วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 130 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.พ. 2010, 14:09
โพสต์: 8

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ณ ที่แห่งหนึ่ง ได้ฟังข่าวว่ามีคนคนหนึ่งขับรถยนต์
ประสานงาเข้ากับ รถสิบล้อ
คนขับรถยนต์เสียชีวิตทันที
(ทราบข่าวนี้ เราอาจนึกสงสาร เสียใจด้วย แต่ไม่ทุกข์ใจแต่ประการใด )
ณ ที่แห่งหนึ่งนี้ ไม่มีทุกข์เกิด


:b9: :b9: :b16: :b16: :b9: :b13:

หาก ณ อีกแห่งหนึ่ง คนรักของเราขับรถออกไป
แล้วมีข่าวว่า รถประสานงาเข้ากับรถสิบล้อ
คนขับเสียชีวิตทันที
(ทราบข่าวนี้ ความทุกข์ย่อมจู่โจมจนยากจะตั้งสติรับทัน )
ทุกข์เกิดสุดประมาณ เพราะที่แห่งนี้มีรักนั่นเอง
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย หมอก เมื่อ 21 ก.พ. 2010, 21:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ใดไม่มีสิ่งอันเป็นที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีความทุกข์ เรากล่าวว่าผู้นั้น ไม่มีความเศร้าโศก ปราศจากกิเลสดุจธุรี ไม่มีอุปายาสคือ ความตรอมใจ ความกลุ้มใจ โบราณท่านสรุปเป็นข้อเตือนใจไว้ว่า "มากรัก ก็มากน้ำตา หมดรัก ก็หมดน้ำตา มากรักก็มากทุกข์ หมดรัก ก็หมดทุกข์"

พวกเรา ปุถุชนทั่วไป แม้ยังไม่สามารถตัดรักได้เด็ดขาด แต่ถ้าหมั่นทำ สมาธิ เจริญมรณานุสติเป็นประจำ ก็จะทำให้ ความรัก มามีอิทธิพล เหนือใจเราไม่ได้มาก มีสติ มีความเด็ดเดี่ยว ก็จะมีจิตโศกน้อยกว่าคนทั่วไป อาการ ไม่หนักหนาสาหัสนัก เพราะนึกถึง ความตายแล้ว ทำให้ใจคลายออกจาก รัก ซึ่งเป็นต้นทางของความโศก พอคิดว่า เราเองก็ต้องตาย จะตายเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ เท่านี้ ก็เริ่มจะได้คิด ความโศก ความรักเิริ่มหมดไปจากใจ มีสติ มาพิจารณาตนเอง ไม่ประมาท ขวนขวายในการสร้างความดี จากนั้น ตั้งใจเจริญสมาธิ ภาวนาเต็มที่ ก็จะสามารถทำนิพพานให้แจ้งได้ และตัดความรัก ตัดความโศก ออกจากใจ ได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด

ข้อเตือนใจ
"ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์" อันมากมายอย่างนี้ อยู่ในโลก ก็เพราะ อาศัยสัตว์ หรือ สังขาร อันเป็นที่รัก เมื่อไม่มีสัตว์ สังขาร อันเป็นที่รัก ความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ เหล่านี้ย่อมไม่มี

ผู้ใด ไม่มีสัตว์ หรือ สังขาร อันเป็นที่รักในโลกไหน ๆ ผู้นั้น ย่อมเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความโศก เพราะเหตุนั้น ผู้ใดปรารถนา ความไม่โศก อันปราศจาก กิเลสดุจธุรีแล้ว ไม่พึงทำสัตว์หรือ สังขารใด ๆ ในโลกไหน ๆ ให้เป็นที่รักเลย....



บทความดีๆ จาก http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=20238
ขอบคุณคุณน้ำใส ที่นำเสนอเรื่องราวดีๆมาแบ่งปันกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 49

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48:เราวิ่งไปหาคน หรือสิ่งของ อยากให้เขาพูดหรือทำอย่างที่เราต้องการ ถ้าไม่ได้ ก็เกิดความเร่าร้อน กระทบกระเทือน ราวกับ ชีวิตของเรานั้นแขวนไว้ที่คนหรือสิ่งนั้น ๆ เราทำตามกิเลสของเรา และเค้าก็แค่ทำตามกิเลสของเขา ต่อไป ใจเราต้องมีสติ รู้สิ่งที่มากระทบ หยุด เพื่อดูที่ใจเราก่อน หยุดวิ่งตาม :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2010, 00:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ทุกอย่างต้องใช้เวลาค่ะ ยิ่งสงบมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผู้ดูมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเป็นผู้ดูได้ เราจะเห็นอาการของจิตอย่างชัดเจน ความชอบใจ ความไม่ชอบใจนั้น
ล้วนเกิดจากความคิดของตัวเราเอง เมื่อมีผัสสะหรือการกระทบเกิดขึ้น

หากเรารู้เท่าทันได้ เราจะแค่ดูมากขึ้น โดยไม่ไปไหวเอนตามสิ่งที่มากระทบแต่อย่างใด
วันนี้อาจจะยังทำไม่ได้ แต่เมื่อหมั่นฝึกที่จะรู้ลงไปบ่อยๆ หมั่นมองถึงเหตุที่กำลังกระทำ
แล้วมองเลยไปถึงผลที่จะได้รับ จะทำให้เกิดสติ สัมปชัญญะ รู้เท่าทันมากขึ้น
เราจึงต้องมาฝึกเจริญสติเพราะเหตุนี้ เพื่อจะได้รู้เท่าทันจิตขณะที่เกิดการกระทบ
วันนี้อาจจะทันบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่การที่มีความเพียรต่อเนื่อง สักวันเราย่อมทำได้
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของแต่ละคนนั้น ล้วนเกิดจากเหตุที่เคยสร้างกันไว้
ทั้งที่ร่วมสร้างกับคนอื่นๆ ผลจึงเป็นเช่นนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดที่เราได้เผชิญมานั้น
ไม่มีความบังเอิญอย่างแน่นอน เพียงแต่ ต่างกรรม ต่างวาระ เท่านั้นเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2010, 01:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




rosef.jpg
rosef.jpg [ 27.47 KiB | เปิดดู 8426 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:
cool

ที่ใดมีรัก (เพราะว่า) ที่นั้นมีทุกข์

เพราะทุกข์คือรัก
เพราะรักคือทุกข์


ถ้าไม่รัก ไม่ยึดติด ไม่มีอัตตา ก็ไม่ทุกข์
แต่......ถ้ารัก ยึดติด มีอัตตา ทุกข์แน่นอน
พระพุทธองค์ตรัสว่า “มีความรักที่ไหนย่อมมีความทุกข์ที่นั่น มีรักร้อยก็มีทุกข์ร้อย มีรักหนึ่งก็มีความทุกข์หนึ่ง ไม่มีรักเลยก็ไม่มีทุกข์เลย” ก็เพราะว่าตัวความรักก็อยู่ในกฏของไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)

แต่ผู้ที่มีความรักมองไม่เห็นตัวนี้ (เหมือนสำนวนที่ว่า ความรักทำให้คนตาบอด) อยากให้ความรักเป็นนิจจัง เที่ยงแท้ถาวร ยึดมั่นถือมั่น ชอบไปฝืนกฎธรรมชาติ เมื่อความจริงปรากฏจึงมีความทุกข์ต่าง ๆ นา ๆ เป็นเพราะเราไม่ยอมรับความจริงตัวนี้นี่เองไปยึดไปติด ไปหลง อยากให้สิ่งต่าง ๆ ที่เรารักอยู่กับเราตลอดไป ทั้ง ๆ ที่ไม่อาจฝืนกฏของความจริง ที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอนไม่ควรไปยึดติด ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกสิ่งที่เรายึดติดล้วนเป็นสิ่งที่ให้ความทุกข์กับเราทั้งสิ้น

:b6: :b6: :b6:
:b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42:

...ที่ใดมีทุกข์ ที่นั่นมีรัก ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล


แก้ไขล่าสุดโดย ningnong เมื่อ 14 มี.ค. 2010, 01:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มี.ค. 2010, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์




ความรักมีหลายรูปแบบ แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสความรักแบบนี้ไว้
เนื่องจาก ความรักแบบนี้คือ
ความรักที่มีกิเลสเจือปน



หากรู้จัก
" ความรักที่แท้จริง "



คือ รักแบบมีสติ รักนั้นย่อมไม่ก่อให้เกิดทุกข์อย่างแน่นอน
เพราะ ความรักชนิดนี้ มีแต่ให้กับให้ มีแต่สละออก

ก่อนที่เราจะรู้จักรักคนอื่นๆได้ รักโดยไม่มีข้อแม้ ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์
เราต้องรู้จักที่จะรักตัวเองก่อน การรักตัวเองคือ หาที่พึ่งให้กับตัวเองให้ได้ก่อน
ไม่ใช่ไปพึ่งสิ่งนอกตัว เราต้องพึ่งพาตัวเองได้ ถึงจะให้คนอื่นๆพึ่งพาเราได้
สิ่งที่เป็นที่พึ่งของทุกๆคนคือ " สติ สัมปชัญญะ "
เราจึงต้องมาฝึกเจริญสติกันเพราะเหตุนี้ :b40:



" จงมาเป็นผู้มีสติอยู่เถิด "

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 14 มี.ค. 2010, 10:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 13:22
โพสต์: 176

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ,ฟังธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่กับปัจจุบัน

 ข้อมูลส่วนตัว


จริงค่ะ รักมากทุกข์มาก รักน้อยทุกข์น้อย ไม่มีรักก็ไม่ทุกข์
ทุกสิ่งล้วน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
:b16: :b8:

.....................................................
เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นไปได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 23:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




1229665295.jpg
1229665295.jpg [ 46.63 KiB | เปิดดู 8526 ครั้ง ]

ชีวิตก็มีอยู่แค่นี้แหละ
ประสพกับสิ่งที่พอใจก็ยึด เพราะคิดว่า สุข
ประสพกับสิ่งที่ไม่พอใจก็คิดขับไส เพราะคิดว่า ทุกข์
เหตุทั้งหมด ล้วนเกิดจากใจดวงเดียว

จงมาเป็นผู้มีสติ สัมปชัญญะอยู่เถิด :b40:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 มี.ค. 2010, 10:17
โพสต์: 31

ชื่อเล่น: หนึ่ง
อายุ: 35

 ข้อมูลส่วนตัว www


เข้าใจทุกอย่าง แต่พอถึงวันที่รักจากไป สติมันก็เริ่มจะจากไปด้วยน่ะซิ ต้องตั้งสติอยู่กันตัวเองให้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2010, 03:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


onejaiD เขียน:
เข้าใจทุกอย่าง แต่พอถึงวันที่รักจากไป สติมันก็เริ่มจะจากไปด้วยน่ะซิ ต้องตั้งสติอยู่กันตัวเองให้ได้





ตรงนี้เป็นเพียงอุปทานที่เกิดขึ้นค่ะ เราไปเกาะเกี่ยวเข้ามาเอง
เหตุมี ผลย่อมมี ทำไมเขาจึงไปจากเรา ไม่มีเรื่องบังเอิญบนโลกในนี้หรอกค่ะ

ส่วนที่บอกว่า สติเริ่มจากไปด้วย
งั้นถ้ามีความรักทุกครั้ง แต่ละครั้งความรักจากเราไป
สติเราก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆจนหมดสิคะ

สติ ส่วนสติค่ะ สติยังคงมีอยู่ เพียงแต่สติไม่ทันจิต อุปทานเลยเกิด การปรุงแต่งก็ตามมาทันที
ตราบใดที่ยังมีอุปทาน การปรุงแต่งย่อมมีตลอดเวลา
ส่วนการปรุงแต่งจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับอุปทานที่เรานั้นมีอยู่ค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 20:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว





สนุกกับการเล่นยูทูฟแบบง่ายๆ

ที่บอร์ดเข้าตรงตอบกระทู้ กดที่คำว่า youtube
หรือจะเข้าไปที่ยูทูฟก่อนก็ได้ เข้าหน้าที่เราต้องการ
กดที่คำว่า Share จะอยู่ด้านล่างของภาพ แล้วจะมีลิงค์ขึ้นมาเป็นแถบสีฟ้า
กด ก๊อปมาแปะ อยู่ตรงกลางของ ยูทูฟ หน้าตาจะแบบนี้เวลากด
[youtube][/youtube] ใส่ลงไปตรงกลาง [youtube]ลิงค์จากShare[/youtube]
เท่านี้ภาพที่เราต้องการก็จะปรากฏขึ้นมา ทำได้ง่ายมากๆ ไม่มียุ่งยากอะไร


ขอบคุณ คุณทักทาย ที่ได้ให้คำแนะนำการลงยูทูฟลงในบอร์ดค่ะ :b8:

สำหรับคนที่จะนำยูทูฟลงที่สเปซ
เพียงแค่เราไปที่หน้ายูทูฟ หน้าที่เราต้องการจะเก็บเอาไว้
พอคลิกเข้าไปแล้ว ให้มองด้านล่าง จะมีคำว่า Embed ให้คลิก จะมีลิงค์ขึ้นมาโชว์
แล้วมาที่บล็อกสเปซ เข้าที่หน้าที่จะบันทึกใหม่ ให้ดูด้านล่างสุด จะมีคำว่า Embed videos
ให้คลิกที่นี่ แล้วนำลิงค์ที่ได้มาจาก Embed ใส่ลงไป แล้วกดเซฟ เท่านี้ก็จะปรากฏหน้าคลิปของยูทูฟที่เราต้องการ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 16 มิ.ย. 2010, 20:33, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2010, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว




228.5.11.gif
228.5.11.gif [ 138.28 KiB | เปิดดู 8440 ครั้ง ]
พี่รักเจ้าจริง รักจริงไม่ลวงไม่หลอก

พี่เองก็เคยช้ำชอก จะหลอกน้องไปทำไม

ถอดเขี้ยวเล็บเสือ เหลือตัวไว้ห่อหัวใจ

ห่มลมแทบทนไม่ไหว หัวใจมันปรารถนา

แรกพบสบตาน้องจ๋า...ขาพี่มันสั่น

ครวญครางด้วยความหวาดหวั่น

มันสั่นไปถึง....หัวใจ

หมดลายแล้วเสือ เสียสิ้นหมดตัวหมดใจ

อสูรที่ดูโหดร้าย หมอบพ่ายให้กับ...หญิงงาม

รักเอย...รักเอย...ช่างบันดาลให้

ทำสิ่งที่ดูไม่ไหว กลับกลายเป็นดูเข้าที

เข้าใจอย่างนั้น ความรักช่วยบอกข้าที

ว่าใย...ทุกวินาที ข้ามีแต่ปรารถนา

อย่าเฉยอยู่เลย น้องเอ๋ย...พี่จะเป็นบ้า

เมินมองไม่ยอมสบตา

น้องจ๋า...พี่จะขาดใจ

ให้ไปหมดเลย....หมดเลยอยากได้อะไร

ขอเพียงให้ที่พักใจ พักกาย......จนตายไปข้าง


http://solno07.exteen.com/20100624/entry-6





แรกพบสบตา ไม่ใช่จากกามเทพ ไม่ใช่เทพบันดาลให้เป็นไป
แต่ทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุที่เคยกระทำมา

ไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ล้วนเกิดจากเหตุ
แต่เพราะความไม่รู้ จึงผลัดกันกล่าวโทษ เมื่อไม่สมหวังจากอีกฝ่าย

ครอบครัวล้มเหลวเพราะอะไร
ครอบครัวมีปัญหาเพราะอะไร

ล้วนเกิดจากเหตุทั้งนั้น เหตุที่เกิดจากตัวเราเอง
เราสร้างมันขึ้นมาเอง ทำลงไปด้วยความไม่รู้ ไม่รู้ และก็ยังไม่รู้
เมื่อยังไม่รู้ เลยกลายเป็นสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นเนืองๆ

แก้ต้องแก้ที่ตัวเรา ไม่ใช่ไปหาทางแก้นอกตัว
เพราะคนที่ผิดทั้งหมดคือเรา เราคือต้นเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 04:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


จะมีสักที่บ้างไหม่? ที่มีแต่ความรัก ปราศจากความทุกข์
ทุกคนยอมรับว่า รักคือทุกข์ เพราะส่วนมากจะทุกข์เพราะมีรัก
แต่ถ้าแยกให้ออก ระหว่างความรัก กับเสน่หา
ก็จะทำให้รัก ปราศจากทุกข์ได้ ส่วนผสมที่สำคัญ
ที่เราไม่เคยคิดว่าจะมี และไม่มีใครคิดที่จะแกะออก
จากความรัก ก็คือ "เสน่หา" นั่นเอง ถ้าแยกตัวนี้ออกได้
"ที่ใดมีรัก ที่นั่นปราศจากทุกข์" แน่นอน




.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 06:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1010

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ .. เพราะเหตุใด

ขอลองอธิบายเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัตินะครับ ผิดถูกอย่างไร น้อมรับคำแนะนำที่มีพื้นฐานบนความกรุณาครับ :b8:

โดยขอจำกัดวงแค่ความรักระหว่างชีวิตกับชีวิต (สังขารมีใจครอง) ที่มีความผูกพันกัน เช่น หนุ่มสาวที่เป็นแฟนกัน, สามีภรรยา, พ่อแม่กับลูก, เพื่อนกับเพื่อน, ญาติกับญาติ, คนกับสัตว์เลี้ยง ฯลฯ

ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์
ต้องมีเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) นะครับ ที่นั่นถึงมีทุกข์
แล้วทำไมความรักถึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ ?

เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ได้แก่ ตัณหาทั้ง ๓
๑) กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม อยากได้อารมณ์อันน่ารักใคร่
๒) ภวตัณหา ความทะยากอยากในภพ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ หรืออยากเกิดอยากมีอยู่คงอยู่ตลอดไป, ความทะยานอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ
๓) วิภวตัณหา ความอยากในวิภพ คือความทะยานอยากในความไม่มีไม่เป็น อยากไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่ อยากตายเสีย อยากขาดสูญ อยากพรากพ้นไปจากภาวะที่ตนเกลียดชังไม่ปรารถนา, ความทะยานที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิ หรืออุจเฉททิฏฐิ

ข้อแรก ถ้าความรักมีแรงขับดันมาจากความอยากในกาม ความอยากได้อารมณ์อันน่าใคร่ เช่น หนุ่มรักสาว สาวรักหนุ่ม เพราะสามารถให้อารมณ์อันน่าใคร่ทางตา-หู-จมูก-กายได้, เจ้าของรักแมวหมาเพราะขี้เล่นประจบเอาใจ (อารมณ์อันน่าใคร่) ฯลฯ ถ้าตราบใดยังสนองอารมณ์อันน่าใคร่ได้ ก็แล้วไป (แต่จะทำให้ติดใจและทะยานอยากเสพมากขึ้น (อุปปาทาน))

แต่ความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีกามอันใดที่ยั่งยืนถาวร(นิจจัง) จึงต้องมีอีกด้านคือ การไม่ตอบสนองอารมณ์อันน่าใคร่ ซ้ำยังยัดเยียดอารมณ์อันไม่น่าใคร่ให้ เช่น เป็นแฟนกันอยู่ดีๆ มีงอนใส่ พฤติกรรมเปลี่ยนไปให้น่าสงสัย หรือแม้กระทั่งหมาแมวไม่มาคลอเคลียแถมยังข่วนเราอีก ฯลฯ ซึ่งความผิดไปจากที่หวังในอารมณ์อันน่ารักใคร่นั้นคือเหตุแห่งทุกข์ ที่ทำให้เกิดความทุกข์คือความผิดหวัง กังวล เสียใจ (โทสะ)

ส่วนความรักที่มีแรงขับดันมาจากภวะและวิภวตัณหา ดูเหมือนจะเป็นความรักที่ดี เช่น แม่รักลูก แต่จริงๆแล้วก็ยังคงเป็นรักที่มาจากตัณหาอย่างละเอียด ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้พอๆกันกับความรักที่มาจากกามครับ
(ภว+วิภวตัณหาที่อยู่เบื้องหลังความรักของแม่ต่อลูก หรือของลูกต่อบุพการี ฯลฯ เป็นตัณหาอย่างละเอียด เห็นได้ยาก และดูผู้ดีนะครับ เหมือนเช่นภวตัณหาของพระอนาคามี ได้แก่ ความพอใจติดใคร่ในรูปฌาน และอรูปฌาน ซึ่งดูเหมือนจะดี แต่ก็ยังเป็นตัณหาละเอียดที่ผลักดันให้เกิดภพ ไม่หลุดไปจากภพได้ ในระดับชั้นของพระอนาคามี)

ถ้าความรักมีแรงขับดันมาจากความอยากให้ไม่มีไม่เป็น เช่น อยากให้ลูกไม่ลำบาก หรือมีแรงขับดันมาจากความอยากเป็นนั่นเป็นนี่ หรืออยากเกิดอยากมีอยู่คงอยู่ตลอดไป เช่น อยากให้ลูกเป็นคนดี อยากให้ลูกอยู่กับเราตลอดไป หรืออยากให้พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือคู่ชีวิตของเรา อยู่กับเราตลอดไป ซึ่งเป็นความอยากที่ไปฝืนขวางกระแสของธรรมชาติ นั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์จากความรักได้อย่างสาหัส เวลาที่มันไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการนะครับ เช่น คนที่เรารักเราผูกพันลำบากเป็นทุกข์ ลูกสอบตก พ่อแม่ป่วยไข้ หรือพลัดพรากจากเราไป เป็นต้นครับ (มีต่อ)


แก้ไขล่าสุดโดย วิสุทธิปาละ เมื่อ 12 ส.ค. 2010, 06:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2010, 06:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ส.ค. 2010, 12:46
โพสต์: 1010

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาต่อกันครับ :b1:

สรุปแล้ว ถ้าเป็นความรักที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความอยาก ความคาดหวัง คือตัณหา ไม่ว่าจะอยากในอารมณ์อันน่าใคร่ หรืออยากในการไม่ให้มี หรืออยากให้มีอยู่ตลอดไป ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งนั้นครับ เพราะความอยาก ความคาดหวังทั้งหมดนั้นมันฝืนขวางกระแสของธรรม ซึ่งเป็นลักษณะสามัญอันได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

และเพราะความอยากเหล่านั้นเป็นปัจจัย จึงทำให้เกิดความยึดทะยานอยากเพิ่มขึ้นเมื่อได้เสพแล้ว (อุปปาทาน) ส่งผลให้เกิดภพ เกิดชาติ เกิดชรามรณะอันเป็นลักษณะสามัญ จนกระทั่งเกิด “ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี” ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทุกประการ :b8:

ลองสังเกตดูจากของจริงลงในปัจจุบันนะครับ ว่าเห็นสภาวะตามนี้หรือไม่ :b10: (ภาวนามยปัญญา)

ดังนั้น ในภาคปัญญาที่เกิดจากความคิด (จินตามยปัญญา) แล้ว ถ้าเราแปรความรักที่มีบนพื้นฐานของความอยากหรือไม่อยาก เป็นความรักที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุผล (คือเหนือความอยากไม่อยากขึ้นไปอีกขั้น) ก็จะเป็นความรักที่ไม่ก่อให้เกิดทุกข์ได้ครับ :b4:

แล้วรักอย่างไร ? :b10:

ธรรมะของพระพุทธเจ้า คล้องจองไร้ช่องโหว่นะครับ :b8: ตรงนี้ พรหมวิหาร ๔ เข้ามาต่อจิกซอว์ได้อย่างสนิททีเดียว (เหมือนกับที่หลายๆท่านเสนอไว้ในกระทู้นี้) นั่นคือ ความรักที่อยู่บนพื้นฐานของ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา รักแบบไม่อยากไม่หวัง รักแบบมีเหตุมีผล ได้หรือไม่ได้ก็รู้ว่ามาจากเหตุและปัจจัยโดยไม่คาดหวัง หรืออยากไว้ล่วงหน้า

ขยายความด้วยตัวอย่างเช่น

๑) เดิม แม่รักลูก อยากให้ลูกเรียนเก่ง จึงเคี่ยวเข็ญสั่งสอนลูกด้วยความอยาก เมื่ออธิบาย ๑๐ เที่ยวแล้วลูกก็ยังไม่เข้าใจ ก็หงุดหงิดปี๊ดขึ้นสมอง คุมสติไม่อยู่ฟาดลูกไป ๑ ที :b34:

พัฒนาเป็น

แม่รักลูก ด้วยเหตุและผลที่เห็นว่า ลูกเรียนเก่งจะมีผลดีกว่าเรียนไม่เก่ง จึงสร้างเหตุและปัจจัยคือหมั่นสั่งสอนลูกด้วยความเมตตา ทำให้เต็มที่โดยไม่อยากและหวังในผลที่จะได้ไว้ล่วงหน้า แต่เมื่ออธิบาย ๑๐ เที่ยวแล้วลูกก็ยังไม่เข้าใจ ก็วางอุเบกขา (ทำใจได้เพราะไม่หวังตั้งแต่แรก) และ (ด้วยความรักความกรุณาที่มีอยู่ในใจ) ใช้ความคิดหาเหตุผลและวิธีการต่อไปเพื่อให้ลูกเข้าใจ :b8:

๒) เดิม ลูกรักแม่ที่กำลังป่วยหนักอยู่ห้องไอซียู ไม่อยากให้แม่พลัดพรากจากไป เลยทำทุกวิถีทางที่จะยื้อชีวิตของแม่ไว้ แต่สุดท้ายต้องประสบกับการสูญเสียพัดพราก ทำใจไม่ได้จึงเสียใจเป็นทุกข์ ร้องไห้คร่ำครวญ :b2:

พัฒนาเป็น

ลูกรักแม่ที่กำลังป่วยหนักอยู่ห้องไอซียู ด้วยเหตุและผลที่เห็นว่า การรักษาแม่จะทำให้แม่ทรมานน้อยลง ถ้าหายได้จะยิ่งดี จึงทำทุกวิถีทางตามเหตุและปัจจัยบนพื้นฐานของความกรุณาที่จะรักษาชีวิตแม่ไว้ แต่สุดท้ายต้องประสบกับการสูญเสียพัดพราก จึงวางอุเบกขา (ทำใจ) เสียได้เพราะเข้าใจในเหตุและผลของธรรมชาติ ถึงจะทุกข์ก็ทุกข์ไม่มากถึงกับคร่ำครวญผิดหวัง ตีอกชกหัว (เพราะไม่ได้หวังว่าแม่จะไม่พัดพรากจากกันไปวันใดก็วันหนึ่ง) :b8:

๓) เดิม ภรรยารักสามี อยากให้มีความสุขจึงเข้าครัวปรุงอาหารอย่างสุดฝีมือ แต่พ่อเจ้าประคุณไม่ชมซักคำ ภรรยาเลยงอนตุบป่องๆ :b33: :b26:

พัฒนาเป็น

ภรรยารักสามี ด้วยเหตุและผลที่เห็นว่า คุณสามีได้ทานอาหารอร่อยจากฝีมือเราจะดีกว่ากินกับข้าวถุงน่าเบื่อ จึงทำเหตุปัจจัยให้เหมาะสมคือเข้าครัวปรุงอาหารอย่างสุดฝีมือด้วยความเมตตา แต่พ่อเจ้าประคุณไม่ชมซักคำ แต่ภรรยาวางอุเบกขา (ทำใจ) เสียได้เพราะไม่ได้หวังหรืออยากตั้งแต่แรก เข้าใจในธรรมว่า เหตุและปัจจัยอาจจะยังไม่เอื้ออำนวยอย่างเหมาะสม พ่อเจ้าประคุณอาจจะคิดถึงแต่เรื่องสุดสัปดาห์นี้ไปตีกอล์ฟที่ไหนดี จึงไม่ทุกข์และเพียรต่อไปเมื่อมีโอกาสด้วยความเมตตา :b8:

เขียนได้ แต่ดูเหมือนจะทำใจตามได้ยากนะครับ :b5:
คงเพราะจิตเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้กระมังครับ :b13:

ผิดถูกอย่างไร น้อมรับคำแนะนำที่มีพื้นฐานบนความกรุณาครับ :b16:

เจริญในธรรมครับ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 130 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 5, 6, 7, 8, 9  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร