วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 20:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2011, 13:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ธ.ค. 2010, 14:25
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


หากปรารถนาที่จะไม่ครองคู่ แต่เกิดเหตุให้ต้องหวั่นไหวจะทำงัย ช่วยทีด่วนนะ! ขอขอบคุณผู้ชี้ทางสว่างมา ณ โอกาสนี้ :b26:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2011, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue

ลองอ่านบทความนี้ดู อาจจะทำให้มีมุมมองกว้างขึ้น

ความรัก กับ บุพเพสันนิวาสและเนื้อคู่
คู่หญิงชายนั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้ คำว่า ‘คู่แท้’ จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’

หากหันมาใส่ใจกับคำว่า ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บาป’ แทน อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้ ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป และนั่นก็แปลว่า คู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ

มองอย่างนี้อคติจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน เราจะเห็นตามจริงว่า ถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้ อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย หรือที่เรียกง่ายๆว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อๆมา กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ

http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare064.htm
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ฉบับวันที่ ๑ ธ.ค. ๒๕๔๘

ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและปัจจุบันประกอบกัน

ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ บุญที่สร้าง ‘คู่บุญ’ ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่

๑) มี ศรัทธา ไปในแนวทางเดียวกัน เช่นถือศาสดาองค์เดียวกัน เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลยครับ ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศเดียวกัน ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน

๒) มี ศีล อันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้ แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที่ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว และนั่นก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน สำส่อนไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นในกันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ

๓) มี จาคะ อันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่นอีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กันแน่นแฟ้นขึ้น จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียงย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่ เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน

๔) มี ปัญญา เสมอกัน กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง กล่าวทางธรรมคือมีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยเป็นไปไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน

หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง ๔ ข้อ (อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้ ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง

และขอเพียงเกื้อกูลกันนิดๆหน่อยๆ เช่นฝ่ายหนึ่งมาถามทาง อีกฝ่ายบอกทางให้ เท่านี้ก็จะเกิดแรงปฏิพัทธ์ขึ้นอย่างรุนแรง ชนิดที่ฝ่ายชาย (ซึ่งมีธรรมชาติเป็นรุก) อาจยื่นข้อเสนอเดินพาไปส่ง และฝ่ายหญิงก็ตกลงรับข้อเสนออย่างยินดีเต็มใจทันที แล้วการตกลงร่วมทางกันไปจนกว่าจะตายก็ติดตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคู่บุญประเภทนี้

แน่นอนว่าสายตาทั่วไปมองแล้วย่อมนึกอิจฉา โดยไม่มีใครเข้าใจต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่าเหตุใดจึงมีคู่ที่น่าอิจฉาได้ปานนั้น รู้แต่ว่ามีจริง แต่ไม่รู้ว่ามีขึ้นมาได้อย่างไร ต้องต่อว่าใครที่แกล้งลำเอียง ความจริงคือคู่บุญได้รับความยุติธรรมจากธรรมชาติกรรมวิบากต่างหาก แต่อาจเป็นความยุติธรรมที่ลึกลับ เพราะนำอดีตชาติมาแสดงให้เห็นเป็นภาพยนตร์ตามโรงไม่ได้
http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare064.htm
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ฉบับวันที่ ๑ ธ.ค. ๒๕๔๘

จากที่พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัส ว่าหญิงชายจะพบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า ก็เพราะมีเหตุ คือต่างฝ่ายต่างมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน คำว่า "เสมอกัน" นั้น อย่างน้อยที่สุดคือร่วมยินดีไปในแนวความเชื่อเดียวกัน มีใจปรารถนาจะรักษาศีล มีใจอยากสละให้ และอย่างน้อยพูดภาษาเดียวกันรู้เรื่อง ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งเสนอ อีกฝ่ายนอกจากไม่สนองแล้วยังเอาแต่ขัดๆๆ

ยิ่งไปกว่านั้น พระพุทธเจ้ายังเคยตรัสว่า ความรักจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเหตุสองประการ ประการแรกคือเคยอยู่ร่วมกันมาในอดีตชาติ ประการที่สองคือชาตินี้ได้เกื้อกูลกัน นั่นแหละความรักอย่างลึกซึ้งถึงจะเกิดได้

มองด้วยข้อสรุปนี้ คู่บุญตัวจริงก็คือคนที่เคยคิดดี พูดดี ทำดีต่อกันมาก่อน รวมทั้งมีศรัทธาไปในทางเดียว แข็งแรงในศีลข้อเดียวกัน มีใจคิดสละประมาณเดียวกัน และอย่างน้อยต้องพูดกันรู้เรื่องประมาณเพลินคุยได้ไม่รู้เบื่อ ประเภทใส่บาตรครั้งสองครั้ง อาจมีผลให้เกิดความรู้สึกปิ๊งๆบ้าง แต่จะไม่มีเหตุปัจจัยส่งเสริมสนับสนุนให้ได้พบกันบ่อยๆ ได้เกื้อกูลกันโดยปราศจากอุปสรรคขัดขวางอย่างสิ้นเชิง พูดง่ายๆ ว่าต้องสร้างปัจจัยใหม่กันเหนื่อยพอดูครับ
http://dungtrin.net/newsletter/viewtopi ... 0&start=77
ดังตฤณวิสัชนา ฉบับวันที่ ๑ ก.ย. ๒๕๔๘

ถ้านับตามบันทึกของพุทธ ก็ต้องว่าคนเราแม้อยู่เคียงครองเรือน คนหนึ่งตายแล้วอาจไปสวรรค์ คนหนึ่งตายแล้วอาจไปนรก ใช่จะพุ่งขึ้นหรือไหลลงตามกันเพียงเพราะอยู่เรียงเคียงหมอน มันขึ้นอยู่กับว่าก่อนตายแต่ละฝ่ายเดินอยู่บนทางสวรรค์หรือทางนรกเท่านั้น
ตรงข้าม คู่ผัวตัวเมียที่มีบารมีอันได้แก่ทาน ศีล สมาธิ และปัญญาเสมอกัน หรือคล้อยตามกัน ย่อมมีโอกาสได้พบเจอบ่อยกว่าคู่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจิตเป็นกุศลแล้วอธิษฐานสำทับร่วมกันเสมอๆ ก็จะให้ผลแรงเป็นทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ หนักแน่นมั่นคงและเป็น ‘ตัวจริง’ ของกันและกันอย่างยากจะหาใครมาแทนที่
(ทางนฤพาน บทที่ ๑๐ ผู้วิเศษ)

"บุพเพสันนิวาส" ตามความหมายอันแท้จริง จะต้องเคยครองคู่ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ฝ่าฟันแล้วสุขสมด้วยกันมาก่อน มีลูกให้ช่วยกันเลี้ยงดูด้วยกันมาก่อน มีความจากพรากอันน่าอาลัยมาก่อน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยสำคัญอย่างสูงคือเคยทำบุญในพุทธเขตร่วมกันมาก่อน
(จะทำบุญร่วมกันในศาสนาไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ลัทธิความเชื่ออันนำไปสู่อบาย แต่การทำบุญร่วมกันในพุทธเขต มีกำลัง มีความสว่างสูงส่งเหนือสิ่งอื่นใด)

http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/007278.htm#24

ถ้าเป็นคู่แท้ที่เคยร่วมบุญร่วมบารมีกันมาก่อน ก็มิใช่ว่าจะต้องด่วนเจอทันใจเสมอไป แต่อาจรอจังหวะเหมาะสมที่เมื่อพบกันแล้วต่างอยู่ในภาวะพร้อมจะร่วมทางกุศลดังเดิมอีกด้วย
แรงเหวี่ยงของกรรมใหญ่ฝ่ายกุศลจะดึงดูดให้วิญญาณตามติดกันไปเรื่อยๆ คล้ายดาวแม่กับดาวบริวารนั่นแหละ ตราบใดเรายังมีใจเห็นดีเห็นงามกับกุศลผลบุญของเขา แล้วก็ร่วมกันทำประโยชน์ให้สาธารณชนไม่เลิกรา เกิดใหม่ก็ได้อยู่ด้วยกันอีกเสมอไป เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาดไปอยู่ภพต่ำ ปล่อยให้อีกฝ่ายโดดขึ้นไปอยู่สูงตามลำพัง ก็อาจคลาดกันระยะหนึ่ง
(กรรมพยากรณ์ : ชนะกรรม ตอนที่ ๔๑ ชนะกรรม)

การที่มีอัตภาพได้มาเจอกันแล้วรู้สึกดี ก็ถือว่าเป็นบุญเก่าที่ให้ผลเป็นกุศลวิบากอยู่แล้ว นั่นเป็นของในอดีตล้วนๆ นับแต่วินาทีแรกที่พบกัน แม้ว่าวิบากเก่าอาจจะยังให้ผลไม่หมดสิ้น มีแรงหนุนให้อยากคบหา หรือมีความหนุนเนื่องให้เกิดเหตุการณ์ดีๆ ปัจจัยประกอบดีๆ ก็ต้องถือว่าทั้งสองต้องเลือกเอาเอง กำหนดเอาเอง ว่าจะทำปัจจุบันให้เป็นอย่างไร ถางทางอนาคตให้ดีร้ายแค่ไหน
จะเลี้ยงความรู้สึกดีต่อกันไว้ได้นั้น บุญเก่าอาจมีส่วนในแง่ของการเอื้อปัจจัย แต่ไม่ได้เป็นประกันชัดเจนเหมือนบุญใหม่แน่นอน
http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001500.htm#4

คนสองคนที่สร้างบุญมาด้วยกันหากชาติใกล้ชักชวนกันทำทานเป็นงานอดิเรก ต่างฝ่ายต่างก็ได้แดนเกิดร่ำรวยไม่ขัดสน พอมาเจอกัน คบกัน อยู่ด้วยกันไม่ทันไร อยากทำธุรกิจค้าขาย ก็อาจรวยไม่รู้เรื่อง
หากชาติใกล้เตือนกันและกันตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ต่างฝ่ายต่างมีรูปร่างหน้าตาต้องใจเพศตรงข้าม พอมาเจอกัน ก็เอ็นดูเสน่หา หลงใหลในกันและกันรุนแรง ชนิดที่ใครอื่นหมื่นแสนก็ทำให้หลงไม่ได้เท่า
หากชาติใกล้อาจจูงมือกันเข้าวัดเข้าวา ฝึกภาวนาให้เกิดความตั้งมั่นทางจิตใจ เจริญปัญญาให้แก่กล้าหวังความหลุดพ้นในที่สุดด้วยกัน ตั้งความปรารถนาว่าจะพบเพื่อเกื้อกูลกันให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไม่ขวางกันและกันในเส้นทางมรรคผล พอมาเจอกัน ก็เกิดความผ่องใส เย็นรื่น แค่อยู่ด้วยกันเฉยๆก็อาจเป็นแรงสะกิดอีกฝ่ายให้สงบลงจากทุกข์ และโน้มน้าวกันให้ใฝ่แต่เรื่องแสนดี งดงาม ไม่เป็นที่ระคายต่อกัน เจอพระสงฆ์องค์เจ้าก็แต่ที่ดีๆ ไม่ลุ่มหลงประเภทพาญาติโยมลงเหว
http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001500.htm#4

มีคู่รักหลายคู่ ที่ทำบุญมาด้วยกันแค่ระดับทาน อาจรวยร่วมกัน เจอกันยิ่งรวยมหารวยเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ปัญญาที่จะประคองรักร่วมกันอาจขาดไป ได้กันแล้วก็เบื่อกัน ไม่ต่างกับเสพสมบัติชนิดอื่นๆ ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงอาจมักมากในกามจนต้องออกไปเลอะเทอะข้างนอก และคนมีเงินนั้น ผิดศีลได้มากข้อนัก คงไม่ต้องขยายความ

มีคู่รักอีกหลายคู่ ที่ชวนกันรักษาศีลมาก่อน จะโกหกนั้นไม่เอา บี้มดตบยุงก็ไม่ยอม แต่ขาดทานบารมีร่วมกันมา ชวนกันอดออม ชวนกันตระหนี่เสียมาก เพราะไม่รู้ค่าของทาน ไม่เชื่อผลของทาน เกิดมาเจอกันอาจจะรักกันดูดดื่มปานจะกลืน เพราะรูปสวยด้วยกันทั้งคู่ แต่ขอโทษ ต้องกัดก้อนเกลือกินจนตาย ถึงสัญญาเก่าที่เจือด้วยความบริสุทธิ์ของศีลจะดึงรั้งไม่ให้นอกใจกัน ก็อยู่ร่วมกันอย่างอัตคัดขัดสน ผอมแห้งแรงน้อย เจ็บออดๆแอดๆ ก็เป็นเหตุให้เกิดความเบื่อหน่ายกันและกันอันเนื่องจากความเป็นอยู่ได้อีก

โดยความไม่สมบูรณ์ของ ทาน ศีล ภาวนา ที่บำเพ็ญมาร่วมกัน คู่รักที่เป็นปุถุชนทั่วไปจึงมักขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลายสิ่ง ที่จะเป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงตามวิถีทางธรรมชาติ ให้มั่นคงในรักต่อกัน หรือให้มีความสุขสดชื่นบำรุงจิตใจกันและกัน ฉะนั้นถ้าหากอยู่ด้วยกันแล้วไม่มีปัจจัยปรุงแต่งชนิดที่เป็นกุศล หล่อเลี้ยงให้เกิดความชุ่มชื่นใหม่ๆ ทวีขึ้นทุกๆวัน ก็เป็นธรรมดาที่ความรักจะโรยราลงตามธรรมชาติใจที่เบื่อหน่ายของเก่าซ้ำซากจำเจ
http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001500.htm#4

คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักกันว่าบุญกรรมที่มีกำลังส่งผลสูงสุด
มีอิทธิพลดีร้าย และเป็นตัวจัดสรร เลือกคู่ครองให้เราอย่างแท้จริง
ได้แก่กรรมทางกาย วาจา ใจที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า "นิสัยใจคอ" นั่นเอง
นิสัยคือพฤติกรรม หรือการกระทำที่สั่งสมจนเกิดความเคยชิน
และนั่นก็ตรงกับศัพท์บัญญัติทางพุทธคือ อาจิณณกรรม
http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008652.htm#2

เกี่ยวกับเรื่องของเนื้อคู่หรือคู่แท้ สังสารสัตว์ที่มาจับคู่กันนั้น
ไม่ใช่มีใครดลบันดาล ไม่ใช่มีฐานะคู่กันโดยเดิม
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยกรรมสัมพันธ์ทั้งสิ้น
http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001630.htm#27

วิธีที่จะเจอคนจริงใจกับเรา ไม่ว่าในด้านความรักหรือธุรกิจ ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ ทำนองเดียวกับที่ไม่มีใครงมเข็มในมหาสมุทรเจอโดยปราศจากเครื่องช่วย ซึ่งในที่นี้ก็คือกรรมนั่นแหละ คุณต้องเข้าใจหลักกรรมข้อหนึ่ง คือ เมื่อให้สิ่งใดย่อมไม่สูญเปล่า ต้องมีการสะท้อนตอบเป็นการได้รับสิ่งนั้นคืนมาเสมอ ฉะนั้น หากตอนนี้อยู่ในช่วงรับความไม่จริงใจซึ่งเราเคยทำไว้กับใครมาก่อนก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่า ขอให้สร้างเหตุ สร้างเครื่องช่วยให้เราไปพบกับคนจริงใจในกาลข้างหน้า คือพยายามจริงใจกับคนอื่นโดยไม่ย่อท้อ ก็แล้วกัน
(เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม ๑)

หลักการดูคู่ ขอแนะว่าลองชักชวนกันทำบุญ ดูความรู้สึกผูกพันด้านดี จะแน่นอนกว่าการดูฤกษ์ยามใดๆ ครับ แต่ผมก็เข้าใจและเห็นใจ บางคนไม่มีโอกาสเลือกมากนัก ถ้าใครคิดว่าตนเองมีบุญในเรื่องคู่น้อย ผมอยากแนะนำให้ตั้งใจรักษาศีล ๕ อย่างเข้มงวด ทำทานด้วยความเบิกบานอย่างเข้าใจสักพัก มนุษย์เรายกระดับความมีบุญได้ในชาติเดียว เดี๋ยวถ้าบุญถึงขีดบันดาลสุขในปัจจุบันทันตาเมื่อไหร่ บุญนั้นก็จะแปรสภาพเป็นแรงดึงดูดชักนำคนดีๆที่สมกันมาหาเราเองครับ หากถือหลักความจริงนี้ ก็คงเป็นคำตอบไปในตัว ว่าเราจำเป็นต้องเชื่อเกณฑ์ชะตาราศีไหม
http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare064.htm
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ฉบับวันที่ ๑ ธ.ค. ๒๕๔๘

สิ่งที่ควรดู คือเมื่อเข้าคู่กันแล้ว

๑) รู้สึกว่าใช่หรือเปล่า (เป็นเรื่องของสัญญาที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกล้วนๆ)
๒) เกิดแต่เรื่องดีๆเมื่ออยู่ด้วยกันหรือเปล่า (วัดผลของอดีตกรรมที่ให้เป็นวิบากฝ่ายดี)
๓) ร่วมกันเปลี่ยนอุปสรรคหรือเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้หรือเปล่า (ดูปัจจุบันกรรมที่เอื้อให้เกื้อกูลร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้แค่ไหน)
๔) เกิดแรงบันดาลใจให้คิด พูด ทำดี ๆ ต่อกันและต่อคนรอบข้างหรือเปล่า (ปัจจุบันกรรมที่จะให้ผลเป็นวิบากอนาคตที่สดใสหรือไม่ เท่าที่ผมพบมา คู่ที่จรรโลงใจกันด้วยบุญ เลี้ยงใจกันด้วยบุญไม่ขาดสายเท่านั้น ที่ไม่เบื่อ ไม่แห้งแล้งต่อกันเสียก่อนตาย)

สรุปคือเข้าคู่กันแล้วรู้สึกดีๆ เกิดเรื่องดี ๆ ก็ใช่เลยครับ และไม่ต้องไปหมายมั่นเอาว่านั่นคือเครื่องแสดงความถาวร เป็นเนื้อคู่นิรันดร์ เพราะสังสารวัฏไม่มีอะไรอย่างนั้นให้ มีแต่เปลี่ยนกับเปลี่ยนครับ จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลงเท่านั้น
http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/001500.htm#1

ชีวิตคู่จะประสพความสำเร็จหรือล้มเหลวใช่ว่าเกิดจากการสำคัญถูกหรือสำคัญผิดในเบื้องต้น ที่ว่าใช่แน่เหมือนกิ่งทองใบหยก วันหนึ่งกลายเป็นใบข่อย ใบมะกรูดไปก็มาก หรือที่ว่าเหมือนดอกฟ้ากับหมาวัด วันหนึ่งหมาวัดกลายเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองก็มีให้เห็น หรืออีกทางหนึ่ง ดูตอนเริ่มต้นว่ารักกันมาก นานไปก็อาจรักกันน้อยลง ดูตอนเริ่มต้นว่ารักกันน้อย นานไปก็อาจรักกันมากขึ้น ของแบบนี้เอาพฤติกรรมปัจจุบันมาเป็นแนวโน้มพอได้ แต่ไม่แน่นอนเท่าไหร่นัก
(ทางนฤพาน บทที่ ๑๔ ร่วมทาง)

คู่ที่แตกต่างกันมากอาจมีความสุข มีแรงดึงดูดเข้าหากันในช่วงแรก แต่อาจไม่ใช่อย่างที่แม่เหล็กรักความเป็นขั้วตรงข้ามได้ตลอดเวลา การอยู่กินร่วมกันในระยะยาวต้องการอะไรบางอย่างชวนใจให้อยู่ใกล้กันทุกวันได้โดยไม่อึดอัด ถ้าต่างคนต่างอยากทำสิ่งที่ตัวเองพอใจแล้วลืมเลยว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน หรือมุมไหนของบ้าน วันหนึ่งก็กลายเป็นความห่างเหินโดยปริยาย
(ทางนฤพาน บทที่ ๑๔ ร่วมทาง)

ความเข้ากันได้ระหว่างสองบุคคลเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นที่ยอมรับว่าลักษณะนิสัยใจคอของคนเราจะก่อลักษณะกระแสจิตประเภทหนึ่งๆขึ้นมา ซึ่งเมื่อใกล้กันก็รู้สึกได้ว่าพอจะ 'รับ' กันได้ไหม ถัดจากนั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆอีก ทั้งความคิด คำพูด และปฏิกิริยาที่กระทำต่อกัน เป็นตัวตัดสินว่าเข้ากันได้สนิทจริงหรือไม่
ตรงนี้น่าคิดว่าถึงจะเคยร่วมบุญกันมา ทว่าเข้ากันยากด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละฝ่าย แม้มีเวลากระดี๊กระด๊าด้วยกันในช่วงแรกอยู่บ้าง ต่อไปก็น่าจะฝ่อลงจนแหนงหน่ายในที่สุด
เคยทำบุญร่วมกันมาก็เรื่องหนึ่ง ลักษณะกระแสจิตคล้ายกันก็เรื่องหนึ่ง เจอกันแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้างก็เรื่องหนึ่ง มีโอกาสใช้เวลาในชีวิตด้วยกันนานช้าแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง
สรุปแล้วหากว่าตามหลักอนิจจัง หญิงชายในสังสารวัฏต่างท่องเที่ยวไปไกลตามลำพัง ผลัดเปลี่ยนเวียนจับคู่ด้วยความผูกพันมากน้อย แล้วถอยฉากจากกันไปเรื่อยๆ หาคู่แท้ถาวรมิได้? ...
(ทางนฤพาน บทที่ ๑๐ ผู้วิเศษ)

ในเมื่อยังต้องติดอยู่กับความรักประจำโลก ก็ควรเป็นความรักที่เกื้อกูลกันและกันด้วยธรรมะ อยู่ร่วมกันด้วยกระแสบุญกุศล
หากผูกพันกับใครด้วยกระแสบุญมากกว่ากระแสบาป ก็มักได้เป็นตัวจริงของเขาหรือเธอในที่สุด
http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/008619.htm#4

ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2011, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากปรารถนาที่จะไม่ครองคู่ แต่เกิดเหตุให้ต้องหวั่นไหวจะทำงัย ช่วยทีด่วนนะ! ขอขอบคุณผู้ชี้ทางสว่างมา ณ โอกาสนี้ http://www.larnbuddhism.com/grammathan/pitjarana.html

อนุโมทนาครับ
ปกติผมก็หวั่นไหวครับ พอใกล้บางคนก็หวั่นไหว บางคนก็ไม่หวั่นไหว
ตอนแรกก็คิดว่าเพราะความผูกพันจากอดีตอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่ง พอใกล้อีกคนก็หวั่นไหว
พอถัดไปหน่อย ไปใกล้ชิดคนที่ถูกใจก็หวั่นไหวอีก คิดไปคิดมาเป็นเพราะอะไร เพราะใจวิ่งไปตามที่ชอบ ใจก็ชอบยึดด้วย ตามที่ใจยังหลง :b23:
...เวลาใจหลงไปแล้ว ต้องระวังความคิดที่ปรากฎออกมาครับ ความคิดชอบเกิดความคิดที่ไปเข้าข้างไปทางกิเลสได้ง่าย :b5: จะไม่ค่อยคิดที่จะปล่อยวาง ใช้อสุภะ ปฏิกูล มรณะสติ ธรรมที่ช่วยในการปรับ
...ปรารถนาที่จะไม่ครองคู่ ต้องสู้กับกิเลสนะครับ บางคนมีคู่เพราะความเหงา หาส่วนที่เติมเต็ม แต่ต้นเหตุเกิดจากใจเราเอง :b6: ปฏิบัติธรรมใจจะอยู่กับตนเองมากขึ้น หลงรูป ใช้อสุภะบ่อยๆครับ ใจจะเริ่มไปอยู่กับธรรมมากขึ้น :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2011, 01:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


aqua2500 เขียน:
หากปรารถนาที่จะไม่ครองคู่ แต่เกิดเหตุให้ต้องหวั่นไหวจะทำงัย ช่วยทีด่วนนะ! ขอขอบคุณผู้ชี้ทางสว่างมา ณ โอกาสนี้ :b26:

:b12: :b12: :b12:
บุญกรรมกำลังตามมา..

ทีนี้..ก็ขึ้นอยู่กับว่า..คุณจะปล่อยให้มันเป็นไปตามบุญตามกรรม..หรือไม่..เพราะอะไร??

แล้วที่คุณ..ไม่ปรารถณาจะครองคู่..นั้นมีจุดประสงค์สิ่งใดละท่าน???

:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2011, 01:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
หากปรารถนาจะไม่มีคู่ แต่เกิดหวั่นไหวทำงัยดี


ปรารถนาไม่มีคู่ เพราะเหตุอันใด

เพราะกำลังถือศีล นั่งสมาธิทำความเพียรนั้น ผู้หญิงเป็นภัยต่อพรหมจรรย์ รวมหมายถึงเพศตรงกันข้าม
คิดพิจารณาว่า ความสวยความหล่อไม่ยั่งยืน ผมที่เคยดกดำในวันนี้ ย่อมเปลี่ยนสภาพกลายเป็นผมหงอก
ผิวที่สวยเนียน ไม่นานย่อมเปลี่ยนกลายเป็นเหี่ยวเม็ดสีเปลี่ยนกลายเป็นคล้ำหมอง เป็นต้น

หรือไม่อยากมีคู่เฉยๆก็พิจารณาได้เช่นกัน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2011, 13:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ธ.ค. 2010, 14:25
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณทุกท่านที่ชี้ทางสว่างให้มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เหตุที่ไม่ประสงค์จะครองคู่ในชาตินี้เพราะตั้งใจว่า ถ้าไม่มีเหตุให้ต้องปฎิบัติหน้าที่ลูกแล้ว ก็จะออกจากเรือนเข้าวัด นี้คือสาเหตุประการหนึ่ง อีกประการคือ หากไม่ได้ออกจากเรือนไปอยู่วัด การไม่ครองคู่น่าจะเป็นทางเลือกที่เราสามารถปฎิบัติธรรมได้ง่ายกว่าการมีคู่
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ดิฉันก็มีความตั้งใจจะปฎิบัติตนให้ออกจากกิเลสให้ได้
สิ่งที่กลัวที่สุดคือ กลัวไม่มีสติ หากขาดสติเ ราคงต้องล้มไม่เป็นท่า แล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้มาเริ่มต้นอีกเมื่อไหร่
เสียดายหากชาตินี้เกิดมาเป็นคน เจอพระพุทธศาสนาแล้วไม่ได้พัฒนาตน
หนทางข้างหน้าคงยังต้องเดินต่อไป หากเจออุปสักอีก ขอเหล่าผู้รู้ทั้งหลายช่วยชี้แนะอีกนะคะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2011, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


aqua2500 เขียน:
ขอขอบคุณทุกท่านที่ชี้ทางสว่างให้มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เหตุที่ไม่ประสงค์จะครองคู่ในชาตินี้เพราะตั้งใจว่า ถ้าไม่มีเหตุให้ต้องปฎิบัติหน้าที่ลูกแล้ว ก็จะออกจากเรือนเข้าวัด นี้คือสาเหตุประการหนึ่ง อีกประการคือ หากไม่ได้ออกจากเรือนไปอยู่วัด การไม่ครองคู่น่าจะเป็นทางเลือกที่เราสามารถปฎิบัติธรรมได้ง่ายกว่าการมีคู่
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ดิฉันก็มีความตั้งใจจะปฎิบัติตนให้ออกจากกิเลสให้ได้
สิ่งที่กลัวที่สุดคือ กลัวไม่มีสติ หากขาดสติเ ราคงต้องล้มไม่เป็นท่า แล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้มาเริ่มต้นอีกเมื่อไหร่
เสียดายหากชาตินี้เกิดมาเป็นคน เจอพระพุทธศาสนาแล้วไม่ได้พัฒนาตน
หนทางข้างหน้าคงยังต้องเดินต่อไป หากเจออุปสักอีก ขอเหล่าผู้รู้ทั้งหลายช่วยชี้แนะอีกนะคะ :b8:


tongue
"ความกลัว" เป็นสัญชาตญาณที่มีในสัตว์ทุกตน แต่ถ้ามีมากเกินไปชีวิตอาจจะดำรงอยู่อย่าง
ไม่เป็นปกติได้ ธรรมะคือธรรมชาติ ชีวิตคือการเรียนรู้ธรรมชาติและอยู่กับธรรมชาติอย่างที่มันเป็น
ถ้าเราเข้าใจในสัจจธรรม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพใด ย่อมเป็นสุขทั้งหลับและตื่น

ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2011, 22:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขอขอบคุณทุกท่านที่ชี้ทางสว่างให้มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
เหตุที่ไม่ประสงค์จะครองคู่ในชาตินี้เพราะตั้งใจว่า ถ้าไม่มีเหตุให้ต้องปฎิบัติหน้าที่ลูกแล้ว ก็จะออกจากเรือนเข้าวัด นี้คือสาเหตุประการหนึ่ง อีกประการคือ หากไม่ได้ออกจากเรือนไปอยู่วัด การไม่ครองคู่น่าจะเป็นทางเลือกที่เราสามารถปฎิบัติธรรมได้ง่ายกว่าการมีคู่


สาธุ..สาธุ..สาธุ.. :b8: :b8: :b8:

คุณคิดถูกแล้ว...
แต่มารอันเป็นชะตาของคุณ..กำลังบั่นทอนกำลังใจ..ให้มารับใช้ชะตากรรม

มาเสริมกำลังใจ..ดีมั้ย???

ให้นึกถึงความตาย..ดีที่สุด..(เคยใช้มา..แล้วได้ผล)

ให้เราสำนึกจริง ๆ ว่า..สุดท้ายเราต้องตาย..จะตายแบบไหน..เราก็ตาย

จะตายที่โรงพยายาลหรือตายที่บ้าน..เราก็ตาย
จะตายแบบมีคนยืนดูแลข้าง ๆ หรือนอนตายคนเดียวโด่เด่..เราก็ตาย
จะตายแบบมีคนมาเห็น..หรือจะตายแบบไม่มีใครมาเห็น..เราก็ตาย
จะตายเพราะล้มหัวฟาดกับพื้น..ไม่มีคนเห็น..ส่งรพ.ไม่ทัน..เราก็ยอม
จะตายแบบคนแก่..ตัวคนเดียวในวัด...เราก็ยอม

หากจะตาย..ไม่ว่าจะตายแบบไหนเราก็ยอม
...

ค่อย ๆ นึกไป...จนใจ..มันยอม..หากมันยังไม่ยอม..ก็ให้เหตุให้ผลกับใจไปเรื่อย ๆ จนใจมันยอมจริง ๆ ..

ลองดูนะครับ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2011, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ให้เราสำนึกจริง ๆ ว่า..สุดท้ายเราต้องตาย..จะตายแบบไหน..เราก็ตาย

จะตายที่โรงพยายาลหรือตายที่บ้าน..เราก็ตาย
จะตายแบบมีคนยืนดูแลข้าง ๆ หรือนอนตายคนเดียวโด่เด่..เราก็ตาย
จะตายแบบมีคนมาเห็น..หรือจะตายแบบไม่มีใครมาเห็น..เราก็ตาย
จะตายเพราะล้มหัวฟาดกับพื้น..ไม่มีคนเห็น..ส่งรพ.ไม่ทัน..เราก็ยอม
จะตายแบบคนแก่..ตัวคนเดียวในวัด...เราก็ยอม


ขออนุโมทนาในความกล้าหาญอย่างมีปัญญา

ตายเพราะพิจารณาพระไตรลักษณ์ เห็นความไม่เที่ยง ไม่ยึดมั่นว่าตัวเรา ของเรา
ย่อมประเสริฐกว่าตายเพราะอยากสนองตัญหา อุปาทาน ในจิตตัวเอง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2011, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20: :b20: อารมณ์นี้เลยล่ะค่ะ หวั่นไหว อยากมี มันไม่แปลกหรอกเนอะเพราะเราคลุกคลีกับเรื่องพวกนี้มาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร มันเลยหวั่นไหว เราก็พยายามเอาตัวเองให้รอดให้ได้ เอาแบบง่ายสุดๆก็....

พิจารณาชีวิตคู่ของคนทั่วโลกค่ะ เอาคนใกล้ตัวเราก็ได้ เวลาเขาทะเลาะกัน เวลาเขาร้องไห้ ดูว่ามันทุกข์แสนทุกข์เน้อชีวิตคู่นีั่ อยู่ๆดูสิ...เราตอ้งไปล้างจานให้ผู้ชายที่ไหนไม่รู้ อยู่ๆต้องไปทำกับข้าวให้กิน ต้องห่วงต้องใย ไม่รวมเกิดการหึงหวงอีก เจ็บปวด ร้อนรน เขาอาจชั่วก็ได้นะผู้ชายที่เรารัก เขาอาจนอกใจ หยาบคาย เอาเปรียบ สารพัด แล้วเราจะทำอย่างไร เกิดมีลูกอีก โอ้ ทำงานเลี้ยงทารกให้โตขึ้นมาเนี่ยอ่านะ เหนื่อยแสนเหนื่อย ยี่สิบสามสิบปี โธ่ ทุกข์ทั้งนั้น ก่อนจะซาบซึ้งในธรรม เราก็ป้องกันความโสดของเราเอาไว้ให้ได้ก่อนนะ แต่งไปแล้วค่อยซาบซึ้งเนี่ย อาจแก้ไม่ทันแล้ว

พิจารณามากๆเข้าก็กลัวการแต่งงานล่ะค่ะ แล้วก็พิจารณาธรรมอื่นๆตามที่พี่ๆแนะนำไว้เพื่อให้ละวางได้จริงๆมากขึ้นๆ

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2011, 01:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ท่านกบฯ เขียน:
มาเสริมกำลังใจ..ดีมั้ย???

ให้นึกถึงความตาย..ดีที่สุด..(เคยใช้มา..แล้วได้ผล)


ที่ว่าได้ผลนั้น..สรุปแล้ว
มีคู่หรือไม่มีคู่ค่ะท่าน????(ต้องตอบนะ) :b28:

อ้างคำพูด:
ให้เราสำนึกจริง ๆ ว่า..สุดท้ายเราต้องตาย..จะตายแบบไหน..เราก็ตาย

อนุโมทนา..สาธุค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2011, 09:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:

ที่ว่าได้ผลนั้น..สรุปแล้ว
มีคู่หรือไม่มีคู่ค่ะท่าน????(ต้องตอบนะ) :b28:



บุญไม่มาก..จึงให้บังเอิญมาได้พิจารณาแบบนี้..ภายหลัง
เมื่อมีแล้ว...ก็จะทำในสิ่งที่ควรทำ...ทำเท่าที่จำเป็น

ที่ว่าได้ผล...คือได้ตัดสินใจต่อการไม่มีบุตร..ซึ่งเคยเป็นความปรารถณาที่แรงกล้ามาก..
มากกว่าความต้องการมีคู่เสียอีก

ตอบแล้วนะ.. :b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2011, 12:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ธ.ค. 2010, 14:25
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ที่ว่าได้ผล...คือได้ตัดสินใจต่อการไม่มีบุตร..ซึ่งเคยเป็นความปรารถณาที่แรงกล้ามาก..
มากกว่าความต้องการมีคู่เสียอีก

:b25: :b35: :b25: :b35:
แล้วอย่างนี้ไม่มีปัญหากับคู่ครองหรือคะ
หากได้คู่ที่เกื้อหนุนกันในทางธรรม ก็ขออนุโมทนาด้วยนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2011, 01:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน...ให้ปลงใจกันได้ทั้งสองฝ่าย..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ม.ค. 2011, 02:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


กบนอกกะลา เขียน:
บุญไม่มาก..จึงให้บังเอิญมาได้พิจารณาแบบนี้..ภายหลัง
เมื่อมีแล้ว...ก็จะทำในสิ่งที่ควรทำ...ทำเท่าที่จำเป็น

ที่ว่าได้ผล...คือได้ตัดสินใจต่อการไม่มีบุตร..ซึ่งเคยเป็นความปรารถณาที่แรงกล้ามาก..
มากกว่าความต้องการมีคู่เสียอีก

ตอบแล้วนะ.. :b12: :b12: :b12:


tongue

อนุโมทนาคร้าาา

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 67 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร