได้ให้คะแนนเรื่องว่าวันนี้เป็นคนดีหรือไม่ดี ไปให้คะแนนตัวเองแบบนั้น
นั่นคือการสนองกิเลส เป็นการไปเพิ่มกิเลสให้พอกพูนหนาเตอะมากขึ้น

การให้คะแนนหมายถึง วันนี้คุณมีสติ คุณสามารถชนะกิเลสในใจของตัวเองได้ นี่หมายถึงตรงนี้
ให้ไปตามระดับมากน้อย ถ้าแพ้กิเลส ให้ ศูนย์เลยนะ อย่าโกหกตัวเอง จงยอมรับตามความเป็นจริง
ที่เกิดขึ้น ที่มีอยู่ในจิตของตัวเอง อย่าไปปรุงแต่งให้สวยงาม การที่ไปปรุงแต่งออกมาให้ดูดี
แต่ไม่ใช่ตามความเป็นจริง นั่นคือ ไปเพิ่มพูนกิเลสในใจให้กับจิตตัวเองมากขึ้น ได้แต่หลอกตัวเองไปวันๆ

ใหม่ๆอาจจะรู้สึกอาย อายเพราะเห็นว่า ทำไมเราเป็นคนแบบนั้น แต่ถามตัวเองกลับไปว่า
ถ้าวันนี้ เราไม่เริ่มต้นจับผิดตัวเอง เราจะเห็นตัวตนที่แท้จริงของเราไหม

ที่อายเพราะอะไร เพราะ เมื่อมีสติ สัมปชัญญะเกิดขึ้น เมื่อมีเหตุดังนี้
ผลคือ หิริ โอตัปปะเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว จึงทำให้รู้สึกอาย
จงอย่าอาย เพราะเรากำลังสร้างเหตุดี การตำหนิตัวเอง ย่อมดีกว่าไปตำหนิผู้อื่น

การตำหนิ การกล่าวโทษตัวเองนั้น ทำให้เห็นจุดบกพร่องของตัวเอง ทำให้เห็นกิเลส
ทำให้เกิดสติ สัมปชัญญะ เมื่อมีสติ สัมปชัญญะ จิตย่อมละอายและเกรงกลัวต่อบาปทั้งต่อหน้า
และลับหลัง สิ่งที่ไม่ดีย่อมก่อเกิดน้อยลงไปเรื่อยๆ

การตำหนิ กล่าวโทษผู้อื่น มีแต่โทษ เพราะจิตจะคอยเฝ้าเพ่งโทษแต่ผู้อื่น เมื่อทำบ่อยๆ
จะกลายเป็นอาจิณกรรม กลายเป็นอนุสัยนองเนืองต่อไป เจอใครๆ ก็มีแต่ตำหนิติติงเขา นี่ก็ไม่ดี
นั่นก็ไม่ดี แต่จริงๆแล้วคนที่ไม่ดีน่ะคือใครล่ะ คือ ตัวเองทั้งนั้น เคยหันกลับไปมองมั่งไหม

การฝึกจิตให้เป็นกลาง ใหม่ๆยากนะ ยากมากๆ แต่พอทำบ่อยๆเข้า จิตวางได้ไวมากขึ้น
มันจะแค่ดู แค่รู้มากขึ้น ทุกสรรพสิ่ง มันเป็นของมันแบบนี้มานานแล้ว ถึงไม่มีเรา
ยังไงๆสิ่งเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นนอน เพราะอะไรล่ะ

เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของคนที่กระทำ เราไปยุ่งกับเขา
ถ้าเขาชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็ล้วนแต่เป็นการสร้างเหตุใหม่ให้เกิดทั้งสิ้น กลายเป็น
มามีวิบากกรรมต่อกันไม่รู้จักจบจักสิ้น เวียนวนกันอยู่แบบนี้แหละ

เมื่อเรามาฝึกเจริญสติ ทำให้เรามีสติ สัมปชัญญะมากขึ้น ย่อมเห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น
ย่อมแยกแยะถูกผิดตามความเป็นจริงได้มากขึ้น เราย่อมสามารถเลือกที่จะทำได้ อกุศลเราย่อมไม่ไป
แตะต้องอย่างแน่นอน เพราะขึ้นชื่อว่าอกุศล แค่คิดเข้าเฉียดใกล้ ก็ขนหัวลุกเสียแล้ว เพราะอะไร
เพราะเรารู้ว่า เหตุที่กำลังจะทำนั้น ผลที่ได้รับคืออะไร แล้วใครจะไปคิดเกี่ยวข้องด้วย
มีแต่ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ

นับวันภพชาติย่อมสั้นลงๆไปเรื่อยๆ เพราะจิตเสพอกุศลน้อยลง เมื่อจืตเสพอกุศลน้อยลง
นั่นบ่งบอกถึง สภาวะของจิตที่มีสติ สัมปชัญญะมากขึ้น เมื่อมีสติ สัมปชัญญะมากขึ้น
สมาธินี่ไม่ต้องคาดเดาเลยว่าจะเป็นยังไง สมาธิย่อมเกิดได้ง่ายมากขึ้น ปัญญาในการพิจรณา
ย่อมเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว ปัญญาที่พิจรณาจะมุ่งแต่ข้ออรรถ ข้อธรรม มุ่งถ่ายถอนกิเลสของตัวเอง
มองแต่ในตัว มองนอกตัวน้อยลงไปเรื่อยๆ สภาวะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จิตละเอียดขึ้นเรื่อยๆ
จะมองทุกสิ่งด้วยความเข้าใจมากขึ้น

ชีวิตมีแค่นี้เองหนอ เกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ้นสุดอายุขัยของร่างนี้ ก็ไปยังร่างอื่นต่อไปเรื่อยๆ
มีชีวิตเป็นไปตามเหตุที่เคยกระทำไว้ น่าเบื่อหน่ายมากๆเลยนะ

พอนึกๆไล่สภาวะต่างๆออกมา ยังไงๆก็ไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย เกิดมาแล้วก็ต้องมาทำมาหากิน
เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตลอดเวลา เราไม่อยากมีการเริ่มต้นใหม่แบบนั้นไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดจบ .....

เมื่อเรามาพบเส้นทางนี้ แรกๆเราก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้เราต้องการอะไร ไม่เคยมีการวางแผนในชีวิต
ไม่มีเป้าหมายในชีวิต เราแค่รู้สึกพอใจในสิ่งที่เรามี ไม่คิดจะไปอยากได้ใคร่ดีอะไร พอมีพอกิน
อยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะ ชีวิตเรา เรามีความพอใจอยู่แค่นี้ พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้ว

พอได้มาเจริญสติปัฏฐาน ตั้งแต่แรกเริ่ม จนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้ มาถึงจุดๆนี้ เราจึงรู้ว่า เป้าหมายในชีวิต
ของเราคืออะไร เราเจอความใฝ่ฝันของเราแล้วนะ เราพบมันแล้ว ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต
เราต้องการที่จะไม่มาเกิดอีกต่อไป

ร่างแต่ละร่าง ก็เปรียบเสมือนเป็นเพียงแค่เปลือกที่ได้ให้จิตอาศัยอยู่ชั่วคราว ต่อให้มีสิ่งประกอบภายนอก
เช่น รวย สวย หล่อ ดีเลิศแค่ไหน สักวันย่อมเสื่อมสลายไปตามวาระ ตามอายุขัย
ตามเหตุที่เคยกระทำมา ออกจากร่างนี้ ไปร่างอื่นๆต่อ ร่างใหม่จะมีองค์ประกอบจะดีหรือไม่ดี
ก็อยู่ที่เหตุที่เคยกระทำมา ทั้งที่ทำในวันนี้ด้วย

พอมาพิจรณาแล้ว มันน่าเบื่อนะ เหมือนคนต้องย้ายบ้านใหม่ตลอดเวลา พอบ้านถูกปลวกกินก็ต้องรักษา
ผุพังก็ต้องหาวิธีรักษา ต้องซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายให้ซ่อมแซมยังไง พอหมดอายุการใช้งาน
หมดอายุตามวาระของสังขาร ต้องเสื่อมสลายไป ทีนี้ก็ต้องหาบ้านหลังใหม่อีกแล้ว
ต้องมาเริ่มต้นดูแลบำรุงรักษากันใหม่อีก ต่อไปเรื่อยๆไม่รู้จบ

มีทางเดียวเท่านั้น ที่เราจะไม่ต้องเกิดมามีชีวิตซ้ำๆซากๆอยู่แบบนี้ เราต้องหมั่นทำความเพียรให้ต่อเนื่อง
ไปเรื่อยๆแบบนี้ ไม่ต้องไปคาดหวังอะไร ทำเหมือนอย่างที่เราเคยทำ คือ ทำไปเรื่อยๆตามกำลัง
ของเรา เพราะรู้แล้วว่าสุดเส้นทางนี้คืออะไร เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว ไม่ได้อยากรวย อยากมี
หรืออยากเป็นอะไรเลย แม้แต่สักอย่างเดียวก็ไม่มี ....

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 11 มี.ค. 2010, 21:25, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 23:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
.....................................
เราต้องหมั่นทำความเพียรให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆแบบนี้....
....ไม่ต้องไปคาดหวังอะไร....
ทำเหมือนอย่างที่เราเคยทำ คือ ทำไปเรื่อยๆตามกำลังของเรา
เพราะรู้แล้วว่าสุดเส้นทางนี้คืออะไร เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว ไม่ได้อยากรวย อยากมี
หรืออยากเป็นอะไรเลย แม้แต่สักอย่างเดียวก็ไม่มี ....[/color]


คนเราอยู่ได้ก็เพราะมีหวัง
แต่..เมื่อ..
คาดหวัง= คาด+หวัง..คือ..กะว่า..เมื่อถึงตรงนั้นตรงนี้แล้ว..จะได้สุข
ยามใดไม่เป็นอย่างที่คาด..มันก็ทุกข์

เปลี่ยนมาเป็น..
..มุ่งหวัง..จะดีไหม???..มุ่งไปสู่ความสุข..หากแม้น..ยังไม่สุข..พึงรู้แค่ว่ายังไม่ถึงจุดหมาย..ก็เพียรต่อ
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
walaiporn เขียน:
.....................................
เราต้องหมั่นทำความเพียรให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆแบบนี้....
....ไม่ต้องไปคาดหวังอะไร....
ทำเหมือนอย่างที่เราเคยทำ คือ ทำไปเรื่อยๆตามกำลังของเรา
เพราะรู้แล้วว่าสุดเส้นทางนี้คืออะไร เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว ไม่ได้อยากรวย อยากมี
หรืออยากเป็นอะไรเลย แม้แต่สักอย่างเดียวก็ไม่มี ....[/color]


คนเราอยู่ได้ก็เพราะมีหวัง
แต่..เมื่อ..
คาดหวัง= คาด+หวัง..คือ..กะว่า..เมื่อถึงตรงนั้นตรงนี้แล้ว..จะได้สุข
ยามใดไม่เป็นอย่างที่คาด..มันก็ทุกข์

เปลี่ยนมาเป็น..
..มุ่งหวัง..จะดีไหม???..มุ่งไปสู่ความสุข..หากแม้น..ยังไม่สุข..พึงรู้แค่ว่ายังไม่ถึงจุดหมาย..ก็เพียรต่อ
:b12:





การมุ่งหวัง คำว่า มุ่งหวัง นั่นคือ กิเลสตัวหนึ่ง คือ มีความอยากมี อยากได้ อยากเป็นแฝงอยู่ค่ะ
คำว่า ไม่ต้องไปคาดหวังใดๆ คือ ไม่ว่าจะสมหวังหรือไม่สมหวัง เราย่อมไม่ไปประสพทั้งสุขและทุกข์
เพราะทั้งสุขและทุกข์นั้นก็คือ กิเลส

เมื่อเรารู้ว่า จุดสุดท้ายคืออะไร เราเลยไม่ต้องไปคิดอะไรทั้งสิ้น มีหน้าที่คือ
ทำความเพียรต่อเนื่องเท่านั้นเองค่ะ

กิเลสมันเนียนค่ะ โดยเฉพาะความอยาก ความอยากมีหลายระดับ ตามสภาวะของจิตแต่ละคน
ตามกำลังของสติ สัมปชัญญะของแต่ละคน ที่จะมองได้ทัน :b1:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 00:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลส..มีลักษณะแห่งความรุ่มร้อน..ร้อยรัดให้ตกในวัฏฏสงสาร..ยาวนานไม่มีประมาณ..
วิปัสสนูปกิเลส..แม้จะละเอียดอ่อนแค่ไหน..ก็ร้อนรุ่มอย่างละเอียดอ่อนเช่นกัน

ความไม่รุ่มร้อน..เป็นผล..ที่เราทุกคนปรารถณา
ทางไปสู่ความไม่รุ่มร้อน..เป็นมรรค

ระหว่างเดินในทางมรรค..ผลยังไม่เกิด..กิเลสยังมีเป็นธรรมดา

สมณะโคดตบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า..เกิดมีได้..ก็เหตุด้วยพราหมณ์ผู้หนึ่ง..ปรารถณา

หลวงตาฯ..ท่านว่า..อยากนิพพาน..ไม่เป็นกิเลส..ก็คงจะจริง..เพราะมุ่งออกจากอำนาจของสังสารวัฏฏ์

ของเพียง..ไม่รุ่มร้อน..กระสับกระสน..กระวนกระวาย..ในอยาก..

แต่..เพียร..มุ่งมั่น..ตั้งใจ..ไม่ท้อ..นี้เป็นมรรค..เป็นบารมี

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 00:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ไม่มีอะไรถูกหรือผิดหรอกค่ะ :b1:
แต่ให้ดูกิริยาของจิต เวลาที่ถูกกระทบว่าเป็นอย่างไร ดูแค่นั้นง่ายๆค่ะ

ถ้ามีความยากไปนิพพาน อยากแล้วแค่รู้ ไม่ทุรนทุราย นั่นคือ แค่รู้
แต่ถ้าอยากไปนิพพาน แล้วมีอาการทุรนทุราย พยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้
หรือต้องให้ได้ อันนี้ ก่อให้เกิดทุกข์แล้วค่ะ

ถึงบอกไงคะว่า ความอยากน่ะมันเนียน
ตัวหนังสือหรือคำพูด ถ้าระวังได้ เราย่อมควรระวัง
ไม่ประมาท ย่อมดีที่สุดค่ะ :b48:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 00:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:
ถูกที่สุดแล้วครับ..ดูที่จิต

:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




1242054573-440.jpg
1242054573-440.jpg [ 41.55 KiB | เปิดดู 3860 ครั้ง ]

ขอมอบดอกไม้ในสวน นี้เพื่อมวลประชา
จะอยู่แห่งไหน จะใกล้จะไกล จนสุดขอบฟ้า

ขอมอบความหวังดั่งดอกไม้ผลิ สดไสวนานา
เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ เป็นสิ่งเสนอให้มา

ดวงตะวันทอแสง มิถอยแรงอัปรา เป็นเปลวไฟที่ไหม้นาน
เป็นสายธารที่ชุ่มป่า เป็นแผ่นฟ้าทานทน

ขอมอบดอกไม้ในสวน ที่หอมอบอวลสู่ชน
จงสบสิ่งหวังให้สมตั้งใจ ให้คลายหมองหม่น

ก้าวต่อไปตราบชีวิตสุด ดุจกระแสชล
เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ เป็นสิ่งเสนอให้คุณ


http://www.pleng.com/song.php?song_id=018618

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 21:43
โพสต์: 20

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะมากมาย ตอบได้ยืดยาว

คลับคล้ายคลับคลา เหมือนประหนึ่งว่า

โพธิสัตว์มาเอง


สาธุ สาธุ และสาธุ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 285 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18, 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร