วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 281 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 19  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 00:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 01:47
โพสต์: 178

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




RE007ต.jpg
RE007ต.jpg [ 100.72 KiB | เปิดดู 4214 ครั้ง ]
"เว้น..วรรค..พัก..ชีวิต.."

"เว้น.".....หาใช่คำว่า เวร หรือ แว้น แต่อย่างใดในความรู้สึกของข้าพเจ้า มันมักจะมาคู่กับคำว่า เว้นวรรคทางการเมือง เว้นวรรค ตัวอักษร หรืออาจจะมีเว้นอื่นใดอีกก็สุดจะแล้วแต่ จึงทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจเองได้ว่า คำว่าเว้น ในที่นี้คงหมายถึง การรักษาระยะห่าง การพัก หรือ การทำให้เกิดช่องว่าง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงนิยามคำว่า เว้นวรรค.. พักชีวิต ของข้าพเจ้าหมายถึงพัก หยุด ในสิ่งที่เราเคยกระทำมาในชีวิต ให้มันว่างหรือ รักษาระยะห่างไว้

ชีวิตของข้าพเจ้าครั้งหนึ่งก็เคย เว้นวรรค เพื่อพักชีวิตเช่นเดียวกัน สมัยเด็ก จนเติบใหญ่เข้าสู่วัยรุ่นข้าพเจ้า เป็นคนที่ดื้อ (แต่ไม่ด้าน) สุดสุด จะ เป็นคนที่มีปัญหามากที่สุดในบ้าน ชอบมีพฤติกรรม เรียกร้องความ สนใจจากคนรอบข้าง และเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ ในการสร้างปัญหา ให้กับคนในบ้าน สิ่งหนึ่งที่ ข้าพเจ้าคิดอยู่ตลอดเวลาในขณะนั้นคือ ไม่มีใครรัก ไม่ใช่คนสำคัญ ความรู้สึก เหล่านี้ตกตะกอนและถูกเก็บ อยู่ในใจเสมอมา ข้าพเจ้าจึงมีพฤติกรรม ห่างครอบครัว ชอบอยู่กับเพื่อน

เมื่อเข้าสู่วัยทำงานข้าพเจ้าก็เลือกที่จะทำงานต่างจังหวัดเพื่อต้องการเป็น อิสระ และได้ท่องเที่ยวตามฝัน จังหวัด แรกที่ข้าพเจ้าได้ไปทำงานคือ จังหวัดกาญจนบุรี และเป็นที่แน่นอนเหลือเกินว่า ข้าพเจ้าไม่กลับบ้าน ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนที่บ้าน เที่ยวทุกทุกวันหยุด ไม่ค่อยพูดเรื่องครอบครัว สนุกสนาน เฮฮากับเพื่อน ร่วมงาน ชีวิตช่วงนั้น มีความสุขล้น (คิดว่าอย่างนั้น)

จนกระทั่งวันหนึ่งข้าพเจ้าได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนร่วมงาน คนหนึ่ง “เธอชื่อพรรณ” พรรณเป็นคนรูปร่างบอบบาง มีบุคลิกเงียบขรึม ไม่ค่อยพูด หรือ สุงสิงกับใคร ไม่ร่วมกิจกรรมทุกประเภทที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตาม พฤติกรรมลักษณะนี้จึงทำให้พรรณไม่ค่อยมีเพื่อน แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกได้ว่า พรรณ มิได้เดือดร้อนกับการไม่มีเพื่อนอาจจะมีความสุขด้วยซ้ำ

แล้วอยู่ มาวันหนึ่งข้าพเจ้าก็ทราบสาเหตุของการใช้จ่ายอย่างประหยัดของพรรณจากการบอก เล่า ของรุ่นพี่ที่พรรณไว้วางใจ รุ่นพี่บอกว่าเงินที่พรรณหามาได้จากน้ำพักน้ำแรงพรรณส่งกลับบ้านหมดเหลือไว้ ใช้เฉพาะที่จำเป็นสำหรับใช้จ่ายเท่านั้น เพราะพรรณเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัวพรรณมีน้อง สองคนที่ต้องส่งเสีย มีพ่อกับแม่ที่อายุมากแล้วต้องดูแล ในความรู้สึกของข้าพเจ้าในตอนนั้น มีสองความรู้สึก พร้อมกัน คือ นับถือจิตใจของผู้หญิงคนนี้ กับ รู้สึกเห็นใจอย่างมาก หลังจากนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็เป็นมิตรกับพรรณมากขึ้น และสนิทสนมกันในทีสุด

ตลอด ระยะเวลาที่รู้จักกันพรรณมักจะพูดถึงครอบครัว(ที่ข้าพเจ้าไม่เคยนึกถึง) ด้วยใบหน้า ที่ยิ้มแย้มและมีความสุขเสมอไม่เคยเห็นใบหน้าที่แสดงถึงความย่อท้อต่อ อุปสรรคเลย พรรณจะบอกให้ข้าพเจ้าติดต่อกลับบ้านบ้าง หรือถ้ามีวันหยุดก็กลับไปเยี่ยมพ่อแม่บ้าง ข้าพเจ้าก็รู้สึกคล้อยตาม แต่ไม่ได้ทำตามทุกครั้งทำบ้างนานนานครั้ง

แล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อพรรณเริ่มป่วย ปวดแขน เจ็บบริเวณ ลำตัวซีกซ้าย ข้าพเจ้ามักจะถามไถ่เสมอก็จะได้รับคำตอบว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวก็หาย แล้วก็ซื้อยาแก้ปวดมากินเอง จนในที่สุดพรรณก็ต้อง หยุดงาน เพราะทนต่อความเจ็บปวดไมไหว พรรณจึงต้องกลับไปอยู่บ้าน เพื่อไปรักษา หลังจากพรรณ กลับไปอยู่บ้านได้แค่ สองเดือน พรรณก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ก่อนที่พรรณจะเสียชีวิต เธอฝากพ่อแม่ให้ บอกข้าพเจ้าว่า ไม่ต้องเสียใจ ถ้าเธอไม่อยู่แล้วเพราเธอจะไม่ไปไหนไกล จะคอยให้กำลังใจข้าพเจ้าและเพื่อนเพื่อนเสมอ

พ่อและแม่ พรรณเล่าว่า เธอเคยได้รับการผ่าตัดมาแล้วหนึ่งครั้งเมื่ออายุ 13 ปี ด้วยโรคเนื้องอกในมดลูก หลังจากนั้นเธอก็ไม่เคยเข้ารับการรักษาอีกเลยสืบเนื่องจากสภาวะทางด้าน เศรษฐกิจของครอบครัวจนกระทั่งอาการกำเริบเธอไม่ได้บอกใครให้ทราบถึงอาการ เหล่านั้น จนกระทั่ง เกือบถึงวาระสุดท้ายในชีวิตหมอได้แนะนำให้เธอฉายแสง เธอบอกกับพ่อและแม่ว่าเก็บเงินไว้ให้น้องเรียนหนังสือ และเอาไว้ใช้ในครอบครัวมีประโยชน์กว่าเพราะว่าอย่างไร โรคของเธอก็ไม่มีทางรักษาหายแล้ว

ข้าพเจ้าเศร้าโศกเสียใจมากที่สุด ในชีวิต(ในขณะนั้น) ความรู้สึกสงสารเธอเข้ามาเกาะกุมจิตใจ อย่างยากที่จะอธิบายได้ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกศรัทธาในความเสียสละของเธอที่มีต่อครอบครัวก็มาก เช่นเดียวกัน เมื่องานศพของพรรณผ่านไป โลก ของข้าพเจ้าก็เหมือนหยุดหมุน หยุดดิ้น เวันวรรค จากทุกอย่างเพื่อใช้เวลาทั้งหมดที่มีไตร่ตรอง ทบทวน ถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติมาตลอด 22 ปี ที่เปรี้ยวซ่า ไรัสาระ ใช้ชีวิต อย่างประมาท มันช่างไม่มีคุณค่าสักเศษเสี้ยวของพรรณที่มีต่อครอบครัวได้เลย สิ่งที่พรรณกระทำให้เห็นเป็นแบบอย่างทีดีมากกว่าคำพูด คำบอกกล่าว ใดใด

จาก การที่ได้มีโอกาสเว้นวรรค พัก ความวุ่นวายของชีวิตในช่วงนั้นทำให้ข้าพเจ้าได้คิด ได้ เห็น และได้กระทำในสิ่งที่ ถูกต้องก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ทุกวันนี้ข้าพเจ้ายังระลึกถึงพรรณเสมอ เพราะพรรณเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตนอกจากพ่อ แม่ ที่ทำให้ข้าพเจ้ามีวันนี้

ศาลาพักใจ..หลังนี้เนี้ย...
ลุงจองไว้นึ่งสาท(เสื่อ)...เมาโค้ง..คร้าบ... :b23: :b23:
แต่คืนนี้...ลุงขอนอนดูลูกกลมๆ (บอล) ก่อนนะคร๊าบ.....:b12: :b12:

.....................................................
"เกิดมาก็เพราะกรรม...ดับไปก็หมดกรรม"รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลุงมะตูม เมื่อ 08 ต.ค. 2009, 13:03, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 03:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 01:54
โพสต์: 124

อายุ: 44
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าว...หนีไปดูบอลเสียแล้ว....ผมหิวคร๊าบลุง :b12: :b12:

.....................................................
"อักษรพาใจให้สดชื่น..มิต้องการคำตอบหรือวิจารย์..ดอกหนาเยาว์มาลย์"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 00:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




124023.jpg
124023.jpg [ 157.82 KiB | เปิดดู 4199 ครั้ง ]
ชีวิตนี้..มีเพื่ออะไร

บางชีวิตลิขิตฝันนั้นสูงล้ำ
และหมายนำความสมหวังให้ยังผล
จึงเหน็ดเหนื่อยเดินทางอย่างทุกข์ทน
ก็เพื่อผลเรืองรองของฝันไกล

บางชีวิตลิขิตเพียงจำเรียงความ
สร้างคุณงามตามชอบกอบเก็บไว้
มีโอกาสช่วยเหลือก็เกื้อไป
ถนอมใจสร้างทำแต่ความดี

ทุกชีวิตล้วนลิขิตลวดลายกรรม
เพื่อน้อมนำความในใจไม่หลีกหนี
จะมีฝัน..ไร้ฝัน...ในชีวี
ต่างต้องมีการเดินทางสร้างร่องรอย

และเดินสู่จุดหมายในไม่ช้า
หรือพบพาอุปสรรคให้ล่าถอย
จะหวาดกลัวเก่งกล้ากี่มากน้อย
ต่างล้วนคอยความสุขสมภิรมย์ใจ

และความจริงที่ทุกสิ่งต้องยอมรับ
คือความดับจากอยู่..รู้หรือไม่
วันนี้อาจยังมีลมหายใจ
พรุ่งนี้ไม่อาจยั้งรั้งชีวา

จะอ่อนแก่แม้เด็กเล็กน้อยนั้น
ก็มีวันจากไปไม่เห็นหน้า
พบรอยแยกแตกดับกับเวลา
ใคร่ครวญว่า..ชีวิตนี้..มีเพื่ออะไร

พี่ดอกแก้ว.........

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 00:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




kdre04-640.gif
kdre04-640.gif [ 189.39 KiB | เปิดดู 4176 ครั้ง ]
เพียงเพื่อจะเลือนลับ../..เพรง.พเยีย

๏ เนิ่นนานปลิวปรายสายลมหนาว
กรีดร้าวเกินกั้นความหวั่นไหว
ปลิดเถิดปลิดปล่อย..ล่องลอยไป
โหยไห้เก็บกล้ำกับคำนึง

๏ อิงแอบหม่นว้างอยู่อย่างนั้น
เงียบงันเหมือนสิทธิ์เพียงคิดถึง
ล่วงรอยเวลาอันตราตรึง
ให้หนึ่งคืนหนาว..ช่างยาวนาน

๏ ซ่อนหน้าผ่านคืนอันขื่นขม
โบยบ่มวิญญาณ์ด้วยพร่าผลาญ
เหลือเพียงเศษฝันจากวันวาร
โลมรานคืนเหงาที่เปล่าดาย

๏ สองฝั่งทางฝันเกินบรรจบ
เพียงพบ..พริบตาแล้วพร่าหาย
เพียงลู่ริ้วลม..ผ่านพรมปราย
เกินหมายคืนมา..ร่วมฟ้าเดียว..

๏ เหลือหนึ่งปลดเปลื้องอยู่เบื้องหลัง
บนฝั่งทางฝันอันเปล่าเปลี่ยว
เฝ้าลบรอยอดีตอันซีดเซียว
ปลดเสี้ยววันเก่าสู่เถ้าธาร

๏ ลิ่วลอยไหลล่องละอองรัก
ประจักษ์แล้วเช่น..เส้นขนาน
ปลดปล่อย..เลือนหาย..กับสายกาล
กลืนผ่านลอยหาย..กับสายลม

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




5.bmp
5.bmp [ 291.82 KiB | เปิดดู 4182 ครั้ง ]
มิตรภาพ

มิตรภาพอาจเป็นคำที่ฟังดูง่าย ๆ และที่สำคัญ

มิตรภาพก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา

มิตรภาพสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกชนชั้น ไม่มีการแบ่งชนชั้นวรรณะ

ไม่สำคัญว่าเราจะเป็นใครมาจากไหน

บางทีเราก็อาจจะอยู่ไกลกันสุดขั้วโลก

แต่เคยแปลกใจไหมว่าทำไมเราถึงมารู้จักกันได้

ก็เพราะคำว่ามิตรภาพไงล่ะ

มิตรภาพที่เราทุกคนมีให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เพราะคำว่ามิตรภาพบางทีเราก็อาจมีเพื่อนเพิ่มขึ้น

โดยไม่จำเป็นว่าเราจะเคยรู้จักกันมาก่อนไหม เคยเจอกันมาก่อนไหม

ขอบคุณคำว่ามิตรภาพที่เธอมีต่อฉัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 23:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




A-1626902.jpg
A-1626902.jpg [ 221.38 KiB | เปิดดู 4193 ครั้ง ]
๐ หนทางพุทธ ๐/แสงเพชร

ลมหายใจเข้าลึกออกแผ่วแผ่ว
ตั้งจิตแน่วแน่นิ่งมิติงไหว
เพ่งหว่างคิ้วค้นหาตาข้างใน
สงบไว้ได้พบสบสิ่งดี

ดับอารมณ์ร้อนรุ่มที่กลุ้มหนัก
ได้หยุดพักพิงใจให้สุขี
ตัดกังวลพ้นไปไกลชีวี
สติมีมิหลงกงจักรใด

เจริญมนต์พุทธาหาสิ้นสุด
เยี่ยมประดุจดั่งน้ำฉ่ำเย็นใส
ยิ่งนิ่งไว้ให้นานกาลผ่านไป
มิติใหม่ได้เกิดประเสริฐตน

แช่มชื่นจิตจินต์ปลอดรอดบ่วงทุกข์
บันดาลสุขสตินิ่งสิ่งสับสน
กายเพียงร่างชั่งไว้ในกมล
คงหยุดพ้นหนทุกข์ทรมาน

หมั่นฝึกฝนตนเองอย่ารอช้า
กว่าชีวาหาไม่หมดสืบสาน
ภาวนาสมาธิผลิเบิกบาน
จงฮึกหาญห่มธรรมนำจิตใจ

ใช้ธรรมะละลดปลดกิเลส
อย่ามัวเสพสิ่งเร้าไม่เอาไหน
มาสร้างชีพชีวิตชาติเชื้อไทย
น้อมนำใจในพุทธศาสดา

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 23:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




A174385771.jpg
A174385771.jpg [ 41.1 KiB | เปิดดู 4210 ครั้ง ]
ความจริงคือความจริงจงนิ่งไว้
อย่าหวั่นไหวสิ่งยวนเย้าพาเข้าลึก
อาจหลงทางวกวนผจญศึก
ดั่งม้าคึกมากพยศอาจหมดแรง

แม้ขุนเขายังผุกร่อนชะง่อนทรุด
สายน้ำผุดชะไปไม่กล้าแกร่ง
ลมฝนพัดซัดกระหน่ำทำเปลี่ยนแปลง
สายลมแล้งที่โบยโบกอาจโยกยับ

ต้นอ้อยหวานอ่อนโอนจึงพ้นหัก
ไม่ยึดหลักแข็งขืนยืนท่ารับ
ลู่ลมร้ายไหวปลิวพริ้วสลับ
โค้งคำนับมรสุมที่รุมเร้า

วัฏฏะสังขาราอัตตามนุษย์
ช่างเกินสุดหยั่งรู้สู่ใจเขา
อุเบกขา สมาธิ ที่แบ่งเบา
ความขลาดเขลาจะห่างไกลไร้กังวล.

บพิตร

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 27 ส.ค. 2009, 23:50, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 10:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"มนต์เมืองปาย" มอบให้คุณปลายฟ้า... :b16:



http://ptc.icphysics.com/webboard/SFM/i ... ic=11827.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 12:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




008-70.jpg
008-70.jpg [ 22.85 KiB | เปิดดู 4181 ครั้ง ]
ขอบคุณค่ะ...คุณกรัชกาย......... :b8: :b8:

กรัชกาย เขียน:
"มนต์เมืองปาย" มอบให้คุณปลายฟ้า... :b16:

http://ptc.icphysics.com/webboard/SFM/i ... ic=11827.0

เพลง มนต์เมืองปาย../..ศิลปิน เจริญศักดิ์ เลิศมงคล

เมืองนี้เขาเรียกว่าอำเภอปาย เป็นเมืองที่ไกลแสนไกล ติดกับเขตประเทศพม่า
ถนนหนทางไม่มีลาดยางหรอกหนา มีแต่ภูเขาและป่ามองแล้วช่างน่าหวั่นไหว

เมืองนี้ เป็นเมืองที่ดีน่าอยู่ เขาอยู่เป็นกลุ่มเป็นหมู่ เขาอยู่กันด้วยน้ำใจ
แข่ แม้ว มูเซอร์ กะเหรี่ยง คนจีน คนไต ลีซอนั้นก็ไฉไล เขาเป็นไทยดังเช่นเราเป็น

เมืองนี้เป็นเมืองที่ดีหลายแห่ง มีดอยพระธาตุจอมแจ้งอีกแห่งคือดอยแม่เย็น
มีแม่น้ำปาย แม่ปิงก็ดูสวยเด่น แวะมาชมความร่มเย็นหลวงพ่ออุ่นเมืองที่วัดน้ำฮู

*เมืองนี้ฉันจะขออยู่จนตาย หากแม้นทรามวัยสาวอำเภอปายมัดใจฉันอยู่
จะช่วยทำกินในถิ่นดินแดนพธู ให้ตัวน้องเป็นคุณครู ส่วนพี่บุญชู ขอเป็นชาวนา (* / *)

พาเที่ยว...แม่ฮ่องสอน...../......ก. สุวรรณวงศ์

แสนงดงามอร่ามเรืองเหลืองไสว
ครั้งหนึ่งได้ยลโฉมภิรมย์ขวัญ
บัวตองงามตามลานทุ่งพุ่งยอดพันธุ์
แสนสุขสันต์ฤดีแดแม่คะนิ้ง

หยาดน้ำค้างพร่างพรายปลายยอดหญ้า
งามภูผางามแท้งามแม่หญิง
แม่ฮ่องสอนก่อนได้แนบแอบอกอิง
สนิทนิ่งสถิตในฤทัยนาน

แดนสามหมอกดอกเหมยเคยพานพบ
มิรู้จบจดจำน้ำคำหวาน
ดอยกองมูงามด่นเห็นตระการ
ตั้งตระหง่านธาตุคู่เมืองเลื่องลือไกล

สุริยนต์ย่ำสนธยาฟ้างามเหลือ
เยือนเมืองเหนือเมื่อเหมันต์พลันสดใส
วัดจองคำ-จองกลางเขาสร้างไว้
สว่างไสวประทีปจุดพุทธบูชา

ธรรมชาติเสกสรรดังปั้นแต่ง
เดินชมแอ่งแหล่งน้ำถ้ำมัจฉา
แสนเพลิดเพลินเจริญจิตพิศหมู่ปลา
มัศยาน้อยใหญ่ใคร่ชวนชม

แม่สุรินทร์ถิ่นฐานละหานห้วย
พระพายชวยโชยมาพาสุขสม
หมู่แมงปอล้อหลีกปีกล้อลม
หริ่งระงมเรไรในอารัญ

จากพนาสู่หย่อมย่านบ้านในสอย
กระเหรี่ยงดอยคอยาวชาวเขตขันฑ์
ตั้งบ้านเรือนริมแนวป่าพนาวัน
อัศจรรย์ห่วงคล้องคอศอยาวเรียว

ถิ่นสามหมอกดอกบัวตองกองมูเด่น
ทิ้งได้เห็นไพรพนารุกขาเขียว
ธรรมชาติพิลาศแท้แน่จริงเจียว
ทางคดเคี้ยวโค้งกว่าพันดั้นด้นมา

ทิวาวารผ่านผันสู่วันใหม่
จำจากไกลในจิตคิดห่วงหา
เมืองสามหมอกดอกไม้งามอร่ามตา
เอ่ยอำลาลำปายสายนที

cool ลำน้ำปาย, เสน่ห์เมืองปาย,เมืองสามหมอก, แม่ฮ่องสอน tongue

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 28 ส.ค. 2009, 12:51, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Resize%20of%2011230032.jpg
Resize%20of%2011230032.jpg [ 82.73 KiB | เปิดดู 4166 ครั้ง ]
คุณปลายฟ้า...ปาย เป็นภาษาอะไร แปลว่าอะไรครับ


ลำปายสายธาร
นมัสการหลวงพ่ออุ่นเมือง
ลือเลื่องกระเทียมพันธุ์ดี
ป่าเขียวขจีรอบทิศ
วิถีชีวิตสงบร่มเย็น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 28 ส.ค. 2009, 16:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




76617-413.jpg
76617-413.jpg [ 67.61 KiB | เปิดดู 4188 ครั้ง ]
กรัชกาย เขียน:
คุณปลายฟ้า...ปาย เป็นภาษาอะไร แปลว่าอะไรครับ

"ปาย" บางคนเชื่อว่าคำว่า "ปาย" หมายถึง ช้างหนุ่มตัวผู้ที่ถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ของทางภาคเหนือของไทย บางคนกล่าวว่าคำว่า "ปาย" มาจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของเผ่าลั๊วะ ถูกค้นพบในอำเภอ ลั๊วะเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่เข้ามาตั้งรกรากในอำเภอปายและเป็นที่เลื่องลือในนามนักรบที่สร้างความ หายนะยามค่ำคืน ซึ่งถูกเรียกว่า ภูตพราย กาลเวลาผ่านไปทำให้ถูกเรียกเพี้ยนเป็นคำว่า ปาย คำอธิบายอื่นๆ กล่าวว่า ปาย ถูกตั้งชื่อตามชื่อผู้นำของชาวไทยใหญ่กลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากในอำเภอปาย แต่คำกล่าวที่ดูเหมือนจะใกล้เคียงความจริงที่สุด กล่าวว่า คำว่า "ปาย" มาจากภาษาไทยใหญ่ ซึ่งแปลว่า "การอพยพ” คำว่า "ปาย" ถ้าหากออกเสียงลงต่ำแล้วจะหมายถึงการหลบหนีอพยพหรือเคลื่อนย้ายออกไป กาลเวลาผ่านไปทำให้เสียงสูงต่ำและการสะกดคำเปลี่ยนแปลงไป ถ้าหากได้ศึกษาเกี่ยวกับภาษาของไทยใหญ่และภาษาไทยทางเหนืออย่างใกล้ชิดแล้ว การอธิบายนี้ดูจะถูกต้องที่สุด

ชมรมเอกสารเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอำเภอปายชมรมแรกถูกตั้งขึ้นในปี 1251 โดยชาวไทยใหญ่ที่อพยพจากสงครามจากหมู่บ้านไทยใหญ่ พวกเขาตั้งหมู่บ้านขึ้นใหม่ นั่นก็คืหมู่บ้านเวียงเหนือ ใกล้ที่ตั้งของหมู่บ้านเก่าขึ้น, อยู่ทางทิศเหนือของตัวอำเภอปายปัจจุบัน ที่ตั้งที่พวกเขาเลือก เป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และเป็นพื้นที่ที่เป็นจุด ยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการต่อสู้ระหว่างไทยใหญ่และไทยทางเหนือเพื่อการครอบครอง พื้นที่ ซึ่งขณะนั้นประเทศไทยมีพ่อขุนเมงรายเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีกองทัพที่เข้มแข็ง

ประวัติศาสตร์กล่าวว่า อาณาจักรเชียงแสนถูกสร้างขึ้น 69 ปีก่อนเชียงใหม่ ราว ๆ ปี 1323 ปาย เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเชียงแสน

สงครามครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี1869 เมื่อทหารไทยใหญ่ได้เอาชนะชาวบ้านปายและเผาทุกอย่างเป็นจุลอย่างไรก็ตามทหาร จากเชียงใหม่ก็ขับไล่พวกเขาออกไปได้ในที่สุด หลังจากนั้น หมู่บ้านก็ถูกย้ายที่ตั้งมาเป็นที่ตั้งในปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 10 เดือนพฤษภาคม ปี 1911 ยุคที่ราชอาณาจักรต่างๆของประเทศไทยถูกรวมเข้าด้วยกัน รัฐบาลได้ประกาศให้แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ อย่างและ ปายก็กลายเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองชาวทหารญี่ปุ่นใช้อำเภอปายเป็นเส้นทางการขนส่ง จากเชียงใหม่ไปถึงพม่าสิ่งที่เหลืออยู่คือถนนที่ยังคงใช้กันอยู่ถึงปัจจุบัน นี้คือครั้งแรกที่ปายได้ต้อนรับคนแปลกหน้าจากแดนไกล

การสร้างถนนใหม่ของรัฐบาลไทยในช่วงปลายปี 1980 สร้างความเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่นำความทันสมัยเข้าสู่อำเภอปาย มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ชาวบ้านไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น 5 ปีต่อมา ราว ๆ ปี 1985 ชาวอำเภอปายได้ต้อนรับผู้มาเยือนจากแดนไกล นักท่องเที่ยวที่มาจากทุกมุมของโลกกับเป้บนหลังของพวกเขาที่ต่างมาแสวงหา "ปาย"

ลำปายสายธาร ,นมัสการหลวงพ่ออุ่นเมือง ,ลือเลื่องกระเทียมพันธุ์ดี ,ป่าเขียวขจีรอบทิศ ,
วิถีชีวิตสงบร่มเย็น


ประวัติเมืองปาย............
อำเภอปาย เป็นอำเภอขนาดเล็กทางตอนเหนือของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวชมความงามตามธรรมชาติ

อำเภอปายตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง ดังนี้

* ทิศเหนือ ติดต่อกับเมืองปั่น จังหวัดตองยี รัฐฉาน (ประเทศพม่า)
* ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเวียงแหง อำเภอเชียงดาว และอำเภอแม่แตง (จังหวัดเชียงใหม่)
* ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอสะเมิงและอำเภอแม่แจ่ม (จังหวัดเชียงใหม่)
* ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนและอำเภอปางมะผ้า

อำเภอปายแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 7 ตำบล 66 หมู่บ้าน ได้แก่
1. เวียงใต้ (Wiang Tai) 8 หมู่บ้าน
2. เวียงเหนือ (Wiang Nuea) 10 หมู่บ้าน
3. แม่นาเติง (Mae Na Toeng) 14 หมู่บ้าน
4. แม่ฮี้ (Mae Hi) 6 หมู่บ้าน
5. ทุ่งยาว (Thung Yao) 12 หมู่บ้าน
6. เมืองแปง (Mueang Paeng) 9 หมู่บ้าน
7. โป่งสา (Pong Sa) 7 หมู่บ้าน

พื้นที่เป็นที่ราบแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยภูเขา มีแม่น้ำหลายสาย คือ น้ำปาย น้ำของ และน้ำแม่ปิงน้อย อีกทั้งมีลำห้วยอีกหลายสาย คือ ห้วยแม่เมือง ห้วยแม่เย็น และห้วยแม่ฮี้

ประวัติศาสตร์
พระธาตุแม่เย็น
อำเภอปายเป็นเมืองเก่าแก่ ประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาแต่เดิมคือชาวพ่ายหรือไปร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตระกูลออสโตร-เอเชียติก สาขาว้า-เรียง ดังมีร่องรอยหลักฐานซากวิหารและเจดีย์กระจายอยู่ทั่วไปทั้งบนภูเขาสูง ที่ดอนเชิงเขา บริเวณพื้นราบลุ่มน้ำปาย บางแห่งก่อสร้างด้วยหิน เช่น ในผืนป่าบริเวณใกล้น้ำตกเอิกเกอเต่อ ซึ่งเป็นต้นน้ำแม่ปิงน้อย บางแห่งมีการขุดคูเป็นร่องลึกบนภูเขาสูงชัน มีเจดีย์บนยอดเขา

มีหลักฐานว่าเจ้าเมืองคนแรกคือ ขุนส่างปาย ในสมัยพระเจ้ามโหตรประเทศ พระราชาธิบดีเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ส่งเจ้าแก้วเมืองออกสำรวจชายแดน ได้พบว่าภูมิประเทศน่าสนใจ จึงแนะนำให้ขุนส่างปายย้ายเมืองมาตั้งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปายเพราะเป็นที่ราบกว้างขวาง ผู้คนจึงเรียกเมืองใหม่ว่า "เวียงใต้" ส่วนเมืองเก่าเรียกว่า "เวียงเหนือ"

ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์

เมืองปายเป็นเมืองที่มีคนตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในสมัยประวัติศาสตร์บริเวณที่ตั้งเมืองปายเป็นเมืองสำคัญของล้านนาในสมัยราชวงศ์มังรายซึ่งมีเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง ต่อมาเมืองปายได้ร้างไปพร้อมกับเมืองเชียงใหม่ ประมาณปี พ.ศ. 2318-2338 เมืองปายได้ฟื้นฟูเป็นหมู่บ้านและพัฒนาเป็นอำเภอปาย โดยมีผู้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ ได้แก่ คนไทยวน (คนเมือง) ชาวไทใหญ่ ชาวปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) และชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากเมืองปายตั้งอยู่ในบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย เหมาะสำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปัจจุบันเมืองปายเป็นเมืองชุมทางที่สำคัญเมืองหนึ่งบนเส้นทางระหว่างเชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอน

อำเภอปายมี ร่องรอยการอาศัยอยู่ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และมีชุมชนโบราณที่ปรากฏชื่อในตำนานคัมภีร์ใบลานหลายเมือง และมีประวัติสืบต่อกันมานับร้อยปี ประกอบกับมีหลักฐานโบราณคดีปรากฏอยู่ในชุมชนโบราณดังกล่าวด้วย จากการศึกษาของพระครูปลัดกวีวัตน์ธนจรรย์ สุระมณี วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมืองเชียงใหม่ มีรายงานการสำรวจว่าในเขตเมืองน้อย อำเภอปาย มีหลักฐานโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ดังนี้

* ถ้ำผีแมน บ้านห้วยหก ตำบลเวียงเหนือ อยู่ห่างจากบ้านห้วยหกไปทางทิศตะวันตกราว 1,500 เมตร พบซากกระดูกและระแทะคล้ายรางไม้ให้อาหารสัตว์หลงเหลืออยู่ บางส่วนถูกชาวบ้านเผาไปเกือบหมดแล้ว ถ้ำผีแมนซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์นี้มีอยู่หลายแห่งในเขต จังหวัดแม่ฮ่องสอน เช่น
o ถ้ำป่าคาน้ำฮู ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน
o ถ้ำน้ำลอด อำเภอปางมะผ้า พบหลักฐานของใช้ของคนถ้ำในยุคนั้นคือ กำไลแขนทำด้วยโลหะ หม้อดินลายเชือกทาบ ขวานหินขุด ระแทะไม้ ฯลฯ
* ถ้ำดอยปุ๊กตั้ง อยู่ทางทิศใต้ของบ้านห้วยเฮี้ย ตำบลเวียงเหนือ ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าจากหมู่บ้านประมาณ 1 ชั่วโมง พบเครื่องใช้ของมนุษย์ถ้ำมีลักษณะเช่นเดียวกันกับที่พบในถ้ำผีแมนแห่งอื่น ๆ

ชุมชนโบราณเมืองน้อย

ชุมชนโบราณเมืองน้อยเป็นชุมชนที่พบหลักฐานทางด้านโบราณคดี หลักฐานตำนาน และศิลาจารึกที่สะท้อนให้เห็นว่าเมืองน้อยเป็นเมืองสำคัญในสมัยประวัติ ศาสตร์ราชวงศ์มังราย ตั้งอยู่ในเขตตำบลเวียงเหนือ ตำแหน่งละติจูดที่ 19 องศา 30 ลิปดา 58 พิลิปดาเหนือ และลองจิจูดที่ 98 องศา 30 ลิปดา 50 พิลิปดาตะวันออก ระยะทางประมาณ 27 กิโลเมตร จากอำเภอปายไป ทางทิศเหนือ เมื่อสองร้อยปีเศษมานี้ เมืองน้อยมีสภาพเป็นเมืองร้าง ปัจจุบันได้มีชนเผ่าปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) เข้าไปจับจองอาศัยตั้งบ้านเรือนที่บ้านเมืองน้อย โดยมีชื่อใหม่หลายหมู่บ้าน คือ บ้านหัวฝาย บ้านห้วยงู บ้ายห้วยเฮี้ย บ้านห้วยหก บ้านกิ่วหน่อ และบ้านมะเขือคัน

เมืองน้อย: ชุมชนโบราณสมัยประวัติศาสตร์

ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ได้กล่าวถึงเรื่องราวเมืองน้อยว่า ในรัชกาลของพระเจ้าติโลกราช (พระญาติโลกราชะ) ปกครองเชียงใหม่ พ.ศ. 1984-2030 พระองค์มีโอรสชื่อท้าวบุญเรืองหรือศรีบุญเรืองครองเมืองเชียงราย ต่อมาถูกแม่ท้าวหอมุกกล่าวโทษ จึงให้ท้าวบุญเรืองไปครองน้อย ในที่สุดก็ถูกฆ่าตาย
เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าติโลกราชแล้ว โอรสของท้าวบุญเรือง ชื่อพญายอดเชียงราย (พระญายอดเชียงราย) ได้เสวยราชย์เป็นกษัตริย์เชียงใหม่ ปกครองได้ไม่นานถูกกล่าวหาว่า พระองค์ราชาภิเษกวันจันทร์ ถือว่าเป็นกาลกิณีแก่บ้านเมือง ไม่ประพฤติอยู่ในขนบธรรมเนียมของท้าวพระญา ไม่ประพฤติอยู่ในทศพิธราชธรรม และยังมีใจฝักใฝ่ไมตรีกับฮ่อ เสนาอำมาตย์จึงได้ล้มราชบัลลังก์และได้อัญเชิญให้ไปครองเมืองน้อย ในปี พ.ศ. 2038 พญายอดเชียงรายประทับอยู่เมืองน้อยได้ 10 ปี ก็เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2048 เมื่อพระชนมายุได้ 50 พรรษา พญาเมืองแก้ว (กษัตริย์เมืองเชียงใหม่และราชโอรสของพญายอดเชียงราย) ได้เสด็จมาถวายพระเพลิงพระศพของพญายอดเชียงรายที่เมืองน้อย และสร้างอุโบสถครอบ

ครั้นพญาเมืองแก้วเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2068 เสนาอำมาตย์ได้อัญเชิญพระอนุชาจากเมืองน้อยให้มาครองราชย์เชียงใหม่และราชาภิเษกเป็นพระเมืองเกษเกล้า (พระญาเมืองเกส) ในปี พ.ศ. 2069 พระองค์ครองราชย์จนถึง พ.ศ. 2081 (พระเมืองเกษเกล้าครองราชย์เมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2068-2081 ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2086-2088) เสนาอำมาตย์ไม่ชอบใจได้ปลดพระองค์ออกจากราชบัลลังก์ และอัญเชิญท้าวซายคำราช โอรสให้ครองราชย์แทนในปี พ.ศ. 2081 ท้าวซายคำประพฤติตนไม่อยู่ในทศพิธราชธรรม เสนาอำมาตย์ได้ลอบปลงพระชนม์ในปี พ.ศ. 2086 และได้อัญเชิญพระเมืองเกษเกล้าจากเมืองน้อยมาครองราชย์ในเมืองเชียงใหม่เป็น ครั้งที่ 2

บ้านเมืองน้อยมีโบราณสถานขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดเจดีย์หลวง" ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ มีแนวกำแพงกำหนดเขตพุทธาวาสขนาด 80 x 100 x 1 เมตร ขนาดชุกชีวิหาร ฐานชุกชีอุโบสถขนาด 4 x 8.50 เมตร (สันนิษฐานว่าเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพญายอดเชียงราย) ซุ้มประตูโขงด้านทิศตะวันออก เจดีย์ขนาด 11 x 11 x 17 เป็นเจดีย์แบบเชิงช้อนย่อเหลี่ยม บางส่วนยังมีลวดลายการก่ออิฐทำมุม เจดีย์ถูกสร้างขึ้นจากอิทธิพลของศิลปะเชียงใหม่ในราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 เจดีย์ถูกขุดค้นหาสมบัติลักษณะแบบผ่าอกไก่จากยอดถึงฐานต่ำสุด มีหลุมลึกประมาณ 1 เมตร ทำให้มองเห็นฐานรากของการก่อสร้างเจดีย์ที่ใช้ก้อนหินธรรมชาติขนาดใหญ่วาง ซ้อนกันเป็นฐานราก ก้อนอิฐที่ใช้ก่อสร้างมีขนาด 6 x 11 นิ้ว และในบริเวณวัดเจดีย์หลวงยังพบจารึกบนแผ่นอิฐ 2 ชิ้น

จารึกหลักแรกพบในบริเวณด้านเหนือของโบราณสถาน จารึกด้วยอักษรธรรมล้านนา ภาษาไทยวน จำนวน 3 บรรทัด บรรทัดที่ 2-3 จารึกกลับหัว จากบรรทัดที่ 1 ความว่า " เชแผง เนอ เหย เหย ฅนบ่หลายแล แล แล" ความในจารึกชิ้นนี้กล่าวถึงนายเชแผง ผู้เป็นหนึ่งในผู้ปั้นอิฐในการก่อสร้างศาสนสถานแห่งนี้ รำลึกถึงคนจำนวนไม่มากนักในการสร้างศาสนสถานแห่งนี้หรือในเมืองนี้

จารึกหลักที่สองพบก่อร่วมกับอิฐก้อนอื่น ๆ ในบริเวณแนวกำแพงด้านใต้ของโบราณสถาน จารึกด้วยอักษรฝักขาม ภาษาไทยวน จำนวน 1 บรรทัด ส่วนครึ่งแรกหายไป ส่วนครึ่งหลังอ่านได้ใจความว่า "สิบกา (บ)" จารึกชิ้นนี้บอกผู้ปั้นว่าสิบกาบ คำว่า "สิบ" อาจหมายถึงตำแหน่งขุนนางล้านนาสมัยโบราณ เรียกว่า "นายสิบ" หรือเนื่องจากอิฐส่วนหน้าที่หักหายไปบริเวณกี่งกลางของก้อนอิฐนั้น คำว่า "สิบกา(บ)" อาจสันนิษฐานได้ว่า ข้อความเต็มด้านหน้าที่หายไปเป็น "(ห้า) สิบกาบ" หรือขุนนางระดับนายห้าสิบก็อาจเป็นได้

วิวรรณ์ แสงจันทร์....นักโบราณกล่าวว่า
จากหลักฐานโบราณคดี ซากวัดร้างต่าง ๆ จำนวน 30 แห่งในเมืองน้อย รวมทั้งวัดเจดีย์หลวงและข้อความที่พบสะท้อนให้เห็นว่า ชุมชนที่นี่เป็นเมืองใหญ่ในอดีตมีฐานะทางเศรษฐกิจดีพอที่จะสร้างศาสนสถาน ขนาดใหญ่จำนวนมากได้

ชุมชนโบราณบ้านเวียงเหนือ

นอกจากเมืองน้อยแล้ว เมืองปายยัง พบชุมชนโบราณที่บ้านเวียงเหนือ ตำบลเวียงเหนือ ตั้งอยู่ในตำแหน่งละติจูด 19 องศา 22 ลิปดา 34 พิลิปดาเหนือ ลองจิจูด 98 องศา 27 ลิปดา 17 พิลิปดาตะวันออก

เมืองปายมีหลักฐานตำนานกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ในสมัยพญาแสนภู (พระญาแสนพู) กษัตริย์เชียงใหม่ (พ.ศ. 1868-1877) สร้างเมืองเชียงแสน พ.ศ. 1871 ได้กำหนดให้เมืองปายเป็น เมืองขึ้นของพันนาทับป้องของเมืองเชียงแสนในสมัยนั้น (พงศาวดารโยนก หน้าตำนานเชียงแสนว่า เมืองจวาดน้อย/จวาดน้อย/สันนิษฐานว่าเป็นคำเดียวกับคำว่าชวาดน้อย)

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2028 ปีมะเส็ง สัปตศก
(วันศุกร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ จุลศักราช 847 ปีดับใส้)
เจ้าเถรสีลสังยมะให้หล่อพระพุทธรูปเวลารับประทานอาหารเช้า (ยามงาย)

พ.ศ. 2032 มหาเทวี (พระมารดาพญายอดเชียงราย) พระราชทานที่ถวายพระมหาสามีสัทธัมมราชรัตนะ ก่อสร้างมหาเจดีย์ มหาวิหาร ผูกพัทธสีมาอุโบสถวัดศรีเกิด (ปัจจุบันชาวบ้านเรียกวัดหนองบัว (ร้าง) บ้านแม่ฮี้ ตำบลแม่ฮี้) พ.ศ. 2033 มีการถวายข้าทาสอุปัฏฐากพระมหาสามีสัทธัมมราชรัตนะ อุโบสถ มหาวิหาร มหาเจดีย์ พระพุทธรูป ห้ามไม่ให้ผู้ใดนำข้าทาสเหล่านี้ไปทำงานอื่นหากยังเคารพนับถือพญายอด เชียงรายอยู่ หากฝ่าฝืนขอให้ตกนรกอเวจี

พ.ศ. 2044 ปีระกา ตรีศก เจ้าหมื่นพายสรีธัม(ม์)จินดา หล่อพระพุทธรูปหนักสี่หมื่นห้าพันทอง เดือนเจ็ด ไว้ในอุโบสถวัดดอนมูน เมืองพายแล (เมืองพาย/อำเภอปาย) (ปัจจุบันพระพุทธรูปนี้เก็บรักษาไว้ ณ วัดหมอแปง ตำบลแม่นาเติง ดร.ฮันส์ เพนธ์ คลังข้อมูลจารึกล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อ่านฐานพระพุทธรูปวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ความว่า "ในปีร้วงเร้า สักราชได้ ๘๖๓ ตัว เจ้าหมื่นพายสรีธัมจินดา ส้างรูปพระพุทธะเป็นเจ้าตนนี้ สี่หมื่นห้าพันทอง ในเดือนเจ็ด ไว้ในอุโบสถวัดดอนมูน เมืองพายแล" (ดร.ฮันส์ เพนธ์กล่าวว่า "หมื่น" เป็นตำแหน่งเจ้าเมืองพาย ตำแหน่งใหญ่เทียบเท่าเมืองเชียงแสน เมืองลำปาง และ 1 ทอง เท่ากับ 1.1 กรัม)

พ.ศ. 2124 ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวว่า พญาลำพูนมาครองเมืองปาย (พลาย)

พ.ศ. 2283 ปรากฏชื่อวัดป่าบุก ตั้งอยู่ทิศใต้ของเมืองปาย (พลาย) ช้างตัวผู้
ดังความว่า "วัดป่าบุก ใต้เมืองพายช้างพู้" (คัมภีร์ ธัมมปาทะ (ธรรมบท)
ปัจจุบันเก็บไว้ที่วัดดวงดี อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

พ.ศ. 2330 เมืองปายรวมตัวกับเมืองพะเยา เมืองเชียงราย เมืองฝาง เมืองปุ
และเมืองสาดขับไล่พม่า แต่เมืองพะเยาทำการไม่สำเร็จ

พ.ศ. 2412 ขณะที่พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ดำรงตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่
(พ.ศ. 2399-2413) ลงไปถวายบังคมกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ณ กรุงเทพมหานครว่า ฟ้าโกหล่านเมืองหมอกใหม่ ยกกองทัพมาตีเมืองปายซึ่งสมัยนั้นมีฐานะเมืองขึ้นของเชียงใหม่ เจ้าราชภาคีไนย นายบุญทวงศ์ นายน้อยมหาอินท์รักษาการเมืองเชียงใหม่ ทำหนังสือถึงเจ้าเมืองลำปางและเมืองลำพูนให้มาช่วยเมืองปาย หลังจากนั้นเจ้านายและกองทัพจากสามเมือง ยกกำลังมาช่วยเมืองเชียงใหม่รบกับกองทัพของฟ้าโกหล่าน โดยมีนายบุญทวงศ์ นายน้อยมหาอินท์คุมกำลัง 1,000 คนจากเมืองลำปาง มีนายน้อยพิมพิสาร นายหนายไชยวงศ์คุมกำลัง 1,000 คนจากเมืองลำพูน มีนายอินทวิไชย นายน้อยมหายศคุมกำลัง 500 คน แต่ไม่สามารถป้องกันเมืองปายได้ กองทัพฟ้าโกหล่านจุดไฟเผาบ้านเรือนในเมืองปาย กวาดต้อนผู้คนและครอบครัวไปอยู่เมืองหมอกใหม่ กองทัพทั้งสามเมืองจึงได้ติดตามไปถึงฝั่งแม่น้ำสาละวิน แต่ตามไม่ทันจึงได้เดินทางกลับ

พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า ตั้งแต่เมืองปายถูกฟ้าโกหล่านตีแตก จุดไฟเผาบ้านเมือง กวาดต้อนผู้คนไปเมืองหมอกใหม่แล้ว เมืองปายมีสภาพเป็นร้างบางส่วน ไม่มีผู้รักษาเมือง ทั้งยังถูกกองทัพเงี้ยวและลื้อกวาด ต้อนครอบครัวไปอยู่เป็นประจำ จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระยาชัยสงคราม (หนานธนันไชย บุตรราชวงศ์มหายศ) เป็นพระยาเกษตรรัตนอาณาจักรไปปกครองเมืองปาย ให้ยกเอาคนจากเมืองเชียงใหม่ไปตั้งเมืองปาย ให้เป็นภูมิลำเนาบ้านเรือนเหมือนเดิม เพื่อจะได้ป้องกันรักษาด่านเมืองเชียงใหม่

พ.ศ. 2438 พระยาดำรงราชสิมา ผู้ว่าราชการเมืองปาย ถูกพวกแสนธานินทร์พิทักษ เจ้าเมืองแหงปล้น แล้วแสนธานินทร์พิทักษประกาศเกลี้ยกล่อมคนเมืองปั่น เมืองนาย เมืองเชียงตอง และเมืองพุมารบเมืองปาย โดยจะเก็บริบเอาทรัพย์สิ่งของให้หมด พระยาทรงสุรเดชพร้อมด้วยเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ประชุมเจ้านายหกตำแหน่งมอบ หมายให้เจ้าอุตรโกศลออกไปปราบปราม

วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 ส่างนันติ คนในบังคับอังกฤษ ใช้ดาบฟันส่างสุนันตาและเนอ่อง คนในบังคับสยามตาย ณ ตำบลกิ่วคอหมา แขวงเมืองปาย และนำทรัพย์สินไปมูลค่าประมาณ 1,000 บาท ศาลต่างประเทศ เมืองนครเชียงใหม่ได้ตัดสินประหารชีวิต (คำพิพากษาที่ 25/125 ศาลต่างประเทศ เมืองนครเชียงใหม่ วันที่ 24 สิงหาคม รัตนโกสินทร์ศก 125 อ้างในศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2535/คำพิพากษานี้เป็นคำพิพากษาในสมัยที่สยาม (ไทย) ตกอยู่ภายใต้เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตตามสนธิสัญญาเบาว์ริง พ.ศ. 2398) และจำเลยได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์กรุงเทพ ได้ยกฟ้องอุทธรณ์ของจำเลย และให้ประหารชีวิตตามคำพิพากษาศาลล่าง (คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ 20 ปี ค.ศ. 1906 อ้างในศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. 2536)

พ.ศ. 2454 กระทรวงมหาดไทยได้ยกเลิกการปกครองเมือง เปลี่ยนฐานะเมืองปายเป็น อำเภอปาย และได้แต่งตั้งหลวงเจริญเขตเขลางค์นคร (สอน สุขุมมินทร์) เป็นนายอำเภอคนแรกระหว่างปี พ.ศ. 2454-2468

สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ

* น้ำตกหมอแปง
* วัดกลาง
* วัดพระธาตุศรีวิชัย
* วัดน้ำฮู
* หมู่บ้านกะเหรี่ยงแม่ปิง
* เจดีย์พระธาตุแม่เย็น
* โป่งน้ำร้อนท่าปาย
* น้ำตกแม่เย็น
* กองแลน
* น้ำพุร้อนเมืองแปง
* ห้วยจอกหลวง
* ถนนคนเดิน ปาย
* สะพานข้ามแม่น้ำปาย
ที่พัก
* บ้านปายกลางนา | บ้าน 7 หลัง 1กม จากถนนคนเดิน อ.ปาย
* ปายพญารีสอร์ท ริมทางหลวง 1095 เป็นบังกะโล มี 13 ห้อง

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 01:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




0e3720507d1.jpg
0e3720507d1.jpg [ 82.23 KiB | เปิดดู 4144 ครั้ง ]
ที่ท้องฟ้าจุดเทียนของท้องฟ้า
ในใจจุดเทียนจ้าไว้ส่องแสง
ที่ท้องฟ้ามีหมู่ดาวอันเรืองแรง
ในจึงแจ้งด้วยแสงดวงจากสรวงดาว

จากแดนฟ้ามีน้ำค้างมาพร่างพื้น
ใจฉ่ำชื้นด้วยน้ำค้างจากกลางหาว
จากแดนฝันมีความฝันอันเพริศพราว
ใจจึงกร้าวด้วยฝันอันยาวไกล

ฉันเห็นฝันของบางคนตกหล่นหาย
ตกกระจายเกลื่อนกล่นอยู่หนไหน
สัมผัสค่าสัมผัสคำ...สัมผัสใจ
จึงเข้าใกล้ค่าแห่งจิตนิจนิรันดร์

เพราะชีวิตใช่มีแค่ชีวิต
ฟ้ามีฝนคนมีสิทธิ์จะคิดฝัน
ตราบใดแสงจันทร์ยังจ้าคู่ตะวัน
รุ้งความฝันจักทอทาบอิ่มอาบใจ

ห้ามทุกปรากฏการณ์ห้ามปรากฎ
ห้ามให้งดห้ามให้เกิดพอห้ามได้
แต่ห้ามจินตนาการห้ามหัวใจ
คงห้ามได้ถ้าชีวิต...ได้ปลิดแล้ว

โดย ดอกแก้ว [12 พ.ค. 2548 ]

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 29 ส.ค. 2009, 01:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 01:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




0e3720507d3.jpg
0e3720507d3.jpg [ 82.51 KiB | เปิดดู 4163 ครั้ง ]
หยดแห่งน้ำหยดน้อยค่อยค่อยหยด
ดั่งฝอยรดจากสวรรค์สรรค์สะสม
เปรียบดั่งบุญคุ้นสงบลบทางตรม
บุญประพรมที่ละหยด..ลดทางเวร

แม้นชาติใดทำบาปไว้มหาศาล
ชาตินี้คลานล้มคลุกทุกข์โดดเด่น
แต่ทำดีไว้เถิดเปิดจัดเจน
หยดบุญน้อย..นั้นจะเบน..สู่ทางบุญ

สวรรค์สร้างทางกุศลไว้มากหลาย
กุศลกรรมสิบหมายปลายเกื้อหนุน
กาย..และใจ..วจีกรรม.ทำแต่คุณ
หลีก..ละ..ลด..เลิกบาปวุ่น..บุญเกิดเวียน

หยดแห่งน้ำหยดน้อยค่อยค่อยหยาด
เสมือนบาตรโล่งรอขอเศษเหรียญ
หยดบุญน้อยเหมือนรอยกรรมบนทางเกวียน
บุญแห่งเพียรทำดี...มีทางเต็ม...

ขอความสุขบังเกิดร่มเย็นแด่กัลยาณมิตรลานธรรมฯทุกท่าน

โดย ทิกิ_tik

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 01:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




0e3720507d2.jpg
0e3720507d2.jpg [ 78.08 KiB | เปิดดู 4174 ครั้ง ]
ฤดูกาลผลัดเปลี่ยนเวียนให้รู้
ความไม่เที่ยงมีอยู่ทุกแห่งหน
วันนี้อาจล้มลุกคลุกทุกข์ทน
พรุ่งนี้ฝนอาจฉ่ำร่ำรินใจ

ไม่เที่ยงแท้แน่นอนสอนให้ซึ้ง
และหยั่งถึงอดีตกรรมนำบทไข
กรรมไม่ดีปรี่นองต้องพบภัย
อย่าโทษใคร..หากโทษโปรดโทษตน

หากไม่เพาะเหตุร้ายไว้ล่วงหน้า
สิ่งไม่ดีหรือจะมาตามส่งผล
ตรองให้รอบชอบธรรมย้ำกมล
หามีใครสักคนกลั่นแกล้งเลย

ผลที่ร้อนสอนว่าอย่าประมาท
ปัจจุบันชาติต้องเร่งอย่าเพิกเฉย
เปลี่ยนเส้นทางสร้างบุญให้คุ้นเคย
สักวันหนึ่งเหตุดีเผยผลส่งมา

อย่าใจร้อนวอนขอต่อสวรรค์
ทำดีนั้นมีผลแน่อย่ากังขา
แต่ต้องกอปรด้วยปัจจัยและเวลา
ผลดีจะพ้องพาให้พบกัน

ทีละหยดจรดใจในเรื่องบุญ
คือหยาดอันละมุนงามสีสัน
รินผ่านกาลเวลามานานวัน
ที่สุดนั้นเปี่ยมภาชน์ประกาศชัย

โดย ดอกแก้ว [23 พ.ค. 2548 , 16:45:47 น.]

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 01:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1200643474.jpg
1200643474.jpg [ 34.73 KiB | เปิดดู 4180 ครั้ง ]
เงารัก...สุดขอบฟ้า

หวนรำลึกถึงวันซ่านซึ้งจิต
ผูกชีวิตติดพันนั้นขอบฟ้า
มีดาวเดือนตะวันโพ้นนภา
แสงทอดมาเป็นเพื่อนเยือนใจชาย

อันคลื่นสิเน่หาพารักมักหุนหัน
วูบวาบพลันสั่นระริกพลิกหลีกหาย
แวดวงล้อมย้อมจริตติดใจกาย
ล้วนหลงใหลคล้ายมายามาผนึก

ดุจสายชลวนเชี่ยวเกลียวน้ำพร่ำ
เฝ้าตอกย้ำซ้ำหัวใจใฝ่ระทึก
ภาพจมลงตรงหทัยให้รำลึก
หวนสู่นึกตรึกไว้เพื่อหมายปอง

แฝงเยือกเย็นแผ่วร้อนซ่อนมากหลาย
ล้วนฝากไว้ให้อาลัยใฝ่สนอง
แผ่ซ่านซึ้งตรึงทรวงลวงทั้งลอง
เข้าทำนองผองอารมณ์ข่มอดสู

ล้วนแนบเนื้อเอื้อพรายลายละเลื่อม
วาวกระเพื่อมเลื่อมลาวัลย์สรรค์สุดกู่
ดุจเป็นเงาเฝ้าทดลองปองเอ็นดู
หากเข้าอยู่สู่หัวใจไม่พบพาน

รักไหลวนปนเสี้ยวเลี้ยวผ่านจิต
สู้ลิขิตผิดแผกจำแนกประสาน
ส่งกลอกกลิ้งวิ่งวนจนร้าวราน
มิสราญผ่านห้วงช่วงอารมณ์

พลิกผันแปรแส่ไฟที่ไหลอาบ
ร้อนวูบวาบฉาบไว้ไม่สุขสม
ดุจสนธยาลาลับนับหมองตรม
พลิกลอยลมจมห้วงล่วงเลยไป

วันคืนผ่านสั้นยาวเฝ้าเรียกร้อง
ห้วงทำนองคล้องไว้คล้ายสดใส
ส่วนลึกนั้นพลันว้าเหว่เห่ในใจ
สิ่งมอบไว้กลายกลับนับแลวัน

รัตติกาลผันแสงแฝงเพริศพริ้ง
งามแขยิ่งสีแสงแห่งเฉิดฉันท์
รักเรียกสู่ดูเฝ้าชื่นคืนผูกพัน
ภาพรักนั้นพลันเจิดจ้าพาระริก

โอ้สุดแล้วแนวชีวิตจิตหักโหม
ละแผ่วโน้มโลมมายาหันมาปลีก
ปั่นป่วนซึ้งตรึงหทัยคล้ายอุกฤต
หันหลังหลีกตัวหลบพบซึมทรวง

เงาน้ำใจไหลหลั่งพังทลายสิ้น
แม้ยลยินแต่ใยรักที่มักห่วง
สิ่งเจิดจ้าหายลับนับจากดวง
สิ้นไกลลวงช่วงช้ำยากนำมา

ความสูงต่ำดำขาวพราวสิ่งสร้าง
แม้นจักวางกลางใจไร้คุณค่า
ทอถักใส่สายสัมพันธ์นั้นขอลา
แสงสิเน่หาเปรียบไปเหมือนไร้เงา.

* แก้วประเสริฐ. *

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 01 ก.ย. 2009, 22:34, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 281 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16 ... 19  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 21 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร