วันเวลาปัจจุบัน 26 เม.ย. 2024, 20:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 13:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 12:35
โพสต์: 14

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยคุยกันเขาไม่อยากหย่า จะอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งดิฉันยังทำใจไม่ได้กับสภาพนี้ สำหรับต้วเองไม่ได้ยึดติดกับเขาแล้วเพราะปัญหามีมานานมากจนคิดว่าตัวเองยังอยู่ได้ถ้าไม่มีเขา แต่ลูกเขายังต้องการอยู่แล้วไม่รู้จะบอกลูกยังไง ถ้าหย่าแล้วแต่เขายังมาหาลูกเหมือนเดิมมันก็ยังอยู่ในสภาพเดิม ๆ ถ้าจะห้ามไม่ให้มาแยกไปเลยก็จะต้องตอบคำถามลูกให้ได้ ยังคิดไม่ตกค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 13:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 11:38
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าคุณอยากหย่ากับเขาและไม่อยากให้ลูกรู้
คุณก็สามารถทำได้ แต่ขอให้คุณคิดให้รอบคอบ
เพื่อนดิฉันสามีทำงานต่างจังหวัดมีผู้หญิงคนอื่นหย่ากันไป
ลูกไม่รู้ พ่อกลับมาหาลูกได้ตลอดเวลา
ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เป็นพ่อแม่ที่ดีของลูก
ปิดเทอมพ่อแม่ พาลูกไปเที่ยวพร้อมหน้าพร้อมตากัน
ยังไงก็แล้วแต่ขอให้คุณนึกถึงลูกให้มาก ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 12:35
โพสต์: 14

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันจะพยายามเอาหลักธรรมมาเป็นที่พึ่งให้มากที่สุดแต่อาจจะไม่ได้ทุกเวลาเพราะยังละวางไม่ได้แต่จะคอยเตือนใจตนเองเวลาที่คิด หวังว่าสักวันคงจะละวางได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


IDA:

อ้างคำพูด:
ดิฉันคิดไปถึงอนาคตว่าถ้าสามีหรือดิฉันเสียชีวิตลูกจะเป็นอย่างไรเพราะลูก ของผู้หญิงคนนั้นต้องมีสิทธิ์ในมรดกด้วย เพราะเคยมีกรณีนี้เมียหลวงจะทำธุรกรรมบ้านและที่ดินที่ตัวเองอยู่แต่ลูกนอก สมรสไม่ยินยอมและเรียกร้องค่าเซนต์ยินยอม ต้องยอมจ่ายไม่ว่าเท่าไหร่ ดิฉันกลัวว่าจะเกิดเรื่องอย่างกรณีนี้ขึ้นจึงคิดว่าถ้าหย่าไปเลยจะดีไหม


การคิดถึงอนาคตในบางครั้งเป็นสิ่งจำเป็น แต่ในบางกรณี การคิดไปด้วยอาการปรุงแต่งไปมากเกินพอดี ย่อมเป็นที่มาของทุกข์มากมายเพราะการคาดเดาของเรากับความเป็นจริงนั้นหาได้เกิดสอดคล้องกันทุกครั้งไม่..

อีกประการหนึ่ง เพราะการได้ยินได้ฟังเรื่องราวของคนอื่นมา เราก็มักกังวลว่า แม้เหตุนี้ก็ย่อมเกิดกับเราเช่นกัน เเละด้วยอำนาจของกิเลสก็พาให้เราเข้าถึงความทุกข์ทับซ้อนขึ้นมาอีก...จึงควรเข้าใจว่า เพราะแต่ละคนมีเหตุปัจจัยที่ตนสั่งสมต่างๆกัน แม้ในเหตุการณ์เดียวกัน แต่ละคนย่อมได้รับผลกระทบและการตอบสนองที่ต่างๆกันออกไป ..การที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยอำนาจของกรรมเก่าประการหนึ่งและกำลังของกิเลสที่ชักนำให้ทำกรรมใหม่อีกประการหนึ่ง..

หากคุณ IDA ได้อ่านเรื่องราวของท่านอื่นๆที่ถูกสามีนอกใจมาบ้าง จะพบความหลากหลายของประสบการณ์ของแต่ละคนอย่างชัดเจน บางท่านสามีไม่ยอมหย่า แม้ตนมีหญิงอื่น บางท่านสามีทิ้งไปตั้งแต่ตนเองมีครรภ์ ทั้งยังปฏิเสธเด็กในครรภ์ว่าไม่ได้เกิดจากตน บางรายภรรยามีอำนาจควบคุมทรัพย์ของบ้าน บางรายสามีสร้างหนี้ท่วมทับแล้วทิ้งไปด้วยการขอหย่่าแล้วบวชหลอกคนทั้งหลาย บางรายสามีทอดธุระไม่สนใจลูกๆที่เกิดกับภรรยาหลวงแต่กลับทำตัวเป็นพ่อผู้ประเสริฐของลูกใหม่จากหญิงใหม่ ..บางคนสามีไปหลงหญิงใหม่แต่เมื่อภรรยาหลวงขอให้โอนที่ดินมาเป็นของลูกเขาก็ทำให้ ..สาระพัดรูปแบบ อะไรที่จัดสรรค์สิ่งวิจิตรเหล่านี้ให้เกิดขึ้นเล่าหากมิใช่"กรรม"ที่แต่ละคนทำกันมาแล้ว?

เมื่อกรรมทำไว้แล้วย่อมมีผลตามมาเสมอ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เพียงรอปัจจัยที่เหมาะสมเท่านั้น..เราหรือใครๆไม่อาจสามารถจะแก้ไขหรือหลบหลีกบาปกรรมเก่าได้ แต่สามารถประกอบกรรมใหม่ที่ดีได้ในปัจจุบันสิ่งที่เรียกว่ากรรมดีหรือกุศลนั้นมีถึง๑๐อย่างให้ทำได้ในแต่ละวัน เรียกว่าบุญกิริยาวัตถุ๑๐ ได้แก่..

๑. ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน
๒. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล
๓. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา
๔. อปจายนมัย บุญเกิดจากการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
๕. เวยยาวัจจมัย บุญเกิดจากการขวนขวายในกิจที่ชอบ
๖. ปัติทานมัย บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการอนุโมทนาส่วนบุญ
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรม
๙. ธัมมเทสนามัย บุญเกิดจากการแสดงธรรม
๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง

การทำบุญในพระพุทธศาสนา มี ๑๐ อย่างนี้เท่านั้น ไม่ได้มากไปกว่านี้ ถ้านอกไปจากนี้ก็ไม่ใช่บุญในพระพุทธศาสนา

เมื่อเราทำกุศลให้บ่อยให้มาก ย่อมได้รับอานิสงค์มาก หากกุศลมีกำลังมากพอก็ย่อมเบียดเอาผลของบาปเก่าออกไป ชีวิตย่อมเป็นไปด้วยความสุข ..ดังนั้น จึงอย่าได้วิตกจนเกินเลยไปอันจะนำมาแต่ทุกข์โทษทั้งแก่ตนและผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง..

เรื่องของกรรมและวิบากนั้น เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถเข้าบริหารจัดการได้โดยการคาดหวังหรือต้องการแม้หากในอนาคต เราหรือลูกอาจไม่ได้ครอบครองแม้สมบัติที่หามาได้นี้ ก็ต้องทราบว่า นี้เพราะเราและลูกๆ ก็ได้เคยเบียดเบียนคนอื่นๆมาเช่นกัน สิ่งใดที่ยุติธรรมเท่ากรรมและวิบากแล้วไม่มีในโลกครับ..

สรุปคือให้ตั้งใจเจริญกุศล คือทาน ศีล และศึกษาพระธรรมไว้ให้มาก ย่อมได้ที่พึ่งอันเกษมปลอดภัยที่พึ่งอื่นนอกจากนี้ไม่มี แม้พ่อแม่ก็พึ่งท่านได้เพียงในปัจจุบันชาติ ส่วนกุศลทั้งหลาย เป็นที่พึ่งในภพหน้านับไม่ถ้วนครับ..

อ้างคำพูด:
เคยคุยกันเขาไม่อยากหย่า จะอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งดิฉันยังทำใจไม่ได้กับสภาพนี้ สำหรับต้วเองไม่ได้ยึดติดกับเขาแล้วเพราะปัญหามีมานานมากจนคิดว่าตัวเองยัง อยู่ได้ถ้าไม่มีเขา แต่ลูกเขายังต้องการอยู่แล้วไม่รู้จะบอกลูกยังไง ถ้าหย่าแล้วแต่เขายังมาหาลูกเหมือนเดิมมันก็ยังอยู่ในสภาพเดิม ๆ ถ้าจะห้ามไม่ให้มาแยกไปเลยก็จะต้องตอบคำถามลูกให้ได้ ยังคิดไม่ตกค่ะ


คุณ IDA ลองฝึก"หย่าที่ใจ"ดูครับ ไม่ต้องอย่ากันทางกฏหมาย แต่หย่าด้วยใจ คือค่อยๆลดทอนความรักเสน่หาในตัวสามีลง แต่ไม่ได้ให้เกลียดชังกัน เห็นเหมือนเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์คนหนึ่ง เขาก็ยังดีที่รักลูก รับผิดชอบลูกและเราอยู่...เปรียบเหมือนเรามีต้นมะม่วงริมรั้วบ้าน..ในคราวที่มะม่วงนั้นแผ่กิ่งก้านออกไปนอกรั้ว เราเองก็ได้มะม่วงในบ้านนั้นกินอิ่ม ส่วนคนหรือสัตว์อื่นๆย่อมเห็นโอกาสที่จะหยิบฉวยมะม่วงนอกรั้วไปกินบ้างเป็นธรรมดา หากเราหวั่นไหวกังวล คอยหวงแหนอยู่ก็รังแต่จะทุกข์.แต่เพราะความเคยชินหวงแหนมากมายที่เคยมีมา การที่แสดงความใจกว้างในเรื่องเช่นนี้จึงยากเย็นที่สุด..อย่างไรก็ตาม..เพราะเราเป็นมนุษย์ จึงอยู่ในฐานะที่จะฝึกได้ .. ตัวอย่างของผู้ที่ฝึกอย่างยอดเยี่ยมที่สุดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงมีพระมหาเมตตาแก่พระราหุลและพระเทวทัต"เสมอกัน" แม้ว่่าพระเทวทัตจะทำร้ายพระองค์มานับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม .. แม้เราจะไม่อาจฝึกได้ขนาดนั้น แต่การฝึกที่จะละคลายความยึดติดในคนอื่น ย่อมเป็นการทำลายทุกข์ที่มีในปัจจุบันได้แน่นอนครับ..

:b46: :b47: :b48: :b41:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


IDA เขียน:
เคยคุยกันเขาไม่อยากหย่า จะอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งดิฉันยังทำใจไม่ได้กับสภาพนี้ สำหรับต้วเองไม่ได้ยึดติดกับเขาแล้วเพราะปัญหามีมานานมากจนคิดว่าตัวเองยังอยู่ได้ถ้าไม่มีเขา แต่ลูกเขายังต้องการอยู่แล้วไม่รู้จะบอกลูกยังไง ถ้าหย่าแล้วแต่เขายังมาหาลูกเหมือนเดิมมันก็ยังอยู่ในสภาพเดิม ๆ ถ้าจะห้ามไม่ให้มาแยกไปเลยก็จะต้องตอบคำถามลูกให้ได้ ยังคิดไม่ตกค่ะ


ไม่ต้องวิตก ทุกข์ร้อนไป หากต้องการหย่าจริงๆ
ก็ใช้วิธีที่คุณตา-dd- แนะนำ คือ "หย่าทางใจ"... หากคุณได้ใบหย่ามาแล้ว
จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้หรือเปล่า?....แล้วถ้าเขายังมากินมานอนที่บ้าน..
เหมือนปกติ..คุณจะกล้าห้ามไม่ให้เขามาได้ไหม?
มันสำคัญตรงไหน? กับกระดาษแค่แผ่นเดียว

ทุกอย่างมันอยู่ตรงที่ "ใจ"ของเราเองต่างหาก ต่อให้มีทะเบียนสมรสอยู่
แต่คิดว่าเขาเป็นคนอื่น เขาก็คือคนอื่น....ถึงจะมีใบหย่า แต่ใจตัดเขาไม่ได้
มันก็เหมือนกับไม่ได้หย่า....ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามวิถีของ "กรรม"
เราตัดสินใจอะไรไม่ได้...ก็ยังไม่ต้องตัดสินใจ....อยู่ไปอย่างนี้...แต่ฝึกจิต
ของเราไว้...ถึงเขาจะอยุ่ให้เห็นหน้ากันทุกวัน...หรือไม่กลับมาให้เห็นหน้าเลย
ก็มองเขาเป็นคนอื่น...

สำหรับลูก...เรามีหน้าที่อย่างไร?...ต่างคนต่างก็ทำกันไป...เขาคือพ่อ..
เราคือแม่ของลูกๆ...แต่สำหรับเรา....เขาก็คือเขา...เราก็คือเรา..หมดหน้าที่กันไป
ไม่มีอะไรต่อกัน...ต่างคนต่างอยู่..ต่างคนต่างใช้ชีวิตตามวิถีทางที่ตัวเองต้องการ
ไม่เกี่ยวข้องกัน....นี่คือการหย่ากันทางใจ ลูกๆจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

ไม่มีอะไรที่จะเหนือความพยายามของคนเราไปได้...
เอาใจช่วยนะค่ะ...... :b4: :b4: :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 14:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay:

อ้างคำพูด:
ไม่มีอะไรที่จะเหนือความพยายามของคนเราไปได้...
เอาใจช่วยนะค่ะ...... :b4: :b4: :b4:



สาธุๆ ย่าทักทายกล่าวได้ดีเยี่ยมครับ.. smiley :b4: :b35: :b35: :b35: :b46: :b48:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2009, 03:20
โพสต์: 48

งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: เดอะซีเคร็ต
ชื่อเล่น: สา
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเป็นกำลังใจให้ตัดสินใจเลือกในทางที่สุขน่ะค่ะ
ดิฉันเองก็ชั่งใจอยู่นานแล้ว กับ การที่จะอยู่หรือจะไป เพราะสามีเลือกแต่ปาก
เพื่อให้ดิฉันสบายใจ
แต่ไม่เลิกจริง
คุยกันดี ๆ ให้ไปอยู่กับทางภรรยาอีกคน ก็ไม่ไป
ตอนนี้เลยทำตัวให้เฉย ๆ นิ่งเข้าไว้ เหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
และคิดเสมอว่า ฉันไม่ใช่ควาย ถ้าโดนสวมเขาไปตลอดชีวิต
ฉันต้องสลัดเขาออกไปเอง
รักของดิฉันเป็นรักที่ขาดเมตตาค่ะ
เพราะการให้อภัยของดิฉัน ไม่ได้หมายความดิฉันต้องเจ็บซ้ำไปจนตาย
ถ้ามันเกินไป ดิฉันก็ไม่ทนค่ะ
เพราะดิฉันก็สามารถเลี้ยงลูกตามลำพัง 2 คนได้ค่ะ
ลูกยังเล็กมากเหมือนกัน แค่ 3 ขวบ กับ 1 ขวบ
เป็นเด็กผู้ชายทั้งคู่
และมี 1 คนที่เหมือนพ่อทุกอย่างไม่ว่าจะรูปร่าง หน้าตา วันเดือนปีเกิด รวมทั้งบุคลิก
แต่ทุกวันนี้ดิฉัน ก็ยังทนอยู่เพื่อความสุขของลูกค่ะ
เพราะพ่อลูกเขาดูแล และ ผูกพันธ์กันดีอยู่ค่ะ
เข้าใจน่ะค่ะในความอดทน ดิฉันก็ยังยืนยันว่าดิฉันเป็นสาวโบราณค่ะ ที่ไม่คิดจะเปลี่ยนสามี
และเปลี่ยนพ่อให้ลูก ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็ค่อยคิดกันใหม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 12:35
โพสต์: 14

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณจริงๆสำหรับทุกคำแนะนำและกำลังใจนะคะ ตอนนี้ดิฉันมี 2 ทางเลือกที่คิดไว้คืออดทนอยู่ไปเรื่อย ๆ เพื่อลูกที่ยังเล็กอยู่ อีกทางเลือกคือหย่าแต่จะร่วมกันดูแลลูก ๆ เหมือนเดิมทุกอย่าง ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกทางไหน เป็นสัจธรรมทุกสิ่งไม่แน่นอนต้องมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 12:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ปล่อย..ปลด...ลด...วางได้
ใจเราก็เป็นสุข....
ดูแลลูกๆให้ดีที่สุด
อยู่กับเขาให้มากที่สุด
อย่าสนใจ "คนอื่น" เลย
ทำให้ได้นะค่ะ...ไม่ยากหรอก
เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ.... :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 11:38
โพสต์: 300

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเห็นด้วยกับคุณค่ะที่จะอดทนดูแลลูก ๆ ต่อไป
หย่าแล้วได้ประโยชน์อะไร ลองเปรียบเทียบกันดูนะคะ
ขอให้คุณตัดสินใจให้ดีนะคะ
ใช้สติ ปัญญาและเหตุผลอย่าใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 12:35
โพสต์: 14

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ดิฉันรู้สึกจิตใจดีขึ้นมากจริง ๆ ค่ะเวลาเริ่มที่จะคิดเรื่องนี้ก็สามารถเตือนสติตนเองได้รู้ทันความคิดของตนเอง อาจจะยังไม่ทันทีทันใดที่ได้สติรู้คิดแต่ก็ไม่นานเหมือนเมื่อก่อนที่จมจ่อมอยู่กับความคิดเดิมๆตลอดเวลา และได้รู้ว่ายังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกมาก และสามารถผ่านความทุกข์นี้ไปได้ จะพยายามให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ ถ้ามีข้อแนะนำดีๆในการฝึกปฏิบัติทางใจ กรุณาแนะนำด้วยนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


เวลานอนไม่หลับ...ทักทายจะลุกขี้นนั่ง
แล้วจ้องหน้า "เขา" แล้วก็คิดว่า ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน?
ทำไมเราต้องมานั่งทุกข์ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จะเป็นจะตาย
เพียงเพราะเขาไปมีคนอื่น...ก็เขาไม่ใช่เรา...แล้วทำไมเขาจะไปมี
คนอื่นไม่ได้...ตอนนั้นเขารักเรา...เขาก็แต่งงานกับเรา...แต่ตอนนี้
เขาไปรักคนอื่น...เขาไม่ได้โกหกเรา...มันเป็นความจริงทั้งหมด
ทั้งตอนนั้นและตอนนี้ เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนคนที่เขารัก...ทำไม
เราจะต้องมาทุกข์ใจกับความรู้สึกของเขา...เราเองตอนนี้กับตอนนั้น
ความรู้สึกที่เรามีต่อเขามันยังเปลี่ยนไปเลย...ไม่ได้รักเขามากมาย
เหมือนแต่ก่อน...แล้วทำไมต้องมานั่งหวงความรู้สึกที่มันจับต้องก็ไม่ได้


คิดทุกๆวัน พิจารณาทุกๆวัน...ความรุ้สึกที่ ทั้งรัก ทั้งเกลียด
โกรธ แค้น ที่มันอัดแน่นในอก...มันก็ค่อยๆเบาบางลงเรื่อยๆ
จนในที่สุด...เธอจะกลับมาบ้าน ฉันก็หลับ...คืนนี้เธอไม่กลับ
ฉันก็หลับ....แล้วไม่เคยพูด ไม่เคยถาม ไม่เคยคุยกันเรื่องอื่นใด
นอกจากเรื่องลูกๆ....ลองดูนะค่ะเผื่อจะได้ผล :b4: :b4: :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ ย่าทักทายแนะนำดีแล้ว :b4: :b4: :b35: :b35: :b35:
IDA:

อ้างคำพูด:
ตอนนี้ดิฉันรู้สึกจิตใจดีขึ้นมากจริง ๆ ค่ะเวลาเริ่มที่จะคิดเรื่องนี้ก็สามารถเตือนสติตนเองได้รู้ทันความคิดของตน เอง อาจจะยังไม่ทันทีทันใดที่ได้สติรู้คิดแต่ก็ไม่นานเหมือนเมื่อก่อนที่จม จ่อมอยู่กับความคิดเดิมๆตลอดเวลา และได้รู้ว่ายังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกมาก และสามารถผ่านความทุกข์นี้ไปได้
จะพยายามให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ ถ้ามีข้อแนะนำดีๆในการฝึกปฏิบัติทางใจ กรุณาแนะนำด้วยนะคะ


การได้คบกัลยาณมิตรจะมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาครับ คุณ IDA เองมีบุญแล้วที่เข้ามาที่นี้ ที่มีทั้งเพื่อนๆผู้ร่วมทุกข์ผู้ส่งกำลังใจและแลกเปลี่ยนความเห็นตลอดจนคำแนะนำที่เขาใช้แล้วได้ผลประจักษ์แก่ตนจนสามารถอยู่กับสิ่งที่ทำให้ทุกข์ได้อย่างไม่ทุกข์หรือทุกข์น้อยลง..

กัลยาณมิตรนั้น สำคัญมากจริงๆ...ขาดไม่ได้เลยสำหรับผู้ที่จิตใจยังไม่เข้มแข็ง.....
เรื่องปัญหาที่คุณ IDA รู้สึกนั้น เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมชาติ อย่าเพิ่งท้อถอยนะครับ..

เปรียบเหมือนด็กที่ขี่จักรยานไม่เป็น ก็ต้องมีคนคอยแนะคอยสอนจนกว่าจะขี่ด้วยตัวเองได้.... ระหว่างทางแห่งการฝึกนั้น... ถามว่า เด็กผู้นั้นจะไม่พึงหกล้ม ได้รับบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆบ้างหรือ? ตอบว่า... การหกล้มย่อมเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา ....ยิ่งบางคนช่างมีจิตใจหวาดกลัวยิ่งขี่เป็นได้ยาก ต้องใช้เวลามากกว่าเด็กอื่นๆ.... เรื่องนี้ก็อยู่ในฐานะที่จะเป็นได้.....
แต่ถามว่า.... ครั้นเมื่อเด็กคนนั้นหกล้มครั้งแล้วครั้งเล่า เจ็บปวดร้องไห้อยู่อย่างนั้น ....เด็กคนนั้น สมควรจะพึงเลิกล้มการฝึกหรือไม่หนอ?
คำตอบก็คือ ...ไม่ควรท้อใจเลิกล้มเสียหรอก.....หากเป็นเด็กที่มีความเชื่อว่า คนที่ฝึกด้วยดีแล้วย่อมจะต้องขี่ได้ในวันใดวันหนึ่ง ก็เมื่อเขาเกิดความคิดอย่างนั้น ความเพียรก็เกิดต่อมาสนับสนุนให้เด็กคนนั้น ฝึกต่อไปอีก...
คราวนี้ฝึกบ่อยๆ ก็เกิดการเรียนรู้ถึงเหตุผลแห่งการที่จะขี่ได้.... ทำอย่างไรขี่แล้วหกล้มก็รู้... เขาก็จะเกิดการสังเกตเรียนรู้ ในที่สุดเขาก็ชำนาญขึ้นๆ
แต่ก็อีกนั่นแหละ...ตอนขี่ในพื้นที่ถนนเรียบๆกับพื้นที่ขรุขระ ก็ไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องที่จะพลาดพลั้งขึ้นได้อีก... หรือแม้ถนนเรียบๆแต่กลับมียวดยานพาหนะวิ่งไปมาน่ากลัว การขี่จักรยานนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขึ้นมาเสียอีกแล้ว และอาจจะประสบอุบัติเหตุได้.....หรือแม้แต่ถนนเรียบ ปราศจากสิ่งกีดขวาง หากเด็กนั้นประมาท คะนอง ก็เป็นปัจจัยให้เกิดล้มได้อีกเหมือนกัน....
จิตใจของเราที่พยายามฝึกให้ปัญญาเกิดขึ้นก็เป็นอย่างนั้น....
เมื่อรับวิบากไม่ดีขึ้นมาก็รู้สึกทนไม่ได้ นี่ก็ต้องยอมรับนะครับ..ยอมรับเพื่อลดการต่อสู้ผลักใสอารมณ์นั้นๆ เพราะจะยิ่งแย่ไปกันอีก
ยอมรับ ว่าเป็นวิบากไม่ดีของตัวเองประการหนึ่ง....
ยอมรับ ว่าตัวเองขณะนี้หวั่นไหวเป็นทุกข์ รับได้ยากเสียจริงๆ..
ยอมรับเสียก่อน โอนอ่อนผ่อนตามจิตใจเขาไป...." ดู" เขาว่า เวลาใจคอเขาเดือดร้อน เป็นทุกข์ เศร้าโศกนั้น อาการเป็นอย่างไร... กระสับกระส่ายอย่างไร.... จิตใจขณะนั้นเป็นไปแบบไหน... หัวใจรู้สึกบีบคั้นอย่างไร.... เวลาจิตใจทุรนทุรายแล้วเป็นอย่างไร..เอาใจมารู้มาศึกษาอย่างนี้แทน...อะไรจะเกิดขึ้นณ. ที่ตรงนี้?
เพราะโดยธรรมชาตินั้น จิตใจของเราจะคิดปรุงแต่งเรื่องโน่นเรื่องนี่ตลอดเวลาไม่มีหยุดพัก... โดยไม่เคยกลับมารู้ตัวเลย... พอรับอารมณ์ไม่ดี ความโกรธก็เกิดขึ้น แล้วความนึกคิดที่ไม่ชอบใจ โกรธ ขัดเคืองในเรื่องราวต่างๆก็ประเดประดังไหลติดตามจิตใจมา.... คิดตรงนั้นยังไม่พอ ....ใจยังคุ้ยเขี่ยเอาเรื่องราวในอดีต ....ไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ก็คุ้ยเขี่ยขึ้นมาคิดนึกผสมโรงเข้าไป.... บ้างก็เอื้อมไปคาดคะเนเรื่องที่เลวร้ายที่ตัวเองคิดว่าคงจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต คิดเอาทั้งนั้น... หากมีใครๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นก็พลอยตกมาเป็นจำเลยในใจของเราไปด้วย พาลหาเรื่องขุ่นเคืองไม่ชอบใจไปด้วย... รู้สึกน้อยใจคนนั้นขึ้นมา หรืออาฆาตคนนี้ขึ้นมา หรือเสียใจน้อยใจว่า ไม่มีใครเห็นใจเราเลยหนอ..เป็นใครๆจะทนได้... ก็ปรุงแต่งฟุ้งไป จิตใจส่ายซัดไปในเรื่องที่คิดเอาเองทั้งนั้น..

จึงสมควรให้ฝึกใจให้กลับมารู้ตัวบ้าง.....
เวลารับวิบาก ให้ถามตัวเองว่า เรารับวิบากทางไหน?......
เช่นเรารับวิบากทางหู ตัวอย่างคือ มีคนเขาด่าเราซึ่งหน้าไม่ทันระวังตัว เขาก็ด่าเรามา ๑๕ คำ(สมมุติ) แล้วก็เดินจากเราไป...ทิ้งความโกรธความขมขื่นใจให้เราไว้อย่างนั้นแหละ....
หากพิจารณา ก็รู้ว่า ใจนั่นแหละที่โกรธ ใจนั่นแหละที่เจ็บ ไม่มีใครมาทุบหัวใจเราซักหน่อยเลย...หูที่รับวิบากโดยตรงก็ไม่ได้เจ็บแม้แต่น้อย หูไม่ได้อักเสบหรือบวมขึ้นเพราะเสียงที่เขาด่าสักหน่อย.....
เสียงนั้นก็หมดไปตั้งนานแล้ว แต่ใจเรากลับกอดรัดเสียงด่านั้น ไม่ให้หลุดไปจากใจเราได้เลย....ย้ำคิด ย้ำแค้น ย้ำเศร้าอยู่อย่างนั้น บางคนเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี นับสิบปี เจ็บจำไม่ลืมเสียงด่านั้นเลย สงวนไว้ราวกับของมีค่าควรแก่การรักษา...
หรือเวลาตาเราขึ้นรับวิบากเห็นภาพที่บาดตาบาดใจ..วิบากส่งผลกรรมให้จิตทางตามารับรู้รูปก็เพียงชั่วหนึ่งขณะเท่านั้น...ตาก็ไม่ได้เจ็บ ตาไม่ได้บวม ตาไม่ได้อักเสบ เพราะการเห็นนั้นสักหน่อย..แต่ใจเจ้าเอ๋ย..เก็บภาพนั้นเข้ามาให้ปวดใจอยู่ตลอด


รูปนั้นก็หมดไปตั้งนานแล้ว แต่ใจยังเก็บภาพนั้น พิมพ์ประทับลงใจไม่เคยลืมเลือน จึงย้ำคิด ย้ำเศร้าทุกคืนวัน คิดไป น้ำตาไหลไป อย่างนี้ก็มี...
วกกลับมาที่ประเด็นว่า ขณะรับวิบากทางใดทางหนึ่ง ให้เปลี่ยนใจที่"คิด" มาเป็นใจที่"รู้" รู้ตัวขึ้นแทน
ให้รู้สึกถึงอาการความเป็นไปของร่างกาย หัวใจ ใบหน้าที่รู้สึกร้อนผ่าว หรือรู้สึกถึงจิตใจว่าเขากำลังเป็นอย่างไร..ขณะนั้น ดูเหมือนว่า เราลังดูคนอื่นกำลังแสดงละครอยู่... เมื่อดูอย่างพิจารณา ใจที่"ดู"จึงไม่มี"คิดนึก" จึงชื่อว่ารู้ตัว รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตัว.... แต่ไม่ไปรู้เรื่อง... คราวนี้ โทสะก็ไม่ได้เชื้อเพลิงก็ค่อยๆมอดลงไปๆ ....
เราจึงรู้ถึงวิธีที่จะมีตนเป็นที่พึ่งได้ หากฝึกได้บ่อยๆ กำลังปัญญาจึงจะแข็งแรง นี่เป็นขั้นตอนการปฏิบัติอย่างง่ายๆเพื่อให้สติเกิดมารู้ตัว สตินั้นเกิดกับจิตที่เป็นกุศล เมื่อกุศลเกิด อกุศลก็ไม่เกิด.... เมื่ออกุศลเกิด กุศลก็เกิดไม่ได้ ....เขาเป็นอย่างนั้น ...จึงควรฝึกไว้เพราะนี่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของเรา
ไม่มีใครรักษาใจของเราได้ เราต้องรู้จักรักษาใจของเราเองให้เป็น

มาจึงถึงบัดนี้ เด็กน้อยผู้นั้น ย่อมตอบกับตัวเองว่า ตัวสมควรจะท้อใจไหมในการสร้างปัญญา ? เราเพียงแต่ทำเหตุ ต้องใช้เวลาเพาะบ่ม ถูกกิเลสใช้มานับแสนล้านชาติ จะเอาปัญญานิดๆหน่อยๆ ไปกำหราบเขา ไม่ใช่จะเป็นไปได้..จึงต้องเพาะบ่ม...ใช้เวลา..หากท้อใจ ก็หมดหวังไม่มีวันเงยหน้าได้
หากปลงสู้ ไม่ปลงหนี .... อย่างน้อย ก็มั่นใจได้ว่า ..สักวันหนึ่ง ปัญญาเราจะแข็งแรง..เหมือนคนที่ป่วยมานานอ่อนแอเอาเสียจริงๆ ต้องรับประทานยาด้วย ต้องบริหารร่างกายเพาะบ่มกำลังกายขึ้นมาด้วย ล้วนแต่ต้องใช้เวลาทั้งนั้น หากยอมแพ้ ก็ตายลูกเดียว..

เมื่อจิตตก... ก็เขียนมาคุยกันอย่างนี้..ธรรมะมีหลายแง่หลายมุม ฟังได้ไม่มีเบื่อเพราะเป็นความจริง จึงเป็นเรื่องที่ฟังแล้วชื่นใจ จิตใจมีกำลังเพราะได้ยาวิเศษที่เรียกว่า ธรรมะโอสถ ..

เรียกกำลังใจกลับมาได้บ้างแล้วนะครับ ตอนนี้ เพราะตลอดเวลาที่อ่านบทความนี้ จิตที่เป็นกุศลของ คุณ IDAจะเกิดขึ้นมา และแน่นอน อกุศลก็ไม่เกิดในขณะที่อ่านอยู่ ..จิตใจจึงเปลี่ยนเป็นความเบากายเบาใจขึ้นมา นี่เป็นเพราะกุศลจิตเขามีสภาวะอย่างนั้น..
ทำให้กายเบาจิตเบา ควรแก่การงาน ผ่องใสขึ้นมา....ขอให้ตั้งหลักตั้งใจใหม่นะครับ.. :b47: :b48: :b46: :b41: :b39:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 12:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


แวะมาส่งกำลังใจให้ค่ะคุณIDA
วันนี้เป็นอย่างไรบ้างค่ะ?.... :b4: :b4:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 12:35
โพสต์: 14

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะคุณทักทาย ช่วงนี้กำลังยุ่งอยู่กับเด็ก ๆ ค่ะ เพราะกำลังจะสอบปิดภาคเรียน พยายามหาเวลาทบทวนบทเรียนให้ลูกซึ่งหาเวลาว่างยากมาก เพราะเจ้าตัวเล็กก็ซนมากและยังดูดนมแม่ติดแม่มาก กว่าจะแบ่งเวลาให้พี่ ๆ 2คนได้ ก็ 4 ทุ่ม 5 ทุ่ม พี่ ๆ ก็ง่วงแล้ว ต้องดูแลลูกคนเดียวค่ะ บางครั้งยังนึกสงสารพี่คนโตอายุ 11 ปี แต่ต้องรับผิดชอบตนเองและน้อง บางครั้งต้องทำอาหาร ซักรีดเสื้อผ้าให้น้องด้วย แต่เขาสามารถทำได้ค่ะ แต่บ่นน้อยใจเหมือนกัน เราก็ต้องให้กำลังใจ ยังดีที่อาหารแต่ละมื้อคุณยายจะทำเผื่อทุกมื้อ ด้านจิตใจก็ยังมีที่จะคิดมากโดยเฉพาะเวลาเครียด หรือเจอปัญหาต่าง ๆ บางครั้งอยากจะอยู่ในภาวะที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย อยากอยู่ตัวคนเดียว อยากนอนเฉย ๆ :b5: :b6: :b26:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 64 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร