วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 130 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2009, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คนไร้สาระ เขียน:
:b8: :b8: :b8: ทุกข์ เพราะ ความไม่รู้ (อวิชชา)
:b48: :b48: :b48:
:b47: ความไม่รู้ว่า กายใจที่ตั้งอยู่เป็นอุปทานเป็นทุกข์ (ทุกข์)
:b47: ความไม่รู้ว่า ความอาลัยยึดติดเป็นเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย)
:b47: ความไม่รู้ว่า การพ้นจากการยึดติดเป็นความดับทุกข์ (นิโรธ)
:b47: ความไม่รู้ว่า การตั้งมุมมองที่ถูกตรงตามจริง เพียรตั้งสติ
มองตามจริง จนรู้แจ้งเป็นทางดับทุกข์ (มรรค)


สรุปคือ มองไม่เห็นไตรลักษณ์ ไม่รู้แจ้งในอริยสัจจ์สี่
:b41: :b41: :b41:



คุณคนไร้สาระ ขอเพิ่มเติมนิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวคุณจะเข้าใจเรื่องสภาวะไปแบบผิดๆ เกี่ยวกับที่คุณพูดไว้ สรุปคือ มองไม่เห็นไตรลักษณ์ ไม่รู้แจ้งในอริยสัจจ์

มันไม่ใช่อย่างที่คุณพูดมาน่ะค่ะ สภาวะ คุณเข้าใจเรื่องสภาวะที่เกิดขึ้นไหมคะ จะบอกว่า สภาวะไตรลักษณ์ก็ส่วนไตรลักษณ์ สภาวะรู้แจ้งในอริยสัจจ์ ก็ส่วนสภาวะรู้แจ้งในอริยสัจจ์ มันคนละส่วนกัน ไม่ใช่ว่ามองเห็นไตรลักษณ์ แล้วถึงจะเห็นอริยสัจจ์ อันนี้มันแค่ตัวหนังสือ ส่วนสภาวะน่ะอีกเรื่องหนึ่ง

คุณรู้ไหม วิปัสสนา กับ วิปัสสนาญาณ คนละตัว คนละสภาวะกัน สมาธิที่ใช้ก็คนละระดับกัน การเห็นก็คนละอย่างกัน เห็นตามความเป็นจริง กับเห็นแจ้ง เช่นเห็นไตรลักษณ์คือการเห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ส่วนการเห็นแจ้ง คือ การเห็นในอริยสัจจ์

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2009, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: จริงๆ ทั้งสองอย่างนั่นไม่ได้เป็นอันเดียวกัน
เข้าใจค่ะ แต่อาจจะสรุปสั้นไปหน่อยไม่ได้ใจความ
ก็อีกนั่นแหละค่ะ คุณวไลพรอาจพูดถูก
คุณคงอธิบายได้ดีกว่า :b8:

คนละอันแต่เกี่ยวข้องกัน ผู้ที่เจริญสติอยู่ในชีวิต
ประจำวันจะเข้าใจส่วนนี้และเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน
เข้าใจด้วย ปัจจัตตังค่ะ


ธรรมะคือ ไม่ทำ ยิ่งทำ ยิ่งไม่ได้ธรรม
ส่วนใหญ่ เรารู้จักคนอื่น
แต่มีน้อยคนที่จะ รู้ ใ จ ตั ว เ อ ง

:b8: :b8: :b8:
นี่ก็เป็นเพียงอีกแนวความคิดเท่านั้นค่ะ คงไร้สาระ
เหมือนชื่อตัวเอง การเดินทาง ไปข้างหน้า
เราต้องไปคนเดียวทุกคน

สาธุกับคุณที่มีความรู้มากมาย ขออภัยถ้าผิดพลาดไป
จะเรียกว่า ผู้ด้อยปัญญาก็ว่าได้ ขอบพระคุณที่ชี้แนะ

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


แก้ไขล่าสุดโดย คนไร้สาระ เมื่อ 30 มี.ค. 2009, 20:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2009, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
พระพุทธองค์ ทรงตรัสไว้ว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์
:b8:

เคยคิดกันบ้างไหม ว่าทำไมพระพุทธองค์ทรงตรัสเช่นนั้น ทั้งๆที่ " รัก " นั้นมีหลายรูปแบบ แต่ทำไมพระองค์ทรงตรัสว่า ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์

ขอฟังแง่มุมความคิดของแต่ละคนค่ะ พอดีตัวเองได้คำตอบมา .. แต่ยังไม่บอก ขอฟังความคิดเห็นของทุกๆคนก่อน :b1:


ความรักเป็นเพียงสภาพสภาวะจิตใจ ที่เกิดจากการได้สัมผัสทางอายตนะ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสัตว์ มนุษย์สิ่งของเครื่องใช้ การที่มนุษย์ ได้สัมผัส ก่อให้เกิด ความคิด ก่อให้เกิดอารมณ์ ก่อให้เกิดความรู้สึก
ความรัก ไม่ได้ก่อให้เกิดทุกข์
ความรัก ไม่ได้ก่อให้เกิดสุข
แต่สิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ หรือเกิดสุข คือ ความคิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2009, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คนไร้สาระ เขียน:
:b8: :b8: :b8: จริงๆ ทั้งสองอย่างนั่นไม่ได้เป็นอันเดียวกัน
เข้าใจค่ะ แต่อาจจะสรุปสั้นไปหน่อยไม่ได้ใจความ
ก็อีกนั่นแหละค่ะ คุณวไลพรอาจพูดถูก
คุณคงอธิบายได้ดีกว่า :b8:

คนละอันแต่เกี่ยวข้องกัน ผู้ที่เจริญสติอยู่ในชีวิต
ประจำวันจะเข้าใจส่วนนี้และเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน
เข้าใจด้วย ปัจจัตตังค่ะ


ธรรมะคือ ไม่ทำ ยิ่งทำ ยิ่งไม่ได้ธรรม
ส่วนใหญ่ เรารู้จักคนอื่น
แต่มีน้อยคนที่จะ รู้ ใ จ ตั ว เ อ ง

:b8: :b8: :b8:
นี่ก็เป็นเพียงอีกแนวความคิดเท่านั้นค่ะ คงไร้สาระ
เหมือนชื่อตัวเอง การเดินทาง ไปข้างหน้า
เราต้องไปคนเดียวทุกคน

สาธุกับคุณที่มีความรู้มากมาย ขออภัยถ้าผิดพลาดไป
จะเรียกว่า ผู้ด้อยปัญญาก็ว่าได้ ขอบพระคุณที่ชี้แนะ


ตัวหนังสือ .. ยากที่จะสื่อความรู้สึกออกมาตรงๆได้ค่ะ ต้องขออภัยคุณคนไร้สาระด้วย ไม่ได้คิดจะติติงอะไร เพียงชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของสภาวะเท่านั้นเองค่ะ ..

ถึงบอกว่าแค่ตัวหนังสือเท่านั้นเอง ยิ่งสำนวนถ้อยคำยิ่งแล้วใหญ่ ไม่ถนัดเลยค่ะ คำพูดที่ใช้สำนวนโวหาร ตัวเองนี่ไม่เป็นเลย แล้วก็เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบตีความ ... ถ้ามีอะไรผิดพลาดล่วงเกินกันไปโดยไม่เจตนา ขออภัยด้วยค่ะ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2009, 23:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ .....
จ๊ากกกก กรำ
ตอนจีบกันใหม่ๆ แหม โลกนี้มันเหมือนปูด้วยผ้ากำมะหยี่
ยิ่งเดินจูงมือกันยิ่งสุขซะม๊ะมี อ่ะ
สุขทั้งน๊านนนนน เหอะๆ เคยมีฟามรักกันอ๊ะเปล่าเนี่ย

ถามคนที่เค้ากะลัง อินเลิฟ ดูทุกคู่ฉิ สุขชะมัด

อ่าาาาาาา สุขแบบนี้ เป็นทุกข์แบบไหนอ่ะ
ขณะสุข มีสุขเวทนา มีโสมนัสเวทนา มันก็ไม่ทุกข์หรอก เป็นอารมณ์ขณะนั้นจริงๆ
จะว่าหลอกรึก็เปล่าอ่ะ เรื่องสมมติ หุหุ สมมติอ่ะไรกาน หวานแหววซะอย่างง้านอ่ะ

ไง๋ ว่าเห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นอย่างไรอ่ะ นั่งดูไตรลักษณ์ ตอนมีฟามรักเนี่ยน๊ะ
ฮาาาาาาาาา

อารมณ์ขณะนั้น สุข หรือทุกข์ กานอ่ะ
สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ขณะมีฟามรักเป็นอย่างไรเน๊อออออ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2009, 00:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


k.เช่นนั้น ปุถุชนส่วนใหญ่ตอนตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก ก็คงไม่มีใครมานั่ง พิจารณาไตรลักษณ์ มันก็จริงอย่างที่คุณว่าไว้แหล่ะครับ สามเดือนต่อมา แฟนแอบมีกิ๊ก หรือมีคนใหม่เมื่อไหร่ ทุกข์ ตามมาแน่นอน คราวนี้ก็อาจจะได้ พิจารณาไตรลักษณ์ กันล่ะ เหอๆ

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2009, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


"รัก" ที่ประกอบด้วย "กามตัณหา" หวังเอา หวังได้ หวังประโยชน์เอามาเป็นของตน
เปรียบได้กับรักของสัตว์โลกทั้งหลาย เป็นทุกข์ทั้งสิ้น

"รัก" ที่ประกอบด้วย "ความเมตตากรุณา" หวังช่วย หวังเจือจาน หวังให้พ้นทุกข์ภัย
เป็น "รัก" ที่ยิ่งใหญ่ยั่งยืน เหมือน "รัก" ของบิดามารดา ที่มีต่อบุตรธิดา
เหมือน "รัก" ของพระพุทธองค์ที่มีต่อสัตว์โลกทั้งมวล


"รัก" ของพระองค์ยั่งยืนมาแล้ว ๒๕๕๒ ปีและจะยั่งยืนตลอดไป

เจริญธรรม

:b8: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2009, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ .....
จ๊ากกกก กรำ
ตอนจีบกันใหม่ๆ แหม โลกนี้มันเหมือนปูด้วยผ้ากำมะหยี่
ยิ่งเดินจูงมือกันยิ่งสุขซะม๊ะมี อ่ะ
สุขทั้งน๊านนนนน เหอะๆ เคยมีฟามรักกันอ๊ะเปล่าเนี่ย

เคยมีซิครับ...มิเช่นนั้นจะเอารักที่ไหนมาพิจารณาจนเห็นความไม่เที่ยงล่ะครับ
เช่นนั้น เขียน:
ถามคนที่เค้ากะลัง อินเลิฟ ดูทุกคู่ฉิ สุขชะมัด

อ่าาาาาาา สุขแบบนี้ เป็นทุกข์แบบไหนอ่ะ
ขณะสุข มีสุขเวทนา มีโสมนัสเวทนา มันก็ไม่ทุกข์หรอก เป็นอารมณ์ขณะนั้นจริงๆ
จะว่าหลอกรึก็เปล่าอ่ะ เรื่องสมมติ หุหุ สมมติอ่ะไรกาน หวานแหววซะอย่างง้านอ่ะ

ไง๋ ว่าเห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นอย่างไรอ่ะ นั่งดูไตรลักษณ์ ตอนมีฟามรักเนี่ยน๊ะ
ฮาาาาาาาาา

อารมณ์ขณะนั้น สุข หรือทุกข์ กานอ่ะ
สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ขณะมีฟามรักเป็นอย่างไรเน๊อออออ

ทุกข์ตรงที่สุขมันตั้งอยู่ไม่ได้ไงครับ ไม่ได้ดังใจ...อยากให้มันสุขนานๆ...อยากให้อยู่ด้วยกันทั้งวัน ทั้งคืน...อยากให้เวลามันเดินช้าๆจะได้อยู่ด้วยกันนานๆ...แต่มันก็ไม่ได้อย่างนั้นเพราะของมันเป็นอนิจจัง

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 มี.ค. 2009, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


มิตรตัวน้อย เขียน:
"รัก" ที่ประกอบด้วย "กามตัณหา" หวังเอา หวังได้ หวังประโยชน์เอามาเป็นของตน
เปรียบได้กับรักของสัตว์โลกทั้งหลาย เป็นทุกข์ทั้งสิ้น

"รัก" ที่ประกอบด้วย "ความเมตตากรุณา" หวังช่วย หวังเจือจาน หวังให้พ้นทุกข์ภัย
เป็น "รัก" ที่ยิ่งใหญ่ยั่งยืน เหมือน "รัก" ของบิดามารดา ที่มีต่อบุตรธิดา
เหมือน "รัก" ของพระพุทธองค์ที่มีต่อสัตว์โลกทั้งมวล


"รัก" ของพระองค์ยั่งยืนมาแล้ว ๒๕๕๒ ปีและจะยั่งยืนตลอดไป

เจริญธรรม

:b8: :b12:

รักของบิดามารดาที่มีต่อบุตรธิดา แม้เป็นรักที่ประกอบด้วยความเมตตากรุณา...แต่ก็ยังนำมาซึ่งความทุกข์...ทุกข์เพราะมีภาระอันเกิดแต่เมตตานั้น เทียบไม่ได้กับ ความเมตตากรุณาของพระพุทธเจ้านะครับ

พระพุทธเจ้านั้นพระองค์สิ้นแล้วซึ่งความรัก...คงไว้ซึ่งพระเมตตาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมด้วยพุทธคุณ

ความเมตตากรุณาของพระพุทธเจ้าไม่มีความรักเจือปนครับจึงไม่มีทุกข์... :b8: :b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2009, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


"ความรัก" ของบิดามารดา ที่มีต่อบุตรธิดานั้น "ไม่เจือด้วยกาม ไม่เจือด้วยตัณหา"
หวังดี ปรารถนาดี หวังให้ช่วยให้พ้นทุกข์ภัย มุ่งให้เป็นคนดี ไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ

ผิดกับ "ความรัก" ของบุคคลทั่วไปที่ "เจือด้วยกาม เจือด้วยตัณหา" มุ่งดี ปรารถนาดี
เพราะต้องการผลตอบแทน เมื่อผิดไปไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย ก็กลายเป็นศัตรูกัน
กลายเป็นมุ่งร้าย ทำลายกันแม้ชิวิต มีให้เห็นให้อ่านกันในสื่อมวลชลหลายรูปแบบ

"ทุกข์" ของบิดามารดา ที่มีต่อบุตรธิดา เป็น "ทุกข์เพราะหน้าที่ ทุกข์เพราะความรับผิดชอบ"
เป็นความรักที่ประกอบด้วย "ความเมตตากรุณา ที่ไม่มีประมาณ ไม่เจือด้วยกาม" ไม่แปรเปลี่ยน
แม้บุตรไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตามความปรารถนาดีนั้น

ถึงบุตรจะเป็น คนอกตัญญู เป็นโจร มหาโจร "ความรัก" ของบิดามารดาก็ไม่เปลี่ยนไป ไม่มุ่งร้าย
ไม่หมายชีวิต จึงไม่สามารถเอามาเปรียบกับ "ความรัก" ของบุคคลทั่วไป ที่ประกอบด้วย "กามตัณหา" ได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์กล่าวว่า มารดาบิดาคือ "พรหมของบุตร" คือ "พระอรหันต์ของลูก" ความรักของท่านนั้น ประกอบด้วย "พรหมวิหารสี่" แน่นอน ความรักของท่าน จึงยิ่งใหญ่ มั่นคงและยั่งยืน ไม่เปลี่ยนแปลงไป จึงเปรียบได้กับ "ความรัก" ของพระพุทธองค์ที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่สามารถนำไปเทียบกับใครอื่นได้

"ความรัก" ของมารดาบิดาจึงยิ่งใหญ่ ไม่มีใดเท่า โปรดระลึกถึงพระคุณของท่าน
ทดแทนคุณนั้น ให้เต็มกำลังความสามารถ ก่อนจะไม่มีท่านให้ทดแทนคุณ

เจริญธรรม

:b8: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2009, 10:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 มี.ค. 2009, 16:01
โพสต์: 12


 ข้อมูลส่วนตัว


แนบไฟล์:
T130309_05C.gif
T130309_05C.gif [ 41.41 KiB | เปิดดู 6176 ครั้ง ]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2009, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


1. .." แค่ไม่ทุกข์ก็เรียกว่าสุขแล้ว" แล้วถ้าเกิดเราไม่สุขก็ย่อมต้องทุกข์แล้วเช่นกันใช่ไหมครับ
K TIPTAYA หรือถึงไม่สุขแต่ก็ไม่เกิดความทุกข์ ???? :b16:


2. อ่านพบแนวคิดดี ๆ เลยนำมาเผยแพร่ครับ.. (ก๊อปมาเล่าสู่กันฟัง) :b41:

รักร้อยทุกข์ร้อย :b39: :b40:

สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ บุพพาราม กรุงสาวัตถี ครั้งนั้นหลานคนหนึ่งของนางวิลาขามหาอุบาสิกาได้ตายลง นางวิชาขามีความเศร้าโศกเสียใจเพราะความอาลัยรักหลานเป็นอันมาก วันหนึ่งเวลาเที่ยงขณะที่นางยังไม่คลายความโศก ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า หลังจากกราบและนั่งเรียบร้อยแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสทักขึ้นก่อนว่า

"วิสาขา เธอไปไหนมาจึงมีผมเปียกและผ้าก็เปียก?"

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หลานอันเป็นที่รักที่พอใจของหม่อนฉันได้ทำกาละลง หม่อนฉันจึงมีผมเปียก และผ้าก็เปียกด้วยเหตุนี้แหละเจ้าค่ะ"

"วิสาขา เธออยากมีลูกมีหลานเท่ากับจำนวนพลเมืองของกรุงสาวัตถีอย่างนั้นหรือ"

"หม่อนฉันต้องการอย่างนั้นเจ้าคะ" :b48:

"โดยส่วนเฉลี่ย คนในกรุงสาวัตถีนี้ตายวันละเท่าไหร่ วิสาขา ?"

"เฉลี่ยแล้วคนในเมืองนี้ตายวันละ 1 คนก็มี 2-3 คนก็มี จนถึง 10 คนก็มี ที่จะไม่มีวันคนตายเลยนั้นไม่มีเลยเจ้าค่ะ?"

"วิสาขา เธอจะทำอย่างไร ถ้าเธอมีลูกหลานเท่ากับจำนวนคนในกรุงสาวัตถีนี้ แล้วต้องมีลูกหลานของเธอตายลงทุกวัน เธอมิต้องร้องไห้ผมเปียกผ้าเปียกทุกวันไม่มีวันส่างอยู่ชั่วนาตาปีเช่นนั้นหรือ ?"

"หม่อมฉันเข็ดแล้ว ลูกหลานเท่าที่มีอยู่ก็พอแล้วเจ้าค่ะ หม่อมฉันไม่ต้องการลูกหลานมากมายเท่าจำนวนพลเมืองของกรุงสาวัตถีอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ" :b40:

"วิสาขา ด้วยประการฉะนี้แล ผู้ใดมีสิ่งที่รัก 100 ผู้นั้นก็มีทุกข์ 100 ผู้ใดมีสิ่งที่รัก 50 ก็มีทุกข์ 50 ผู้ใดมีสิ่งที่รัก 10 ผู้นั้นก็มีทุกข์ 10 ผู้ใดมีรัก 5 ผู้นั้นก็มีทุกข์ 5 ผู้ใดที่มีรัก 1 ผู้นั้นย่อมมีทุกข์ 1 ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รักเลยผู้นั้นก็ย่อมไม่มีความทุกข์เลย เรากล่าวว่าผู้ใดไม่มีความรัก ผู้นั้นก็ย่อมไม่มีความโศก ปราศจากธุลีไม่มีอุปายาส"
:b39:
ที่มา: http://board.palungjit.com/showthread.php?t=145843 :b40:

3. อีกตัวอย่างหนึ่ง==> พระพุทธพจน์ บางส่วน จาก พระไตรปิฎกเล่มที่ 10 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 2 ทีฆนิกาย มหาวรรค
มหาปรินิพพานสูตร
ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านว่า
อย่าเลย อานนท์ เธออย่าเศร้าโศก ร่ำไรไปเลย เราได้บอกไว้ก่อนแล้ว ไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้นต้องมี เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน. สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนา ว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้.
ดูกรอานนท์ เธอได้อุปัฏฐากตถาคตด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วยเมตตา ซึ่ง เป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นความสุข ไม่มีสอง หาประมาณมิได้มาช้านาน เธอได้กระทำบุญไว้แล้ว อานนท์ จงประกอบความเพียรเถิด เธอจักเป็นผู้ไม่มีอาสวะโดยฉับพลัน ฯ

ที่มา ; http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/007888.htm :b44:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


มิตรตัวน้อย เขียน:
"ความรัก" ของบิดามารดา ที่มีต่อบุตรธิดานั้น "ไม่เจือด้วยกาม ไม่เจือด้วยตัณหา"
หวังดี ปรารถนาดี หวังให้ช่วยให้พ้นทุกข์ภัย มุ่งให้เป็นคนดี ไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ

หวังซิครับ...หวังให้ได้ดี...หวังให้สุขกายสบายใจ...หวังให้เป็นคนที่รู้จักคิด...ฯลฯ ความปราถนาของบิดา มารดาที่มีต่อบุตรนั้นมีมากมายนักหนา...ตามแต่พื้นฐานความคิด ความเป็นอยู่ การได้รับการอบรมสั่งสอนและการได้รับการศึกษา การประกอบอาชีพการงาน สภาวะแวดล้อม ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และสังคม รวมไปถึงการนับถือศาสนาของแต่ละคน บิดามารดาแต่ละคนนั้นก็ปราถนาไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากัน
มิตรตัวน้อย เขียน:
"ทุกข์" ของบิดามารดา ที่มีต่อบุตรธิดา เป็น "ทุกข์เพราะหน้าที่ ทุกข์เพราะความรับผิดชอบ"
เป็นความรักที่ประกอบด้วย "ความเมตตากรุณา ที่ไม่มีประมาณ ไม่เจือด้วยกาม" ไม่แปรเปลี่ยน
แม้บุตรไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตามความปรารถนาดีนั้น


ทุกข์ที่เกิดจากความรักที่มีต่อลูกนั้นต่างจากทุกข์เพราะหน้าที่ ความรับผิดชอบครับ การเลี้ยงดูลูกตามหน้าที่ ความรับผิดชอบนั้นเป็นผลของกรรมที่ทำไว้แล้ว ส่วนทุกข์จากความรักลูกนั้นเกิดจากตัณหาอุปปาทาน

มิตรตัวน้อย เขียน:
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์กล่าวว่า มารดาบิดาคือ "พรหมของบุตร" คือ "พระอรหันต์ของลูก" ความรักของท่านนั้น ประกอบด้วย "พรหมวิหารสี่" แน่นอน ความรักของท่าน จึงยิ่งใหญ่ มั่นคงและยั่งยืน ไม่เปลี่ยนแปลงไป จึงเปรียบได้กับ "ความรัก" ของพระพุทธองค์ที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่สามารถนำไปเทียบกับใครอื่นได้

"ความรัก" ของมารดาบิดาจึงยิ่งใหญ่ ไม่มีใดเท่า โปรดระลึกถึงพระคุณของท่าน
ทดแทนคุณนั้น ให้เต็มกำลังความสามารถ ก่อนจะไม่มีท่านให้ทดแทนคุณ

เจริญธรรม

:b8: :b12:

ไม่ต้องเทียบก็ได้ครับ...ความยิ่งใหญ่ของพระคุณบิดามารดานั้นมากมายเหลือประมาณครับ ก็ในเมื่อประมาณไม่ได้แล้วจะเทียบกันยังไงล่ะครับ :b32:

ต้องให้บี้ เดอะสตาร์อธิบายให้ฟังครับว่า "มากมาย" ประมาณไม่ได้เป็นไง
ต้องขอกะท่านกรัชกายใช่รึป่าวเนี่ย...DJ ประจำบอร์ด :b13:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 เม.ย. 2009, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ญาติเราเสีย เราอาจทุกข์เจียนตาย แต่ญาติคนอื่นตายเราก็เฉยๆ
เพราะเราไม่ได้รัก

มีลูกก็พร้อมจะทุกข์เพราะลูก และถ้ายิ่งรักลูกมากก็ยิ่งจะทุกข์มากแม้กับเรื่องเล็กน้อยของลูก
แต่ถ้าลูกชาวบ้าน ต่อให้เธอคนนั้นวอดวายแสนเข็ญแค่ไหนเราก็เฉยๆ
เพราะเราไม่ได้รัก

มีภรรยาสองคน ภรรยาบ้านเล็ก กับภรรยาบ้านใหญ่

ภรรยาบ้านใหญ่ป่วยเจียนตาย อาจจะรู้สึกเฉยๆหรือแอบดีใจ....ตายซะได้ก็ดี
แต่พอภรรยาบ้านเล็กแค่ครั่นเนื้อครั่นตัว อาจทำให้ใจรู้สึกทุกข์ร้อนกระวนกระวาย
เพราะเรารักมาก

หากชีวิตนี้ไม่มีใครสักคนที่เรารัก และไม่มีอะไรสักสิ่งที่รักและหวงแหน
แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รัก แล้วชีวิตอย่างนี้จะไปทุกข์ได้กับเรื่องอะไร

ความรัก หรือความรู้สึกรักไม่ได้ทำให้คนทุกข์
แต่ความรักเป็นเครื่องผูกชีวิต ไว้กับสิ่งแปรปรวนไม่แน่นอน

เพราะรู้ไม่ทันธรรมชาติเผลอไปรักสิ่งแปรปรวน จึงทุกข์เพราะความแปรปรวนของสิ่งๆนั้น
คนไม่ได้ทุกข์เพราะรู้สึกรัก แต่ทุกข์เพราะสิ่งที่ตนรักนั้นบังคับบัญชาไม่ได้
และพร้อมจะทุกข์ได้ทุกเวลา เมื่อความแปรปรวนอันไม่พึงปรารถนามาปรากฏ
กับสิ่งที่ตนรัก

เมื่อตัดความรักออก สิ่งแปรปรวนทั้งปวงเหล่านั้น ก็ถูกตัดขาดออกจากชีวิตไปด้วย
มันจะแปรปรวนอย่างไร โลดโผนอย่างไร ชีวิตก็ปกติได้เพราะไม่ได้มีจิต
ผูกพันธ์เอาไว้ ด้วยความรัก

จิตที่เหนือรัก จึงเป็นจิตที่เหนือโลก สามารถมีปกติที่อยู่เหนือทุกความแปรปรวน
เพราะไม่ได้รัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 14:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ต.ค. 2008, 21:45
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ .. เพราะเหตุใด? :b2:

เพราะธรรมชาติของ "รัก " คือเมื่อพบแล้วก็ต้อง "พลัดพราก"...คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้หรือรู้แต่ก็ยอมรับไม่ได้กับความเป็นธรรมชาติของ"รัก" เช่นนี้...จึงได้แต่ดีใจเมื่อได้"รัก" และไม่ได้เตรียมใจที่จะพบกับความพลัดพราก...ซึ่งเป็น "ทุกข์" ที่หนักที่สุดของคำว่า"รัก" ...

พระพุทธองค์ท่านมองการณฺ์ไกลจึงได้บอกพวกเราอย่างสั้นๆ ว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์"...เพราะความทุกข์ที่มากับ"ความรัก" นั้นมันเริ่มตั้งแต่ทุกข์น้อย ๆ ที่เกิดจากอารมณ์สารพัดเรื่อยขึ้นไปจนถึงการทำผิดศีล จนถึงหนักสุดคือ "การพลัดพราก" (ไม่ว่าการพลัดพรากนั้น จะเกิดขึ้นในยามมีชีวิต หรือตายจากกัน...)

แต่ถึงจะรู้อย่างนี้ก็เถอะ เราก็ยังอยากมีความรักกันอยู่่ดี เพราะยังเป็นปุถุชนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง...

ดังนั้น...สำหรับเราในตอนนี้คงทำได้แค่พยายาม "ไม่ยึดติดใน"รัก" กับสิ่งอันเป็นที่รัก "...และเตรียมใจพร้อมรับความพลัดพรากหรือ"ทุกข์"ที่หนักที่สุดของคำว่า "รัก" ต่อไป... :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 130 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร