วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 09:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2009, 00:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 20:12
โพสต์: 791

แนวปฏิบัติ: พุทโธและสัมมาอรหัง
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ใต้ร่มโพธิญาณ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




Y7555595-3.jpg
Y7555595-3.jpg [ 11.98 KiB | เปิดดู 1562 ครั้ง ]
.พระปฏาจาราเถรี ผู้บรรลุธรรมเพราะรักวิปโยค





ขึ้นต้นเรื่องอย่างนี้กำลังจะบอกว่าความทุกข์โศกของมนุษย์นั้น ในแง่มุมหนึ่ง "มีคุณค่า" มหาศาลแก่ชีวิต แม่นแล้วครับ ความทุกข์ ความบีบคั้น ทำให้คนดิ้นรนหาทางออก ถ้าหาถูกทาง หรือ "โชคดี" ก็พบทางสว่างแห่งชีวิต



ดังกรณีพระปฏาจาราเถรี นับว่าเธอโชคดีที่ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้รับการช่วยเหลือให้บรรเทาจากความทุกข์และได้พบอมตธรรมในที่สุด

พระปฏาจาราเถรี เป็นบุตรีเศรษฐีเมืองสาวัตถี เป็นที่รัก เป็นที่หวงแหนของบิดามารดามาก ไม่ยอมให้คบหาสมาคมกับบุรุษ ถึงกับสร้างปราสาท ๗ ชั้น (ก็คือตึก ๗ ชั้นนั้นเอง) ให้นางอยู่ จะไปไหนทีต้องขออนุญาตเป็นทางการจากบิดา ทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก จนในที่สุดนางก็เกิดความรักใคร่กับคนใช้ในบ้าน มีสัมพันธ์กันลับๆ โดยที่บิดามารดาไม่ทราบ

ครั้นบิดามารดาจัดการให้แต่งงานกับบุตรเศรษฐีฐานะทัดเทียมกัน นางก็หนีตามคนรักไปอยู่ยังชนบทห่างไกล จะยากจนข้นแค้นอย่างไร นางก็อดทนได้ เพราะอานุภาพแห่งความรัก ทั้งสองครองรักกันในกระท่อมซอมซ่ออย่างมีความสุข จนนางตั้งท้องบุตรคนแรก

เมื่อลูกจะคลอด นางก็นึกถึงบิดามารดา คิดว่าถ้าคลอดลูกท่ามกลางบิดามารดาญาติพี่น้อง คงจะอบอุ่นและปลอดภัย จึงขอร้องสามีให้พากลับไปยังเมืองสาวัตถี สามีกลัวความผิดที่ตนกระทำ บิดามารดาคงไม่ให้อภัยแน่ จึงบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมพานางกลับ

เมื่อสามีไม่อยู่ในวันหนึ่ง นางก็หนีสามีกลับบ้าน ระหว่างทางก็ปวดท้องรุนแรงและคลอดลูก สามีตามมาทัน จึงพานางกลับบ้านตามเดิม

ครั้นตั้งท้องลูกคนที่สอง นางก็พาลูกน้อยหนีสามีกลับอีก สามีตามมาทันเช่นเดิม บังเอิญว่าคราวนี้เกิดพายุฝนกระหน่ำ มีสายน้ำหลากมา สามีไปหากิ่งไม้ใบไม้มาทำเพิงหลบฝน แต่เคราะห์ร้ายถูกงูกัดตาย นางต้องทนทุกข์ทรมานตลอดคืน

เมื่อสว่างนางจึงอุ้มลูกที่เกิดใหม่ อีกมือจูงลูกชายคนโต เดินมุ่งหน้าไปยังเมืองสาวัตถี พบกระแสน้ำไหลเชี่ยวขวางทางอยู่ ครั้นจะพาลูกทั้งสองข้ามน้ำพร้อมกันก็ไม่ได้ จึงวางลูกคนเล็กไว้บนฝั่งน้ำ แล้วอุ้มลูกคนโตข้ามน้ำไปให้ยืนรออยู่บนฝั่งโน้น กลับมาเพื่อจะมาเอาลูกคนเล็กข้ามน้ำ ไปถึงกลางลำธาร เหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นลูกเล็กของนางนึกว่าเป็นชิ้นเนื้อ จึงโฉบลงมา นางจึงรีบยกมือทั้งสองขึ้นตะโกนไล่เหยี่ยวเสียงดังลั่น สายไปเสียแล้ว เหยี่ยวได้เอาลูกน้อยของนางไปต่อหน้าต่อตา

ฝ่ายลูกชายคนโตเห็นแม่ยกมือขึ้นร้องนึกว่าแม่ร้องเรียก ก็กระโจนลงน้ำจะมาหาแม่ ถูกกระแสน้ำพัดหายไปในบัดดล ปฏาจาราสูญสิ้นหมดทุกอย่าง สามีก็ตายระหว่างทาง ลูกน้อยคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไป ลูกชายอีกคนหนึ่งก็ถูกกระแสน้ำพัดหายไป ชีวิตนี้มันช่างโหดร้ายอะไรเช่นนี้ นางร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสารไปตลอดทาง

ระหว่างทางมุ่งหน้าเข้าเมืองสาวัตถีเพื่อไปหาบิดามารดาซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้าย พบชาวเมืองคนหนึ่งเดินสวนทางมา นางจึงถามถึงบิดามารดาของตน บุรุษนั้นบ่ายเบี่ยงว่า "อย่าถามถึงตระกูลนั้นเลย เมื่อคืนที่ผ่านมาเธอไม่รู้หรือว่าพายุฝนตกกระหน่ำอย่างรุนแรง"

"ฉันรู้จ้ะ ฉันเองก็ผ่านวิกฤตแห่งชีวิตมาเพราะพายุฝนนี้เหมือนกัน ฉันจะเล่าให้ฟังภายหลัง แต่ก่อนอื่นฉันอยากทราบว่าพ่อแม่ฉันสบายดีอยู่หรือ"

"พวกเขาคงไปสบายแล้วล่ะแม่หนู" บุรุษกลางคนคนเดิมกล่าวเป็นนัย

"ลุงหมายความว่าอย่างไร"

"หมายความว่า ท่านทั้งสอง รวมทั้งลูกชายคนโต และคนใช้ทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว คฤหาสน์ของท่านถูกฟ้าผ่า ไฟลุกไหม้คลอกคนในคฤหาสน์ตายหมด ไม่มีใครรอดสักคน เปลวไฟลุกโชนตลอดคืน จนป่านนี้แล้วยังไม่มอด ยังเห็นควันพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าอยู่ นางดูสิโน่นไง ควันไฟที่บ้านท่านเศรษฐี" บุรุษวัยกลางคนเล่า พลางชี้ให้นางดูควันไฟที่ยังพอมองเห็นอยู่รำไร

เท่านั้นแหละครับ สติที่ยังพอมีอยู่บ้างก็ขาดผึงทันที นางล้มลงสิ้นสมปฤดี ณ บัดดล ฟื้นขึ้นอีกทีก็ไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว กลายเป็นคนเสียสติ เดินวนเวียนไปอย่างไร้จุดหมาย จนผ้าผ่อนที่นุ่งหลุดหายไป ก็ไม่รู้สึกตัว ประชาชนเห็นนางก็ไล่ตะเพิด "หญิงบ้าไป...ไป๊" ไม่มีใครปรารถนาให้นางเข้าใกล้

ถ้าใครสักคนรู้เบื้องหลังของนาง เขาคงจะสงสารนางจับใจ ไม่กล้าเอ่ยปากไล่เป็นแน่แท้

นางเดินสะเปะสะปะ บ้างหัวเราะ บ้างร้องไห้ เข้าไปยังพระเชตวันมหาวิหารขณะพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ ประชาชนต่างก็ออกปากไล่ให้นางหนีไป พระศาสดาตรัสให้พวกเขาอนุญาตให้นางเข้ามา พระองค์ตรัสเตือนสติว่า "น้องหญิงจงกลับได้สติเถิด"

กระแสพระดำรัสกระตุกสติสัมปชัญญะของนางกลับคืนมา เมื่อมองเห็นเปลือยล่อนจ้อนต่อหน้าธารกำนัล ก็เลยนั่งลงด้วยความอาย บุรุษคนหนึ่งได้โยนผ้าให้นางนุ่งห่ม นางเข้าไปกราบแทบพระยุคลบาทกราบทูลพลางร่ำไห้ไปพลางถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสามี ลูกน้อยทั้งสอง และบิดามารดาและพี่ชาย

พระพุทธองค์ตรัสว่า "อย่าคิดมากเลยปฏาจารา สามี ลูกทั้งสอง บิดามารดา และพี่ชายของเธอก็ตายไปแล้ว ถึงเธอจะร้องไห้จนน้ำตาท่วมตัว เธอก็ช่วยให้เขาเหล่านั้นฟื้นขึ้นมาไม่ได้ น้ำตาของผู้ที่ร้องไห้เพราะรักวิปโยคในสังสารวัฏอันยาวนานนี้ ถ้าจะวัดกันแล้ว มีมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก เธออย่าได้มัวประมาทอยู่เลย จนทำที่พึ่งแก่ตัวเองเถอะ แล้วเธอจะไม่ต้องเสียน้ำตาอีกต่อไป ปิยชนคนที่เรารักทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้น ไม่อาจเป็นที่พึ่งแก่เราได้ดอก นอกจากเราต้องพึ่งตัวเราเอง"

.....................................................
ข้าพเจ้าขออาราธนาพระบารมี 30 ทัศ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จนิพพานไปแล้ว มากยิ่งกว่าเม็ดกรวดเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง 4 ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพ พระธรรมมานุภาพ พระสังฆานุภาพ พระบารมีพระโพธิสัตว์ พระปัจเจกโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายและพระบารมีขององค์พระสมณะโคดมบรมครู ขอได้ส่งพลังมายังตัวข้าพเจ้า จงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บและสรรพเคราะห์ทั้งหลายในกายของข้าพเจ้า จงหายไปสิ้นทั้งหมดขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ชนะต่ออุปสรรคและมารทั้งหลาย
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 61 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร