วันเวลาปัจจุบัน 28 เม.ย. 2024, 16:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ม.ค. 2010, 17:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 09:12
โพสต์: 9

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: เรียน
สิ่งที่ชื่นชอบ: BTS
ชื่อเล่น: จันทร์
อายุ: 20
ที่อยู่: ห้องเล็กๆ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b9: สำหรับความทุกข์..ไห้เรารู้ถึงกับความทุกข์ครับ(อย่าไปดับมันและก็ไม่ต้องหนี)เพียงแค่เรารู้..สติก็จะเกิดของมันเอง..สัมปชัญญะก็จะตามมา..สุดท้ายปัญญาก็จะเกิด... :b8: ใครขจะโกหกใครก็ช่างครับขอเพียงไห้เราอย่าโกหกตัวเองก็พอ.. :b8: เราอย่าไปคิดอย่างนั้นครับ..ควรที่จะอนุโมทนาบุญกับเขาครับ :b8:

.....................................................
การสร้างวัดนั้นเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แค่เป็นได้แค่เพียงมรดกโลก
แต่การสร้างคนให้เป็นพระนั้น สำคัญยิ่งกว่าเพราะจะได้เป็นมรดกธรรม


แก้ไขล่าสุดโดย BTS เมื่อ 09 ม.ค. 2010, 17:16, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 06:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จุฬาภินันท์ขอตอบจากปัญญานะคะ ปฏิบัติมากว่าเก้าเดือน ปัญญาเลยเพิ่มขึ้นน่ะค่ะ


อ้างคำพูด:
1. พระอาจารย์จึงร่วมสร้างเรื่องโกหกให้พระสามีได้บวช


เพราะพระอาจารย์รับปัจจัยจากสามีของคุณค่ะ พระสมัยนี้สนปัจจัยมากกว่าเรียนรู้ธรรมค่ะ


อ้างคำพูด:
2. เหตุใดพระอาจารย์ไม่สั่งสอนตักเตือน เรื่องภาระ หน้าที่ ความรับผิดชอบ การหนีราชการและหนี้สิน ที่เป็นข้อห้ามของผู้บวช


เหตุผลเดียวกับข้อแรกค่ะ และคนห่มผ้าเหลืองที่สนปัจจัย ไม่รู้จักหลักธรรมค่ะ

อ้างคำพูด:
3. เหตุใดพระอาจารย์ พยายามตัดสินใจ และชี้นำ ความคิดของพระ


เพราะอีโก้เยอะ ถือว่าเป็นพระอาจารย์ค่ะ

อ้างคำพูด:
4. เหตุใด พระถึงก้าวร้าว พูดจาส่อเสียด ได้โดยไม่รู้สึกผิดบาป


มารศาสนาที่ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษค่ะ สนใจความสบายที่มีคนกราบไหว้

อ้างคำพูด:
5. แล้วครอบครัวควรดำเนินการต่อไปอย่างไรดี ทั้งเรื่องการหนีราชการของสามี และภาระหนี้สิน


ฟ้องกรมการศาสนา ฟ้องไปยังส่วนราชการของสามี คนไม่ดี ไม่ควรอยู่ในผ้าเหลืองค่ะ แต่หาหลักฐานให้ได้ก่อนนะคะ จะได้ดิ้นไม่หลุด พระอาจารย์อาจกลายเป็นพระลูกวัด หรือไม่ก็ถูกสึกไปเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เลิกจับผิด จับถูก ท่านหรือแฟนของคุณได้แล้ว มันไม่ช่วยสถานการณ์ใดๆเลยให้คุณสบายใจหรือดีขึ้นเลย ยิ่งเราทำอย่างนั้นเรามีแต่จะทุกข์ไปหน้าเรื่อยๆ ก่อกรรมโดยไม่รู้ตัว ถามจริงเขาไม่มีมรดกใดเลยหรอไว้ให้คุณ เช่น บ้าน รถ อะไร หากไม่ไหวหนี้สิน ก็เอามันออกมาเคลียร์ซะ ขายซะให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ลูกพอบวชได้ก็ให้บวช ที่วัดไหนๆก็ได้ ไม่ต้องเรียนมันแล้ว และตัวเองก็ไปบวชที่วัดไหนก็ไป ไปพิสูจน์ธรรมดูซิทำไม ทำไมท่านหรือ บุคคลอื่นจึงออกบวชกัน ไม่ใช่จะมาตอกย้ำอะไรอยู่นี้ มันจะดีก็ดีไปนานแล้ว เด็ดขาดหน่อยใจ อย่ากลัวความทุกข์ จะว่าทุกข์มันก็ผ่านมาจนบัดนี้แล้วมันก็อยู่ได้ มันไปเรื่องมาก มากเรื่องตรงที่การคอยพยายามที่อยู่ของเราเองนี้ละ จะเอาอย่างนั้น ไม่เอาอย่างนี้ ไม่เข้าใจเนื้อที่มันก็อยู่ของมันเองแล้ว ที่อยู่ได้จนถึงวันตายกันทุกคน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อยากทราบว่าเหตุใด


เพราะสังสารวัฏนั้นยาวนานมาก..ผลอันเจ็บปวดนี้ ปรากฏแก่ท่านผู้ถามแล้ว ก็เพราะท่านผู้ถามเองนั่นแหละที่ได้ก่อเหตุเอาไว้ เหมือนบุคคลผู้เพียรปลูกต้นไม้ใหญ่เอาไว้แต่กาลก่อน กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนาน.. บัดนี้ ผลแห่งต้นไม้นั้นกำลังออกดอกออกผลมาฟ้องเหตุแล้ว....
แต่บางครั้งเราก็ลืมกรรม เพราะว่า สังสารวัฏมันยาวนาน เนิ่นนานอย่างนี้
แต่ผลที่เกิด ย่อมฟ้องเหตุของตนๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ต้านทานได้ยากนัก
ในคราวที่ท่านผู้ถามกระทำกรรมที่เบียดเบียนผู้อื่นในกาลก่อน ผู้ที่เขาเดือดร้อนเพราะกรรมของท่านผู้ถามนั้น ก็ย่อมกล่าวพ้ออย่างนี้ว่า ....เหตุใดหนอ คนที่ทำกรรมไม่ดี จึงไม่ได้รับผลเล่า ?... เหตุใดผลที่แสบร้อนปานฉะนี้จึงเกิดแก่เราผู้ไม่ได้ทำผิดอะไรด้วยเล่า?
การต่อว่าต่อขานที่พยายามจะหาคนอื่นมารับผิดชอบต่อกรรมของตน เคยปรากฏมากมายแล้วในอดีต แม้ในปัจจุบันก็คงเป็นไปอย่างนั้น และแม้แต่ในอนาคต ก็ย่อมปรากฏอย่างนี้นี่แหละ
เพราะกรรมบางอย่างมีระยะฟักตัวยาวนาน ต่างกันออกไป..เปรียบเหมือนต้นทุเรียน กว่าจะให้ผลก็ยาวนานมาก ใช้เวลานาน ต่างกับต้นกล้วยที่ออกผลได้เร็วทันใจ..ดังนั้น กรรมทุกอย่างล้วนมีผล ต่างกันที่ระยะเวลา และการอาศัยปัจจัยต่างๆ อีกมากมาย จนกว่ากรรมนั้นจะส่งผลได้
ประโยชน์อะไรที่ท่านผู้ถามจะเฝ้าก่นทุกข์ ตำหนิติเตียน ผูกอาฆาตพยาบาทต่อสามี...เขาก็เพียงแค่ยังร่าเริงในการทำบาปอยู่ โดยไม่รู้ว่า สักวันหนึ่ง ผลอันแสบร้อนย่อมปรากฏแก่เขาเช่นกัน...ใครทำอย่างไร ก็ย่อมได้ผลอย่างนั้น จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง..แม้เราจะลืมกรรม แต่อย่าลืมว่า กรรมไม่เคยลืมเรา

หากท่านผู้ถามใช้ขันติ ใช้เมตตา ใช้ความสงบนิ่งและใช้การยอมรับ ...ท่านผู้ถามก็จะสามารถดับพิษแห่งทุกข์ได้โดยเร็ว
เหมือนบุคคลผู้ต้องอาวุธอันมีพิษร้าย ก็ใช้ความสงบนั่นแหละ ไม่กระสับกระส่าย ตั้งใจ เร่งกำจัดพิษออกจากตน ...ทำแผลให้สะอาด ...ดื่มยาแก้พิษ ..แล้วดูแลตนเองเป็นอย่างดี..
ด้วยเหตุที่ดีอย่างนี้....ไม่นานนัก..แผลที่มีพิษ ที่เกิดขึ้นก็ย่อมสงบไป ...หายไป ...คงมีแต่รอยแผลเป็น ที่ไม่กำเริบอีก
หากแต่ว่า หากท่านผู้ถามต้องอาวุธที่มีพิษร้าย ก็เอาแต่เศร้าโศกคร่ำครวญตัดพ้อต่อว่าคนที่ทำร้ายแก่ท่าน ประโยชน์อะไรๆ ที่จะเกิดขึ้นแก่ท่านนั้นไม่มีเลย ...
ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บ..
คิดคิดก็ยิ่งชอกช้ำ..
หลงเวียนวนสร้างกรรมใหม่ด้วยใจที่เศร้าหมองไปกับโทสะ เคียดแค้นและชิงชัง บาปก็ย่อมมีกำลังมากขึ้นอีก..
เหมือนบุคคลผู้ไม่แยบคาย ถูกศรพิษเสียดแทงแล้ว ไม่กำจัด ไม่เอาออกแล้วไม่เร่งชำระแผล ไม่ทำการรีดพิษออก ไม่ดื่มยาแก้พิษ ไม่ดูแลแผลเป็นอย่างดี..ถามว่า บุคคลนั้นย่อมเดือดร้อนยาวนานใช่หรือไม่ ?... แผลนั้น เมื่อไม่ได้รับการดูแลด้วยดีก็ยิ่งก่อพิษร้ายแทรกซึมไปทั่วร่างกาย ใช่หรือไม่?...
คำตอบ คือ ใช่
ด้วยการประพฤติต่อตนเองผิดทางเยี่ยงนี้ ถามว่า... เราจะพึงหวังว่า แม้แผลที่เราถูกพิษก็จงหายไปเถิด ได้หรือไม่?
คำตอบคือ พึงหวังไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น การยอมรับจึงจำเป็นต้องเกิดขึ้นเสียก่อน ยอมรับว่านี้เป็นผลแห่งกรรมชั่วของเราแต่หนหลัง มิฉะนั้น ผลอย่างนี้จะเกิดได้อย่างไรกันเล่า ?

เมื่อยอมรับได้แล้ว ความเดือดร้อนที่รุมเร้าก็ลดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว..เหมือนบุคคลผู้วางแก้วเจีย ระนัยเอาไว้ คราวที่บุคคลอื่นมากระทำให้แตกเสียหายไป ความโกรธเป็นอันมากย่อมเกิดแก่บุคคลผู้เป็นเจ้าของนั่นแหละ ความเสียดายย่อมจู่โจมแล้ว ความเกรี้ยวกราดย่อมเกิดขึ้นในบุคคลผู้ทำแตก คำบริภาษ ความคาดโทษ ความเรียกร้องให้รับผิดชอบค่าเสียหายย่อมเกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องจากบุคคลผู้ ทำแก้วเจียระนัยแตกเสียหายนั่นเอง
แต่ในคราวที่ตนเองเป็นผู้กระทำแตกเสียเองเล่า?..จะทำไฉน?
ความเสียดาย ความเสียใจก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดานั่นแหละ แต่การคาดโทษ การบริภาษ ความเกี้ยวกราดตนเองย่อมไม่เกิดขึ้น การเรียกร้องค่าเสียหายเพื่อการรับผิดชอบจากตนเองย่อมไม่มี ใช่หรือไม่?

ดังนั้น หากยังคิดว่า บาปนี้ ผลนี้เกิดเพราะคนอื่น โทษคนอื่น ท่านก็ย่อมเดือดร้อนไม่สิ้นสุด เพราะเรียกร้องความรับผิดชอบต่อผลกรรมของตนเองจะได้อย่างไร? ผลของกรรม ได้กำหนดโทษไว้ในตนเสร็จสรรพแล้ว สมควรแล้วแก่เหตุทุกกรณี
เมื่อยอมรับได้ ว่า นี้เกิดแต่กรรมไม่ดีของเราแต่กาลก่อน เพราะบัดนี้ เราได้ฟังธรรมที่ประกอบเหตุผลแล้วเกิดความรู้ความเข้าใจเรื่องกรรมขึ้นมา แล้ว ..ใจจึงละความพยาบาทลงไป ละความเคียดแค้นชิงชัง ไม่ยื้อแย่งหรือพยายามเรียกร้องอย่างไร้ผล เอากับคนอื่น..
จากนั้น ความเมตตาก็เกิดขึ้นแก่ตนเอง ไม่หลงทำร้ายตนเองอีก ไม่ประพฤติกรรมที่เบียดเบียนทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่บริภาษ ไม่ผูกพยาบาท ...เพราะรู้ว่า นี้ จะเป็นกรรมดีอย่างใหม่ของเรา เราพึงเจริญให้มาก..
จิตใจที่เกิดขึ้นด้วยศรัทธาที่เชื่อกรรมและผลของกรรม อย่างใหม่ ...ย่อมเป็นกรรมดี ...กรรมดีนี้ ย่อมกำจัดความเร่าร้อน ณ ที่ตรงนั้นไปเป็นอันมาก..แล้วจงเร่งทำความสนใจไปในสิ่งที่ยังเหลืออยู่ หาหนทางที่ดีกำจัดทุกข์ของตนเองและลูกๆ แก้ทุกข์ไปแต่ละคราวๆไป เหมือนคนที่ถูกอาวุธที่มีพิษร้าย.. เร่งทำแผลด้วยดี รีดพิษร้ายออกไป ไม่ชิงชังแผล ไม่ละเลยแผลนั้น


การรีดพิษร้ายก็คือ การลดละความความพยาบาท ลดความชิงชังให้ออกจากใจของตนเอง
การทำแผลก็ได้แก่ การที่ยอมรับแล้วเร่งทำใจให้เกิดบุญแทนที่
กรรมทุกชนิด ล้วนมีผล..เมื่อกรรมชั่วยังผลได้ เหตุใด กรรมดีที่เราเพียรทำอยู่จะไร้ผลเล่า?..
กรรมดีนั้น ให้ผลยิ่งใหญ่กว่า มีกำลังมากกว่าบาปมากนัก ดังนั้น หากรักตนเอง จงกระทำใจให้เกิดบุญเถิด
การยอมรับว่า นี้ เป็นกรรมเก่าของเรา ก็ชื่อว่าบุญ
การละความพยาบาทแก่สามี และพระที่บวชสามีก็ชื่อว่าบุญ
การให้อภัยต่อเขาทั้งสอง ก็ชื่อว่าบุญ
การตั้งใจดูแลลูก ด้วยความอดทน ก็ชื่อว่าบุญ
ความขวนขวายที่จะจัดการชดใช้หนี้สิน ก็ชื่อว่าบุญ

บุญย่อมยังผลให้เกิดความสุข..หากจิตใจของท่านผู้ถามประกอบด้วยบุญอย่างนี้ ความเร่าร้อน และความทุกข์จะมาแต่ไหน?
เมื่อรักษาแผลดี ปฏิบัติตนดี พิษย่อมปราศจากไป ...จะยังคงเหลือเพียงรอยแผลเป็น ที่ไม่กำเริบอีกต่อไปแล้ว ..แผลเป็นนั้นปรากฏเพียงเป็นครูสอนใจ สอนเรื่องกฏแห่งกรรมให้ตนเองระลึกด้วยสติสืบไป นั่นเอง
พึงค่อยๆ ทำการงานไปทีละส่วน...ทุกข์ หรือสุข ก็ไม่เที่ยง...แต่ทุกข์นั้นเบียดเบียนตน..ส่วนสุขนั้นยังพออาศัย ได้แม้จะไม่เที่ยง..จงเลือกกระทำเหตุที่อุปการะตนเอง แล้วอยู่อย่างพอเพียง ไม่ครุ่นคิดถึงอนาคตจนตนเองเดือดร้อนใจเพราะกังวล..อดีตที่จบลงไปแล้ว ก็หาประโยชน์อะไรไม่ได้ที่จะระลึกนึกถึง..
จงอยู่กับปัจจุบันด้วยสติ ยอมรับ แล้วก็ปล่อยไป ทำดีที่สุด แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเอง..ส่วนเรานั้น จงดำรงชีวิตด้วยสติเข้าไว้..
อีกไม่นานทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดี เพราะเหตุที่ท่านผู้ถามเพียรทำกรรมใหม่อยู่นั้น ...เป็นกรรมดี นั่นเอง
..

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 17:14
โพสต์: 84

แนวปฏิบัติ: ตามดูจิต
งานอดิเรก: เลี้ยงแมว/ดูหนัง/เล่นเนต
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรมะ
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ไล่อ่านมาตั้งแต่หัวกระทู้
ก่อนอื่น...ก็อยากจะบอกให้คุณเจ้าของกระทู้ "หยุด" เสียก่อนนะคะ
หยุดคิด หยุดวิพากวิจารณ์ หยุดอารมณ์ด้านมืดเสียก่อน เพราะว่า
สามีของคุณ ณ ตอนนี้ ท่านไม่ใช่ฆารวาสแล้ว
การกล่าวพาดพิง ตั้งข้อสงสัย โดยปราศจากการพิสูจน์ กับผู้ที่อยู่ในสมณสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ ถือว่าเป็นการก่อกรรมนะคะ

ยังไม่จบค่ะ..ยังมีบางสิ่งที่ดิฉันอยากอธิบาย กรณีนี้นี้ ดิฉันคิดว่าคุณไม่ผิดอะไรเลยนะคะ
มันเป็นธรรมดาที่คุณจะรู้สึกว่าท่านทิ้งภาระหน้าที่และความรับผิดชอบมากมายไว้ให้คุณ
ซึ่งเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว คุณจึงคิดว่าท่านเห็นแก่ตัว

แต่ดิฉันถามคำถามคุณง่ายๆนะคะว่า ถ้าท่านไม่สึก คุณจะทำไง?
ขอถามต่อว่า ถ้าคุณไปฟ้องกรมศาสนา (อย่างที่บางท่านแนะนำ) แล้วพระท่านยอมสึก แต่หนีไปที่อื่นอีก...คุณจะทำไง? จะหาเจอไหมงานนี้ หนักกว่าเดิมอีกมั้งคะ
คือดิฉันอยากจะบอกว่า ลองค่อยๆใช้สติแก้ปัญหาดูก่อนนะคะ ปัญหามันเกิดเท่านี้ ก็ขอให้มันอยู่เท่านี้
แต่อย่าให้มันลุกลามมากไปกว่านี้ค่ะ การใช้อารมณ์แก้ปัญหา ก็ไม่ต่างจากเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟ

ถ้าไม่เป็นการแทรกแซง ก็พอจะมีคำแนะนำที่อยากจะแนะให้ลองนำไปพิจารณาดูนะคะ ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ (ส่วนเรื่องพระอาจารย์ เดี๋ยวจะคุยต่อถัดไปค่ะ)
- ดิฉันอยากจะแนะนำ ให้คุณลองสงบสติอารมณ์ก่อนนะคะ
- สงบแล้ว ก็ให้ไปวัด ก่อนไปก็ขอให้จำไว้ว่าอย่าใช้อารมณ์ อย่าพูดเรื่องสึกไม่สึก ขอให้เรื่องที่จะพูดกับท่านเป็นเรื่องของ เหตุผลที่ท่านถึงตัดสินใจบวช ซึ่งดิฉันเข้าใจว่าคุณอาจจะรู้แล้ว แต่ดิฉันก็ขอให้ไปคุยกับท่าน"ในอารมณ์ใหม่" ใช้หลักเมตตาในการสนทนา ห่วงท่าน แต่อย่าไปหวงท่าน
- และก่อนไปก็ไปจำแนกปัญหาก่อนนะคะว่า ให้คิดไว้ก่อนว่าปัญหาอะไรที่คุณรับผิดชอบเองได้ไหว และปัญหาอะไรที่คุณไม่สามารถ และพระท่านต้องเป็นคนจัดการ ที่ดิฉันแนะแบบนี้ เพราะไม่อยากให้ฝืน เพราะสุดท้ายแทนที่จะได้อะไรบางอย่างกลับมา อาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลยก็ได้ หนำซ้ำอาจจะมีปัญหาหนักกว่าเดิม...คิดเสียว่าถ้าท่านเลือกทางแบบนี้แล้ว แต่ก็ออกมาเป็นรูปแบบนี้ ส่วนหนึ่งคุณก็ควรจะแจ้งท่านไปให้รับทราบ สุดท้ายท่านจะทำไง จะปล่อยไป จะไม่สนใจก็แล้วแต่วิธีของท่าน ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพนะคะ เช่น คุณกับท่าน มีปัญหาร่วมกัน 10 อย่าง คุณวิเคราะห์แล้วว่าถ้ามันต้องออกมาในรูปแบบนี้จริงๆคุณจะสามารถรับไหวได้แค่นี้ๆ เท่านั้น (เอาตามจริงนะคะ) แล้วก็เอาตรงนี้ไปอธิบายท่าน ท่านจะฟังแล้ววุ่นวาย หรือไม่วุ่นวาย ก็ต้องแล้วแต่ท่าน เพราะตามหลักจริงๆ ท่านก็สละ(ปัญหา)แล้วทุกสิ่ง มาทางนี้

เคสนี้ดิฉันขอแสดงความคิดเห็นนะคะว่า ไม่หมือนเคสของพระพุทธองค์นะคะ
พระพุทธเจ้าท่านสละความสบายของพระองค์ท่าน ซึ่งการที่ท่านไปออกบวช ก็ไม่ได้ทำให้บุพการี ภรรยาและลูกต้องลำบาก เนื่องด้วยเป็นกษัตริย์ อำนวยด้วยทรัพย์สมบัติอยู่แล้ว แต่ที่บุพการี ภรรยาและลูกทุกข์กับพระองค์ท่านจากการออกบวช ก็เพราะ ความยึดมั่นถือมั่น แต่ในภายหลังพระพุทธองค์ก็ทรงมาโปรด ให้ธรรมเป็นทาน (ทานอันประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใด)

และพระสามีของคุณ อืม....
ก็ลองกลับไปตามวิธีที่แนะนำดูนะคะ ดิฉันพยายามช่วยทั้งสองฝ่าย เข้าใจคุณ แต่ก็ไม่อยากให้คุณเสียเวลาไปกับการสงสัย ที่ไม่เกิดประโยชน์ ตอนนี้เวลาที่มีก็คิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อนเถอะนะคะ

ส่วนเรื่องพระอาจารย์ อยากจะบอกว่า ท่านจะแสดงหรือกระทำการสิ่งใดๆออกมา หรือแม้แต่ท่านจะเป็นอะไรหรือไม่เป็นอะไรก็ตาม ก็อยากจะบอกคุณว่า อย่าไปสนใจเลยนะคะ
เพราะใครทำอะไร มีเจตนาอย่างไร กลไกลของกรรมมันจะทำหน้าที่ของมันเอง
ทำดี คิดดี พูดดี เจตนาดี ก็เป็นกุศลกรรม
ทำชั่ว คิดชั่ว พูดชั่ว เจตนาชั่ว ก็เป็นอกุศลกรรม
ใครทำอะไรย่อมได้อย่างนั้น
สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าที่ปฏิบัติดีแล้ว ย่อมได้กุศลกรรมแห่งความดีมากกว่าฆราวาสอย่างเราๆ
ฉันใดฉันนั้น สงฆ์ที่มีแต่ผ้าสีเหลืองหุ้มกาย ไม่ปฏิบัติดี ไม่ปฏิบัติชอบ ก็ย่อมได้รับ อกุศลกรรมแห่งบาปมากกว่าฆราวาสอย่างเราๆเช่นกัน...

สำคัญคือ คุณต้องไม่ประมาท ที่จะก่อกรรมทั้ง
กายกรรม
วจีกรรม
มโนกรรม

ใครทำอะไรก็ย่อมได้รับกรรมเช่นนั้น และทุกสิ่งที่เกิดก็คือ วิบากกกรมมที่ทำร่วมกันมาทั้งนั้น

สุดท้ายก็ขอให้คุณผ่านพ้นเรื่องต่างๆไปได้อย่างมีสตินะคะ

.....................................................
จงขอบคุณเมื่อความทุกข์เกิด เพราะมันคือบทเรียนให้เราก้าวหน้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 00:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2008, 14:07
โพสต์: 285

อายุ: 0
ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


เสียใจด้วยครับ
สำหรับสามีคุณที่ท่านได้ไปบวชเป็นพระแล้ว ก็ต้องถือว่าเป็นการตัดสินใจของท่านครับ
เรื่องนี้ผมคงตอบอะไรไม่ได้มาก เพราะเกี่ยวกับพระ เดี๋ยวจะพากันลงนรกโดยไม่ตั้งใจครับ

ผมขอให้คุณอยู่กับปัจจุบันดีกว่าครับ
ขอให้ทำใจนะครับ
ขอให้คิดในมุมว่า ตอนนี้สามีคุณได้เลิกกับคุณแล้ว
ไม่ต้องสนใจว่า เลิกแล้วเขาจะไปทำอะไรที่ไหน
เขาจะเลิกกับคุณโดยการ ไปมีเมียใหม่ แล้วทิ้งภาระให้คุณ
หรือ ไป บวชเป็นพระ
หรือ ตาย ก็ตาม
สุดท้าย คุณกับเขาก็ต้องพลัดพรากจากกันอยู่ดีครับ

ขอให้กลับมาสู้กับปัญหาในปัจจุบันดีกว่าครับ
โชคดีครับ

.....................................................
"ใครเกิดมา ไม่พบพระพุทธศาสนา ไม่เลื่อมใส ไม่ปฎิบัติ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เป็นโมฆะตลอด ตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย"

"ให้พากันหมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา"

พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
http://www.luangta.com/

"ทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน หัวใจของการปฏิบัติคือการมีสติในชีวิตประจำวัน"
หลวงปู่มั่น

"ดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว"
หลวงพ่อปราโมทย์ สวนสันติธรรม ชลบุรี
http://www.wimutti.net


แก้ไขล่าสุดโดย kritsadakorn เมื่อ 11 ม.ค. 2010, 00:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 02:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


พอร้อน สัญชาติญาณของมนุษย์
ก็มักหนีร้อนไปพึ่งเย็น สามีคุณหนีร้อนไปพึ่งเย็น โดยหวัง
เอาธรรมะเป็นที่พึ่ง ดูเผินๆ เหมือนเห็นแก่ตัว แต่อาจจะเป็น
ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้ ก็ร่วมอนุโมทนาไปกับเขา
เถอะค่ะ อย่าขัดขวางเลย ส่วนปัญหาต่างๆ ก็ค่อยๆแก้ไป
อันไหนแก้ได้ก็แก้ อันไหนแก้ไม่ได้ก็พักไว้ก่อน ตั้งสติให้ดี
ลองเอาธรรมะเป็นที่พึ่งเหมือนสามีคุณดูซิค่ะ :b1:

เจริญในธรรมค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2010, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ม.ค. 2010, 20:20
โพสต์: 47

ชื่อเล่น: ซี
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง

ยากที่จะรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริง

ที่สามีของคุณไปบวชนะครับ

ตอนนี้จะคิดอะไรก็คิดได้ แต่อย่าคิดพาดพิงไปในด้านที่เสียหาย

เพราะมันไม่ได้ทำให้ฝ่ายใดได้ประโยชน์ขึ้นเลย

ตัวคุณก็จะร้อนไปด้วยไฟแห่งความโกรธ เคลือบแคลงใจ

ถ้าเป็นได้ก็คงขอให้คุณอนุโมทนาบุญไปกับพระสามีของคุณ

เมื่อเเขาเลือกไปในทางที่ดี

ก็ขออนุโมทนาบุญกับเขาเถอะครับ :b50:

.....................................................
ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง
คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาติดตัวตรัง ตรึงแน่น
ตามแต่บาปบุญแล ก่อเกื้อรักษา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 01:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


s4335097 เขียน:
ขออัพเดทนิดนึงค่ะ
ตกลงเค้าบวชเพราะอะไร.....?


ขอแสดงความเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะค่ะ
แต่ถ้ามองในแง่ที่ดี ก็ดีแล้วที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันสิ้นสุดกันได้ ถึงเราจะต้อง
รับผิดชอบหนี้สินที่ก่อมาด้วยกัน ก็คิดเสียว่าเราซื้อบทเรียนชีวิต เพราะ
ถึงจะคิดจะแค้น จะอาฆาตไปก็จะเป็นการก่อกรรมกันไปอีก สู่อนุโมทนา
ส่งให้เขาไปตามทางของเขา :b4:

ตอนตัดสินใจบวชอาจจะต้องการที่พึ่งจริงๆ แต่วาสนาไม่ถึงจึงไม่สามารถครอง
ผ้าเหลืองอยู่ได้นาน เราอนุโมทนาไปตอนนั้นเราก็ได้บุญไป แต่ถ้าเขาบวช
เพราะต้องการหนีความรับผิดโดยการใช้ผ้าเหลืองมาเป็นข้ออ้าง คุณก็คิดดูเอาว่า
เขาน่าสงสารขนาดไหน? เพราะกรรมอันนี้ไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน ใครทำอะไรไว้
ก็ได้ต้องได้รับผลของกรรมนั้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับ
ปัจจัยหลายๆอย่าง อโหสิให้เขาไปเถอะนะค่ะ จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ เราคิดดี
พยายามสร้างสมแต่ความดี ก็ไม่มีใครได้รับผลอันนี้ นอกจากตัวของเราเอง
อย่างน้อยๆ ผลที่ได้รับโดยตรงก็คือ "สุขใจ" มีคนอีกตั้งมากมายที่เป็นทุกข์ยิ่งกว่าเรา
จะกินสักมื้อก็ยังไม่เคยเต็มอิ่ม เดี๋ยวทุกสิ่งทุกอย่างมันก็จะผ่านไปกลายเป็นอดึต
อาจจะมีสิ่งใหม่ๆ ที่ดีๆ รอเราอยู่ข้างหน้าโน้นก็ได้นะค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 17:14
โพสต์: 84

แนวปฏิบัติ: ตามดูจิต
งานอดิเรก: เลี้ยงแมว/ดูหนัง/เล่นเนต
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรมะ
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออัพเดทนิดนึงค่ะ

หลังจากบวชไปได้ 15 วัน ปรากฏว่า เค้าต้องการหย่า โดยบอกทุกคนว่าจะบวชตลอดชีวิตแน่นอนแล้ว
ดิฉันจึงไปหย่าให้เค้า โดยไม่ได้ระบุหนี้สินใดๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการแต่งงานเพื่ออนุโมทนาให้เค้าซะ

ปรากฏ ว่าหลังจากหย่าได้ไม่กี่วันเค้าก็สึกแล้วกลับไปทำงาน แล้วไม่พูดถึงความรับผิดชอบในภาระใดๆ เลย ตอนนี้ดิฉันก็ต้องใช้หนี้ แล้วก็มีตราบาปว่าเป็นหม้าย ส่วนเค้าก็ตัวเบากลับไปทำงาน เงินทองไม่พูดถึง ไม่ติดต่อ พ่อเค้ามาขนของของเค้าที่ซื้อหามาจากการก่อหนี้สินให้เรา ..ซึ้งมั้ยคะ

ตกลงเค้าบวชเพราะอะไร.....?


อืม..ดิฉันสงสัยนิดหนึ่งนะคะ คุณ+อดีตสามี มีอะไรที่ไม่ดีต่อกันบ้างไหมค่ะ
คือมีปัญหาอะไรกันอยู่ลึกๆหรือเปล่า เช่น คุณชอบสร้างปัญหาให้เขา หรือมีอะไรที่มันยังมีอยู่ในใจ
เพราะเท่าที่ฟังมา การกระทำของอดีตสามีคุณนี่... มันมองเป็น 2 มุมได้เลยนะ คือ ถ้าไม่เกลียดคุณ ก็ ไม่มีความรับผิดชอบสุดๆ เพราะจากเหตุการณ์ที่เล่ามาเหมือนเขามีการวางเสตปแผนไว้ว่า ไปบวช ขอหย่า
แล้วก็ผลักภาระหนี้มาให้คุณ พอหย่าได้กลับคำ ดันสึกออกมา....มันแปลกมากเลย

มันดูเป็นการกระทำที่เลือดเย็นมาก แต่คนที่คิดจะทำแบบนี้ได้ มันต้องมีอะไรลึกๆ ที่เขายังไม่พูดกับคุณ หรือคุณยังเล่าไม่หมด ดูอย่างพ่อสามี ก็ไม่ช่วยกันเคลีย แถมยังมาช่วยกันขนไป แสดงว่าเขาต้องรู้อะไรกันลึกๆ
ไม่รู้สินะ อดีตสามีคุณ อาจจะ
1. เป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ เป็นลูกที่ถูกเลี้ยงมาแบบไม่เคยลำบาก พ่อแม่ตามใจ ไม่เคยขัด
หรือ 2. เขาคิดว่าหนี้สินเหล่านี้ คุณต้องรับผิดชอบ เขาถึงไม่ถามไม่พูด ไม่เอ่ย ไม่แสดงอะไรออกมา หรือไม่คุณอาจจะเคยไปทำปัญหาอะไรให้เขาลำบากใจ จนเขารู้สึกว่าเขาอยากออกจากชีวิตคุณ

ไม่รู้นะ ดิฉันประเมินจากที่คุณเล่าเท่านั้น การกระทำลักษณะนี้ เป็นการลงโทษคู่ชีวิตที่โหดมาก เห็นแก่ตัวมาก มันต้องมีสาเหตุแน่ๆ

หนี้สินเหล่านี้ ส่วนใหญ่ใช้ชื่อใครออกหน้าคะ
เป็นชื่อคุณ หรือชื่ออดีตสามี
ถ้าเป็นชื่อของอดีตนำ ก็ยกหนี้ก้อนนั้นให้เขาไป
ถ้าเป็นของคุณ คุณก็รับไป

แต่อย่างไรเสีย ถ้าคุณมั่นใจว่า ปัญหา ร่วมกันก่อ อย่างแน่นอน ไม่ใช่คุณคนเดียวที่ก่อ
ก็แนะนำว่า
1. ไปติดต่อขอให้เขาช่วย ให้ช่วยกันเคลียเสียดีๆ ไม่งั้น ก็อาจจะแจ้งเรื่องถึง เจ้านาย
2. หาทนาย มาฟ้องร้องตรงนี้ ลองไปปรึกษาเพราะเรื่องบางเรื่อง มันก็ไม่ได้แปลว่า แค่เซ็นใบหย่าก็จะผลักภาระไปให้คนอีกคนได้ทั้งหมด ทุกอย่างต้องมีการสืบเสาะ ที่มาที่ไป
3. รอให้กรรมมาตามสนองการกระทำ ถ้าเขามีเจตนาชั่ว การอาศัยผ้าเหลืองกระทำการ จะเป็นบาปร้ายแรงมาก ทุกอย่างกรรมจะตัดสินเอง แล้วคุณก็อโหสิกันไป คิดเสียว่าไปทำเขามาก่อน

ดิฉันเข้าใจคนที่มีภาระหนี้สินหนักอึ้ง บางครั้งมันก็ไม่ยุติธรรมถ้าจะให้คนๆเดียวมารับผิดชอบทั้งหมด
ดิฉันจึงแนะนำได้แต่เพียงเท่านี้นะคะ สุดท้ายคุณก็ต้องใช้สติวิเคราะห์ให้มากๆ

โชคดีค่ะ

.....................................................
จงขอบคุณเมื่อความทุกข์เกิด เพราะมันคือบทเรียนให้เราก้าวหน้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2010, 05:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ต้องไปว่าใครถูกใครผิดหรอกครับ..ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ..มีทั้งถูกทั้งผิด..ในคน ๆ เดียวกัน..ทั้งนั้นแหละครับ

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม...เสมอ...ไม่ว่าเราหรือเขา

เมื่อเราทำดีแล้ว..ผลของความดี..มีแก่เราเสมอ

ที่ยังไม่ได้ดี..ก็แค่ผลของความไม่ดี..ยังให้ผลอยู่..ก็อย่าท้อใจไปเสียก่อน

ความดีนี้..มีอะไร..ทำอย่างไร??..บุญกิริยาวัตถุ 10 ย่อเหลือ...ทาน...ศีล... ภาวนา..

ให้ถามตัวเองว่า..เราทำความดีแล้วหรือยัง??

ทาน..เรามีจิตใจของการให้ไหม??..หรือ..ตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ตัว..หากมีจิตใจของการให้แล้ว..ก็สาธุ :b8:
ศีล..เรามีจิตใจแห่งความสัตย์ซื่อถือคุณธรรมไหม??..หากมีแล้วก็สาธุ :b8:
ภาวนา..เราได้ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ไหม??..มีตรงไหนมีสุขจริงบ้าง..ไม่มีเลย..เห็นทุกข์ไหม??..เกิดอีกก็ทุกข์อีก..ยังอยากเกิดอีกไหม??..เมื่อได้เห็นความทุกข์แล้ว..ก็หาทางปฎิบัติเพื่อให้ถึงความไม่มีทุกข์..ซะ

ตราบใดที่เรายังคงมุ่งมั่น..ทำความดีอย่างนี้แล้ว..ความทุกข์ทั้งหลายจะค่อย ๆ น้อยลง..จนถึง..ไม่มีทุกข์เลย..

นี้คือความจริง..ครับ

ในส่วนเรื่องหนี้สิน..แม้จะหย่าร้างกันไปแล้ว..คงไม่ได้ทำให้ภาระของการรับผิดชอบในตัวหนี้สินนี้..หมดไป..หากหนี้สินนี้..ก่อมาด้วยกัน..มีผลได้ผลเสียร่วมกัน..ศาลท่านให้ความยุติธรรมกับคุณได้ครับ


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 08 ก.ค. 2010, 05:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2010, 02:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


s4335097 เขียน:
เค้าเลยใช้วิธีหลอกว่าจะบวชตลอดชีวิต
มาเป็นตัวช่วยบีบให้ดิฉันปล่อยเค้าไปแต่โดยดี...
ส่วนใคร ถูกเค้าใช้เป็นเครื่องมือบ้าง พิจารณากันเอาเอง...


เขาลงทุนสูงมาก เพียงเพื่อสนองตัณหา ราคะ ของตัวเอง
กรรมอันนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าเขาจะได้รับหรือไม่? นั่นคือตัวของเขา
ส่วนเรา หากตอนที่เขาบวช แม้จะบวชเพื่อหนี แต่ถ้าเราอนุโมทนาให้เขา
บุญแม้จะเกิดแต่เพียงน้อยนิด เราก็ได้รับ นั่นคือเรา

เขาจะใช้ใครเป็นเครื่องมือ หรือใครจะถูกเขาใช้เป็นเครื่องมือคงไม่สำคัญ
ขนาดสามารถใช้ผ้าเหลืองให้เป็นเครื่องมือได้ เรื่องอื่นๆ คงไม่มีอะไรที่
ไม่กล้าทำแล้ว

หากคุณหมายความถึงคำแนะนำที่หลายๆท่าน แสดงความคิดเห็นไว้
เป็นเครื่องมือของเขา ลองกลับไปอ่านทบทวนดูใหม่อีกที แบบใจเป็นกลางนะค่ะ
บางความคิดเห็นอาจจจะดูเหมือนเข้าข้างเขา แต่ลึกๆแล้ว
คิดว่าเป็นการเตือนคุณ ไม่ให้ล่วงเกินพระสงฆ์ แม้ว่าจะคลางแคลงใจ
ในจริยวัตรของท่าน แต่ไม่ควรล่วงเกิน หากท่านมิใช่สงฆ์แท้ ก็แล้วไป
แต่หากเป็นของแท้ ก็จะเป็นบาปมหันต์ติดตัวเราไป ไม่คุ้มกับการที่จะล่วงเกิน
ทั้งทางกาย และทางใจ

คุณอาจจะน้อยใจ จึงไขว่เขวไปบ้าง ข้อความบางตอน อ่านแล้วไม่ละมุนละไม
หวานซึ้ง แต่เชื่อว่าทุกคำแนะนำ ออกมาจากเจตนาที่ดี คงไม่มีใครเข้าข้างใคร
หรือยอมเป็นเครื่องมือของใคร

อย่าเสียใจไปเลย หากเขาไม่ต้องการจะอยู่กับเราแล้ว ก็ปล่อยให้เขาไปตามทาง
ที่เขาอยากจะไป รักษากายและใจของเรา ให้ตั้งมั่นอยู่ในศิลธรรมอันดี
เพื่อภายภาคหน้าดีกว่านะค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ :b4: :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 66 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร