วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 20:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 09:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 11:14
โพสต์: 87

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านกระทู้นี้แล้วมีความสุขจริงๆ ขออนุโมทนาสาธุคะ ที่นำเอาสิ่งดีๆมาให้พวกเราชาวธรรมอ่าน

ขอให้คุณเจริญในธรรมและมีความสุขมากๆนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 12:35
โพสต์: 14

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสำหรับข้อคิดดี ๆ ค่ะ กำลังพยายามทำให้ได้เหมือนที่คำสอนของพระพุทธองค์อยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าอีกนานแค่ไหนจะปลงได้บ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 00:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 14:50
โพสต์: 69

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ด้วยความเคารพครับ ท่านningnong

ผมคิดว่าการมีครอบครัว กับการเดินทาง (ในการปฎิบัติธรรม) ไปด้วยกันได้ยาก มีจุดที่พอดีได้อย่างไร
ขอคำตอบให้ผมด้วยครับ

ขอบคุณมากครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 01:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




.bmp
.bmp [ 376.65 KiB | เปิดดู 5121 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


ความรักของคนตาบอด

คนตาบอด...ที่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันเป็นคู่.... คุณอาจเจอพวกเขาได้ ในที่ที่มีคนอยู่กันเยอะๆ เช่น..ตลาดนัด... พวกเขาไปที่นั่น เพราะหวังว่า... คงจะมี คนใจบุญไปเดินอยู่ที่นั่นบ้าง...

คนสองคน...ที่จับมือกัน...ค่อยๆเดินกระเถิบไปด้วยกันทีละนิด..ทีละนิด... เพราะต่างคน ต่างก็มองไม่เห็นอะไรกันทั้งคู่... นอกจากไม้เท้าคนละอันแล้ว...ในมือพวกเขาถือวิทยุเก่าๆเครื่องนึง... กับไมค์อีกอีกหนึ่งอัน...ที่ขาดไม่ได้ ก็คือขันอลูมิเนียม... อาวุธสำคัญที่ใช้หากินอยู่ทุกวัน.. ผมไม่ คุ้นหู กับเพลงที่เขาร้องนักหรอก.. แต่ก็ดูว่าเขาตั้งใจร้องเหลือเกิน... และดูเหมือนเขาก็ หวัง ว่าคุณจะต้องชอบมัน...
ผมเห็นเขาจับมือกัน... วินาทีนั้น... ทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมเคยมองข้ามมาตลอด.. คุณเคยนึกถึงความรักของ..คนตาบอด..หรือเปล่า.... ตนตาบอดรักกันได้ยังไงนะ... เพราะคนตาบอด...ไม่เคยรู้เลยว่า... คนรักของเขา..มีหน้าตาเป็นอย่างไร.. คนตาบอด..จะรู้จักก็เพียงจิตใจของคนรักของเขาเท่านั้น.. เมื่อเขามีความพอใจกันและกัน.... ไม่มีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ให้กังวลใจ...เพราะต่างคนก็ต่างไม่มีสิ่งนี้... ต่างคน..ต่างก็ไม่มีเงิน... ตาสองข้าง ปิดสนิท....แต่เปิดใจเข้าหากัน.. คนสองคนที่อยู่ด้วยกัน ด้วย " ใ จ " ล้วนๆ... ความรัก....ก็เกิดจากตรงนั้น..

คนตาบอด พาคนที่เขารัก ไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง... คนตาบอด ไม่เคยกลับบ้านดึก... คนตาบอด ออกจากบ้านพร้อมกัน...และกลับถึงบ้านพร้อมกัน... พวกเขาเคยแยกกันบ้างหรือเปล่านะ.... ? คุณรู้หรือเปล่า.....คนตาบอด จับมือของคนที่เขารักไว้ตลอดทั้งวัน... คุณเคยทำอย่างเขาบ้างไม๊... ?

ผมกลับมานึกถึงความรักของคนที่ตาดี... หลายๆคน มีเกียรติยศ หน้าที่ การงาน ที่ดีเหลือเกิน... หลายๆคน ทั้งหล่อ ทั้งสวย...ทั้งรวย ทั้งฉลาด... แต่พวกเราหลายๆคนกลับต้องมาเสียใจเพราะความรัก... หรือว่าพวกเรามองเห็นกัน....เพื่อจะเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการให้มากขึ้น.... เอ....พวกเราคาดหวังอะไรจากคนที่เรารัก....มากเกินไปหรือเปล่านะ...

อนาคตของคนตาบอด..อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้... ดูเหมือนเขาจะ...สงสัยก็เพียงแต่ว่า... วันพรุ่งนี้...จะมีคนใจบุญซักกี่คน... ที่ทำให้พวกเขากลับบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข.... ตอนที่ผมเขียนบทความนี้อยู่...พวกเขาก็คงนอนหลับกันแล้ว... พวกเขาคงไม่มีงานที่ต้องทำดึกๆเหมือนผมหรอก...คุณว่าไม๊ ?

ขอบคุณตลาดนัด...ที่ทำให้ผมเห็นภาพดีๆในวันนี้.... ผมเชื่อว่าครั้งหน้า..ที่คุณเห็นคนตาบอด...ใจของคุณจะเปิดกว้างขึ้น... คุณอาจมองเห็นภาพที่คุณไม่เคยมองเห็น... ไม่ใช่ด้วยตา...แต่เห็นด้วยหัวใจ... เหมือนกับภาพที่ผมได้เห็นในวัน

ขอบคุณบทความจาก tamdee.net



:b11: :b11: :b11: :b11: :b11: :b11: :b11: :b11: :b11: :b11: :b11:


อ้างคำพูด:
ผมคิดว่าการมีครอบครัว กับการเดินทาง (ในการปฎิบัติธรรม) ไปด้วยกันได้ยาก มีจุดที่พอดีได้อย่างไร
ขอคำตอบให้ผมด้วยครับ


ผมมีบทความมาให้อ่าน และความเห็นส่วนตัว ให้พิจารณาครับ

ชีวิตของฆราวาสนั้น ถ้าต้องการปฏิบัติธรรมให้บริสุทธิ และได้ผลอย่างรวดเร็วนั้น ทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะมีข้อติดขัดหลายประการ ทั้งหน้าที่การงาน ครอบครัว ฯลฯ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียทีเดียว

ในสมัยพุทธกาลก็มีตัวอย่างอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น นางวิสาขามหาอุบาสิกา (มิคารมาตา) นั้นเป็นโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ พอโตขึ้นก็แต่งงาน มีลูกหลานหลายคน และก็ไม่ได้ทิ้งธรรม

ผู้ที่จะงดเว้นจากกามราคะได้อย่างสิ้นเชิงก็ต้องเป็นอนาคามีบุคคล หรือพระอรหันต์เท่านั้น ส่วนผู้ที่ยังอยู่ในขั้นต่ำกว่านั้น (ตั้งแต่สกทาคามีบุคคลลงมา) ก็ยังมีกิเลสในเรื่องนี้อยู่ตามขั้น เพียงแต่กิเลสนั้นจะแสดงตัวออกมาหรือไม่เท่านั้น เช่น พระอานนท์ท่านกล่าวว่า ตั้งแต่ท่านบวชมาแล้วความกำหนัดในกามไม่ได้เกิดขึ้นกับท่านเลย แม้ในขณะที่ยังเป็นโสดาบันอยู่ก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ที่จริตของแต่ละบุคคล

ดังนั้น ผู้ที่สนใจธรรมอย่างแท้จริง ถ้าสามารถออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตได้ก็เป็นการดี แต่ถ้ายังมีภาระหน้าที่ ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ก็ควรจะปฏิบัติธรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในวิสัยของฆราวาส เช่น การปฏิบัติกับสามี หรือภรรยา ก็ทำไปโดยสมควรตามหน้าที่ ไม่ใช่ทำไปด้วยอำนาจของกิเลส การบริโภคอาหารก็บริโภคเพื่อแก้หิว เพื่อไม่ให้เจ็บป่วย เพื่อให้ชีวิตเป็นไปได้ตามสมควร ไม่ใช่เพื่อความเอร็ดอร่อย ไม่ใช่เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน ไม่ใช่เพื่อตอบสนองกิเลส ฯลฯ

การกระทำอย่างอื่นๆ ก็ทำนองเดียวกัน คือ พยายามทำไปในทางที่ไม่ให้กิเลสงอกเงย หรือครอบงำจิตใจได้ สร้างสมบุญบารมีเอาไว้ทีละเล็กละน้อยตามกำลังที่จะทำได้ ทั้งในด้านทาน ศีล สมาธิ และวิปัสสนา

เมื่อใดถูกกิเลสครอบงำ พอมีสติระลึกได้ก็รับรู้ตามสภาพความเป็นจริง แล้วปล่อยวาง (เพื่อแก้ไข ปรับปรุง ในโอกาสต่อๆ ไป) อย่ายึดมั่น เสียใจ เพราะความยึดมั่น เสียใจก็เป็นกิเลส จะดึงให้จิตตกต่ำไปเปล่าๆ

ถ้าสามารถพูดคุยกับคู่สมรสให้ปฏิบัติธรรมไปด้วยกันได้ ก็จะยิ่งดีขึ้นมาก และจะลดความขัดแย้งทางจิตใจในการปฏิบัติตัวได้มาก หรืออย่างน้อยก็ควรพูดให้เขาเข้าใจสภาพจิตใจของเรา แต่ละฝ่ายก็จะได้ทำตัวได้ง่ายขึ้น

สรุปคือทำเท่าที่จะทำได้ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่าคิดมาก อย่ากังวล แต่ถ้าออกบวชได้ก็จะดีที่สุด

ผู้ครองเรือนเกี่ยวข้องกับทรัพย์และความวุ่นวายทางประสาทสัมผัสทุกรูปแบบ แม้กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตแบบผู้ครองเรือนจะมีความสุขไม่ได้ ความพอดีคือจุดที่สำคัญ พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนทิ้งโลก แต่สอนให้คนอยู่กับโลก แต่ไม่ยึดติดโลกต่างหาก เดินสายกลางเถอะครับ


:b6: :b6: :b6: :b6: :b6: :b6: :b6: :b6: :b6:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล


แก้ไขล่าสุดโดย ningnong เมื่อ 07 มี.ค. 2010, 01:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2010, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 13:22
โพสต์: 176

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ,ฟังธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่กับปัจจุบัน

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณค่ะ ที่นำมาให้อ่าน
อ่านแล้วรู้สึกดีจังค่ะ :b9:

.....................................................
เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นไปได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2010, 01:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




dhamma01.jpg
dhamma01.jpg [ 31.68 KiB | เปิดดู 5037 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

cool

ศิลปะของการครองรักครองเรือน

:b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45:

เขาว่ากันไว้ว่า "แรกรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน ครั้นอยู่นานไป น้ำอ้อยก็กร่อยขม" แม้ว่าจะเป็นประโยคที่กล่าวต่อเนื่องมาจากโบราณกาลแล้ว แต่ก็ดูยังทันสมัยอยู่เสมอในปัจจุบัน หลายต่อหลายคู่แรกรักกันใหม่ๆ ก็จี๋จ๋าหวานซาบซึ้งกัน มองตากันทั้งวัน จับมือกันทั้งวัน ไปไหนไปด้วยกัน ไม่ยอมแยกห่างจากกันแม้แต่วินาทีเดียว... แบบนั้น มันก็เว่อร์ไปหน่อยจริงไหม และคู่รักหวานแหววแบบนี้ คนเขาก็มักจะนินทาลับหลังว่า ดูไปเถิด ไม่นานก็เลิกกัน รับรองว่าก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำเลย คิดว่าคนที่พูดแบบนั้น คงจะพูดด้วยความอิจฉาริษยา แต่ครั้นสังเกตไปนานๆ เข้า ก็ดันเป็นจริงแบบนั้นเสียด้วยซิ!! :b6: :b6: :b6:

ตรงกันข้าม หลายคู่ที่เริ่มต้นแบบราบเรียบธรรมดา ไม่หวือหวาอะไร แต่พยายามเข้าใจกัน ปรับตัวเข้าหากัน ด้วยความรัก ความผูกพัน ความรักของเขาและเธอกลับหวานแหววเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป และกลับมีชีวิตคู่ที่แสนหวาน น่ารัก เป็นที่ชื่นชมของคนรอบข้าง ...นั่นเป็นศิลปะของการครองรักครองเรือนมิใช่หรือ ??? อย่างน้อยบางเรื่องบางราวของคนในยุคโบราณก็น่าจะนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตคู่ได้ เพราะการจะมีคู่ครองสักคน ต้องอาศัยทั้งความอดทน อดกลั้น และอดออม คนโบราณมักจะสอนว่า ขอให้ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพ็ชร ขอให้ครองคู่กันไปตราบนานเท่านาน ขอให้มองเห็นความดีของกันและกัน ขอให้ใช้ความดีพิชิตใจของแต่ละฝ่าย ขอให้ออมชอมถนอมน้ำใจกันและกัน อะไรหนักนิดเบาหน่อยก็ขอให้อภัยกัน :b20: :b20: :b20:

เคยเขียนให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันเสมอๆ ว่า ชีวิตคู่นั้น จะหวังให้คนอีกคนหนึ่งมาได้ดังใจของเรา เป็นไปไม่ได้ การจะเปลี่ยนนิสัยของคนอีกคนหนึ่งให้มาเป็นแบบที่ตนเองต้องการ ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ถ้าใครคิดจะมีคู่สักคน แล้วหวังว่าเขาหรือเธอจะเป็นไปในรูปแบบที่ตัวเองต้องการเพราะความรัก ขอบอกว่า คิดผิดอย่างมหันต์ เพราะยากพอๆ กับให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกนั่นแหละ และใครที่คิดแบบนี้ ก็มักจะพบความผิดหวังในชีวิตคู่เป็นที่แน่นอน ถ้าจะให้ชีวิตคู่มีความสุข ขอบอกเลยว่า คำต่อไปนี้มีความหมายมากในการมีชีวิตคู่ที่สุขสม... เข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพนับถือซึ่งกันและกัน และให้อภัยกัน เป็นคำที่ยังคงทันสมัยเสมอ แม้กาลเวลาจะผ่านไป เพราะถ้าคุณทำได้...คุณจะไม่ผิดหวังในบุคคลที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของคุณเลย ชาย...หญิงนั้น คิดต่างกัน อุปนิสัยต่างกันในทุกเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรัก หรือกามารมณ์ ถ้าไม่พยายามจะเข้าใจกันแล้ว ชีวิตคู่มักจะพังทลายไปทุกที แต่ถ้าพยายามเข้าใจกันและปรับตัวเข้าหากัน บางคนที่แต่งงานกันเพราะความกตัญญูต่อบุพการี อาจจะมีความสุขมากกว่าคนที่บอกว่าแต่งงานเพราะรักกัน แต่หลังจากนั้นไม่พยายามจะเข้าใจกันมากมายนัก :b16: :b16: :b16:

ความรักนั้น ต้องหมั่นเติมทุกวัน และทุกเวลาที่มีโอกาส ไม่อย่างนั้นความรักที่มีอยู่อาจจะแห้งเหือดหายไปได้ในที่สุด ไม่อย่างนั้นจะมีคำพูดว่า... รักวันเติมวันกันหรือ เตือนตัวเองไว้เสมอว่า วันนี้ได้เติมความรักให้แก่กันหรือยัง ไม่ว่าจะเป็นวาจา หรือการกระทำ แน่นอน กามารมณ์ที่เป็นพื้นฐานของชีวิตคู่ ก็ต้องได้รับการปรุงรสเช่นกัน เหมือนกับการรับประทานอาหารนั่นแหละ บางวันก็อยากจะทานอาหารทะเล บางวันอยากกินเนื้อย่าง บางวันแค่ข้าวผัดสักจานก็พอ เซ็กซ์หรือกามารมณ์ในชีวิตคู่ ก็ต้องได้รับการปรุงแต่งรสให้ใหม่เสมอ ไม่อย่างนั้น นานไปก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่เชื่อคุณลองไปรับประทานอาหารอะไรสักอย่างหนึ่งทุกวันซิครับ แล้วดูว่าคุณทานได้นานเท่าใด เคล็ดลับของการเติมรัก...ปรุงรส จึงเป็นเคล็ดลับในการครองชีวิตคู่ และสิ่งที่ต้องการเป็นอันดับแรกในชีวิตก็คือ... ทำอย่างไร ให้ชีวิตคู่ยืนยาวและเป็นสุขไม่ใช่หรือ การมีชีวิตคู่ด้วยความรัก จึงเป็นปฐมบทของการใช้ชีวิตร่วมกันในทุกยุคทุกสมัย กล่าวกันว่า คนเรานั้นเกิดมาเพื่อแสวงหาความรัก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ไม่ว่าความรักนั้นจะเป็นความรักต่อต่างเพศ หรือเป็นความรักในเพศเดียวกัน ก็นับเป็นความรักเช่นกัน ต้องเรียนให้ทราบกันก่อนว่า ในปัจจุบันนี้จิตแพทย์และนักจิตวิทยาทั้งหลาย ได้มีความเห็นที่ตรงกันว่า ความรักในเพศเดียวกัน เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เป็นความผิดปกติของจิตใจแต่อย่างใด แต่รูปแบบของความรักของคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ก็ยังคงเป็นความรักของชายและหญิง ซึ่งย่อมแน่นอนว่า ในความคิดแล้วเรื่องอะไรก็ตามแต่... ชายหญิงมักจะคิดต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องของสัมพันธภาพและความรักแล้ว กล่าวกันว่า ผู้ชายมาจากดาวอังคาร และผู้หญิงมาจากดาวพระศุกร์ ผู้ชายมีความรักแบบ 'อีโรติก' ในขณะที่ผู้หญิงมีความรักแบบ 'โรแมนติก' ผู้หญิงต้องมีความรักก่อน จึงเกิดอารมณ์พิศวาส แต่ผู้ชายเมื่อมีความสุขสมจากบทพิศวาสแล้ว จะเกิดความรักในตัวของผู้หญิงที่มีความสุขด้วยมากขึ้น ผู้หญิงย่อมมีเซ็กซ์เพื่อตอบแทนความรัก แต่ผู้ชายบอกรักผ่านการมีเซ็กซ์ :b10: :b10: :b10:

...การใช้ชีวิตคู่ จึงต้องอาศัยการปรับตัวเข้าหากัน และพบกันครึ่งทาง พยายามที่จะทำให้คนที่มาใช้ชีวิตคู่เข้าใจและมั่นใจในความรักที่มีต่อกัน ชีวิตคู่ของคนสองคนในระยะแรก กามารมณ์ จึงเป็นสัมผัสรักที่จับต้องได้ในระยะแรกของสัมพันธภาพ การบอกรักกันด้วยภาษากาย และเมื่อเกิดความสุขสมร่วมกันแล้วก็อาจจะเกิดการผูกพันทางใจร่วมด้วย

แต่ชีวิตคู่ที่มีความรักนั้น ต้องมีการพัฒนาต่อไป ชีวิตคู่ จึงจะสุขสม ราบรื่น และยืนยาว เพราะบทพิศวาสและความเสน่หานั้น เป็นความรักแบบหลงไหลได้ปลื้ม ซึ่งจะอยู่ไม่นาน คู่รักที่เข้าใจ จึงต้องพัฒนาชีวิตรักให้เป็น..ความรักฉันท์เพื่อนที่เข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพนับถือซึ่งกันและกัน รวมทั้งให้อภัยในความผิดพลาดของกันและกัน ชีวิตคู่ที่รู้จัก ขอโทษ ขอบคุณ และให้อภัย ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ยืนเคียงข้างกันในทุกสถานการณ์อย่างมีสติ ย่อมเป็นชีวิตคู่ที่อยู่กันด้วยความรักความผูกพันที่พัฒนาจนเป็นชีวิตคู่ของมิตรแท้ที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่กัน โดยไม่เห็นแก่ตัว... แบบเพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ ...และพัฒนาต่อไปจนเป็น เพื่อนคู่ชีวิต ซึ่งจะครองคู่กันด้วยความบริสุทธิ์ใจที่มอบให้แก่กัน ประดุจดอกกุหลาบสีขาวที่แสนจะบริสุทธิ์ นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนหวังและตั้งใจเอาไว้ว่า ขอให้ได้ประสบพบเห็นในชีวิต
นี้


นักจิตวิทยากล่าวว่า ความรักของคนเรานั้น มีการแสดงความรักออกมา 5 วิธีคือ

1. ความรักแบบต้องการสัมผัส เป็นความรักที่มีการแสดงออกที่สัมพันธุ์กับความรู้สึกด้านร่างกาย ที่ต้องการได้รับสัมผัสที่อบอุ่น ได้อยู่ใกล้ชิดกันและมีการตอบสนองทางกายต่อกันและกัน

2. ความรักแบบโรแมนติก เป็นความรักที่มีความรู้สึกหลงไหล ที่รุนแรง รู้สึกว่าอีกฝ่ายดึงดูดใจอย่างมาก

3. ความรักแบบต้องการอยู่ร่วมกัน เป็นความรักที่ต้องการการมีส่วนร่วม แบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ ต่อกัน ต้องการใช้เวลาอยู่ร่วมกันและทำตามคำขอร้องของคู่ของตน

4. ความรักแบบต้องการความแน่ใจ เป็นความรักที่ต้องการความมั่นคงทางใจ อยากให้คู่ของตนเข้าใจตนเอง ขณะเดียวกันก็พยายามเอาอกเอาใจอีกฝ่าย เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ

5. ความรักแบบสัญญาใจ เป็นความรักที่มักเกิดหลังจากใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จนเกิดการผูกพันเป็นสัญญาใจ ที่ต่างก็ยอมรับการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน และเป็นความรับผิดชอบที่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกที่มั่นคงต่อกัน

รูปแบบของการแสดงความรัก 5 วิธีนั้น เป็นรูปแบบที่เสนอโดยคุณหมอผู้อำนวยการ สำนักโครงการสร้างเสริมสุขภาพระดับพื้นที่ของสถาบันส่งเสริมสุขภาพ โดยเรียบเรียง และแปลจากแบบทดสอบภาษาอังกฤษ ซึ่งน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตคู่อย่างสุขสมและราบรื่น ไว้พิจารณาการแสดงความรักต่อกันให้สอดคล้องต่อความปรารถนาของคู่ชีวิต เพราะชีวิตคู่นั้น ต้องอยู่บนรากฐานของความรัก จึงจะยั่งยืน และสามารถครองชีวิตคู่กันไปจนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร เป็นชีวิตคู่ที่เปี่ยมไปด้วย ความรักและความผูกพันที่มีต่อกัน... :b12: :b12: :b12:

ขอขอบคุณบทความ จาก... guru.google.co.th


:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 00:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




earth-light.jpg
earth-light.jpg [ 12.1 KiB | เปิดดู 5029 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

cool


ความเอย...ความรัก

ทำไมคนสองคนถึง “เลิกกัน” ทั้งๆที่เคยรักกัน เคยผ่านประสบการณ์ด้วยกันมามากมาย ภาพความทรงจำของแต่ละคนก็เต็มไปด้วยภาพของอีกคนหนึ่ง…

ทำไมนะ? พวกเขาไม่ “รัก” กันแล้วหรือถึงได้เลิกกัน?

บ่อยครั้ง… จุดเริ่มต้นของความรักมักไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน
บางที… จุดจบของความรักก็อาจจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน

สำหรับผม การเลิกกันไม่ใช่จุดจบของความรัก ผมเชื่อว่าความรักและความผูกพันจะยังคงอยู่ในหัวใจของคนสองคนตลอดไป เพียงแต่การแสดงออกมันเปลี่ยนแปลงไป

จากประสบการณ์ของผม ผมได้เรียนรู้ว่า เช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ความรักมันไม่แน่นอน วันนี้รักกันอยู่ดีๆ พรุ่งนี้ก็อาจมีบางสิ่งบางอย่างทำให้ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปรไป

แต่แม้จะเลิกรากันไป ผมเลือกที่จะเก็บความทรงจำดีๆของเราเอาไว้ในใจเสมอ ผมจะไม่ยอมให้ช่วงเวลาที่ไม่ดีมาบดบังช่วงเวลาดีๆที่เราเคยมี จะไม่ยอมให้เรื่องราวร้ายๆมาครอบงำความรู้สึกดีๆที่เราเคยมีให้กันและกัน

หากผมย้อนเวลากลับไปได้และหยั่งรู้ว่าความรักของเราจะจบลงแบบไม่สมหวังในท้ายที่สุด ผมก็ยังจะเลือกมีความรักนั้นอยู่ดี… อย่างไม่ลังเลเลย…

สำหรับผม สิ่งสำคัญที่สุดในการมีความรัก คือการมีความสุขที่ได้รักคนๆหนึ่ง โดยไม่คาดหวังอะไรจากคนๆนั้น ถ้าเราคาดหวังให้เขารักเราตอบ เราจะมีความทุกข์ใจ ซึ่งมันจะมาบั่นทอนความสุขที่เราควรได้รับจากการรักคนๆนั้น

แน่นอน เราอาจ “หวัง” ว่าคนที่เรารักจะรักเรา แต่เราไม่ควร “คาดหวัง”

ความรักที่สมบูรณ์แบบไม่จำเป็นต้องเป็นรักสองฝ่าย; “ความรักข้างเดียว” หรือ “ความรักที่ไม่สมหวัง” ก็เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบในตัวมันได้ ถ้าเราเลือกที่จะมองอย่างนั้น

การได้รัก ได้ห่วง ได้คิดถึง ได้รับฟัง ได้ช่วยเหลือใครสักคน ก็เป็นความสุขในตัวของมันเองแล้วมิใช่หรือ? การได้มีช่วงเวลาดีๆกับใครสักคนที่รู้ใจกันและกัน แม้เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ก็เป็นความสุขในตัวของมันเองแล้วมิใช่หรือ?

ทุกอย่างอยู่ที่เราเลือกจะคิด เลือกจะมอง…

“อย่าร้องไห้ อย่าเสียใจ กับความรักที่จบลงอย่างไม่เป็นดั่งหวังเลย ให้รู้สึกว่าเราโชคดีแล้วที่ได้มีโอกาสมารักและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน” ผมอยากจะบอกเธอและบอกกับตัวเองเช่นนี้…

แม้บางครั้งมันจะเป็นรักข้างเดียว แม้บางครั้งมันจะนำมาซึ่งน้ำตา แม้บางครั้งมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป… แต่ความรักก็สวยงามและมีคุณค่าในตัวมันเองเสมอ

ผมเชื่อเช่นนั้น


บทความจาก davidginola.blogspot.com


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

ความเอ๋ย... ความรัก...


ผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากบ้านของเธอ
และได้เห็นชายชราที่มีเคราสีขาว 3 คน
นั่งอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านของเธอ
เธอไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เธอพูดกับเขาว่า

' ฉันไม่คิดว่าฉันรู้จักพวกคุณ
แต่ท่าทางคุณต้องหิวแน่เลย
โปรดเข้ามาในบ้านและทานอะไรซักหน่อยเถอะ'

' สามีของเธออยู่ในบ้านไหม' เขาถาม

' ไม่' เธอตอบ 'เขาออกไปข้างนอก'

' ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เขาไปข้างใ นไม่ได้ดอก' เขาตอบ

ในตอนเย็น เมื่อสามีเธอกับมาบ้าน
เธอเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

' ไปบอกพวกเขาซิ ฉันกลับมาบ้านแล้ว
และเชิญเข้ามาในบ้านเถิด'

เธอก็ออกไปและเชิญพวกชายชรานั้นให้เข้ามาในบ้าน

' เราเข้าไปในบ้านพร้อมกันไม่ได้หรอก' เขาตอบ

' ทำไมล่ะ' เธอถาม

ชายชราคนหนึ่งอธิบายว่า ' เขาชื่อ ความมั่งคั่ง '

เขาพูดและชี้ไปยังเพื่อนของเขา
และชี้ไปยังอีกคนหนึ่งว่า

' เขาคือ ความสำเร็จ และฉันคือ ความรัก '

เขากล่าวต่อไปว่า

' บัดนี้ จงเข้าไปข้างในและปรึกษากับสามีของเธอว่า
คนไหนในพวกเราที่คุณต้องการจะให้เข้าไปในบ้านของคุณ'

เธอกลับเขามาข้างในและบอกกับสามีของ เธอ
สามีของเธอรู้สึกดีใจมาก

' วิเศษจริงๆ ' เขากล่าว

' เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเชิญ ความมั่งคั่ง
เมื่อเขาอยู่กับเรา บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง'

ฝ่ายภรรยาไม่เห็นด้วย

' ที่รัก ทำไมเราไม่เชิญ ความสำเร็จ ล่ะ'

ขณะนั้นลูกสะใภ้ได้ยินทั้งสองกำลังปรึกษา
จากมุมหนึ่งของบ้าน เธอก็เข้ามาและแนะนำว่า

' จะไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าเราเลือก ความรัก
บ้านของเราจะเต็มไปด้วยความรักไง! '

' เราฟังสิ่งที่ลูก สะใภ้แนะนำเถอะ'
สามีกล่าวกับภรรยา

' ออกไปข้างนอกและเชิญความรัก
เข้ามาเป็นแขกของเราเถอะ'

ภรรยาออกไปและถามชายชราทั้ง 3 ว่า

' ใครคือความรัก โปรดเข้ามา
และเป็นแขกของเราเถอะ'

ความรักลุกขึ้นและเดินไปยังบ้าน
ชายชราอีก 2 คนก็ลุกขึ้นและตามเขาไป
ด้วยความประหลาดใจ
ภรรยาถาม ความมั่งคั่ง และความสำเร็จว่า

' ฉันเชิญเพียงความรัก ทำไมคุณถึงเข้ามาด้วยล่ะ'

ชายชราตอบพร้อมกันว่า
' ถ้าคุณเชิญความมั่งคั่ง หรือ ความสำ เร็จ
คนใดคนหนึ่ง อีกสองคนก็จะอยู่ข้างนอก
แต่เมื่อคุณเชิญความรัก ที่! ใดที่เขาไป
เราจะไปกับเขา ที่ใดมีความรัก
ที่นั่นก็จะมีความมั่งคั่งและความสำเร็จ '


จาก FWD Mail



:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:
:b43:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8:

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

smiley

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2010, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง เล่าว่า สุภาพสตรีคนหนึ่งระแวงว่าสามีตนเองกำลังนอกใจ หลังจากที่รู้ความจริงแล้ว ตำหนิตนเองอย่างแรง ว่าขาดความเชื่อมั่นในตนเองเกินไป
ครั้งแรกที่เธอเริ่มระแวงสามีของตนนั้น เริ่มจากลูกกุญแจดอกหนึ่ง ปกติสามีของเธอจะมีกุญแจ
สี่ดอก ประตูใหญ่ที่ชั้นหนึ่ง ประตูสองสองบานที่บ้าน และประตูที่ทำงาน ทั้งหมดสี่ดอก
ไม่รู้เมื่อไหร่ในกระเป๋าของสามีเธอมีกุญแจเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งดอก เธอจึงเริ่มระแวง วันดีคืนดีก็
โทรศัพท์ไปหาแบบกึ่งเจตนา กึ่งไม่เจตนา วันดีคืนดีก็โผล่ไปหาที่ที่ทำงาน โดยอ้างว่าไปรับสามี
กลับบ้าน ซึ่งอันที่จริงเป็นการจู่โจมตรวจสอบกระทันหัน
หลังจากตามสืบอยู่นาน ในที่สุดเธอก็รู้ว่ากุญแจดอกนี้ใช้ทำอะไร ที่แท้เป็นกุญแจ
ของตู้เซพในธนาคารแห่งหนึ่งนั่นเอง เธอจึงตัดสินใจสืบสาวให้ถึงที่สุด
โดยการแอบหยิบกุญแจดอกนั้นไปที่ธนาคาร
เมื่อลูกกุญแจค่อย ๆ สอดเข้าไปในรูกุญแจทีละนิด สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือ
กล่องเพชรกล่องหนึ่ง ในเก็บรูปถ่ายคู่รูปแรกของเธอและสามีเอาไว้ ใต้รูปถ่าย
เป็นจดหมายรัก ทั้งหมดยี่สิบแปดฉบับ ล้วนเป็นจดหมายที่เธอเขียนถึงสามีของเธอ
เมื่อตอนจีบกันใหม่ ๆ ใต้กล่องเพชรเป็นพวกพันธบัตร ใบหุ้น ถัดลงไปคือพินัยกรรม
มีเนื้อหาเขียนไว้ว่า บังกะโลที่ภูเขาหยังหมินซัน และบัญชีเงินฝากในธนาคาร
ร้อยละสามสิบ ยกให้พ่อแม่ บัญชีเงินฝากร้อยละสิบ ยกให้พี่ใหญ่
มูลค่าของพันธบีตรร้อยละสามสิบบริจาคให้หน่วยงานการกุศล นอกจากนั้น
ทั้งสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ ทั้งหมดเขียนชื่อเธอของคนเพียงคนเดียว
ได้แก่ชื่อของเธอนั่นเอง !
ขณะนั้นเอง ความระแวงสังสัยทั้งหมดของเธอก็มลายหายสิ้น เขายังคงรักเธอดังเดิม
เธอต่างหากที่ไม่เชื่อมั่นในตนเองจนเกินไป !
ขณะที่เธกำลังเก็บสิ่งของต่าง ๆ กลับลงตู้เซพ เพื่อเตรียมกลับบ้านทำอารเย็นนั้นเอง
ก็มีซองจดหมายฉบับหนึ่งหล่นออกมาจากกองพันธบัตรและใบหุ้น
ความระแวงสงสัยที่หายลับไปแล้วก็เกิดขยับตัวอีกครั้ง
เธอรีบคลี่กระดาษในซองออกมาดู มันเป็นผลวินิจฉัยโรคแผ่นหนึ่ง ตรงช่องชื่อสกุล
เป็นชื่อสามีเธอ ตรงช่องคำวินิจฉัยระบุเอาไว้ชัดเจนว่า "มะเร็งกระดูกระยะกลาง"

บางทีกดาmu

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2010, 13:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
อ่านแล้วมีสติคิดพิจารณาให้เกิดปัญญา
อ่านแล้วเอาสุข เอาทุกข์ อ่านไปก็เท่านั้น

ผู้ที่ชี้ทางธรรมทางสว่างให้นับได้ว่าเป็นกัลยาณมิตร
สาธุขออนุโมทนาด้วยค่ะ
:b48: :b48: :b48:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 01:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




image.jpg
image.jpg [ 30.74 KiB | เปิดดู 4899 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

อาจารย์วศิน อินทสระ เขียนไว้ในหนังสือ ชีวิตกับความรัก ว่า

..... ....พุทธศาสนาได้แสดงหลักเอาไว้มากมาย เพื่อให้ชาวโลกได้สมหวังในการดำเนินความรักให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ให้นาวาชีวิตต้องอัปปางลงกลางครัน เช่น การบำเพ็ญกรณียกิจที่เป็นหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ทั้งสองฝ่าย สามีและภรรยา ข้อสังเกตที่เห็นได้ประการหนึ่งก็คือ ควรจะทำความเข้าใจคู่สมรสของตนให้ถ่องแท้ และควรจะพยายามเข้าใจเขามากกว่าที่จะพยายามตั้งความหวังให้เขาเข้าใจเรา ควรทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ดีกว่าที่จะพยายามให้เขาทำหน้าที่ของเขาให้สมบูรณ์ โดยที่ตัวเรายังบกพร่องอยู่นานาประการ ตัวเราก็ยังบกพร่องอยู่มากมาย แต่ว่าต้องการที่จะให้อีกคนหนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ หรือว่าถ้าเป็นเพื่อนกัน เราก็ควรจะตั้งความหวังว่า ทำอย่างไรเราจะเป็นเพื่อนที่ดีของใครสักคนหนึ่ง ไม่ได้คิดอยู่แต่ว่าทำอย่างไรเราจะได้เพื่อนที่ดีสักคนหนึ่ง

แทนที่จะคิดว่าทำอย่างไรคนนั้น คนนี้ จะมาเป็นเพื่อนที่ดีของเรา เรากลับคิดเสียใหม่ว่า ทำอย่างไรเราจะเป็นเพื่อนที่ดีของใครสักคนหนึ่ง เมื่อคิดอย่างนี้เราควบคุมได้ แต่ถ้าคิดอีกอย่างหนึ่งว่า ทำอย่างไรคนคนนี้จะเป็นมิตรที่ดีของเรา อันนี้เราควบคุมไม่ได้ มันอยู่ที่ตัวเขา หรือถ้าเป็นสามีก็คิดว่า ทำอย่างไรเราจะเป็นสามีที่ดีของภรรยา ทำหน้าที่ของสามีที่สมบูรณ์ ไม่ให้เขาเดือดร้อนในเรื่องความเป็นอยู่ มีความรับผิดชอบ ภรรยาก็เหมือนกัน ให้คิดแต่ว่าทำอย่างไรเราจะเป็นภรรยาที่ดีของเขา อย่างนี้ต่างคนต่างคิด ก็จะเกื้อกูลกัน คิดปรับปรุงตัวเอง ปัญหามันจะค่อย ๆ น้อยลง
:b53: :b53: :b53:


อาการแปรแห่งรัก
คือความรักแบบเสน่หา ก็อาจจะแปรเป็นมิตรภาพได้ ในกรณีที่ความรักนั้นถูกขัดขวาง ไม่ได้ดำเนินไปตามทางที่มุ่งหมายไว้แต่แรก ความรักแบบเสน่หาจะกลับเป็นมิตรภาพได้ แต่จะเป็นอย่างนั้นได้ก็เฉพาะคนที่มีใจสูงเท่านั้น คนที่มีใจสูงไม่พอไม่อาจทำได้ ส่วนมากเมื่อไม่สมหวังในความรักเสน่หา ก็จะแตกหักไปเลย คือไม่เกี่ยวข้องกันอีก อาจจะด้วยความละอายต่อกัน หรือว่าอาจเป็นความช้ำใจ จึงไม่อยากจะพบเห็นกันอีก มีกรณีหนึ่งคือ มิตรภาพที่แปรเป็นความรักก็มี นี่ตรงกันข้ามนะครับ มิตรภาพที่แปรเป็นความรักอันนี้พบได้บ่อย และพบได้เสมอ ชายหญิงที่คบกันอย่างเพื่อน หรือนับถือกันอย่างเพื่อนหรือพี่น้อง ในระยะเริ่มต้น แต่พอนานเข้า ความเห็นอกเห็นใจ ความนิยมชมชอบ หรือความเสน่หาเพราะความใกล้ชิดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ก็จะทำให้ทั้งสองรักกันอย่างคู่รัก และก็ลงท้ายด้วยการแต่งงาน ความรักที่มีจุดมุ่งหมาย แสวงหาความรักจากผัสสะ จะลงเอยด้วยการแต่งงาน

เมื่อแต่งงานนานไป ความรักอันตื่นเต้นทางประสาทสัมผัสก็จะลดลง เจือจางลง ถ้ามีคุณธรรมด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็จะกลับไปเข้มข้นทางมิตรภาพ จะเห็นอกเห็นใจกัน เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ข้อนี้ทางศาสนาพระพุทธเจ้าก็ทรงรับรองว่า คู่ครองนั้นเป็นเพื่อนอย่างยิ่ง จะเป็นภรรยาหรือสามีก็ตามเถิด “ภริยา ปรมา สขา.....แปลว่า ภริยานั้นเป็นเพื่อนอย่างยิ่ง” และอันนี้ก็น่าจะหมายถึง ภริยาหรือสามีที่ดีเท่านั้น

ภรรยาหรือสามีที่ไม่ดีก็จะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจเหมือนกัน ดูไปแล้วก็คล้าย ๆ กับมีงูพิษอยู่ในบ้าน น่าระแวง น่าเกรงภัย มีตัวอย่างให้ดูมากมายอยู่แล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่มีงูพิษอยู่ในบ้าน แทนที่จะเป็นเพื่อนอย่างยิ่งหรือเป็นกัลยาณมิตรที่ยอดเยี่ยม กลับกลายเป็นข้าศึกหรือศัตรูที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ต้องทนทุกข์ทรมาน อกไหม้ไส้ขมไปตลอดชาติ การเข้าไปเกี่ยวข้องกับความรักก็เป็นเรื่องเสี่ยงมากในลักษณะนี้ แต่ถ้ามันจะต้องทนอยู่อย่างทุกข์ทรมาน จะต้องอยู่กับงูพิษ ก็เลิกไปจะอยู่ทำไม เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเป็นทุกข์ ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะทนทุกข์ทรมานกับเรื่องอย่างนี้ มันมีเรื่องอะไรที่ดี ๆ ที่ควรจะทำกว่านี้อีกมากมาย

อาการแปรแห่งความรักที่มาจากความรักแบบเสน่หา ความรักแบบหญิงชายมาเป็นมิตรภาพหรือไมตรี อันนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ไมตรีเป็นสิ่งที่น่าสนใจ คนที่เคยรักกันแบบหนุ่มสาว ถ้าเผื่อว่าการดำเนินความรักเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป หรือเหตุใดเหตุหนึ่ง มันก็ควรจะแปรให้มันเป็นมิตรภาพ เพราะว่าความรักในแบบมิตรภาพนั้นเป็นความรักที่ดี ก็พยายามทำให้ได้ เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ถึงอย่างไรก็รักสุข เกลียดความทุกข์ด้วยกัน แต่ว่านิสัย ใจคอ อุปนิสัยต่าง ๆ มันเป็นไปไม่ได้ เข้ากันไม่ได้ อะไรกันไม่ได้ บางคนต่างคนต่างก็ดีทั้งสองคน เขาก็ดีอย่างเขา เราก็ดีอย่างเรา แต่พอรวมกันแล้วไม่ดี มันก็แยกกัน พอแยกกันต่างคนต่างก็ดี รวมกันแล้วมันผิดพลาดไม่ตรงกัน จะไปดีกับคนอื่น เหมาะกับคนอื่น แต่ว่าไม่เหมาะกับเรา รวมความว่าจับคู่ผิด เพราะฉะนั้นก็เลิกไป ให้เหลือไมตรีจิตเอาไว้ ไม่ถึงกับต้องเป็นศัตรูกัน... ... ...
:b51: :b51: :b51:


:b46: :b46: :b46: :b46: :b46: :b46: :b46: :b46: :b46:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2010, 22:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ประเทืองปัญญาทุกเรื่องของความรัก

ขออนุโมทนาที่นำมาแบ่งปัน.... :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2010, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 14:50
โพสต์: 69

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาครับ สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2010, 02:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




moonprincess.jpg
moonprincess.jpg [ 37.59 KiB | เปิดดู 4800 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

มีบทความดี ดี มาฝากครับ :b16: :b16: :b16:

เพราะว่า…ด้วย 108 เหตุผล…ที่ทำให้เรายังคงรักกัน
Posted by Dear under เล่าสู่กันฟัง


*** เธอมักพร่ำบอกกับฉันว่า…ฉันคนเดิมหายไปไหนโดยเปรียบเทียบรูป before-after
***ทั้งแต่ก่อนและเดี๋ยวนี้ ฉันก็ยังคงต้องเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งและลงเอง
***เธอยังคงบ่นเสมอ เหมือนในยามที่อ่านแฮรี่พอร์ตเตอร์แล้วฉันก็ไม่ทำงานอะไรเลย ไม่สนโลกใดๆทั้งสิ้นยามอยู่กับหนังสือ แม้จะเห็นเธอหน้าเป็นจวักแต่เธอก็ได้แค่บ่น
***เธอยังคงมองสาวเซ็กซี่เพียงผ่านๆ ทั้งๆที่ฉันพยายามชี้ให้ดู ด้วยเหตุผลที่ว่า ข้างๆก็มีพอแล้ว แต่ก็ไม่วายบอกฉันว่า น่าจะช่วยลด พุง แขน และต้นขา ให้ฉันไปเกิดใหม่ซะเลยดีกว่าไหม
***พอถามว่าทำไมไม่ยอมมีกิ๊ก…เธอให้คำตอบว่า ที่มีอยู่นี่…ก็ปวดหัวจนไมเกรนขึ้นแล้ว จะไปสร้างปัญหาให้ตัวเองเพิ่มอีกทำไม ปวดหัวตายชัก
***เธอยังคงไม่ยอมถ่ายรูปให้ฉัน เพราะฉันพร่ำบอกว่า เธอถ่ายรูปไม่เป็น…ถ้าถ่ายเป็นฉันต้องผอมกว่านี้
***เธอคอยแต่บ่นว่าฉันชอบกินจุกจิก ที่สำคัญห้ามฉันกินช๊อกกาแลต รู้ไม๊ฉันก็แอบกินทุกที
***กาแฟ…ก็ต้องซื้อแก้วเดียว เพราะเธอบอกว่าฉันชอบดื่มเหลือ เธอเสียดายหรือว่า…
***เธอยังคงได้แต่บ่นว่าฉัน ปัด กวาด เช็ด ถู ไม่เคยสะอาด แล้วเธอก็ต้องทำเอง
***เธอยังชอบเอาชนะ…ไม่ยอมบอกรักฉัน…หากฉันไม่พูดก่อน
***เธอแทบไม่เคยตามใจอะไรฉันเลย…หากฉันไม่ได้งอนก่อน…แล้วเธอก็ต้องทำแบบเสียไม่ได้ โรคจิตจริงๆ
***เธอเป็นผู้ชายหน้าตาดี ที่ไม่มีความโรแมนติดเอาซะเลย
***เธอกรนเสียงพอประมาณ…แต่จะดังหากดื่มแอลกอล์ฮอล์ ดีนะที่นานๆที
***เธอเป็นหมอนวดมือฉมังเสมอ
***เธอทำกับข้าวไม่เป็นซักอย่าง แต่ชอบที่ฉันทำให้เสมอ ที่เหมือนเดิมคือไม่เคยชมว่าอร่อยถ้าไม่บังคับ
***เธอชอบโทรมาบอกว่า…มีลูกค้ามาจองตัวเธอไปให้ลูกสาวเค้าเป็นประจำด้วยน้ำเสียงอายๆ เพื่ออะไรเอ่ย…ให้ฉันหึงเหรอ…อิอิ
***เธอเป็นคนนอนได้ 24 ชั่วโมง ตั้งแต่แรกที่รู้จักกันจนถึงเดี๋ยวนี้
***เธอไม่เคยหึงเวลามีผู้ชายมาจีบฉัน…นอกจากหัวเราะ หึหึหึ และไม่ฟังเวลาที่ฉันพูดถึงผู้ชายคนอื่น
***เธอไม่เคยมีเหตุผลเวลาเธอโกรธหรือหงุดหงิด…และคำขอโทษจากปากเธอก็แทบไม่เคยมี แต่ว่า…เธอมีน้ำตา…เวลาฉันจะเดินไปจากเธอ
***เธอชอบบอกว่าฉันติด FB เปล่าซักหน่อย แค่ขาดไม่ได้แค่เนี๊ย…แต่เธอว่าไม่ได้ เพราะหน้าที่มิเคยบกพร่อง
***เธอไม่ชอบตามใจ ชอบคอยแต่ขัดใจเกือบทุกเรื่อง
***เธอชอบบ่นว่าฉันมองโลกง่ายเกินไป ดีเกินไป โลกไม่ใช่สีขาวนะ แต่ฉันรู้เธอคอยมองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ เสมอ
***ยังมีอีกมากมาย…ที่ทำให้คนเรายังคงรักกัน…คุณว่างั้นไม๊…>_<!
:b10: :b10: :b10:


beby

ในวันที่ดอกไม้แห่งความรัก…ร่วงโรยPosted by Dear under เล่าสู่กันฟัง


คนที่กำลังร้องไห้ให้กับดอกไม้แห่งความรักที่ร่วงโรย การสูญเสียเป็นความรู้สึกที่ทรมานใจ เจ็บปวดรวดร้าว ยิ่งหากเราสูญเสียสิ่งที่เคยรัก เคยหวงแหน เคยแม้แต่การที่มีความฝันถึงอนาคตร่วมกันแล้ว ความรู้สึกคงหนักหนาสาหัสนัก และเมื่อหวนคิดถึงอดีตที่เคยหวานชื่น ก็ยิ่งเหมือนถูกคมมีดปลายแหลมทิ่มแทงลงตรงกลางหัวใจ รอบตัวดูมืดหม่น มองไปทางไหนเหมือนไร้ซึ่งจุดหมาย น้ำตาคงเป็นเพื่อนเราในยามนี้… :b2: :b2: :b2:

ร้องเถอะนะ…หากน้ำตาจะช่วยระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในใจ ช่วยชำระล้างซึ่งความเจ็บปวด ร้องไห้ให้พอกับการสูญเสียในครานี้ …น้ำตามีคุณสมบัติช่วยชำระสิ่งที่เสียอยู่ภายในตัวเราได้จริงๆด้วย จึงไม่คิดจะห้ามให้เธอร้องไห้ แต่จงร้องเสียให้พอ ร้องออกมาให้หมด แล้วเมื่อถึงเวลาหนึ่ง…ในขณะที่น้ำตารินไหลเริ่มช้าลง นั่นแสดงว่า ร่างกายเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันความเจ็บช้ำได้บ้างแล้ว แล้วเจ้าภูมิคุ้มกันตัวนี้ก็จะขยายและเพิ่มศักยภาพให้เข้มแข็งขึ้นเรื่อย โดยอาศัยความรัก ใช่…ความรักที่มีอยู่ในตัวเธอ…ความรักที่เธอมีต่อตัวเอง ความรักที่เธอมีต่อ…คนข้างๆที่รักเธอ…เธอเองก็รู้ว่า…เธอไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้จริงไหม…? :b6: :b6: :b6:

ตอนนี้…เธอคงกำลังอยู่ในฝันร้าย…ที่ทุกข์ทรมานหัวใจ อยากจะตื่น…แต่ก็ตื่นไม่ได้ เป็นเพราะในความฝันเธอกำลังเพลินไปกับความคิด เพลินไปกับความรู้สึกสูญเสียที่คอยทิ่มแทงให้เจ็บปวด แล้วใครจะเป็นผู้ปลุกเธอ…ให้ตื่นจากความฝันที่แสนทรมานนี้นะ ในค่ำคืนที่รวดร้าวทรมานมันช่างยาวนานเสียจริง............................ :b10: :b10: :b10:

ก๊อกๆ ตื่นได้แล้วสาวน้อย…เช้าแล้วนะ ดวงอาทิตย์เริ่มฉายแสงส่องมาทีละน้อยๆ เธอรู้ไหม แสงตะวันในยามเช้า งดงามมากเพียงใด ไออุ่นจากดวงตะวัน ในวันที่อากาศเป็นใจ ไม่มืดครึ้มไปด้วยเมฆฝน ดูสดใสกระจ่างตา ก๊อกๆ ฉันมาปลุกเธอแล้วนะคนดี จะนอนขี้เซาจมคราบน้ำตาไปอีกนานแค่ไหน ดูซิ สาวน้อยแสนน่ารัก…กลายเป็นสาวน้อยขี้มูกโป่ง มีตาเป็นหมีแพนด้าแบบนี้ไม่น่าดูเลย ลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำให้สดชื่น แล้วเราออกไปข้างนอกกันในวันฟ้าใสนะ…
:b12: :b12: :b12:

ทะเลยามเช้า…ดูสงบ แม้มีคลื่นบ้างเล็กน้อย เมื่อกระทบฝั่งแล้วก็จางไป ระลอกคลื่นแม้ว่าอาจยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่ได้สงบนิ่ง แต่คลื่นบางเบากระทบฝั่งในยามดวงตะวันทอแสงแรกในเช้านี้ ช่างดูอบอุ่นหัวใจนะ…เธอว่าไม๊ เธอคอยดูนะ จะเหยียบผืนทรายให้เป็นรูปรอยเท้า เอ้าดู…1…2…3 เอ้าๆ ดูสิๆคลื่นทะเลแม้อ้อยอิ่ง แต่ก็มาชำระคราบรอยเท้านี้ออกไปหมดเลย ไม่เหลืออะไรเลย คลื่นทะเลยามนี้ดูนุ่มนวลเปรียบดั่งอารมณ์ที่เริ่มโอนอ่อนของเรา อารมณ์เบาๆครองอยู่ในสติ อารมณ์ที่มองโลกให้บวกเข้าไว้ ความรักอันเจ็บปวดที่ผ่านมาก็เหมือนรอยเท้าที่เหยียบย้ำลงไปบนผืนทราย หากเธอประครองตัวเอง ค่อยๆปรับอารมณ์ ทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ค่อยๆยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นสุข หรือ ว่าทุกข์ ก็ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป นั่นเอง คลื่นอารมณ์อันสงบก็จะชำระร่องรอยของความปวดร้าวสูญเสียให้จางหายไปจากหัวใจเธอได้แน่นอน :b4: :b4: :b4:

ไม่จำเป็นที่เธอต้องลืม เพราะความรักแม้ว่าจะกำลังทำให้เธอเจ็บปวด แต่ก็ยังเคยเป็นความรักที่สวยงามไม่ใช่เหรอ…แล้วจะลืมไปทำไม เพียงแค่…เธอเก็บมันเอาไว้ ในความทรงจำที่ดี เมื่อเธอยอมรับ หัวใจจะแข็งแกร่งขึ้น พาเธอลุกขึ้นยืน แล้วก็เดินต่อไป…ต่อไป…ในทุกๆเช้า มองไปที่ดวงตะวันสิ…แสงเรืองรองนั้นเค้ายิ้มให้เธอ ยิ้มเพื่อเป็นกำลังใจ ให้สาวน้อยคนนี้เดินต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง อย่าลืมยิ้มให้กับวันใหม่ และยิ้มให้กับหัวใจของตัวเอง ความรักไม่เคยทำร้าย ไม่มีใครที่จะทำร้ายหัวใจเธอได้ หากเธอไม่ยอม เชื่อสิ :b17: :b17: :b17:


:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2011, 01:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




8804.gif
8804.gif [ 78.91 KiB | เปิดดู 4776 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

cool
:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:

มุมมองความรักในแบบชาวพุทธ

ข้อมูลของ "eHarmony" เว็บไซด์จัดหาคู่ออนไลน์ ทำการสำรวจจากวิเคราะห์ความคิดเห็นของผู้ใช้บริการ จำนวน 598,000 คน (มติชน 10/02/53) ทั้งที่โสดและผ่านการสมรสแล้ว ผลที่ได้ส่วนใหญ่จะใช้อารมณ์ ความรู้สึก แรงปรารถนาเสียเป็นหลัก รวมทั้งมองไปถึงความรักเป็นอารมณ์เกาะเกี่ยว รูปร่างหน้าตา บุคลิกลักษณะ แต่ไม่ได้ใส่ใจกับความสามารถ และความต้องการที่จะทำให้รักนั้นยืนยาวมั่นคง ดังนั้นในเทศกาลวาเลนไทน์ บางคนอาจบอกว่าเป็นเทศกาล "พร่าพรหมจารีย์" หรืออีกหลายนิยามที่เกี่ยวกับเหตุการณ์สืบเนื่อง แต่เมื่อถึงที่สุดก็คงเป็นปรากฏการณ์ที่เคยเกิดขึ้น และจะยังเกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบ

สะท้อนให้เห็นว่าหลายฝ่ายห่วงใย ใส่ใจ และมองพฤติกรรมแห่งรักในเทศกาลที่เราสมมติว่าเป็นความรักกันอย่างอ่อนไหวต่อพฤติกรรมที่เกิดขึ้น

ย้อนกลับมาที่เทศกาลของความรัก (ไม่รู้เข้าใจถูกต้องไหม) จะมีมุมมองอย่างไร ประหนึ่งว่าเราชาวพุทธจะใช้มุมมองอย่างชาวพุทธในการสร้างมุมรัก ถักไยแห่งมิตรภาพอย่างไร จนกระทั่งไม่ก่อให้เกิดการมีเซ็กซ์ก่อนวัยอันควร ท้องนอกสมรส รวมไปถึงการทารุณต่อทารกในครรภ์ จนกระทั่งทำแท้ง และมีไม่น้อยที่กลายเป็นอาชญากรรมที่สัมพันธ์กับความรักในเบื้องต้นแต่มีผลในเบื้องปลายเป็นความรุนแรงไป

พระพุทธศาสนามีคำสอนในเรื่องความรักในแบบที่มองความรักให้เป็นเพียงปรากฏการณ์ เกิดขึ้นมา แล้วเปลี่ยนไปตามสภาพของเหตุปัจจัย ภาษาพระใช้คำว่า "เมตตา" เป็นเครื่องยืนยันความรัก ที่จัดเป็นไมตรี และก่อกำเนิดเป็นมิตรภาพ นำไปรวมเป็นคำว่า "กัลยาณมิตร" และคำนี้ได้กลายเป็นความรักระหว่างกันและกัน ในฐานะเป็นสมาชิกใกล้ตัว ครอบครัว ชุมชน และสังคมองค์รวม แต่ต้องเป็นความรักที่เป็นเมตตา ไม่หวังได้ ไม่คิดเอา ยินดีส่งผ่านความงดงาม เอื้ออาทรให้แก่กัน พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) ให้ทัศนะว่า "ต้องเป็นความที่รักที่ไม่ได้มุ่งเอามาให้ตัว เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจะนำมาซึ่งความขัดแย้ง"(TV-7 13/02/53) โดยความหมายอาจนิยามว่าความรักเชิงพุทธต้องเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว จึงจะเป็นความรักที่ถูกต้องและงดงาม

(บทความจากคุณโมไนย พจน์ okkid.net)


แถมอีกนิด

กาลครั้ง 1 นานมาแล้ว
มีหญิงสาวคนหนึ่งผิดหวังในรักเนื่องจากคนรักของตนได้มาทิ้งไป

จึงกำลังจะฆ่าตัวตาย ขณะนั้นเองมีพระธุดงค์องค์หนึ่งผ่านมาพบเข้า
จึงได้กล่าวให้สติกับสีกา ว่า"โยมจะทำอะไรรึ"

หญิงสาว "อิชั้นจะฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม มีแฟนๆก็มาทิ้งไปเจ้าค่ะ"หญิงสาวตอบ

พระธุดงค์จึงได้เทศนาให้หญิงสาวฟังว่า
"เหตุใดโยมจึงต้องเสียใจเล่าในเมื่อคนที่ควรจะเสียใจควรจะเป็นแฟนของโยมสิ"

หญิงสาวหยุดคิดและถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า "ทำไมล่ะเจ้าคะ"

พระธุดงค์ตอบว่า "ในเมื่อโยมมิได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเลยน่ะสิ"

หญิงสาวตั้งใจฟังพระธุดงค์แล้วก็ตอบกลับไปว่า
"ไม่จริงหรอกค่ะดิชั้นสูญเสียแฟนอันเป็นที่รักยิ่งไปนะเจ้าค่ะ"

พระธุดงค์ตอบ"โยมได้สูญเสียคนที่มิได้รักและห่วงใยโยมซึ่งจะมีค่าอันใด แต่แฟนโยมซิที่สูญเสียคนที่รักและห่วงใยเค้าเช่นโยม ใครควรจะเสียใจกว่ากันล่ะโยม"

(ข้อมูลจาก live.com)

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร