ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=20285 |
หน้า 10 จากทั้งหมด 19 |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 13 ก.ค. 2009, 06:02 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! | ||
มีแต่รูปมาฝาก คิดถึงค่ะ ต่อจากคุณน้ำมาเป็นคู่
|
เจ้าของ: | ปลายฟ้า...ค่ะ [ 13 ก.ค. 2009, 19:38 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! | ||
มองฟากฟ้า แจ่มกระจ่าง เบื้องบนสรวง เหมือนดั่งคน พ้นเคราะช้ำ พ้นความเหงา พ้นจากทุกข์ พ้นจากเวร จากกรรมเก่า ทำให้เรา แลโลก เบิกบานธรรม วันนี้แจ่ม วันหน้าหมอง ครองคู่กัน ผ่านคืนวัน ที่เศร้าหมอง แล้วสุขใจ สลับเปรียน หมูนเวียน เช่นนี้ไป พอทนได้ เพราะคู่กัน ดังฉันและเธอ แต่ฟ้าแจ่ม เพียงหน้อยนิด ซิคิดมาก ทนลำบาก เพราะฟ้าครื้ม กระหื่มฝน ขู่คำราม แผดเสียง อยู่เบื้องบน ทำเอาคน ใต้ล้า หน้าเศร้าหมอง หลายคนแล ดูฟ้า นภาสลับ นอนนั่งนับ เดือนปี ให้เปลี่ยนผล เปลี่ยนจากฟ้า คะนองกระหื่ม อยู่เบื้องบน ให้เป็นผล งอกงาม ตามกฎเกณท์ วันใดหนอ ฟากฟ้า จะสดใส พอให้มวล พืชไม้ ได้เกิดผล เกิดไปตาม กฎเกณท์ ของความเป็นคน ให้หลุดพ้น จากกงกรรม และกงเกวียน สาะุ..ค่ะ..สาธุ ขอบคุณ..คุณคนไร้สาระ...คุณน้ำ... ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนทั้งคู่..น่ารักจัง...
|
เจ้าของ: | บัวศกล [ 13 ก.ค. 2009, 19:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! |
แต่งกลอนได้ไพเราะ ถ้าใช้เวลาแต่งแต้มมันขึ้นมามากกว่านี้ และได้เกลาอีกสักหน่อย คงงามหยดย้อย อ่านได้ไม่รู้เบื่อ ความพากเพียร ทำให้เกิด พรแสวง พรแสวงที่พัฒนาไม่ลดละ ทำให้กลายเป็นพรสวรรค์ พรสวรรค์ คงทำให้บุคคลเดินดิน ท่องไปยังถิ่นแห่งสรวงสวรรค์ ได้ในทุกห้วงแห่งจินตนาการ ได้ในทุกเวลาเมื่อปรารถนา |
เจ้าของ: | walaiporn [ 13 ก.ค. 2009, 21:46 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! | ||
แมงปอปีกขาว เจ้ากางปีกสวย วานบอกเขาด้วย คิดถึงเขาจัง ..อิอิ .. อันนี้ก็หยิบมาฝากคุณปลาฟ้าเหมือนกันค่ะ ...
|
เจ้าของ: | ปลายฟ้า...ค่ะ [ 14 ก.ค. 2009, 02:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! |
กระแสลมลวง...... เช้านี้ฉันลืมตาตื่นมาด้วยความสดชื่นกว่าทุกวัน ความรู้สึกเหมือน เดินวนอยู่ในม่านหมอกมานาน มีบางครั้งที่เดินหลุดออกมาพบช่องแสงกระจ่าง และรู้สึกสดชื่นคล้ายวันนี้ แต่ไม่นาน ฉันก็พบตัวเองอยู่กับกลุ่มหมอกหนาหนักอย่างเดิม นี่อาจเป็นผลจากยากล่อมประสาท ที่หมอสั่งให้ฉันกินติดต่อกันมากว่าสามเดือนแล้ว เม็ดยาเหล่านี้ทำให้ฉันเหมือนกับล่องลอย ออกจากสภาพความจริง และดูเหมือนทำให้ เวลาไม่มีความหมาย คืนวันสั้นลง ความจำระยะสั้น หายไป ฉันจึงแทบจะจำอะไรไม่ได้ในระยะสามเดือนที่ผ่านมา มีน้อยครั้งมาก ที่ฉันจะรู้สึกสดชื่นเหมือนเช้าวันนี้ ตอนย่ำรุ่งก่อนฟ้าสาง ฉันได้ยินเสียงเคาะบอกเวลา จากยามประจำหมู่บ้าน มันดังห้าครั้ง แก๊งๆ.. แก็งๆ.. แก็ง.. แต่ฉันยังไม่ลืมตา ฉันกำลังฝันดี.... เรือนแถวห้องสุดท้ายใกล้ชายทะเลแห่งหนึ่ง ถูกดัดแปลงเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ร้านหนึ่ง ฉันนั่งอยู่กับเพื่อนๆ ชายหญิงกลุ่มใหญ่ เพื่อนที่รักและชื่นชมในวิถีชีวิตของฉันไงละ พวกเรากินกาแฟ บางคนเลือกชาและมะนาวฝาน เราเปิดเพลงบรรเลงคลอไป กับบรรยากาศที่มีเสียงคลื่นจากทะเลเป็นแบ็กกราวน์... ร้านเล็กๆแห่งนี้ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มีความสุข เรารู้ว่ายังมีเพื่อนบางคนยังมาไม่ถึง พวกเขามาแน่.. ต่างกำลังเดินทางมาหากัน ฉันไม่แปลกใจเลย ก็ในเมื่อที่แห่งนี้ ล้วนมีแต่มิตรสหาย และมีกลิ่นอายแห่งความสุข ความสบายๆที่ไม่เร่งรีบ ที่นี่จึงเหมือนห้วงมหาสมุทร ที่สายน้ำทุกสายย่อมไหลมารวมกัน ฉันออกไปเดินเล่นนอกร้าน แดดบ่ายอ่อนแรงลงมากแล้ว ริมทางเดินลงชายหาด มีดอกไม้เล็กๆ สีส้มสดกระจายประดับสองข้างริมทางเดิน ดอกดาวกระจายไงละ มันขึ้นตามซอกหิน และแซมกับใบหญ้าเรียวเหมือนใบไผ่ สายลมพัดพวกมันโอนเอนไปมา แดดอ่อนโลมไล้ดอกไม้และใบหญ้า มองเห็นเงาไหวเอนไปตามทางเดิน ฉันนั่งลงชื่นชมความงดงามนั้น..เพียงลำพัง... ...กระแสลมแรงยังไม่...สายลมรัก...ลมกระซิบว่าใจข้าห่วง....โชยพัดผ่านไป... เสียงเพลงรักเก่าๆ เพลงหนึ่ง ดังขึ้นในห้วงคำนึง เนื้อเพลงจำได้กระท่อนกระแท่น รู้สึกเพียงว่าไม่ได้ยินมานานแล้ว ฉันเดินกลับมาหากลุ่มเพื่อน และถามหากระดาษกับดินสอ.. พยายามจะเขียนเนื้อเพลงออกมาจากความทรงจำ หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อน สนใจเนื้อหาในเพลง แต่ช่วยนึกไม่ได้ เพราะเพลงเก่าเกินกว่าเธอจะรู้จัก เพื่อนอีกคนอายุมากกว่าฉันหลายปี เดินเข้ามาช่วยย้อนนึกเนื้อเพลงเก่านี้ด้วยกัน เขารู้จักเพลงนี้ดี เสียงเขาท่องเนื้อเพลงให้ฟัง ด้วยทำนองคำกลอน ฉันฟังและจดตาม.. ลมจ๋า.....สุชาติ ชวางกูร ลมเอยเจ้าหอบรักมาให้ใคร จงพัดกลับไป เพราะดวงฤทัยข้าไม่ต้องการ ข้ากลัวเหลือเกิน กลัวรักที่สิ้นสงสาร กลัวรักจะทรมาร กลัวดวงวิญญาณจะต้องร้องไห้ ลมเอยเจ้าหอบรักไปเถิดหนา จงพัดกลับมา แล้วกลัวน้ำตารักต้องตกใน ข้ากลัวรักลวง กลัวรักอารมณ์อ่อนไหว กลัวรักจะไม่เข้าใจ กลัวดวงฤทัยไม่กล้าชื่นชม กระแสลมแรง ยังไม่แสลงเท่าลมรักลวง ลมกระซิบที่เคยว่าห่วง กลับกลายสลายเป็นลม คอยพัดบาดใจ ให้รอยทุกข์ระทม ใจรักจึงต้องขื่นขม เพราะหลงเชื่อลมรักลวง ดวงใจข้าตรมแล้วลมเจ้าเอ๋ย อย่าเย้ยข้าเลย พัดเลยผ่านไปแล้วไม่ต้องห่วง ข้ายอมช้ำใจ ในรักที่ข้าเคยหวง ลมจ๋าอย่าตามมาลวง สงสารดวงใจดวงนี้เถิดลม...... เนื้อเพลงบรรยายภาพสายลม พัดกระซิบผ่านกอดอกไม้ริมทาง เป็นบทกวีที่ไพเราะและอ่อนโยน เต็มไปด้วยความรัก และมองทุกสิ่งสวยงามอย่างยิ่ง หญิงสาวคนนั้นฟังเนื้อเพลงแล้วเอ่ยว่า ชอบมาก เป็นเนื้อเพลงที่เต็มไปด้วย ความรู้สึกเหงาอันอ่อนหวาน ท่ามกลางสายลมรัก..ริมทะเล... ฉันมองสบตาเธอแล้วยิ้ม พวกเราต่างดื่มด่ำ กับความรู้สึกละเมียดละไมนี้ .. เธอมองตอบฉัน และยิ้มกว้าง รอยยิ้มแห่งเธอ เพิ่มบรรยากาศให้สดใสยิ่งขึ้นไปอีก.... เสียงกรุกกรักคุ้นหูดังขึ้น เป็นเสียงเดินลงบันไดของแม่ เสียงนั้นปลุกฉันตื่นจากความฝันแสนหวาน... ฉันรู้สึกดีกับเช้าวันนี้... ฉันตั้งใจว่าจะเขียนบันทึกความฝัน และความสุขนี้ให้เพื่อนๆอ่าน... พอมานั่งหน้าแป้นคีย์บอร์ด และเริ่มย้อนนึกเนื้อเพลง... อนิจจา.. เนื้อเพลงจริงไม่ได้ไพเราะดั่งกวีแสนหวานในฝันเลย ตอนนี้ฉันจำเนื้อเพลงนี้ได้แทบจะหมดทั้งเพลง เนื้อหาเพลงจริงๆ แตกต่างจากในฝันมากเหลือเกิน โลกแห่งความจริง มิได้งดงามดั่งความฝันเลย แสงแดดเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาแล้ว แดดเริ่มแรงขึ้น วงจรชีวิตจริงๆอันน่าเบื่อหน่าย กำลังจะหมุนวนไปอย่างที่มันเคยเป็น.. ฉันไม่อยากจบบันทึกแบบนี้เลย แต่จะทำอย่างไรได้... ...เพลงมันจบแล้ว..... ....นายรำพึง.... |
เจ้าของ: | คนไร้สาระ [ 14 ก.ค. 2009, 04:52 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! | ||
ด้วยความรู้สึกขอบคุณและยินดีค่ะ
|
เจ้าของ: | walaiporn [ 14 ก.ค. 2009, 21:52 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! | ||
สายสัมพันธ์ ฉันสาบานต่อท้องฟ้าและดวงดาว จะตราบนี้หรือตอนไหนก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ที่แห่งหนตรงไหน ฉันจะไม่มีวันทิ้งเพื่อนของฉัน ไม่มีวันลืมเพื่อนของฉัน ไม่มีวันปล่อยเพื่อนของฉันไว้ข้างหลัง ฉันจะเดินตามหลังเพื่อน จะคอยดูแลเพื่อนทุกคนจากด้านหลัง แต่ฉันก็เห็น ทุกคนจะหันกลับมามอง และเรียกให้ฉันเดินตามให้ทัน รู้มั้ยว่าฉันดีใจกับคำนั้นมากแค่ไหน สายสัมพันธ์ที่พวกเธอไม่เคยทอดทิ้ง สายสัมพันธ์ที่พวกเธอไม่เคยทำร้าย แม้พวกเราจะทะเลาะกันไปบ้าง แต่ก็จะมารวมกันเป็นหนึ่งเสมอ ฉันสาบานกับตัวเอง จะไม่ลืมสายสัมพันธ์นี้ไปเด็ดขาด ขอให้ทุกคนจงเชื่อ ถ้าหมดกำลังใจ ให้นึกถึงฉัน ถ้าไม่มีใคร ให้นึกถึงฉัน ถ้าต้องการใครรับฟัง ให้นึกถึงฉัน ฉันจะอยู่ตรงนั้นเพื่อเพื่อนทุกคน เพราะพวกเธอทุกคน เป็นสายสัมพันธ์อันมีค่าของฉัน เห็นบทความไพเราะแล้วนึกถึงคุณปลายฟ้าค่ะ
|
เจ้าของ: | เอรากอน [ 14 ก.ค. 2009, 22:27 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! |
ทุกกลอนล้วนมีความไพเราะสวยงามยิ่งนัก ถ้าเป็นเมื่อวาน ฉันคงจะอ่านและซึบซับในความซาบซึ้ง แต่วันนี้ .... เมื่อฉันอ่านแล้ว ก็ยังตกอยู่ในอารมณ์เงียบงัน มีเพียงร่องรอยการขยับยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก และตามมาด้วยเสียงถอนหายใจแผ่ว ๆ ฉันหันกลับไปมองบทกลอน และผู้เอื้อนเอ่ยบทกลอน อีกครั้ง และก็เดินจากไป... |
เจ้าของ: | walaiporn [ 14 ก.ค. 2009, 23:04 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! | ||
ให้คุณเอรากอนค่ะ ความเหงากับความคิดถึง*** ความเหงามันเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ชอบ (รึป่าวหว่า?) ความเหงากับความคิดถึงมันมาพร้อมๆกัน (น่าจะใช่) ถ้าคุณมีความเหงาคุณจะรู้สึกหว้าเหว่าและอ้างว้าง อย่างบอกไม่ถูก (น่าจะเป็นอย่างนั้น) แล้วคุณก็จะคิดถึงใครคนนึงที่คุณรักหรือคนรู้ใจหรือใครสักคน (อิๆ) หรือไม่ก็คิดถึงความประทับใจที่ผ่านมาแล้ว แต่ความเหงาทำให้เราประมาท (งงล่ะสิท่า) เพราะว่าความเหงาเมื่อเกิดขึ้นกับใครแล้ว เมื่อมีใครเข้ามาสักคนนึง คุณก็จะไม่มีความลังเลที่จะปฏิเสธใคร ไม่ว่าเขาจะดีหรือไม่ดีก็ตาม (รึป่าว?) เพราะคุณมีความต้องการใครสักคนที่จะมาคุยด้วย มาทำให้เราคลายเหงาไปได้ คุณอาจจะไม่คิดว่าใครคนนั้น เขาอาจจะคิดไม่ดีต่อเราก็ได้ คนๆนั้นเขาอาจจะไม่ดีอย่างที่คุณคิดไว้ เขาอาจจะถือโอกาสตอนที่คุณมีความเหงาครอบงำอยู่ เพราะฉะนั้นทุกคนอย่าให้ความเหงามาครอบงำอย่างเด็ดขาด เพราะการที่จะเจอคนที่จริงใจนั้นน้อยมากในปัจจุบันนี้ มีแต่การเอารัดเอาเปรียบกัน (มันเกี่ยวกันป่ะ?) ข้อความจากบทความท่อนท้ายน้ำไม่ค่อยจะเห็นด้วยนะคะ คุณอาจจะไม่คิดว่าใครคนนั้น เขาอาจจะคิดไม่ดีต่อเราก็ได้ คนๆนั้นเขาอาจจะไม่ดีอย่างที่คุณคิดไว้ เขาอาจจะถือโอกาสตอนที่คุณมีความเหงาครอบงำอยู่ เพราะฉะนั้นทุกคนอย่าให้ความเหงามาครอบงำอย่างเด็ดขาด เพราะการที่จะเจอคนที่จริงใจนั้นน้อยมากในปัจจุบันนี้ มีแต่การเอารัดเอาเปรียบกัน คืออันนี้ก็มองคนในแง่ร้ายเกินไป ทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัยให้เกิด ไม่มีเรื่องบังเอิญหรอกค่ะ เราเคยทำกับเขาไว้ เขาก็ทำกับเรา
|
เจ้าของ: | เอรากอน [ 15 ก.ค. 2009, 00:04 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! |
walaiporn เขียน: [color=#004000] ให้คุณเอรากอนค่ะ เอ่อ...เราดูเหมือนคนขี้เหงาขนาดนี้เลยหรือคะ...นี่ คุณมองดูจากอาการตรงไหนของเรา...คะ แต่ดีจังเลยค่ะ ดูเหมือนเพื่อนเป็นห่วงเพื่อน และสอนเตือนเพื่อน เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกก็จากคุณนี่ล่ะค่ะ... |
เจ้าของ: | ปลายฟ้า...ค่ะ [ 15 ก.ค. 2009, 04:46 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! |
ชายคนหนึ่งกับ ถังน้ำ 2 ใบ ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็ม ที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเองมันรู้สึกโศกเศร้า กับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา หลังจากเวลา 2 ปีที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า "ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะ รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน" คนตักน้ำตอบว่า "เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่า มีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่ ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า และทุกวันที่เราเดินกลับ... เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเล็ดพันธุ์เหล่านั้น เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว...เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้" คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้ สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง *** มองโลกหลาย ๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น *** |
เจ้าของ: | walaiporn [ 15 ก.ค. 2009, 21:25 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! | ||
เมื่อเราคิดว่าดี .. ย่อมดีในความคิด ... เมื่อใดที่เราคิดว่าไม่ดี ... ย่อมไม่ดีในความคิด ... เพราะทั้งนี้ทั้งนั้น ... ล้วนเป็นเพียงแค่ความคิด ... อิอิ ... นำความคิดมาฝากค่ะ
|
เจ้าของ: | ปลายฟ้า...ค่ะ [ 16 ก.ค. 2009, 00:02 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! | ||
เรือบุญ...... ค่อยค่อยพายเรือดอกไม้ธรรมสู่ฝั่งฝัน ตามตะวันแสงนิพพานแสนไสว เรือดอกไม้เบาสบายกุศลใจ แล่นปลิวไปกับตะวันลาฟ้าสีทอง แม้นเดียวดายอ้างว้างกลางทะเลโลกย์ วิดกิเลสโศกกิเลสสุขทุกข์หม่นหมอง ไม่มีเขาไม่มีใครคอยประคอง เรือกุศลลอยล่องท่องสู่แคว้น ณ..แดนฟ้า เพียรพายพาแลเห็นฝั่งอยู่ลิบลิบ ท่ามฟ้าขลิบเงาทองยามอุษา ทีละน้อยทีละน้อยด้วยแรงบุญหนุนนำพา ฝ่าพายุกล้าลมแรงราวแกล้งใจ สะพานรุ้งสู่โลกทิพย์จักเปิดรอ ผู้ไม่ท้อผู้ไม่พ่ายไร้หวั่นไหว เรือดอกไม้ธรรมดอกไม้ทองเทียบท่าใจ เรือมนุษย์ยิ่งใหญ่ข้ามมหานทีสีทันดร..จะมีสักกี่ลำ...? พุดพัดชา ขอบคุณ...คุณคนไร้สาระ...คุณน้ำ...คุณบัวศกล...คุณเอรากอน... และทุกๆ ท่านที่แวะเวียนมา....
|
เจ้าของ: | ปลายฟ้า...ค่ะ [ 16 ก.ค. 2009, 20:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! |
คนเราไม่ควรพลาดเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่ง ที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้ เวลาที่เสียไป เพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า บางที่ คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง ความโกรธ ความเกลียดนั้น ขอบคุณที่มา : วิสัชนา โดย ว.วชิรเมธี |
เจ้าของ: | Bwitch [ 16 ก.ค. 2009, 23:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ชีวิต...มักเป็นเช่นนี้หนอ..! |
ปลายฟ้า...ค่ะ เขียน: คนเราไม่ควรพลาดเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจ ให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ กิเลสไม่เคยเหนื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบ หรือไม่ชอบใคร หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบ หรือมาชัง แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่ง ที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้น หันกลับมามองตัวเองดีกว่า ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้ เวลาที่เสียไป เพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า บางที่ คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง ความโกรธ ความเกลียดนั้น ขอบคุณที่มา : วิสัชนา โดย ว.วชิรเมธี อนุโมทนาสาธุ..ซาบซึ้งใจทั้งบทกวีธรรม และ รูปภาพค่ะ วันหน้าจะแวะเอารูปกบน่ารักๆ มาฝากคุณปลายฟ้านะคะ (เห็นรูปนี้แล้วนึกได้ว่ามีอยู่ในคอมที่ออฟฟิศค่ะ) เมื่อได้ศึกษาธรรมะ รักษาศีล ทำให้ระมัดระวังกายใจ เลิกเพ่งโทษคนอื่น หันมาพิจารณาตัวเองมากขึ้นค่ะ สาธุ |
หน้า 10 จากทั้งหมด 19 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |