ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคน http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=23770 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ไหว้พระปล่อยปลา [ 12 ก.ค. 2009, 10:19 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคน | ||
รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคนต้องอ่าน! ตึกเซนต์หลุยส์มารี โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ราวกลางปี พ.ศ.2539 “มิสคะ ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องรับรองค่ะ” โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ทำให้มิส อุไรพร นาคะเสถียร ครูสาวประจำระดับชั้นป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเพราะจำได้ว่ามีการโทรนัดหมายจะมาพบจากคุณแม่ท่านหนึ่งเพียงท่านเดียวในวัน นี้ เอ...ใครล่ะนี่ จะมีเรื่องอะไรรึเปล่านะ เมื่อมิส อุไรพร เดินมาถึงหน้าห้องประชาสัมพันธ์ ครูสาวก็แทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว อย่างไรก็ตามมิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดโดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จมิสจึงเชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง ภาพแรกที่ได้เห็นชัดๆทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่อง การเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี เมื่อต้นปีการศึกษาที่ผ่านมา “ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาว่าเขาอายที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อแม่มาทีเพื่อนก็ล้อกันประจำว่าแม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์เหรอ อะไรนี่น่ะค่ะ เลยไม่ได้มา” น้ำเสียงของคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ มิสอุไรพรขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริงทั้งหมดครูสาวก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องจัดการเรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่นี้โดยเร็ว หากปล่อยเรื่องนี้ไป...ก็จะเป็นบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปในภายหน้าทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนด้วย ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือแต่ฝนตกหนัก มิส อุไรพร จึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟังในห้องเรียน เรื่องราวที่ว่านั้น มีดังต่อไปนี้ -------------------------------------------------------------------------------- วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2536 หลังวันแม่เพียงไม่กี่วัน...ครอบครัวหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัด สตูล ครอบครัวนี้ประกอบด้วยคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายอีกสามคนพวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคันดินท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคนส่วนคุณแม่เดินตามหลังมากับลูกชายคนเล็ก ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำ ซึ่งมีใบพัดทำจากเหล็กสูงจากคันดินราว 25ซม. คุณพ่อและลูกคนโตสองคนก็ข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกใจคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลูกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลัง หมุนอยู่และฉุดขาของลูกทั้งสองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก “ถ้าเป็นพวกคุณ น้องตกลงไปอย่างนี้คุณจะทำอย่างไร” มิสหยุดเรื่องไว้ก่อนเพื่อซักถาม มองหน้าเด็กนักเรียน ทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะ “ลูกชาย” ของคุณแม่ท่านนั้น “ทุกคนตกตะลึงใช่มั้ย คิดไม่ทันใช่มั้ย แต่นักเรียนรู้มั้ยว่าคุณแม่ท่านตัดสินใจทำอย่างไร” คุณแม่ไม่ยอม เสียเวลาคิดอะไรเลย ท่านรีบยึดดึงตัวลูกเอาไว้แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดเหล็ก ไว้ก่อน........ใบพัดจึงหมุนเอาแขนของคุณแม่เข้าไป...... คนงานที่เห็นเหตุการณ์รีบปิดเครื่องทันที แต่แรงเฉื่อยทำให้ใบพัดยังหมุนต่อด้วยกำลังแรง...แรงจนกระชากแขนซ้ายของคุณแม่ขาดสะบั้นลง! คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันทีท้องร่องทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยเลือด...เลือดของแม่... ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจนกระดูกหัก...แต่ไม่ขาด ไม่ขาด...เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน... ไม่ขาด...เพราะแม้จะไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะมือขวาของคุณแม่ก็ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น...ไม่ยอมปล่อย... คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกนเอะอะโวยวายของคนงานพร้อมๆ กับเสียง กรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช็อกจนแทบสิ้นสติ! คุณพ่อกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคุณแม่และลูกน้อย แต่...มันสายเกินไปแล้ว! สิ่งเดียวที่ทำได้คือรีบพาสองแม่ลูกส่งโรงพยาบาลทันที ผลของการรักษาคือคุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนแขนซ้ายที่ขาดไป ส่วนลูกคนเล็กที่ขาหักต้องอยู่โรงพยาบาลนานราวสามเดือนจึงสามารถเดินเหินได้เป็นปกติ มิส อุไรพร กวาดสายตามองไปรอบๆห้องถามขึ้นอีกว่า “นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญมั้ยคะ” “กล้าหาญมาก” เด็กๆพากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลายๆ คนยังหน้าซีดเซียวเมื่อนึกภาพเหตุการณ์ไปตามที่ครูเล่า มิสมองหน้า“ลูกชาย”ของคุณแม่แล้วบอกต่อว่า “นักเรียนทราบมั้ยว่าคุณแม่ท่านนี้เป็นคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เองไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนี้ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ” เด็กนักเรียนคนนั้นยืนขึ้นท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อนทั้งห้อง “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้านมิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่าพวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมากจริงมั้ยพวกเรา” “จริงครับๆ ใช่ครับๆ” เสียงเล็กๆตอบมาเป็นทางเดียวกัน “มิสได้ทราบมาว่ามีหลายๆ คนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามีเราเป็นลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ” มีนักเรียน 3-4 คนยืนขึ้น สีหน้าของ แต่ละคนซีดเซียวอย่างสำนึกผิด มิส อุไรพร มองหน้าของเด็กกลุ่มนี้อย่างอ่อนโยน ถามว่า “ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงอยากพูดอะไรกับเพื่อนใช่มั้ยคะ” เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอแล้ว กล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ ครูสาวน้ำตาคลอ ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มยินดี.....หนักใจอยู่เหมือนกันว่าหากถามขึ้นมาแล้วไม่มีใครยอมรับว่าเคยล้อเพื่อน...จะทำอย่างไร? เธอไม่เคยผิดหวังในตัวนักเรียนอัสสัมชัญและจนถึงเวลานี้ก็ยังคงไม่ผิดหวัง ใครเล่า...จะเข้าใจความเจ็บช้ำ ขมขื่นในหัวใจเล็กๆของเด็กชายคนหนึ่งที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กโดยไม่ทันคิด หากบัดนี้...ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อนได้สลายปมด้อยในใจของเด็กคนนี้ลงจนสิ้นแล้ว เหลือเพียงความรักและภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิส อุไรพรได้เรียกตัว “ลูกชาย” เข้าไปคุยอีกครั้ง “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่มั้ยคะ” เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นไห้ว่า “ผม...ผมจะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว...แล้วบอกคุณแม่ว่าผมรักคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ” รู้มั้ยน้ำนมหยดหนึ่งซึ่งไหลมาต้องใช้น้ำตาหยาดเหงื่อสักเท่าไหร่ บอกแม่เถอะนะ บอกทุกวัน ว่ารักท่านมากมาย กอดแม่เถอะนะ ให้คุ้นเคย กอดเลยไม่ต้องอาย ก่อนไม่มีแม่ให้กอด... (เพลง ก่อนไม่มีแม่ให้กอด) คุยกับผู้เขียน เรื่องราวนี้ถ่ายทอดจากบทความหนึ่งของอัสสัมชัญสาส์นฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งเขียนโด มิส อุไรพร นาคะเสถียร เป็นเรื่องจริงของครอบครัวหนึ่ง ดังกล่าวขึ้นมาเพื่อให้เห็นภาพและได้รับความประทับใจครบถ้วนตามเจตนารมณ์ของผู้เขียนเดิม ใครอยากทราบชื่อและนามสกุลของคุณแม่ท่านนี้สามารถไปค้นอ่านได้จากอัสสัมชัญสาสน์ฉบับดังกล่าว ใครรักแม่...อ่านจบแล้ว...อย่าลืมไปกอดแม่นะครับ กอดแน่นๆ หอมแก้มซ้ายแก้มขวา หอมแล้วหอมอีก หอมหลาย ๆ ที...รักมากแค่ไหนหอมเข้าไปแค่นั้น บทความข้างต้นตัดย่อมาจากตอนที่ 79 ของนิยายเรื่อง"ใต้ร่มธงแดงขาว"
|
เจ้าของ: | เจ้านาง [ 12 ก.ค. 2009, 10:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: รักใดไหนเล่าเท่ารักแม่...วีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ของแม่ที่ลูกทุกคน |
![]() แต่อ่านกี่ครั้งก็ยังซึ้งใจอยู่ค่ะ อยากบอกทุกคนเหมือนกันว่า รักแม่ให้มาก ดูแลท่านให้ดี พูดกับท่านให้ไพเราะสุภาพน่าฟัง และที่สำคัญ ไม่รู้ว่าเรากับท่าน จะอยู่ด้วยกันอีกนานเท่าใด อย่ามาร้องไห้เสียใจวันที่ท่านจากไปแล้วบอกว่าทำอะไรไม่ดีกับท่านบ้าง หรือยังไม่ได้ทำอะไรเพื่อท่านบ้าง..มันสายเกินไป.. ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |