ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

*~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=25517
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ณ มรณา [ 09 ก.ย. 2009, 18:43 ]
หัวข้อกระทู้:  *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

รูปภาพ

อ้างคำพูด:
ตั้งกระทู้แบบนี้เหมือนเป็นการมาพากันให้ออกนอกลู่นอกทาง
คือทราบดีว่าถ้าเป็นอย่างบางท่านที่ระดับภูมิธรรมสูงส่งแล้วก็จะตอบว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปจีบ
ส่วนในพวกที่ไม่ถึงขั้นที่จะตัดได้และก็มักจะเป็นพวกที่ไม่ได้เข้ามาในเว็บนี้ด้วยก็จะปล่อยตัวปล่อยใจเตลิดเปิดเปิงไปตามความต้องการของใจ(และกาย)ของตน
ส่วนเราเองและเข้าใจว่าจะมีอีกหลายคนในนี้ที่มาอยู่ตรงกลางๆที่มาอยู่ตรงทางสองแพร่งที่ไม่สามารถเลือกทางใดทางหนึ่งให้เด็ดขาดได้สักที
ทราบมาว่าเคยมีคำพูดว่า สตรีเป็นศัตรูของพรหมจรรย์ แต่ถ้ามองในอีกแง่ของทางโลก ก็จะมองได้ว่า การปฎิบัติธรรมเป็นศัตรูของการใช้ชีวิตทางโลก จำได้ว่าพอเริ่มจะหันมาสนใจทางปฏิบัติธรรมทางบ้านก็ไม่ค่อยเห็นด้วยคงกลัวว่าจะไปบวชตลอดชีวิตมั้ง หรือแม้แต่แฟนก็ห่างก็เลิกไป ทำนองว่าถ้าเรามาทางนี้แล้วความโรแมนติกในความรักก็คงไม่มีแน่ๆ
หลายๆท่านที่เคร่งครัดคงจะค่อนขอดในใจว่าไม่ควรถามปัญหาแบบนี้ แต่ถ้ามองดีๆ ปัญหาทุกปัญหาควรจะต้องมาถามนักปฏิบัติธรรมก่อนเสมอไม่ใช่หรือ ถึงจะเรียกได้ว่าใช้ธรรมะเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต เพราะว่าเรายังคงอยู่ในสังคมโลกอยู่ไม่ได้ไปแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวอยู่ตามป่าเขา

รูปภาพ
อ้างคำพูด:
(ดังตฤณ)
อย่าไปนิยามตัวเองว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสิครับ
ผมคิดว่าถ้ารักษาศีล ทำสมาธิ เจริญปัญญามานานถึงจุดหนึ่ง กระทั่งถอดโขนออกได้หมด
คนเราจะไม่รู้สึกว่าตัวเป็นอะไร แม้เอาจิตไปประจำแม้ภพของนักปฏิบัติธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากยังรู้ตัวว่าจำต้องติดอยู่ในโลก สละไม่ได้
บางทีมองนกมองแมวก็รู้สึกว่าเราเสมอกับมัน สักแต่เป็นธาตุ 4 ที่ว่างเปล่าหาสาระไม่ได้เหมือนกัน

เช่นกัน มองคนในโลกที่ยังอุดมด้วยกิเลส
ก็รับทราบตามจริงโดยไม่มีมานะหรืออุปาทานหลอนตัวเอง ว่าเราก็ยังอยากเหมือนเขา
พอเอาภาพของ "นักปฏิบัติ" ออกจากใจตัวเองเสียได้
ก็เหลือแต่ภาพของคนธรรมดาคนหนึ่ง
จะมีความสามารถหรือไร้ความสามารถด้านใด
ก็เป็นเรื่องของคนธรรมดาคนหนึ่งเช่นกัน
ไม่มีอะไรผูกโยงกับคุณสมบัติของนักภาวนาเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่ถ้าภายนอกเขาเห็นภาพเราเป็นเช่นนั้น
จะเพราะเราประกาศให้ใครต่อใครทราบ หรือเพราะเขาเห็นพฤติกรรมของเราเองก็ตาม
อันนี้ก็จำเป็นต้องมีเรื่อง "ศักดิ์ศรีของชาวพุทธ" เข้ามาเกี่ยวข้องนิดหนึ่ง
ในแง่ของการรักษาสัจจะ การพูดจริงทำจริง และการรักเดียวใจเดียวครับ

รูปภาพ
อ้างคำพูด:
นักปฏิบัติธรรม
ไม่รู้ตัวเองเข้าข่ายหรือเปล่าชักไม่แน่ใจ ?
แต่....คิดเอาเองว่า ยังน่าจะใช่อยู่มั่ง
: )
ผมว่าการมีความรัก มีความเมตตาต่อคนอื่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
โดนเฉพาะผู้หญิงที่เราคิดจะชักชวนมาเป็นกัลยาณมิตรพิเศษ ระยะยาว
ก็คงไม่มีอะไรมั่งครับ
มีความคิด จริงใจ ไม่คิดหลอกเล่น ปรารถนาดีต่อเธอ
พูดก็พูดตามปกติ อยากจะพูดอะไรก็พูดไป ความคิดดีๆจะส่งผลให้พูดดีอยู่แล้วครับ
พูดความจริง เราปรารถนาดีกับเขาอย่างไร ? ก็พูดไปอย่างนั้น
ทำดี ทำอะไรก็ได้ครับที่อยากทำให้เขา ถ้าคิดดีมันก็ออกมาด้วยการกระทำที่ดีอยู่แล้วครับ
ข้อควรระวัง คือวิบัติของความเมตตาคือเสน่าหา ความผูกพันธ์ หรือ ต้อง depend onเขาจะนำความทุกข์มาให้ทั้งเรา ทั้ง เขา
รักได้แต่อย่าไปยึดมั่น ถือมั่น ว่าเป็นของๆเราครับ
รักได้แต่อย่าไปหลงติดกับวิบัติของมัน
รักได้แต่อย่าทุกข์ครับ

โชคดีนะครับ

รูปภาพ
อ้างคำพูด:
จุดยืนสำหรับนักปฏิบัติธรรม ที่ปรารถนาจะประพฤติปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้นไป
ขณะที่ต้องดำรงชีวิตท่ามกลางความเป็นโลกๆของสังคมรอบข้าง
และชีวิตจิตใจของตัวเองที่ยังเต็มเปี่ยมด้วยความต้องการแบบโลกๆทั้งหลาย

ปัญหานี้น่าจะเป็นเรื่องปรกติทั่วๆไป ของผู้ปฏิบัติธรรมที่เริ่มเข้าใจในศาสนา
เริ่มการปฏิบัติที่เข้าที่เข้าทางและ เห็นประโยชน์ก็อยากที่จะปฏิบัติให้มากขึ้น ยิ่งขึ้น

เนื่องจาก ในกระแสสังคมโลกปัจจุบัน
มาตรฐาน"ความถูกต้อง" ของคุณธรรม จริยธรรม ต่ำลงไปมากๆ
อาจพูดได้ว่าสังคมเสื่อมลงไป คุณธรรมความถูกต้องโดยรวมตกต่ำลงไป
ตัวอย่างเช่น การคอร์รับชั่น เรื่องโสเภณี การที่สังคม
ใช้เงินตราหรืออำนาจเป็นตัวชี้ความถูกต้อง
หลายๆกรณี แม้แต่เราๆเอง ก็อนุโลมโอนอ่อน
ยอมรับเป็นความถูกต้องในสังคมแบบไทยๆ

อันนี้ คือกระแสโลกปัจจุบันที่เราๆต้องยอมรับว่า มีอยู่
และมาตรฐานต่ำลง

การปฏิบัติธรรมเป็นการฝืนกระแสโลก สวนกระแสกิเลส
ทั้งโลกภายในตัวเราและโลกภายนอกตัวเรา

ผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนและไม่มีคุณธรรมในตัว
โดยมากปรกติ เป็นโลกสุดโต่งของการตามใจความอยาก
อยากมี อยากกิน อยากนอน อยากสืบพันธุ์
อยากได้อะไรก็ไขว่คว้าเอามา โดยไม่สนใจในความถูกต้อง
หรือจริยธรรมใดๆ
ฃึ่งกรณีนี้ จะเห็นว่าความเป็นคน คนๆนั้นก็ไม่ต่างไปจากความเป็นสัตว์เดรัจฉาน

ส่วน ผู้ที่กำลังฝึกฝนตัวตนอยู่นั้น แน่นอน ประการแรก
ต้องสวนกับกระแสความต้องการ ความอยากเดิมๆ ของตนเอง
บางครั้งกิน ต้องกินน้อย
บางครั้งนอน ต้องนอนน้อย
มีสติให้มากและมากด้วยการปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา

ประการที่สอง ต้องสวนกับกระแสโลกและสังคมครอบครัวตลอดถึงสังคมรอบข้างที่เป็นโลกๆอยู่มาก
อันนี้ จะค่อนข้างยากกว่าข้อแรก อีกมาก
เนื่องจาก ตัวเราเห็นประโยชน์ แก้ที่เราพอแก้ได้
แต่เขาๆ ทั้งสังคมครอบครัวหรือสังคมรอบข้าง
บางที่นอกจากไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ไม่เห็นประโยชน์
แล้วบ่อยครั้งยังขัดขวางอีกต่างหาก

การปฏิบัติธรรมจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย
เนื่องจากต้องเดินสวนทางกับความต้องการของตัวเองและกระแสสังคมความเชื่อแบบโลกๆ

จะได้ดี จะเอาดี จะขึ้นสูง คงไม่ง่าย

จริงๆแล้ว การปฏิบัติธรรมกับการใช้ชีวิตทางโลก
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยจะมีจุดที่เหมาะสมของแต่ละบุคคลอยู่
เหมือนเหรียญอันเดียวแต่คนละด้าน
แต่ชีวิตจริงในโลกๆน่ะ มันหงายด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้
(ถ้าคุณไม่ใช่พระ)

ถ้าปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่แล้วไม่สนใจครอบครัว
ว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร ....
มันจะถูกหรือไม่

หรือปล่อยชีวิตไป อยู่ไปแบบโลกๆ ไม่สนใจธรรม
ชีวิตอาจจะตายเปล่า

ประเด็นหลัก คือ เราจะจัดการปรับเปลี่ยนสมดุลย์นี้อย่างไรให้เหมาะสม
ให้ดีขึ้นทั้งเขาทั้งเรา ในกรณีที่ดีที่สุดถ้าเป็นไปได้
หรืออย่างน้อยสังคมพอเข้าใจและไม่ขัดขวาง

ข้อแรก คือ
ตัวเราต้องมั่นคง เชื่อมั่นในปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
มั่นคงในข้อวัตรการประพฤติปฏิบัติที่จะสวนกระแสข้างในและข้างนอก
หรือเข้าหาครูบาอาจารย์ที่ท่านแนะนำเราได้

ข้อสอง คือ
อย่าทำตามความอยาก สุดโต่งทั้งขี้เกียจหรือสุดโต่งทั้งขยัน
ถ้าสุดโต่งขี้เกียจ ก็บ๊ายบาย ไปเป็นโลกๆ แล้วตายเปล่าฃะ
ถ้าสุดโต่งขยัน คุณก็จะเกิดอาการทิ้งครอบครัวหรือสังคมรอบข้าง
ผลสุดท้ายก็ความเดือดร้อนจะย้อนเข้าคุณๆเอง

แบ่งเวลาให้ครอบครัวหรือสังคมรอบข้างบ้าง
พาไปทำบุญเบื้องต้น คือทำทานต่างๆ บ้าง
ค่อยๆแนะนำให้สังคมรอบข้างเห็นประโยชน์ในระดับต่างๆ
ของทาน ศีล ภาวนา เท่าที่จะเป็นได้
เชื่อว่า โดยมากสังคมเข้าใจและเข้าถึงตรงนี้ได้

แหม เขาก็คน เราก็คน
เรายังเห็นประโยชน์ได้ ทำไมเขาจะเห็นประโยชน์ไม่ได้

ธรรมะ เป็นธรรมสาธารณะ ไม่ได้จำกัดใคร อย่างไร

รูปภาพ
อ้างคำพูด:
ความรักที่เป็นความเมตตานะดีครับ
แต่ความรักที่เป็นความผูกพันธ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ควรตัดในปัจจุบันเลย

รูปภาพ

จาก...http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/003515.htm

ข้อควรพิจารณา....
ธรรมดาของเหล่าสรรพสัตว์ในสังสารวัฏ ยังตัดความรักไม่ขาด...
หากเป็นความรักที่เกิดด้วยความเมตตา
มิได้เจือด้วยเสน่าหา ความผูกพัน ก็จะไม่นำความทุกข์มาให้ทั้งเราและทั้งเขา
รักได้แต่อย่าไปยึดมั่น ถือมั่น ว่าเป็นของๆเรา เมตตากันและกันให้มากๆ
จะได้ไม่ก่อภพก่อชาติกันอีก.....ก็เ่ท่านั้นเองที่อยากจะนำเสนอตรงนี้
....ไม่ได้ส่งเสริมให้ใครมาจีบกันตรงนี้นะคะ
ฉลาดรัก รักแบบรู้เท่าทันกฎไตรลักษณ์
รักได้แต่อย่าไปหลงติดกับวิบัติของมัน ก็ไม่ทุกข์เพราะรักอีกต่อไป

:b48: เห็นชื่อบอร์ดว่า...ความรัก ผูกพัน และ พลัดพราก
เป็นอีกมุมมองที่มีอยู่จริงและเป็นไปได้สำหรับผู้ปฏิบัติและปุถุชนทั่วไป
ความรักในแง่มุมดีๆ ก็มีเยอะแยะมากมายค่ะ อย่างน้อยก็จรรโลงใจได้บ้าง
อีกเดี๋ยวก็จะตายจากกันแล้ว...รักกันดีกว่าโกรธเกลียดกันนะคะ :b48:

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ก.ย. 2009, 18:50 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

สำนวนดูเชยๆ

"รักเธอเท่าฟ้า"

http://www.geocities.com/thai555thai/6614.htm

ไฟล์แนป:
00067.gif
00067.gif [ 297.78 KiB | เปิดดู 5525 ครั้ง ]

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ก.ย. 2009, 19:22 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

อ้างคำพูด:
“พรหมจรรย์”




คำว่า พรหมจรรย์ มักถูกรู้จักในความหมายแคบๆ เพียงแค่การครองเพศบรรพชิต

และการงดเว้นจากเมถุนธรรม อันเป็นความหมายนัยหนึ่งเท่านั้น *

ความจริง พระพุทธเจ้าทรงใช้คำว่า พรหมจรรย์ หมายถึง ระบบการครองชีวิต

ตามหลักพระพุทธศาสนาทั้งหมด หรือ

หมายถึงตัวพระพุทธศาสนาทั้งหมดทีเดียว

ดังจะเห็นได้ จากพุทธพจน์ส่งพระสาวกออกประกาศพระศาสนาก็ว่า ประกาศพรหมจรรย์

และอีกแห่งหนึ่ง ตรัสว่า พรหมจรรย์จะชื่อว่ารุ่งเรือง ก็ต่อเมื่อบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี

อุบาสก อุบาสิกา ทั้งฝ่ายพรหมจารี และฝ่ายกามโภคี (ผู้อยู่ครองเรือน มีบุตรมีสามีภรรยา)

รู้ธรรมและปฏิบัติธรรมกันด้วยดี

(ม.ม.13/256-9/252-7 ฯลฯ)


ดูหลักฐานสักแห่งหนึ่ง

“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจาริกไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก

เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวะและมนุษย์ทั้งหลาย...

เธอทั้งหลาย จงแสดงธรรม ...จงประกาศพรหมจรรย์..”

(วินย.4/32/39)



* พระอรรถกถาจารย์ แสดงความหมายของพรหมจรรย์ไว้ถึง ๑๒ นัย นัยสำคัญ เช่น

พระศาสนาทั้งหมด การประพฤติปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด พรหมวิหาร ทาน

ความสันโดษด้วยภรรยาของตน การงดเว้นจากเมถุนธรรม ธรรมเทศนา เป็นต้น

ไฟล์แนป:
lotus+07.jpg
lotus+07.jpg [ 15.38 KiB | เปิดดู 5488 ครั้ง ]

เจ้าของ:  ณ มรณา [ 09 ก.ย. 2009, 21:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

รูปภาพ http://www.ijigg.com/songs/V2BGEE0PA0 รักข้ามขอบฟ้า
.....อาจมีใจคนละดวง ต่างเก็บอยู่คนละทรวง
.......ขอบฟ้าแม้จะคนละฟาก...ห่างไกลกันมาก แต่ก็ฟ้าเดียวกัน....

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 09 ก.ย. 2009, 21:15 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

(รู้ต่ออีกนิดก็ดี)




คำว่า พรหมจรรย์ แปลจากบาลีว่า “พฺรหฺมจริย” ซึ่งประกอบด้วย พฺรหฺม+จริย

พรหม แปลว่า ประเสริฐ, เลิศล้ำ, สูงสุด, บริสุทธิ์

ส่วน จริยะ มาจากรากศัพท์ว่า “ จร” ซึ่งในความหมายเชิงรูปธรรม แปลว่า เที่ยวไป

ดำเนินไป จาริกไป

ในเชิงนามธรรม แปลว่า ประพฤติ, ดำเนินชีวิต, ครองชีวิต, เป็นอยู่

ในที่นี้มีความหมายเชิงนามธรรม


จริย หรือ จริยะ เมื่อเขียนเป็นไทย แปลงตามรูปสันสกฤต เป็นจรรย์ ก็มี

ถือตามรูปบาลีอีกรูปหนึ่งเป็น จริยา ก็ได้

(จรรย์ ในคำนี้ คือ ศัพท์เดียวกันกับ จริยา หรือ จริยะ ที่ใช้ในคำว่า จริยศึกษา และ จริยธรรม)


รวมความว่า พรหมจรรย์ มาจาก พรหมจริยะ แปลว่า จริยะอันประเสริฐ,

ความประพฤติอันประเสริฐ, หรือประพฤติบริสุทธิ์อย่างพรหม, การดำเนินชีวิตอันประเสริฐ,

การครองชีพอย่างประเสริฐ หรือความเป็นอยู่อย่างประเสริฐ

ไฟล์แนป:
50.jpg
50.jpg [ 72.8 KiB | เปิดดู 5400 ครั้ง ]

เจ้าของ:  kritsadakorn [ 09 ก.ย. 2009, 21:48 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

อย่ารู้ไปเลยครับ
ไม่มีประโยชน์

ต้องถามกลับไปว่า แล้วคนทั่วไป เขาจีบผู้หญิงกันอย่างไร
เพราะนักปฎิบัติธรรม ยังเป็นคนทั่วไปอยู่ แต่แค่มีคุณธรรมสูงกว่า
ฉะนั้น การจีบผู้หญิงก็เหมือนคนทั่วไปครับ

แต่ถ้าเป็นคนที่คุณธรรมสูงขึ้นมาเป็นพระสงฆ์ ก็ไม่ต้องถามคำถามนี้ต่อ

เจ้าของ:  วรานนท์ [ 09 ก.ย. 2009, 21:55 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุครับ

ถ้าความรักเปรียบเหมือนดอกไม้

แล้วจะให้เป็นดอกอะไรดีละครับ


:b8: :b8: :b8:

ไฟล์แนป:
DSCF0003.JPG
DSCF0003.JPG [ 41.48 KiB | เปิดดู 5361 ครั้ง ]

เจ้าของ:  วรานนท์ [ 09 ก.ย. 2009, 21:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

:b8: :b8: :b8:

หรือดอกนี้หละครับ

:b8: :b8: :b8:

ไฟล์แนป:
DSCF0010.JPG
DSCF0010.JPG [ 55.69 KiB | เปิดดู 5357 ครั้ง ]

เจ้าของ:  kanalove [ 09 ก.ย. 2009, 22:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

มาจีบกันในนี้คิดดีแล้วเหรอ??

นักปฎิบัติน่ะก้อเหมือนปุถุชนนั้นแหละ

เจ้าของ:  sasikarn [ 09 ก.ย. 2009, 22:38 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

:b6: :b6: :b6: ถ้าความรักเป็นเหมือนดอกไม้ อยากให้เหมือนดอกลั่นทม จาได้ระลึกชาติได้ง่ะ จะได้ตามหาคู่รักเมื่อชาติก่อนเจอ :b19: :b19: :b19: เย้ เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ(แต่อยู่คนเดียวก็ดีอยู่แล้วนะ :b9: :b9: :b9: )

:b6: :b6: :b6: นู๋เอค่ะ

เจ้าของ:  pmam [ 10 ก.ย. 2009, 00:04 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

[color=#40FF80][/color] tongue เมื่อยังต้องดำรงชีวิตเกี่ยวข้องกับโลกอันวุนวาย...การมีใครสักคนมาพูดทักทายหรือแบ่งปันเรื่องราวต่างๆย่อมเป็นเรื่องที่ดีมิใช่รึ...

เจ้าของ:  หนาน [ 10 ก.ย. 2009, 11:09 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็รักเธอเสมอ (เพราะฉันรักเธอเหมือนกับรักสรรพสัตว์ในโลกใบนี้) (เมตตาเธอเหมือนกับเมตตาคนอื่น)

เจ้าของ:  moddam [ 10 ก.ย. 2009, 12:08 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: *~*นักปฏิบัติธรรมเค้าจีบผู้หญิงกันอย่างไร*~*

จะหักอื่น ขืนหัก ก็จักได้
หักอาลัย นี้ไม่หลุด สุดจะหัก
สารพัด ตัดขาด ประหลาดนัก
แต่ตัดรัก นี้ไม่ขาด ประหลาดใจ

กลอนสุนทรภู่

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/