วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 14:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2009, 17:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 22:06
โพสต์: 194

อายุ: 38
ที่อยู่: นันทบุรีศรีนครน่าน

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมิตรธรรมทุกท่านมากครับ เรื่องการที่แนะนำผมเข้ามาดูแลลานนี้ ผมขอไว้ให้ดวงจิตผมมันพิสุทธ์มากว่านี้ก่อนนะครับ..เพราะบ่อยครั้งมากเลยที่ผม เผลอหลงไปตามกระแสอาสวะกิเลศ จะเห็นได้จาก บางครั้งมีผู้มาขอคำแนะนำ.. ผมเองกลับตอบแบบวกวน หาที่ลงไม่ได้ :b12: ก็เลยอยากให้มีสติและปัญญาให้มากกว่านี้ เพื่อที่จะช่วยมาดูแลลานนี้ได้ บางครั้งอีกนั่นแหละครับ ผมก็ยังเอาตัวไม่รอดเลยครับ :b32: ขอเป็นคนคอยช่วยเสริมไปก่อนดีกว่า ที่สำคัญที่สุดคือ ผมกลัวว่าผมจะยึดติด ว่าได้เป็นโน่นเป็นนี่แล้ว จะเป็นกบในกะลา นึกว่าตัวเองสุดๆแล้ว นี่เป็นภัยมหันต์สำหรับผมเลยครับ..อย่างไรเสีย ขอบคุณมิตรธรรมทั้งคุณ คนไร้สาะ คุณ อมิตตาพุทธ คุณปลายฟ้า...ค่ะมากเลยครับ

กลับมาสู่เรื่องราวกันต่อครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2009, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 22:06
โพสต์: 194

อายุ: 38
ที่อยู่: นันทบุรีศรีนครน่าน

 ข้อมูลส่วนตัว


...ความรักทางโลก..ทำให้คนตาบอด ประโยคนี้ยังใช้ได้ดีทุกกาลสมัย จนทำให้บางครั้งเรา เองก็ยังลืมนึกถึงคนที่เลี้ยงดูอุ้มชู คอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้เรามา..แต่เรากลับไปป้อนข้าวใครก็ไม่รู้ ไม่ได้เป็นคนพิการ ไร้ความสามารถ เพียงแค่จิตของเราที่ปรุงแต่งจนลุ่มหลงไปเอง...เราสามารถมีเวลา ให้เวลากับใครๆได้เสมอ แต่ถ้าพ่อแม่ นั้นกว่าเราจะมีเวลาให้ท่านได้ก็เป็นคิวสุดท้ายทุกที..

...เมื่อครั้งสาวน้อยภัททาได้แจ้งความประสงค์ที่อยากจะแต่งงาน กับมหาโจร สัตตุกะ กับบิดามารดาแล้ว ไม่ว่า บิดามารดา จะทัดทาน ห้ามปรามอย่างไร เธอก็ไม่รับฟัง แถมจะทำลายชีวิตของตัวเองไปด้วย..น่าคิดเหมือนกันนะครับว่า คนเราถ้าไม่ได้ดั่งใจถึงที่สุดก็มักจะฆ่าตัวตายเพื่อสรุปปัญหาเสมอ...เคยคิดขออนุญาตหรือถามความคิดเห็นของคนให้ชีวิตและอนาคตของเราก่อนหรือไม่..ว่าท่านจะคิดอย่างไร

...เมื่อภัททาขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย ถ้าไม่ได้แต่งงานกับมหาโจรแล้ว ทำให้เศรษฐีพ่อแม่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งสิ้นที่ตัวมีอยู่ จะหาประโยชน์อะไรมิได้ ถ้าลูกสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจ จะต้องระทมทุกข์จนไม่อาจมีชีวิตอยู่

...เศรษฐีรีบเปิดคลัง เอาเงินจำนวนมากห่อในผ้าจนมิดชิด แล้วติดตามราชบุรุษผู้ทำหน้าที่ควบคุมโจรไปจนทัน.. ด้วยเงินจำนวนมากขนาดนั้น ทำให้ราชบุรุษยอมปล่อยตัวสัตตุกะมหาโจรไป และสัตตุกะมหาโจรก็แสนประหลาดใจ ว่ามีคนถูกประหารแทนเขาอีกด้วย.

...สัตตุกะ ได้รับการต้อนรับ จัดการตกแต่งกับสาวน้อยภัททา บุตรีเศรษฐี มีความสุขมาไม่นานก็เริ่มออกลายโจรมาให้เห็นโดยที่ภัททานั้นไม่รู้ตัว..ก็จะรู้ตัวได้อย่างไรเล่า เมื่อนางได้สุขสมใจตามที่นางปรารถนา ช่วงระยะเวลาดังกล่าวนางมีความสุขมาก..นางจะรู้ไหมว่า มหาโจรที่นางช่วยชีวิตและนำมากกกอดอยู่ทุกคืนนี้ หัวสมองของเขาไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้เห็นความน่ารัก ความภักดีที่ภรรยามีต่อตน หรือเห็นว่าชีวิตอันแสนบรมสุขในคฤหัสน์หลังนี้เป็นสิ่งที่ใครก็ตามเมื่อได้ครอบครองแล้วไม่ควรจะปล่อยให้หลุดลอยไป...

...สิ่งที่มหาโจรเฝ้าคิดถึงอยู่ก็คือ เครื่องประดับอันมีค่าที่นางภัททาสวมใส่อยู่เสมอนั่นแหละ ราคาของมันคงจะมากพอให้เขาใช้ดื่มกินในโรงสุราได้อย่างสบายและซื้อนางคณิกามาแนบกายได้อีกนาน..

...มหาโจรเริ่มแผนชั่วในใจ โดยทำเป็นนอนซม อยู่แต่บนเตียง และไม่ยอมกินอาหาร.. จน นางภัททาเห็นความผิดปกตินี้แล้วก็คอยเฝ้าถามด้วยความห่วงใย แต่มหาโจรก็ใช้จริตอิดเอื้อนอยู่หลายครั้งหลายหนจึงตอบนางว่า...
..."วันที่พี่ถูกจับไปสู่ที่ประหารนั้น พี่ได้บนบานต่อเทวดาซึ่งสถิตย์บนภูเขาทิ้งโจร แล้วน้องก็มาช่วยพี่ด้วยอานุภาพของเทวดา แต่จนบัดนี้พี่ก็ยังไม่ได้แก้บนเลย พี่รู้สึกไม่สบายใจมาก"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2009, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 22:06
โพสต์: 194

อายุ: 38
ที่อยู่: นันทบุรีศรีนครน่าน

 ข้อมูลส่วนตัว


...."โถ..เรื่องแค่นี้ อย่ากลุ้มใจไปเลยจ้ะ น้องจะเตรียมเครื่องบวงสรวงแก้บนให้ พี่สัตตุกะต้องการอะไรก็ขอให้บอกมาเถิด"

...มหาโจรแสนจะลิงโลดใจ อะไรมันจะง่ายดายขนาดนี้..

...เขาบอกนางว่าต้องการแค่ข้าวมธุปายาส ดอกไม้สด ข้าวตอก ข้าวเปลือก ถั่วงา แต่มีอยู่ข้อหนึ่ง คือนางต้องแต่งตัวให้สวยที่สุด และประดับประดาอย่างเต็มที่เพื่อเข้าพิธีบวงสรวงนี้

...ภัททาผู้อ่อนต่อโลกและเอาแต่ใจตัว รีบกระทำตามทันที่

...เมื่อไปถึงเชิงเขา สัตตุกะบอกให้ภรรยาสั่งข้าทาสที่ติดตามมาให้กลับไปให้หมด งานอันสำคัญยิ่งนี้ตัวเขาและนางเท่านั้นที่จะกระทำด้วยกัน

...ภูเขาทิ้งโจรนี้ฝั่งหนึ่งจะเป็นหน้าผาที่สูงชันมาก ใช้ประหารนักโทษโดยการผลักให้ตกลงมาตาย..

...ภัททาเดินยิ้มขึ้นมาถึงยอดเขาอย่างมีความสุข ไม่สนใจความเหนื่อยหอบที่เกิดขึ้น นางหัวร่อระริกระรื่นมาตลอดทาง ไม่ผิดอะไรกับแมลงเม่าที่ล้อเล่นอยู่กับกองไฟอย่างโง่งม

...เมื่อเห็นสามีผู้เป็นที่รักนิ่งเฉย และมองจ้องมาด้วยสายตาถมึงถึง ภัททาก็เอ่ยขึ้นว่า

..."ทำไมพี่เฉยอยู่ไย ไม่มาทำพลีกรรมละจ๊ะ"

สัตตุกะแสยะยิ้ม ตอบว่า

..."พลีกรรมอะไร ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำพลีกรรม สิ่งที่ฉันต้องการคือ ให้เธอถอดเครื่องประดับออก แล้วกระโดหน้าผานี้ไปซะ ถ้าหากทำไม่ได้ ฉันจะช่วย..."

...ภัททาจะรู้สึกและแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เธอจะรอดจากมหาโจรที่เธอเอามาเป็นสามีนี้หรือไม่คราวหน้าผมจะมาเล่าให้ฟัง..

ธรรมะสวัสดีครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2009, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 22:06
โพสต์: 194

อายุ: 38
ที่อยู่: นันทบุรีศรีนครน่าน

 ข้อมูลส่วนตัว


......"รัก..หรือ..หลง..แยกให้ออก..
.....ตาจะบอด..มืดมัว..มองไม่เห็น..
.....จะเจ็บปวด ชอกช้ำ.. แสนลำเค็ญ
..... จึงกลายเป็น..ทาสแท้.. ของจิตใจ..

...สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบรมครูแก่มนุษย์และเทวดา เป็นผู้ส่องนำทางแก่ผู้หลงทางกลางป่าของจิตใจที่คอยปรุงแต่งให้หลงอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่ฝึกฝนจิตใจได้ดีแล้ว..ย่อมหลุดพ้นจากป่านั้น..

..ภัททาหลังจากได้ยินสัตตุกะ สามีที่ตนรัก และบูชา กล่าวเช่นนั้น ก็รู้ด้วยสัญชาตญาณ ว่า กำลังเผชิญกับวิบากอันใหญ่หลวงแล้ว แต่แสร้งฝืนใจกล่าวว่า

..."พี่สัตตุกะจ๋า ตัวน้องและเครื่องประดับของน้อง ย่อมเป็นของๆพี่อยู่แล้ว ทำไมพูดแบบนี้ล่ะจ๊ะ" นางพยายามหว่านล้อมต่างๆนานา ให้มหาโจรเปลี่ยนใจ

..."อย่าพูดพล่ามไปเลย นางตัวดี ถึงอย่างไรฉันก็ต้องฆ่าแก ไม่อย่างนั้นแกก็จะเอาเรื่องนี้ไปบอกไอ้เศรษฐีพ่อแม่ของแก แล้วความเดือดร้อนก็จะมาถึงฉันในภายหลัง" สัตตุกะชักรำคาญมากขึ้นเรื่อยๆ

...ภัททาคิดว่า กรรมหนนี้ช่างหนักหนานัก ขึ้นชื่อว่าปัญญาย่อมมิได้มีเอาไว้แกงกัน แต่มีไว้ให้พาตัวรอด ไม่มีใครช่วยเราได้อีกแล้วนอกจากตัวเราเอง

...นางทำให้น้ำตาพรากออกมาเป็นสาย แล้วพูดว่า

..."พี่สัตตุกะ ตอนที่พี่จะถูกประหารนั้น น้องได้ขอให้มีการไถ่ชีวิตก็เพราะความรักอย่างมากมายที่มีต่อพี่ แล้วตอนนี้ถึงแม้พี่จะเอาชีวิตน้องก็จำยอม ขออย่างเดียวให้น้องได้กราบเท้าและสวมกอดพี่ เพื่อร่ำลาเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมจ๊ะ"

...ขอเพียงเท่านี้ ทำไมสัตตุกะจะให้ไม่ได้ ภัททาจึงกราบแทบเท้าแล้วเดินประทักษิณาเวียนขวามหาโจรเพื่อแสดงความเคารพ ในรอบที่สามซึ่งเป็นรอบสุดท้ายนั่นเอง นางค่อยๆ สวมกิดสัตตุกะจากด้านหลัง ซบใบหน้าลงสะอึกสะอื้นกับแผ่นหลังของชายชั่ว กล่าวคำบอกลาที่อ่อนหวานคร่ำครวญ พอมหาโจรใจหยาบเผลอ..นางก็รวบรวมกำลังกายทั้งหมดที่มี ผลักเจ้าโจรใจหยาบลอยละลิ่วลงจากยอดเขา มันร้องโหยหวนด้วยความตกใจสุดขีด จนกระทั่งร่างกระแทกแหลกเหลวงอยู่กับพื้นเหวเบื้องล่าง..

...เห็นไหมมิตรธรรมทุกท่าน ความรักความหลงมักก่อ ภัยให้กับผู้ประมาท อยู่เสมอ มีเพียงสติและปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้เราอยู่รอด..การที่จะมีสติหรือปัญญาอันกระจ่างแจ้งนั้น มิได้ติดตัวมาแต่กำเนิด มีได้ก็ต่อเมื่อ เกิดจากการฝึกฝน ที่ดีมาแล้วเท่านั้น การฝึกฝนดังกล่าวจะต้องมีพื้นฐานของจิตใจที่ดี เช่น ต้องสามารถรักษาศึล 5 ได้เป็นอย่างน้อยอยู่เสมอ

...ตัวผมเอง บางวันก็รักษาได้บางวันก็ไม่สามารถรักษาได้ จึงพยายามที่จะใช้เวลาที่มีอยู่ได้ก่อประโยชน์ให้มากที่สุด เช่น การเข้ามาสนทนาธรรมในเวปนี้ อย่างน้อย เวลาที่ได้มาเวปนี้ ยังดีกว่าใช้เวลาไปในทางที่ผิด อันเป็นการลดการใช้เวลาที่ผิดๆ และเป็นการเตือนตัวเอง ได้อ่าน ได้เขียน ได้แลกเปลี่ยนหลักธรรมกับมิตรธรรม ก็ช่วยให้ผมได้ลดเวลาเหลวไหลได้มากขี้น..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มิ.ย. 2009, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 22:06
โพสต์: 194

อายุ: 38
ที่อยู่: นันทบุรีศรีนครน่าน

 ข้อมูลส่วนตัว




Phuware25[1].jpg
Phuware25[1].jpg [ 63.15 KiB | เปิดดู 5007 ครั้ง ]
...ภัททาเข่าอ่อนทรุดกายลง นางก้มหน้าร้องไห้กับฝ่ามือทั้งสอง เนื้อตัวสั่นสะท้านคิดถึงอ้อมอกของพ่อแม่ยิ่งนัก นึกถึงความดื้อรั้นเอาแต่ใจของตัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ให้บทเรียนที่เจ็บปวดแสนสาหัสและราคาแพง นางคิดว่ามันสาสมแล้วกับการกระทำที่ไม่มีลูกผู้หญิงคสไหนเขาทำกัน

...ภัททาค่อยๆ ปลดเครื่องประดับออกวาง นี่น่ะหรือสิ่งที่นางเคยให้ค่า นี่น่ะหรือสิ่งที่เคยทำให้มีความสุข เจ้าสิ่งนี้ใช่ไหมที่ทำให้นางเกือบต้องสังเวยชีวิต..เพราะมัน

...นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะออกแสวงหาความจริงของชีวิต ไม่อาจกลับไปเพื่อสู้หน้าพ่อแม่ได้ ภัททาหันหลังก้าวเดินออกจากที่นั่น ทิ้งเครื่องประดับทั้งหลายให้เรี่ยรายกองอยู่กับดิน

...บัดนี้ สำหรับนางแล้ว วัตถุเหล่านั้นมีค่าน้อยกว่าเม็ดทรายที่ใช้สร้างบ้านเสียอีก..

...หญิงผู้ชอกช้ำเข้าพักพิงที่สำนักนิครณ์แห่งหนึ่ง และขอบวชเป็นนิครณ์ นางขอร้องให้ทำพิธีบวชด้วยวิธีการใช้เม็ดตาลผ่าซึกถอนผมจนเกลี้ยงศรีษะ ต่อมาผมที่งอกขึ้นมาใหม่มีลักษณะขดหยิกเป็นวงกลม จึงถูกขนานนามว่า "กุณฑลเกสา"

....ความรักความหลงมักก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง บางท่านก็รู้เรื่องราวของ ภัททา หรือ กุณฑลเกสา ดี
เพราะเรื่องราวนี้ ผมนำจากหนังสือ ที่ผมเชื่อว่า คนที่เรียบเรียงเรื่องราวนี้ บางทีอาจอยู่ในเวปนี้ก็เป็นได้..ผมเองก็เคยติดตามผลงาน และยกย่องท่านว่าเป็นครู เป็นมิตรธรรมและเป็นกัลยาณมิตร..ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ..

สาระน่ารู้

"การใช้เม็ดตาลผ่าซีกถอนผม" คือ เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในการบวชของศาสนานิครณ์ (ศาสนาเชน) ผู้บวชต้องมีความอดทนสูงมาก เนื่องจากวิธีการถอนผมแบบนี้ก่อให้เกิดความเจ็บปวดทรมาน
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2009, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 22:06
โพสต์: 194

อายุ: 38
ที่อยู่: นันทบุรีศรีนครน่าน

 ข้อมูลส่วนตัว


:b41: ...ภัททานั้น พื้นฐานเป็นเดิมเป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม ยิ่งผ่านความทุกข์ในชีวิตมาอย่างนี้ นางจึงเลือกศึกษาวิชาวาทะพันหนึ่งของพวกนิครณ์ เพียงไม่นานก็เรียนวิชาจบลงอย่างเร็ว

:b41: ..ปริพาชก ในสำนักกล่าวกับนางว่า
..."ศิลปะนี้ท่านได้เรียนจบแล้ว จงเที่ยวไปในชมพูทวีปแสวงหาผู้ที่สามารถโต้วาทะกับท่านได้ หากพบผู้ที่สามารถจริงๆ ถ้าเขาเป็นคฤหัสถ์ ท่านจงเป็นบาทบริจาริกาของเขา แต่ถ้าหากเป็นพรรพชิต ก็จงบรรพชาในสำนักของผู้นั้นเถิด"

.....นางจึงจาริกไปพร้อมกิ่งหว้าในมือ ไปที่ไหนก้ก่อกองทรายขึ้นปักกิ่งหว้านั้นลงไป ประกาศกล่าวว่า "ผู้ใดสามารถโต้วาทะกับเรา จงเหยียบกิ่งหว้านี้" ความอาจหาญของสตรีเยี่ยงนางเป็นที่ร่ำลือไปทั่ว แต่ยังหาใครแม้สักคนที่จะตอบโต้ปัญหาได้ทัดเทียมนางไม่มี จนกระทั่งนางเดินทางมาถึงกรุงสาวัตถี ลงมือก่อกองทรายไว้ใกล้ประตูเมือง ปักกิ่งหว้าไปบนนั้น พร้อมทั้งเปล่งวาจาท้าทาย แล้วเดินทางไปเพื่อภิกษา

..... :b41: เวลานั้นท่าน "พระสารีบุตร" กลับจากบิณฑบาต ผ่านมาเห็นกิ่งหว้านี้ก็เข้าใจ ท่านบอกให้เด็กๆ ที่กำลังเล่นอยู่แถวนั้นขึ้นไปเหยียบกิ่งหว้านั้นเสีย พวกเด็กก็โห่ร้องเหยียบกิ่งหว้าและกองทรายจนราบ เมื่อนางปริพาชกกลับมาเห็นเข้า จึงสอบถามพวกเด็ก พอได้ความว่าพระสารีบุตรเถระสั่งให้ทำก็บังเกิดความลิงโลดใจนักป่าวประกาศให้ผู้คนที่สนใจติดตามนางไปถึงสำนักพระเถระ เพื่อฟังการโต้วาทที


สาระน่ารู้

ปริพาชก คือ นักบวชชายนอกพระพุทธศาสนาพวกหนึ่งในชมพูทวีป ชอบสัญจรไปในที่ต่างๆ สำแดงทรรศนะทางศาสนาปรัชญาของตน ถ้าเป็นหญิงเรียกว่า ปริพาชิกา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มิ.ย. 2009, 20:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาสาธุ ค่ะ คุณไผ่
อย่าลืมน่ะค่ะ พร้อมเมื่อไรมาช่วยกันรักษาบ้านหลังนี้กัน
ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ มีสาระ คนไร้สาระก็เพิ่ง
ได้ยินค่ะ คำว่า "ปาริพาชิกา" เคยได้ยินแต่ "ปริพาชก"
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2009, 07:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คนไร้สาระก็เพิ่ง ได้ยินค่ะ คำว่า "ปาริพาชิกา" เคยได้ยินแต่ "ปริพาชก



ปริพาชก หมายถึง เพศชาย
ปริพาชิกา หมายถึงเพศหญิง

เทียบศัพท์ ราชา กับ ราชินี

รากศัพท์เดียวกัน แต่เมื่อเป็นอิตถีลิงค์ (เพศหญิง)จะเติมเครื่องหมายลิงค์ (เพศ)ให้เป็นที่สังเกตตาม
หลักภาษา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2009, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 22:06
โพสต์: 194

อายุ: 38
ที่อยู่: นันทบุรีศรีนครน่าน

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับคุณคนไร้สาระ คงจะถึงวันนั้นอีกไม่นานครับ และขออนุโมทนาคุณกรัชกาย ที่ได้แวะมาให้เกร็ดความรู้เพิ่มเติมด้วยครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2009, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 22:06
โพสต์: 194

อายุ: 38
ที่อยู่: นันทบุรีศรีนครน่าน

 ข้อมูลส่วนตัว


......:b45: ธรรมะสวัสดีมิตรธรรมทุกท่าน เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ดูแลสุขภาพด้วยนะครับ วันนี้ผมจะพยายามนำเสนอเรื่องเดิมให้แล้วเสร็จ เนื่องจากระยะนี้ทางหน่วยงานที่ผมทำงานอยู่กำลังเตรียมความพร้อมรับมือสาธารณภัยที่มาในฤดูฝน เช่น ดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก วาตภัย ไข้เลือดออก มาเลเรีย ฉี่หนู ฯลฯ บัดนี้ผมจะได้นำเสนอเรื่องราวที่ค้างไว้ต่อ..ดังนี้

........ตอนที่นางไปถึงนั้นก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว ชาวเมืองลือกระฉ่อนถึงการพบกันระหว่าง 2 บัณฑิต เลยแห่มาฟังมากมาย การโต้วาทีเริ่มขึ้นโดยฝ่ายนางปริพาชิกาเป็นผู้ถาม ท่านสารีบุตรเป็นผู้ตอบ ปัญหาอะไร ๆ ที่นางถามขึ้นมานั้นแม้จะยากแสนยาก แต่พระเถระสามารถตอบโต้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง ในที่สุดนางก็หมดคำถาม ท่าสารีบุตรเถระจึงกล่าวว่า "ท่านถามปัญหาเราเป็นอันมาก ตอนนี้เราขอถามท่านบ้าง" เมื่อนางปริพาชิกานิ่งฟัง ท่านจึงถามว่า "ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเราต้องการดับทุกข์ เราควรจะหนีทุกข์หรือสู้หน้ากับทุกข์ดี" ปริพาชิกาใคร่ครวญแล้วตอบว่า "ความทุกข์เปรียบเหมือนไฟ เราจึงควรหนี ถ้าไม่หนี ไฟก็จะไหม้เรา"

........"ถ้าเช่นนั้น อาตมาจะขอถามต่อไปว่า ถ้าความทุกข์นั้นมีอยู่ในตัว อยู่ในจิตใจของท่านเอง ท่านจะหนีอย่างไร โดยไม่นำควาทุกข์นั้นไปด้วย"

.........ปริพาชิกาตอบว่า "เราต้องสู้หน้า แล้วทำการดับทุกข์ต่อไป"

........."อาตมาอยากฟังว่าทางดับทุกข์ของท่านคืออะไร"

........."ถ้าเป็นทุกข์ภายนอกเราพยายามหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเป็นทุกข์ภายใน เราก็หารวิธีแก้ไขหรือปลอบใจเป็นเรื่องๆ ไป"

........."น้องหญิง เป็นอันรวมความว่า วิธีการดับทุกข์นั้นคือการไปหาเอาข้างหน้า แล้วแต่ทุกข์จะเกิดขึ้นในลักษณะอย่างไร ใช่ไหม นั่นเป็นการแก้ที่ผลไม่ใช่การแก้ที่เหตุ บัดนี้ขอท่านจงตั้งใจฟัง อาตมาจะกล่าวถึงวิธีดับทุกขืในศาสนาแห่งพระบรมศาสดาของอาตมาพระองค์ทรงสอนว่า ถ้าจะดับทุกขื ไห้ดับที่ต้นเหตุของทุกข์ เมื่อตัดเหตุได้แล้ว ผลก็จะไม่เกิดขึ้นอีก แนวทางดับทุกข์นั้นเรียกว่า มรรค 8 ซึ่งเน้นการปฏิบัติสายกลาง..."

.........พระสารีบุตรเถระ ได้อธิบายขยายว่าเหตุแห่งทุกข์คืออะไร อยุ่ที่ไหน และอธิบายถึงหนทางดับทุกข์โดยสังเขป นางปริพาชิกาฟังแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระเถระเป็นอย่างมาก

........"น้องหญิง อาตมาขอถามปัญหาอีกเพียง 1 ข้อ อะไรมีชื่อว่าหนึ่ง" นางปริพาชิกาอึกอัก เมื่อตอบไม่ได้จึงขอให้ท่านเฉลย

........."พุทธมนต์ หรือปัญญาของพระพุทธเจ้าชื่อว่าหนึ่ง" พระเถระตอบ พร้อมทั้งขยายความให้ฟังด้วยเหตุและผล

........"ขอท่านจงให้พุทธมนต์นั้นแก่ดิฉันบ้างเถิด"

........"หากท่านเป็นเช่นเรา เราจะให้"

........"ถ้าเช่นนั้น ดิฉันจะบรรพชา" :b8:

........ตกเวลาเย็น นางได้เดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคที่มหาวิหารเชตวัน ซึ่งเป็นเวลาที่พระพุทธองค์เสด็จออกมาแสดงธรรมโปรดชาวสาวัตถี เมื่อไปถึงนางกราบถวายบังคมแล้วได้ยืนฟังธรรมอยุ่ในที่อันควร


..........พระผู้มีพระภาคเพื่อจะทรงแสดงธรรมให้ถูกกับอุปนิสัยของนาง ตรัสว่า

............"คาถาแม้หนึ่งพันคาถา แต่ไม่ประกอบอันบทอันเป็นประโยชน์
.............คาถานั้นไม่ประเสริฐ
.............คาถาเพียงบทเดียว เมื่อบุคคลฟังแล้ว สงบระงับได้
.............คาถาบทเดียวนั้นประเสริฐกว่า
.............ผู้ใดชนะหมุ่มนุษย์ในสงครามจำนวน 1000 คน คูณด้วย 1000 คน
.............ผู้นั้น หาชื่อว่าเป็นยอดแห่งผู้ชนะไม่
.............ส่วนบุคคลใด ชนะตนเอง (ชนะกิเลส) ผู้เดียว
.............ผู้นั้นแล เป็นยอดแห่งผู้ชนะในสงคราม"

.......สิ้นพุทธวาจา นางได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นอริยบุคคลชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เมื่อบรรพชาแล้วท่านได้นามว่า พระกุณฑลเกสาเถรี

........พระผู้มีพระภาคเจ้าตั้งพระภัททากุณฑลเกสาเถรี ไว้ในตำแหน่งอันเป็นเลิศ กว่าภิกษุณีทั้งหลาย ในทางตรัสรู้เร็วพลัน :b8:


[u]สาระน่ารู้[/u]

พระอรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลสและบาปกรรม ทรงความบริสุทธิ์ หรือเป็นผู้กำจัดข้าศึกคือกิเลสสิ้นแล้ว หรือเป็นผู้หักกรรมแห่งสังสารจักรอันได้แก่ อวิชชา ตัญหา อุปทาน กรรม หรือเป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอน เป็นผู้ควรรับความเคารพ ควรแก่ทักษิณา และการบูชาเป็นพิเศษ หรือเป็นผู้ไม่มีข้อลับ คือไม่มีข้อเสียหายอันควรปกปิด


...ที่มา หนังสือ มรรคาแห่งชีวิต สุ่ความตื่นและอยู่อย่างผาสุก พระไพศาล วิสาโล. อาทิตย์ยามเช้า เล่าเรื่อง...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2009, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 22:06
โพสต์: 194

อายุ: 38
ที่อยู่: นันทบุรีศรีนครน่าน

 ข้อมูลส่วนตัว


....ความรักใดใดที่เราได้เสาะแสวงหามานั้น เพื่อตอบสนองใคร สิ่งใด ฤาจะตอบสนองสัญชาตญานการสืบเผ่าพันธุ์ตน ให้อยู่รอด ฤาสนองความต้องการ ของตนเอง ที่เต็มไปด้วย กิเลศ ตัญหา ที่ไม่รู้จักพอ ฤาเพียงต้องการแค่ความรู้สึกที่ไม่ได้อยู่คนเดียวในดลกใบนี้ น่าแปลกไหมว่า เราอยู่ท่านกลางคนกว่าหมื่นล้านคนบนดลกใบนี้ แต่เรากลับหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะว่าเรารู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นหาได้จากที่ไหน แต่เพราะด้วยหนทางไปสู่นั้นมันต้องใช้ทั้งความวิริยะ อุสาหะ ศรัทธา ตั้งใจมุ่งมั้น โดยวิถีแห่ง มรรค 8 นั้น มันขัดกับความสะดวกสบาย มันยากในทางที่จะปฏิบัติ เลยเอาง่ายเข้าว่า ก็เลยเป็นอันว่า ต้องหลอกตัวเอง หลอกคนอื่น ผลสุดท้ายก็ต้องวนเวียนอยู้ในห้วงมหาสมุทรแห่งทุกข์นี้ มหาสุทรนี้ ไม่มีทั้งขอนไม้ หรือ เรือ ใดใด อยู่ที่ตัวเราจะว่ายน้ำเข้าฝั่งพระนิพพานอย่างไรโดยไม่หมดแรง มีอะไรเป็นแรงกำลังที่จะส่งเราว่ายขึ้นฝั่ง มีสิ่งใดส่องทางนำทางไปสู่ฝั่งนี้เช่นกัน แล้วแต่นานาจิตตังของแต่ละคน บางคนพยายามว่ายขึ้นฝั่งแต่ยังอยากสนุกที่จะลอยคออยู่ที่นี้ เช่นผมเป็นต้น แล้วก็ร้องแรกแหกกระเชอว่า ทุกข์หนอ เจ็บปวดหนอ เสียใจหนอ อยู่เยี่ยงนั้นตลอดไป....คงต้องลอยไปในมหาสมุทรนี้นานเท่านาน...จนบางทีอาจต้องจมอยู่ในกระแสน้ำนั้นชั่วกัปชั่วกัลป์ ผมเองปรารถนาให้ทุกคนมีความสุขที่แท้จริงในชีวิต และปรารถนาให้ทุกคนบนโลกใบนี้หลุดพ้นจากสงสารวัฏนี้ ตัวผมเองต้องพยายามให้หนักในการที่จะต้องรบชนะขั้นแตกหักกับจิตใจของตนไม่หลง ไม่เผลอ และไม่บังคับ มัน ตรงจุดนี้แหละมันต้องใช้น้ำหนักให้ดีและแม่นยำ..มิฉะนั้นก็จะลงผิดข้างไป..ปรารถนาให้ทุกท่านที่กำลังหลงทาง เจ็บปวด ทรมาน ในมหาสมุทรนี้ ได้ขี้นฝั่งได้ ขอบุญกุศลนี้ อาจส่งผลให้ผมมี ปัญญา พละ วิริยะ อุตสาหะ ศรัทธา ที่จะได้ว่ายขี้นฝั่งได้โดยปลอดภัย..เถิด :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2009, 16:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




lอนุโมทนา.jpg
lอนุโมทนา.jpg [ 10.6 KiB | เปิดดู 4962 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41:

ขออนุโมทนาด้วยครับ คุณไผ่... :b8: :b8: :b8:

เจริญในธรรมครับ :b16: :b8:


:b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2009, 15:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2009, 10:12
โพสต์: 905

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ...คุณไผ่

วันนี้ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง...คิดถึงกระทู้ของคุณ...เลยเก็บมาฝาก

เป็นตอนหนึ่งที่ซึ้งใจจัง...ค่ะ
"...มันก็เป็นเช่นเดียวกับคำสวยๆที่คนหนุ่มสาวมักพูดกันว่า
ความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นไปได้ไหมว่า
มีบางสิ่งบางอย่างละเอียดไม่น้อยกว่าความรักเลย
ละเอียดกระทั่ง เจ้าตัวเองก็ไม่รู้มาก่อนว่า
ความรู้สึกที่อยู่ในใจนั้นคือรักหรืออะไรกันแน่
ใครกันจะให้คำตอบเรื่องนี้กับผมได้ พ่อหรือเวณิก

..เมื่อเช้าผมเปิดตู้หนังสือข้างโต๊ะทำงานพ่ออีกครั้ง
หาโปสการ์ดลายมือเดียวกับ "คิดถึงทุกปี"
ได้มาอีก หลายแผ่นด้วยกัน ล้วนแต่เป็น ส.ค.ส. ที่ส่งมาในปีก่อนหน้าโน้น
ข้อความในนั้นเป็นถ้อยคำอวยพร หยอกเอินอย่างสนิทและสุภาพ

..ในความคิด ผมมองเห็นสุภาพสตรีท่านหนึ่ง งดงามและอ่อนโยน ท่านนั่งที่โต๊ะทำงาน
จรดปากกา เขียน ส.ค.ส.ถึงใครต่อใคร แต่มันไม่ง่ายเลยเมื่อเขียนถึงพ่อ

...สิ่งที่เธอต้องทำในเวลานั้นคือการรักษาน้ำใจคนที่รักธอ
และรักษาระยะห่างกับคนที่เธอไม่รักคนเดียวกันนี้ด้วย

...ผมมองไปนอกหน้าต่างเห็นตาเบบูย่าต้นใหญ่แต่งใบรับฤดูฝนแล้ว
มีแต่ต้องรอกระทั่งฤดูร้อนหนหน้า ดอกสีขาวอมชมพูบอบบางจึงจะผลิมาให้ชม .......
มันก็เป็นเช่นนี้ทุกปี...และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป "


เรื่อง... "คิดถึงทุกปี"
เป็นเรื่องสั้น-สั้นที่บรรยายถึงฉากเล็กๆของครอบครัวหนึ่ง
แต่สามารถเสนอมุมมองเกี่ยวกับความรักได้อย่างบาดลึกในใจ

คนเรามักจะพูดถึงสิ่งที่มองไม่เห็น...
พูดกันมากมายราวกับว่าสามารถจับต้องได้เสียอย่างนั้น
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ไช่เลย....

ความรักคืออะไร...อะไรที่ทำให้คนสองคนร่วมชีวิตอยู่ด้วยกันได้...
การมีชีวิตคู่โดยปราศจากการทะเลาะกันนั่นเกิดจากความรักหรือไม่
อย่างที่ในเรื่องบอกไว้...เป็นไปได้หรือไม่ว่า
มีบางสิ่งบางอย่างละเอียดไม่น้อยกว่าความรักเลย
สิ่งนั้นที่ในเรื่องบอกไว้ คือการทะนุถนอมหัวใจ

ในชีวิตแต่ละวันของคนเรา เราไม่อาจรู้ได้ว่า
สิ่งซึ่งเราได้เห็นนั้น เป็น "ความรัก" หรือ "การทะนุถนอมหัวใจ"
แต่ที่ชอบยิ่งกว่าของเนื้อหาในเรื่องสั้นเรื่องนี้คือตอนที่บอกว่า

การที่เราจะทะนุถนอมหัวใจคนที่เรารักมันเป็นเรื่องปรกติ
แต่การถนอมหัวใจของคนที่เราไม่ได้รัก ใครจะทำได้สักกี่คน...

แม้เราจะยอมรับว่า การทะนุถนอมหัวใจเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนไม่น้อยกว่าความรัก
หากยังสงสัยอยู่ว่า การทะนุถนอมหัวใจ สามารถทดแทนความรักได้จริงหรือไม่

หรือคำตอบไม่ได้อยู่ที่ใคร นอกจากหัวใจของคนสองคน...

.....................................................
"ก้มกราบบ่อยๆ ช่วยขจัดความหยิ่ง-ทะนงออกได้"


แก้ไขล่าสุดโดย ปลายฟ้า...ค่ะ เมื่อ 21 ก.ค. 2009, 16:22, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 08:36
โพสต์: 532

แนวปฏิบัติ: ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: กรรมทีปนี , วิมุตติรัตนมาลี , ภูมิวิลาสินี
ชื่อเล่น: เจ้านาง
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


:b40: ชอบค่ะ ได้ความรู้ดีมากเลย ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีทั้งคนร่วมชีวิต และคู่ครอง แต่ทุกชีวิตในโลกนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ร่วมกันค่ะ
ขอสิ่งดีๆจงมีแก่ทุกท่านนะคะ :b41:

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2009, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2009, 22:06
โพสต์: 194

อายุ: 38
ที่อยู่: นันทบุรีศรีนครน่าน

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณมากๆทุกท่านเลยครับ และดีใจที่เห็นคุณปลายฟ้า..ค่ะ อีกครั้ง และดีใจขึ้นไปอีกเมื่อเห็นคุณปลายฟ้า ได้เข้ามาช่วยดูแล ลานนี้แล้ว ดีใจจริงๆครับ ผมเองช่วงนี้ยุ่งทั้งกายและใจเลยครับ งานช่วงที่ใกล้จะหมดปีงบประมาณ แถมยังเป็นฤดูฝนอีก เลยทำให้ล้าไปมาก ล้าไปหมดทั้งกายและใจ เฮ้อ.....มรสุม เอาน่ะ ต้องฝ่าฟันไปให้พ้น ยังไงทุกท่านรักษาสุขภาพด้วยนะครับ ไข้หวัดใหญ่ 2009 กำลังระบาด เป็นห่วงสุขภาพและคิดถึงมิตรธรรมทุกท่านครับ :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 27 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร