| ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
| ความรักในอุดมคติ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=29778 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 17 |
| เจ้าของ: | พงพัน [ 26 ก.พ. 2010, 16:30 ] |
| หัวข้อกระทู้: | ความรักในอุดมคติ |
ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาสำหรับพูดคุยเรื่อง ความรักในอุดมคติโดยเฉพาะครับ และนำเสนอเรื่องราวความรักในอุดมคติของตัวเอง(อาจออกแนวชู้สาวเล็กน้อย) บางท่านอาจจะได้ข้อคิดบ้างไม่มากก็น้อย ใครมีอุดมคติเรื่องความรักกันอย่างไรก็นำมาพูดคุยกันบ้างนะครับ พอดีเจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์อย่างคุณทักทาย ก่อนนี้คิดว่าคงต้องมีคนแบบนี้อยู่บ้าง (คนที่คิดที่จะรักโดยไม่หวังผล เบาบางจากความทุกข์ ความร้อนรุ่มในจิตใจ) แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอได้สนทนา พอมาเจอจึงรู้สึกสะกิดใจ ปิ๊งไอเดียว่า แนวทางความรักแบบนี้ก็เป็นหนทางไปสู่ความหลุดพ้นได้นี่นา แต่ต้องใช้วิจารณญาณในการสนทนานะครับ เพราะแต่ละคนมีปัจจัยที่แตกต่างกัน บุญกรรมที่ทำมาไม่เหมือนกัน ย่อมจะทำให้ชีวิตหรือเรื่องราวความรักไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน นิยามความรักหรือความรักในอุดมคติของผมนั้น ต้องเป็นรักที่ใกล้เคียงพรหมวิหาร ๔ ที่สุด จึงจะถือว่านั่นคือ "ความรัก" เมื่อตอนที่กิเลสหนา บังตา บังใจ ก็คิดไปว่า ความรู้สึก อยากได้ใคร่มีจากอีกฝ่ายหนึ่ง ความเจ็บปวดที่เกิดจากความสัมพันธ์หรือผูกพันกับใครคนหนึ่ง เป็นผลจากความรักที่เรามีต่อเขา ยิ่งรักยิ่งเจ็บ ยิ่งห่วงยิ่งทุกข์ทรมาณ เราทำสิ่งดีๆในชีวิตมาตลอด ทำไมถึงต้องมาได้รับผลกรรมเช่นนี้ ยิ่งถามว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาณยิ่งทวีความรุนแรงเป็นทวีคูณ คิดว่าความรู้สึกเหล่านี้มันคงจะใกล้เคียงคำว่านรกมากที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ยอมออกมาจากชีวิตเขา ทนอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นเพียงเพื่อจะมีเขาอยู่ในชีวิต สิ่งที่เราคิดว่าความรักแบบนี้เจ็บปวดอย่างยิ่ง ไม่ควรแนะนำใครให้เจริญรอยตามเรา อันที่จริงแล้ว เราสามารถเห็นความเบิกบานของความรักเช่นนี้ได้ ทั้งๆที่ต้องทนทุกข์ระทมอย่างหนักกับการไม่ยอมจากคนเพียงคนเดียวไป ที่พูดอย่างนี้ได้อย่างเต็มปาก ก็เพราะตัวเองเห็นและสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์ ความอ่อนโยนของรูปแบบความรักเช่นนี้ หลังจากที่พิจารณาความทุกข์ทรมาณในความรักมานาน การที่ได้พิจารณาตามแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงรู้สัจธรรมความรักที่เราปารถนาที่จะรู้เป็นอย่างมากในตอนแรก และได้รู้สัจธรรมของธรรมชาติทั้งปวงที่ถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่ยิ่งใหญ่เหลือประมาณ จนเรื่องความรักของเราไม่ใกล้เคียงเศษเสี้ยวผงธุลีของผลพลอยได้ที่เราได้รับนี้เสียอีก ถึงตอนนี้ ความรักในรูปแบบเดิมๆ คนเดิมๆ สถานการณ์เดิมๆ ที่เราคิดว่าทนทุกข์กับมันมาตลอด กลับกลายเป็นรูปแบบความรักที่เราสามารถเบิกบานใจได้ อิ่มเอมใจได้ รู้สึกดีอย่างอธิบายออกมาเป็นคำพูดแทบไม่ได้ มันไม่ใช่ความสุข แต่มันเป็นความรัก ความผูกพัน และสิ่งดีๆที่มอบให้เสมอ โดยปราศจากตัวเราของเรา จะเป็นความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับอุดมคติความรักของเราที่ตั้งไว้แล้วหรือเปล่านะ คำแนะนำสำหรับความรักไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็แล้วแต่ครับ การวิ่งหนีความทุกข์เพื่อจะหาความสุขใหม่ๆของชีวิตไม่ใช่หนทางที่พ้นทุกข์ได้อย่างแน่ แต่ยังจะเป็นการเริ่มต้นความทุกข์ตัวใหม่ๆทั้งสิ้น การดำเนินการเจริญสติและวิปัสสนาตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ต่างหาก จึงจะสามารถไปสู่ความพ้นทุกข์ เห็นนิโรธตามหลักอริยสัจ๔ ได้อย่างแท้จริง การไขว้คว้าหาความสุขจากความรักหรือสิ่งใดๆ ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดหรือจุดหมายปลายทางของชีวิต แต่เป็นการที่จะสามารถพ้นทุกข์ คือพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสารนี้ต่างหาก สุดท้ายมาจบด้วยธรรมะได้ยังไงก็ไม่ทราบ
|
|
| เจ้าของ: | ทักทาย [ 27 ก.พ. 2010, 05:11 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
ความจริงแล้ว...ไม่ใช่อุดมคติหรอกค่ะคุณพงพัน เพราะไม่ได้ตั้งใจ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เรียกว่าเหตุการณ์พาไปมากกว่า แล้วก็ได้ทราบว่า "มาถูกทาง" จึงอยากแบ่งปันความรู้สึก "รัก" แบบนี้ให้เพื่อนๆได้ทดลองปฏิบัติ...เพื่อความทุกข์จาก รักจะได้น้อยลงไปบ้าง....... จริงๆแล้วที่ว่า รักจึงทำให้ทุกข์ หรือมีรักก็มีทุกข์นั้น ตามความเห็น ของทักทายแล้ว มันไม่ใช่...ความรักไม่ได้ทำให้ทุกข์เลย ตรงกันข้าม ความรักกลับทำให้เรามีความสุข สดใส เบิกบาน มีกำลังใจ มีความอ่อนโยน มีพลังสร้างสรรค์สิ่งดีๆได้ตั้งมากมาย ![]() คิดดูว่าที่เราทุกข์กันนั้นเพราะอะไร? เพราะรักเขาหรือเปล่า? ก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า ที่เรา "รัก"เขา ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ที่เราทุกข์เพราะ เขาไม่ได้เป็นตามที่เรา"อยาก"ให้เป็น คำตอบก็คือเรา "อยากเกี่ยวพัน" กับพยายาม "ยึดเหนี่ยว" ต่างหาก แต่มักจะแยกกันไม่ออกมันเหมือนแฝดพี่แฝดน้อง พอเราเห็นพี่ก็คิดว่าเป็นน้อง พอเห็นน้องเราก็คิดว่าเป็นพี่ พอพี่ทำให้เจ็บเราก็เหมาเอาว่า ทั้งคู่นั่นแหละ แต่จริงๆคนละส่วนกัน ความรักไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยกับใครเลย ถ้าเรารู้จัก "รัก" แยกระหว่างความรัก "ความผูกพัน" ออกจากการเกี่ยวพัน และความพยายามที่จะยึดเหนี่ยวออกให้ได้ เรามักคาดหวัง ว่าเรารักใครสักคน เขาจะต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น เป็นอย่างที่เราคิดจินตนาการไว้ทุกอย่าง พอไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้ ก็ไม่พอใจ ขัดข้องใจ ก็เกิดรักเป็นพิษ แล้วก็โทษว่ารักทำให้เจ็บปวด รักทำให้เป็นอย่างนี้ จริงๆแล้วก็ใจเราเอง ตัวเราเองต่างหาก..ที่เป็น ที่ทำให้เป็น นี่คืออยากเกี่ยวพัน ไม่ใช่ความรัก แล้วความรู้สึกที่ว่า เขาเป็นของเรา เขาเป็นแฟนเรา หรือแม้กระทั่ง เขาเป็นคนของเรา เป็นของของเรา แล้วก็หลงสร้าง กฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นในใจโดยไม่รุู้ตัว..ว่าเขาต้องรักเราคนเดียว เขาจะต้องไม่รักคนอื่น เขาเป็นแฟนเรา เขาต้องไม่มีคนอื่น ชีวิตของเราทั้งชีวิตเป็นของเขา (ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้ร้องขอ) เพราะฉะนั้น ชีวิตของเขาทั้งชีวิตก็ต้องเป็นของเรา จะไปจากเราไม่ได้ และจะต้อง ไม่มีวันจาก ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จะต้องเป็นอย่างนี้ตลอดชั่วนิจนิรันดร์ นี่ก็คือการยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้ง ไม่ใช่ความรักอีกเช่นกัน ถ้าเรารู้จัก เอาสองตัวหลังออกจาก"รัก" ให้ได้ ความทุกข์ มันก็จะไม่เกิดขึ้นในใจ เขาจะมีคนอื่น เขาจะรักคนอื่นมันก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะตัวที่ว่า "ของเรา" มันไม่มี เขาจะไปมีใครอีกสักกี่คน เราก็จะไม่เจ็บไม่ปวด เขาจะรักใครอีก? เขาจะทำอะไรกับใครอื่น?.. เราก็ยังมีความรู้สึกเดิมๆให้เขาได้ ไม่คาดหวัง ไม่ต้องการอะไรตอบแทน เขามีปัญหา...ถ้าช่วยได้ก็เต็มใจที่จะช่วย...ถ้าช่วยไม่ได้มีแค่กำลังใจ ก็ให้กำลังใจ....พอเขามีความสุข....ลืมเราไปบ้างก็ไม่เป็นไร.... ไม่ได้น้อยใจ...หรือเสียใจ....ว่างก็มาหามาคุย....ไม่ว่างก็ต่างคน ต่างอยู่ไป.....ขึดเส้นของความรักไว้แค่ "ความรู้สึก" ทางใจ ไม่เกี่ยวพันกันเรื่องอื่นๆ..... อาจจะคิดว่าทำไม่ได้ หรือทำได้ยาก...แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้ยากเลย เหมือนดูภาพสามมิติ พอรู้วิธีดูแล้ว จะกี่ภาพ จะกี่หน ยากแค่ไหน? พอดูปุ๊ป....ก็จะเห็นเป็นภาพทันที ที่กล่าวมานี้รวมถึงความรักทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรักลูก หรือญาติ จะใช้หลักการเดียวกันหมด คนที่เรารัก เขามีชีวิตของเขา เขาอาจจะไม่ ได้อยากเป็น..ในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น ถ้าจะให้เขามีความสุข..ก็ควรให้เขาเป็น ให้เขาทำในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่คาดหวังทั้งพยายามและบังคับให้เป็น.. และทำในสิ่งที่เราต้องการ....เมื่อคนที่เรารัก.....ได้มีชิวิตตามที่เขาปรารถนา... เขาก็มีความสุข...เมื่อเห็นคนที่เรารักมีความสุข....เราก็สุข......... ผลมันก็มีมาตามเหตุอยู่แล้ว...... นี่คือความรักของทักทายค่ะ |
|
| เจ้าของ: | พงพัน [ 27 ก.พ. 2010, 16:21 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
taktay เขียน: ความจริงแล้ว...ไม่ใช่อุดมคติหรอกค่ะคุณพงพัน เพราะไม่ได้ตั้งใจ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เรียกว่าเหตุการณ์พาไปมากกว่า แล้วก็ได้ทราบว่า "มาถูกทาง" จึงอยากแบ่งปันความรู้สึก "รัก" แบบนี้ให้เพื่อนๆได้ทดลองปฏิบัติ...เพื่อความทุกข์จาก รักจะได้น้อยลงไปบ้าง....... อ้อ ต่างจากผมครับ ที่ตั้งเป้าหมายไว้ ระหว่างทาง ถอดใจบ่อยมาก คิดว่าทำไม่ได้แน่ๆแล้ว มันยากเกินกำลังของปุถุชนคนนึงจะทนไหว มันเป็นความรู้สึกของตัวตนอย่างแท้จริง สุดท้ายแล้ว ผลกรรมยึดเหนี่ยวและเหตุการณ์พามาเหมือนกัน มารู้ตัวอีกทีก็ "อ้าว เราทำได้นี่นา" taktay เขียน: จริงๆแล้วที่ว่า รักจึงทำให้ทุกข์ หรือมีรักก็มีทุกข์นั้น ตามความเห็น ของทักทายแล้ว มันไม่ใช่...ความรักไม่ได้ทำให้ทุกข์เลย ตรงกันข้าม ความรักกลับทำให้เรามีความสุข สดใส เบิกบาน มีกำลังใจ มีความอ่อนโยน มีพลังสร้างสรรค์สิ่งดีๆได้ตั้งมากมาย ![]() ถ้ามาจุดที่ถูกทางแล้ว เป็นพลังอย่างมากครับ แต่กว่าจะมาถึงก็บั่นทอนพลังไปเยอะเหมือนกัน taktay เขียน: คิดดูว่าที่เราทุกข์กันนั้นเพราะอะไร? เพราะรักเขาหรือเปล่า? ก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า ที่เรา "รัก"เขา ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ แต่ที่เราทุกข์เพราะ เขาไม่ได้เป็นตามที่เรา"อยาก"ให้เป็น รักที่ทุกข์ คือรักที่ปนไปด้วยกิเลส ตัณหา รักที่ไม่ทำให้ทุกข์คือรักที่ปราศจากกิเลส ตัณหา taktay เขียน: คำตอบก็คือเรา "อยากเกี่ยวพัน" กับพยายาม "ยึดเหนี่ยว" ต่างหาก แต่มักจะแยกกันไม่ออกมันเหมือนแฝดพี่แฝดน้อง พอเราเห็นพี่ก็คิดว่าเป็นน้อง พอเห็นน้องเราก็คิดว่าเป็นพี่ พอพี่ทำให้เจ็บเราก็เหมาเอาว่า ทั้งคู่นั่นแหละ แต่จริงๆคนละส่วนกัน ความรักไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยกับใครเลย ถ้าเรารู้จัก "รัก" แยกระหว่างความรัก "ความผูกพัน" ออกจากการเกี่ยวพัน และความพยายามที่จะยึดเหนี่ยวออกให้ได้ ผู้ที่แยกออกได้แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นความสามารถของผู้ที่วิปัสสนามานาน ผมจึงมักจะแนะนำหลายๆคนให้ฝึกวิปัสสนาเพื่อจะได้มีความสามารถพิเศษเช่นนี้ ถ้าคุณทักทายแยกออกได้แสดงว่าคงได้ฝึกวิปัสสนาอาจจะแบบไม่รู้ตัวก็ได้ taktay เขียน: เรามักคาดหวัง ว่าเรารักใครสักคน เขาจะต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น เป็นอย่างที่เราคิดจินตนาการไว้ทุกอย่าง พอไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้ ก็ไม่พอใจ ขัดข้องใจ ก็เกิดรักเป็นพิษ แล้วก็โทษว่ารักทำให้เจ็บปวด รักทำให้เป็นอย่างนี้ จริงๆแล้วก็ใจเราเอง ตัวเราเองต่างหาก..ที่เป็น ที่ทำให้เป็น นี่คืออยากเกี่ยวพัน ไม่ใช่ความรัก ภาษาพระก็คงจะเป็น ภวตัณหา และ วิภวตัณหา การจะทำลายตัณหานั้นให้สิ้นก็ต้องอาศัยวิปัสสนาอีกนั่นแหละ taktay เขียน: แล้วความรู้สึกที่ว่า เขาเป็นของเรา เขาเป็นแฟนเรา หรือแม้กระทั่ง เขาเป็นคนของเรา เป็นของของเรา แล้วก็หลงสร้าง กฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นในใจโดยไม่รุู้ตัว..ว่าเขาต้องรักเราคนเดียว เขาจะต้องไม่รักคนอื่น เขาเป็นแฟนเรา เขาต้องไม่มีคนอื่น ชีวิตของเราทั้งชีวิตเป็นของเขา (ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้ร้องขอ) เพราะฉะนั้น ชีวิตของเขาทั้งชีวิตก็ต้องเป็นของเรา จะไปจากเราไม่ได้ และจะต้อง ไม่มีวันจาก ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จะต้องเป็นอย่างนี้ตลอดชั่วนิจนิรันดร์ นี่ก็คือการยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้ง ไม่ใช่ความรักอีกเช่นกัน ตัวเราของเราทั้งนั้น taktay เขียน: ถ้าเรารู้จัก เอาสองตัวหลังออกจาก"รัก" ให้ได้ ความทุกข์ มันก็จะไม่เกิดขึ้นในใจ เขาจะมีคนอื่น เขาจะรักคนอื่นมันก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะตัวที่ว่า "ของเรา" มันไม่มี เขาจะไปมีใครอีกสักกี่คน เราก็จะไม่เจ็บไม่ปวด เขาจะรักใครอีก? เขาจะทำอะไรกับใครอื่น?.. เราก็ยังมีความรู้สึกเดิมๆให้เขาได้ ไม่คาดหวัง ไม่ต้องการอะไรตอบแทน เขามีปัญหา...ถ้าช่วยได้ก็เต็มใจที่จะช่วย...ถ้าช่วยไม่ได้มีแค่กำลังใจ ก็ให้กำลังใจ....พอเขามีความสุข....ลืมเราไปบ้างก็ไม่เป็นไร.... ไม่ได้น้อยใจ...หรือเสียใจ....ว่างก็มาหามาคุย....ไม่ว่างก็ต่างคน ต่างอยู่ไป.....ขึดเส้นของความรักไว้แค่ "ความรู้สึก" ทางใจ ไม่เกี่ยวพันกันเรื่องอื่นๆ..... สุดยอดเลยครับ เยี่ยมจริงๆ แต่ "ความรู้สึก ทางใจ" นั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ยึดไว้ไม่ได้เช่นกัน ทุกสภาวะล้วนลงสู่กฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้น taktay เขียน: อาจจะคิดว่าทำไม่ได้ หรือทำได้ยาก...แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้ยากเลย เหมือนดูภาพสามมิติ พอรู้วิธีดูแล้ว จะกี่ภาพ จะกี่หน ยากแค่ไหน? พอดูปุ๊ป....ก็จะเห็นเป็นภาพทันที แหม แต่อย่าลืมสิครับว่า กว่าจะได้ขนาดนี้คุณทักทายต้องผ่านอะไรมาบ้าง มันยากตรงนั้นแหละครับ แต่ถ้าใครมาถึงจุดที่ทำได้แล้วก็จะรู้สึกว่า ที่จริงแล้วมันก็ไม่เห็นยากเลย เพราะกุศล บารมี ที่เราอดทนใช้ความดีสู้กับความเจ็บปวดนั่นแหละครับ มันส่งผลให้เกิดเป็นใจที่สดใส อ่อนโยนกับความรักขนาดนี้ได้ taktay เขียน: ที่กล่าวมานี้รวมถึงความรักทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรักลูก หรือญาติ จะใช้หลักการเดียวกันหมด คนที่เรารัก เขามีชีวิตของเขา เขาอาจจะไม่ ได้อยากเป็น..ในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น ถ้าจะให้เขามีความสุข..ก็ควรให้เขาเป็น ให้เขาทำในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่คาดหวังทั้งพยายามและบังคับให้เป็น.. และทำในสิ่งที่เราต้องการ....เมื่อคนที่เรารัก.....ได้มีชิวิตตามที่เขาปรารถนา... เขาก็มีความสุข...เมื่อเห็นคนที่เรารักมีความสุข....เราก็สุข......... ผลมันก็มีมาตามเหตุอยู่แล้ว...... ก็อย่างว่าแหละครับว่าแต่ละคนสร้างปัจจัยมาไม่เหมือนกัน ไม่งั้นคนที่ฝ่าฟันความทุกข์ทนในความรักจนได้พบกับความรู้สึกที่อิ่มเอมเช่นนี้อย่างคุณทักทาย คงจะมีให้เห็นเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว แต่ในปัจจุบันเท่าที่เห็นนี่ก็ พอกิเลสไม่สมดุลกันก็เลิกกันไปทั้งนั้น หายากที่จะมีใครทนทุกข์ใจอย่างหนักได้เพื่อที่จะรักใครสักคน ผมยังไม่คิดเลยครับว่าที่ผ่านมาตัวเองจะรักใครสักคนบนความเจ็บปวดของตัวเองขนาดนั้นได้ แต่กุศลและความดีที่ทำ ก็นำมาสู่ความสงบทางใจได้ รักได้อย่างสบายใจ แต่อย่างว่าอีกล่ะครับ แล้วแต่กรรม แล้วแต่เหตุที่แต่ละคนสร้างมาอีกนั่นแหละ ก็ไม่ทราบว่าจะต้องสร้างบารมีมาขนาดไหน จึงจะสามารถใช้ความทุกข์เป็นบันไดให้เกิดปัญญาอย่างคุณทักทายได้ แต่ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ ถึงจะทราบหรือไม่ทราบอย่างไร เมื่อเกิดปัญหาใดๆขึ้นมาแล้ว ผู้ที่รักตัวเองอย่างแท้จริง อย่างถูกทางจริงๆ ก็ควรที่จะนำพาตนเองเข้ามาสู่เส้นทางธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าได้นำทางไว้แล้ว แล้วจะรู้ว่าสิ่งประเสริฐที่สุดในสรรพสิ่งทั้งปวง ก็อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง วกเข้าธรรมะอีกแล้ว
|
|
| เจ้าของ: | ทักทาย [ 28 ก.พ. 2010, 07:52 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
อ้างคำพูด: ผู้ที่แยกออกได้แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นความสามารถของผู้ที่วิปัสสนามานาน ผมจึงมักจะแนะนำหลายๆคนให้ฝึกวิปัสสนาเพื่อจะได้มีความสามารถพิเศษเช่นนี้ ถ้าคุณทักทายแยกออกได้แสดงว่าคงได้ฝึกวิปัสสนาอาจจะแบบไม่รู้ตัวก็ได้ อนุโมทนาค่ะคุณพงพัน ที่แนะนำให้เพื่อนๆหนึทุกข์ ด้วยวิธีนี้ เป็นวิธีที่วิเศษที่สุด ให้ผลระยะยาวด้วยค่ะ เริ่มเข้าปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเป็นราวประมาณปี 37 ราวกับจะรู้ว่า...ในอนาคตอันไม่ไกลนี้...จะเป็นยารักษา ที่จะต้องได้ใช้แน่นอน.. หลังจากนั้นก็กระท่อนกระแท่นมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ทิ้ง...ยิ่งมีทุกข์มากก็ยิ่งเข้าหาธรรมะ...ถึงจะไม่มี สติพอที่จะปฏิบัติกรรมฐาน...ก็จะฟังเทศน์บ้าง หาหนังสือ เกี่ยวกับธรรมะมาอ่าน หรือสวดมนต์บ้าง ทำบุญถวาย สังฆทานบ้าง ตามแต่โอกาส แล้วก็เริ่มรู้จักว่าตอนนี้เราทุกข์นะ...เราทุกข์เพราะอะไร?.... อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเป็นแบบนี้?.....เราควรจะ ทำอย่างไร?...ให้ทุกข์ที่เราเป็นอยุ่นี้มันทุเลาเบาบางลง ก็พอจะแยกออกได้...พอมีปัญหา..จะค่อยๆแยกได้ เป็นส่วนๆ...แบบอัตโนมัติเลย...จะทุกข์ก็ไม่กลัว ถึงไม่ทำอะไร?...เดี๋ยวมันก็จากเราไปเอง...ถ้าสุข ก็ไม่ดีใจมาก...เพราะเดี๋ยวมันก็ไปอีกเหมือนกัน.... ปัจจุบันก็ยังไม่ไปถึงไหน? สภาวะยังวนเวียนอยู่ที่เดิม เพราะเวลาและสถานที่ไม่ค่อยเอื้อสักเท่าไหร่?....แต่ก็ไม่ทิ้งค่ะ พยายามทำเท่าที่จะมีโอกาส....ขอยืนยันเลยว่า...ยาใดๆในโลกนี้ ไม่มีดีวิเศษเท่ากับ "ธรรมโอสถ" รักษาได้ทุกโรค ไม่ต้องเสียเงินซี้อ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาหมอ ไม่ต้องผ่าตัด ให้เจ็บตัว เรารักษาได้ด้วยตัวของเราเอง....... อ้างคำพูด: แต่ "ความรู้สึก ทางใจ" นั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ยึดไว้ไม่ได้เช่นกันทุกสภาวะล้วนลงสู่กฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้น คือรู้อยู่ที่ใจ รู้ว่าเรา "รัก" นะ เพราะเรายังเป็นคนอยู่.....จะไม่ให้รู้สึกรัก ชอบ พอใจ ใครเลย...คงเป็นไปได้ยาก....เมื่อยังตัดไม่ได้ก็ไมฝืน ปล่อยไปตามธรรมชาติ...เพียงแต่ดู และรู้อยู่ที่ใจ ไม่ไขว่คว้า.....เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่ว่าจะรู้สึก หรือไม่รู้สึก อ้างคำพูด: แหม แต่อย่าลืมสิครับว่า กว่าจะได้ขนาดนี้คุณทักทายต้องผ่านอะไรมาบ้าง มันยากตรงนั้นแหละครับแต่ถ้าใครมาถึงจุดที่ทำได้แล้วก็จะรู้สึกว่า ที่จริงแล้วมันก็ไม่เห็นยากเลย เพราะกุศล บารมี ที่เราอดทนใช้ความดีสู้กับความเจ็บปวดนั่นแหละครับ มันส่งผลให้เกิดเป็นใจที่สดใส อ่อนโยนกับความรักขนาดนี้ได้ ไม่ว่าทุกข์หรือสุข...ไม่มีใครมากกว่า หรือน้อยกว่ากัน หรอกค่ะ....อยู่ที่ใจเรายอมรับมันแค่ไหน?....เหมือนมีดบาดนิ้วมือ...คนหนึ่งอาจ รู้สึกเจ็บมากๆ....เห็นแผลแล้วจะเป็นลมให้ได้....แต่บาดแผลเท่ากันที่เกิดกับอีกคนหนึ่ง กลับรู้สึกเล็กน้อย....แป๊ปเดียวก็หายเจ็บแล้ว ยามใดที่เกิดทุกข์ แค่ใช้ความอดทนรอเวลา..แล้วมันก็จะดับไปเอง แทบจะไม่ต้องต่อสู้เลย...ขอเพียงอย่าซ้ำเติม...ด้วยการปรุงแต่งเพื่อ เพิ่มบาดแผล...ความเจ็บปวดให้กับตัวเอง....แค่ยอมรับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิตเราเป็นฝาแฝดของเรา...มาตั้งแต่เกิด อ้างคำพูด: หายากที่จะมีใครทนทุกข์ใจอย่างหนักได้เพื่อที่จะรักใครสักคน ผมยังไม่คิดเลยครับว่าที่ผ่านมาตัวเองจะรักใครสักคนบนความเจ็บปวดของตัวเองขนาดนั้นได้ แต่กุศลและความดีที่ทำ ก็นำมาสู่ความสงบทางใจได้ รักได้อย่างสบายใจ แต่อย่างว่าอีกล่ะครับ แล้วแต่กรรม แล้วแต่เหตุที่แต่ละคนสร้างมาอีกนั่นแหละ พอเราวางทุกอย่างลงได้...แยกแยะความรัก กับความต้องการออกจากกันได้แล้ว...ความเจ็บปวด..หรือทุกข์ใจต่างๆ มันก็มลายหายไปหมด...เหลือแต่ "รัก" และปรารถนาดีแบบอัตโนมัติ จะไม่มีคำว่าเจ็บปวดเจือปนอยู่กับความรัก..และไม่ต้องทนทุกข์ด้วย กุศลผลบุญเก่าคงมีอยู่บ้างจึงเหวี่ยงให้ทักทายเข้ามาในกระแสทางนี้.. และสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือการแผ่เมตตาทำใจอโหสิกรรม... ยอมรับทำใจ"อภัย"..ปลดปล่อยความโกรธ..แค้น..อาฆาต... พยาบาทออกจากใจ...อานิสงส์นี้ส่งผลเร็วจริงๆค่ะ สาธุ...เจริญในธรรม
|
|
| เจ้าของ: | อู๋เฮง [ 28 ก.พ. 2010, 08:26 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
เข้าใจทุกสิ่งดีขึ้น สาธุบุญด้วยนะคะ
|
|
| เจ้าของ: | พงพัน [ 02 มี.ค. 2010, 15:46 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
taktay เขียน: ปัจจุบันก็ยังไม่ไปถึงไหน? สภาวะยังวนเวียนอยู่ที่เดิม เพราะเวลาและสถานที่ไม่ค่อยเอื้อสักเท่าไหร่?....แต่ก็ไม่ทิ้งค่ะ พยายามทำเท่าที่จะมีโอกาส....ขอยืนยันเลยว่า...ยาใดๆในโลกนี้ ไม่มีดีวิเศษเท่ากับ "ธรรมโอสถ" รักษาได้ทุกโรค ไม่ต้องเสียเงินซี้อ ไม่ต้องเสียเวลาไปหาหมอ ไม่ต้องผ่าตัด ให้เจ็บตัว เรารักษาได้ด้วยตัวของเราเอง....... ที่ว่าคงไม่ไปถึงไหนคงไม่ใช่หรอกครับ สภาวะที่คุณทักทายมีอยู่ สัมผัสอยู่นั้นไม่ใช่สภาวะที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆกับคนทุกคน ถ้าไม่ได้ฝึกวิปัสสนามาบ้าง จะไม่มีทางคิดหรือรู้สึกเช่นนี้ได้ ไม่ไกลแล้วล่ะครับคุณทักทาย ถ้าคุณทักทายปารถนาการหลุดพ้นจากการเกิดอีก ถ้าให้ผมแนะนำต่อไป ก็ควรพิจารณาขันธ์๕ของเราให้ละเอียด น้อมสู่ไตรลักษณ์ และถามตัวเองว่าควรจะยึดมั่นถือมั่นอีกหรือ ขันธ์๕นี้เป็นของใคร เมื่อมันเป็นเพียงสภาวะที่เกิดดับ ไม่มีตัวเราของเรา แล้วเรายึดอะไร และผู้ที่ถามว่าเรายึดอะไร ก็เกิดดับเช่นกัน ควรยึดไว้หรือไม่ สถานที่ปฏิบัติ โอกาสและเวลาในการปฏิบัติ อยู่กับเราตลอดเวลาครับ สถานที่ที่เหมาะที่สุด ที่ดีที่สุดก็คือกายและใจของเรานี่แหละครับ ทุกข์ก็ทุกข์ที่กายและใจ จะพ้นทุกข์ได้ก็ที่กายและใจเรานี่แหละครับ ไม่ใช่ที่ไหนเลย taktay เขียน: คือรู้อยู่ที่ใจ รู้ว่าเรา "รัก" นะ เพราะเรายังเป็นคนอยู่.....จะไม่ให้รู้สึกรัก ชอบ พอใจ ใครเลย...คงเป็นไปได้ยาก....เมื่อยังตัดไม่ได้ก็ไมฝืน ปล่อยไปตามธรรมชาติ...เพียงแต่ดู และรู้อยู่ที่ใจ ไม่ไขว่คว้า.....เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่ว่าจะรู้สึก หรือไม่รู้สึก ถูกแล้วล่ะครับที่ปล่อยไปตามธรรมชาติ ลองศึกษาขันธ์๕ ของเราให้ละเอียดอีกนิด แล้วถามตัวเองว่า ใครเป็นผู้ดู ใครเป็นผู้รู้(มันคือวิญญาณขันธ์ ในขันธ์๕) ผู้ดูผู้รู้นี้มันก็ไม่เที่ยงไม่ใช่หรือ ควรยึดมั่นถือมั่นไว้หรือไม่ taktay เขียน: ไม่ว่าทุกข์หรือสุข...ไม่มีใครมากกว่า หรือน้อยกว่ากัน หรอกค่ะ....อยู่ที่ใจเรายอมรับมันแค่ไหน?....เหมือนมีดบาดนิ้วมือ...คนหนึ่งอาจ รู้สึกเจ็บมากๆ....เห็นแผลแล้วจะเป็นลมให้ได้....แต่บาดแผลเท่ากันที่เกิดกับอีกคนหนึ่ง กลับรู้สึกเล็กน้อย....แป๊ปเดียวก็หายเจ็บแล้ว ยามใดที่เกิดทุกข์ แค่ใช้ความอดทนรอเวลา..แล้วมันก็จะดับไปเอง แทบจะไม่ต้องต่อสู้เลย...ขอเพียงอย่าซ้ำเติม...ด้วยการปรุงแต่งเพื่อ เพิ่มบาดแผล...ความเจ็บปวดให้กับตัวเอง....แค่ยอมรับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิตเราเป็นฝาแฝดของเรา...มาตั้งแต่เกิด เหตุการณ์เหมือนกันแต่ทุกข์มากน้อยต่างกัน มันเป็นความแรงของผลกรรมแต่ละคนที่ทำกรรมมาหนักเบาไม่เท่ากันครับ จึงไม่สามารถจะตัดสินให้กันได้เลยว่าควรทุกข์มากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่ทุกคนสามารถทำเหมือนกันได้คือพิจารณาความเป็นธรรมชาติของทุกข์และไม่ทุกข์ไปกับทุกข์ ฝาแฝดของเรามันไม่เที่ยง ตัวเรามันก็ไม่เที่ยง เพราะที่จริงแล้วมันก็ไม่มีเรา ตัวเราหรือฝาแฝดของเราจึงเป็นสภาวะเหมือนๆกัน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเหมือนกัน taktay เขียน: พอเราวางทุกอย่างลงได้...แยกแยะความรัก กับความต้องการออกจากกันได้แล้ว...ความเจ็บปวด..หรือทุกข์ใจต่างๆ มันก็มลายหายไปหมด...เหลือแต่ "รัก" และปรารถนาดีแบบอัตโนมัติ จะไม่มีคำว่าเจ็บปวดเจือปนอยู่กับความรัก..และไม่ต้องทนทุกข์ด้วย กุศลผลบุญเก่าคงมีอยู่บ้างจึงเหวี่ยงให้ทักทายเข้ามาในกระแสทางนี้.. และสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือการแผ่เมตตาทำใจอโหสิกรรม... ยอมรับทำใจ"อภัย"..ปลดปล่อยความโกรธ..แค้น..อาฆาต... พยาบาทออกจากใจ...อานิสงส์นี้ส่งผลเร็วจริงๆค่ะ สาธุ...เจริญในธรรม การที่คุณทักทายสามารถแยกสภาวะต่างๆออกจากกันได้ ก็เป็นผลจากการวิปัสสนานั่นแหละครับ ความเจ็บปวดก็ไม่เที่ยง ความรักก็ไม่เที่ยง แม้แต่ตัวผู้เจ็บปวด ตัวผู้รัก ก็ไม่เที่ยง คือตัวเราก็ไม่เที่ยงเช่นกัน แล้วยังจะมีอะไรน่ายึดมั่นถือมั่นอีกล่ะครับ หวังว่าคุณทักทายจะเห็นบางสิ่งบางอย่าง จากการพิจารณาตามที่ผมบอก ติดตรงไหน สงสัยตรงไหน ถามได้ครับ ผมยินดีให้คำแนะนำตามความรู้เท่าที่ผมมีอยู่ครับ |
|
| เจ้าของ: | ทักทาย [ 03 มี.ค. 2010, 10:53 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
พงพัน เขียน: การที่คุณทักทายสามารถแยกสภาวะต่างๆออกจากกันได้ ก็เป็นผลจากการวิปัสสนานั่นแหละครับ ความเจ็บปวดก็ไม่เที่ยง ความรักก็ไม่เที่ยง แม้แต่ตัวผู้เจ็บปวด ตัวผู้รัก ก็ไม่เที่ยง คือตัวเราก็ไม่เที่ยงเช่นกัน แล้วยังจะมีอะไรน่ายึดมั่นถือมั่นอีกล่ะครับ หวังว่าคุณทักทายจะเห็นบางสิ่งบางอย่าง จากการพิจารณาตามที่ผมบอก ติดตรงไหน สงสัยตรงไหน ถามได้ครับ ผมยินดีให้คำแนะนำตามความรู้เท่าที่ผมมีอยู่ครับ อนุโมทนา สาธุ กับคำแนะนำค่ะ จะพยายามพิจารณาตามนี้..ให้ได้นะค่ะ บางครั้งก็ดูเหมือนจะเข้าใจจะรู้...แต่บางทีมันก็ เหมือนไม่เข้าใจเอาเสียเลย...รู้สึกพอจวนเจียน จะสว่าง...มันก็กลับมืด...ไปอีกต้องมาเริ่มต้นใหม่ แล้วก็ค่อยๆก้าวใหม่...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าติดอะไรอยู่? ตอนนี้ก็ได้แต่ประคับประคองสภาวะเดิมๆไปก่อน หากมีข้อสงสัย....คงต้องรบกวนขอคำแนะนำ จากคุณพงพันในโอกาสต่อไปนะค่ะ..... ขออนุโมทนาสาธุอีกครั้งค่ะ เจริญในธรรม
|
|
| เจ้าของ: | kanalove [ 03 มี.ค. 2010, 12:06 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
ความรักนั้น... สุดท้าย ท้ายที่สุด ก็เหลือเพียงแค่ตัวเรา.... ความรัก สามารถเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด และก็สามารถ ที่จะโบยบินจากไปโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวได้เช่นกัน ดังนั้นสุดท้ายคนที่เหลืออยุ่ของความรัก ก็คือตัวเรา นั้นเอง ต่อให้เรารักเขามากแค่ไหน หากถึงเวลาต้องจากกัน ไม่ว่าใครก็คงรั้งเอาไว้ไม่ได้ มีพบ มีพราก มีลาจากกันในบั้นปลาย คงเหลือได้เพียงแค่ความทรงจำดีๆที่เก็บไว้ พอตายจากกันก็หายไป... เริ่มภพชาติใหม่กับคนอื่น.... สุดท้ายแล้วคงไม่พ้น ที่เราจะต้อง "รักตัวเอง" |
|
| เจ้าของ: | พงพัน [ 06 มี.ค. 2010, 21:28 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
ขออภัยนะครับที่ตอบรับช้า อ่านดูแล้ว ขออนุญาตแนะนำคุณทักทายเท่าความรู้ที่ผมมีนะครับ taktay เขียน: บางครั้งก็ดูเหมือนจะเข้าใจจะรู้...แต่บางทีมันก็ เหมือนไม่เข้าใจเอาเสียเลย...รู้สึกพอจวนเจียน จะสว่าง...มันก็กลับมืด...ไปอีกต้องมาเริ่มต้นใหม่ แล้วก็ค่อยๆก้าวใหม่...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าติดอะไรอยู่? ผมจะย้ำเสมอว่า การพิจารณา อย่าหนีไปจากขันธ์๕ จะรู้ก็ควรรู้อยู่ในขันธ์๕ของเรา จะเข้าใจก็ควรเข้าใจอยู่ในขันธ์๕ของเรา การก้าวใหม่ก็ควรเริ่มที่ขันธ์๕ของเรา และที่ติดอยู่ก็ติดในขันธ์๕ของเรานี่แหละครับ เข้าใจก็ไม่เที่ยง ไม่เข้าใจก็ไม่เที่ยง รู้ก็ไม่เที่ยง ไม่รู้ก็ไม่เที่ยง สว่างก็ไม่เที่ยง มืดก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างล้วนเป็นความไม่เที่ยง (คุณทักทายพิจารณามานานพอสมควรถ้าพูดแบบนี้อาจจะพอเข้าใจในไตรลักษณ์มากขึ้น) การจะหลุดออกจากความไม่เที่ยงนี้ ก็ต้องพิจารณาในขันธ์๕ของเราดูว่า ใครเป็นผู้เข้าใจ ใครเป็นผู้ไม่เข้าใจ ใครเป็นผู้รู้ ใครเป็นผู้ไม่รู้ ใครเป็นผู้สว่าง ใครเป็นผู้มืด ลองถามตัวเองและหาดูว่ามันเป็นใคร และใครที่เราหาอยู่นี้มันเที่ยงหรือไม่ แล้วผู้ที่เข้าไปหามันเที่ยงหรือไม่ ไม่ต้องเร่งนะครับ ค่อยๆพิจารณาไปก็ได้ แต่ข้อเน้นว่า ให้ดูสภาวะในกายใจของคุณทักทาย ว่าสภาวะนั้นๆมันเกิดจากการทำงานของตัวใดในขันธ์๕ ดูให้เห็นการทำงานของขันธ์๕แต่ละตัวให้ชัด มันก็จะไม่หลง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในกายใจเรามันจะไม่พ้นไปจากขันธ์๕แน่นอน เมื่อพิจารณาครอบคลุมขันธ์๕แล้วจะรู้อย่างไม่หลง ไม่นานก็จะรู้ว่าติดอะไรอยู่ครับ taktay เขียน: ตอนนี้ก็ได้แต่ประคับประคองสภาวะเดิมๆไปก่อนหากมีข้อสงสัย....คงต้องรบกวนขอคำแนะนำ จากคุณพงพันในโอกาสต่อไปนะค่ะ..... ขออนุโมทนาสาธุอีกครั้งค่ะ เจริญในธรรม อนุโมทนาบุญด้วยครับ
|
|
| เจ้าของ: | ทักทาย [ 07 มี.ค. 2010, 00:11 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
อ้างคำพูด: แต่ข้อเน้นว่า ให้ดูสภาวะในกายใจของคุณทักทาย ว่าสภาวะนั้นๆมันเกิดจากการทำงานของตัวใดในขันธ์๕ ดูให้เห็นการทำงานของขันธ์๕แต่ละตัวให้ชัด มันก็จะไม่หลง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในกายใจเรามันจะไม่พ้นไปจากขันธ์๕แน่นอน เมื่อพิจารณาครอบคลุมขันธ์๕แล้วจะรู้อย่างไม่หลง ไม่นานก็จะรู้ว่าติดอะไรอยู่ครับ พอจะเข้าใจบ้างแล้ว... จะทำตามคำแนะนำนะค่ะ อนุโมทนา สาธุค่ะ
|
|
| เจ้าของ: | พงพัน [ 07 มี.ค. 2010, 23:04 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
taktay เขียน: อ้างคำพูด: แต่ข้อเน้นว่า ให้ดูสภาวะในกายใจของคุณทักทาย ว่าสภาวะนั้นๆมันเกิดจากการทำงานของตัวใดในขันธ์๕ ดูให้เห็นการทำงานของขันธ์๕แต่ละตัวให้ชัด มันก็จะไม่หลง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในกายใจเรามันจะไม่พ้นไปจากขันธ์๕แน่นอน เมื่อพิจารณาครอบคลุมขันธ์๕แล้วจะรู้อย่างไม่หลง ไม่นานก็จะรู้ว่าติดอะไรอยู่ครับ พอจะเข้าใจบ้างแล้ว... จะทำตามคำแนะนำนะค่ะ อนุโมทนา สาธุค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
|
|
| เจ้าของ: | ชาติสยาม [ 07 มี.ค. 2010, 23:18 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
ขอให้ทุกคนโชคดีในความรัก มีลูกตามคิด ชีวิตมีสูข จาก ไบรวู๊ด มากาเร้ต
|
|
| เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 07 มี.ค. 2010, 23:25 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
อปฺปสฺสาทา ทุกฺขา กามา นตฺถิ กามา ปรํ ทุกฺขํ เย กาเม ปฏิเสวนฺติ นิรยนฺเต อุปปชฺชเร. กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก ทุกข์อันยิ่งกว่ากามไม่มี ผู้ใดส้องเสพกาม ผู้นั้นย่อมเข้าถึงนรก. (โพธิสตฺต) ขุ. ชา. เอกาทสก. ๒๗/๓๑๕.
|
|
| เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 07 มี.ค. 2010, 23:28 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
อิตฺถี มลํ พฺรหฺมจริยสฺส เอตฺถายํ สชฺชเต ปชา ตโป จ พฺรหฺมจริยญฺจ ตํ สินานมโนทกํ. หญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์ ประชาชนนี้ข้องอยู่ในหญิงนี้ ตบะและพรหมจรรย์เป็นเครื่องอาบ ไม่ใช่น้ำ. (พุทฺธ) สํ. ส. ๑๕/๕๒.
|
|
| เจ้าของ: | หลับอยุ่ [ 07 มี.ค. 2010, 23:30 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักในอุดมคติ |
ปิยานํ อทสฺสนํ ทุกขํ อปฺปิยานญฺจ ทสฺสนํ ตสฺมา ปิยํ น กยิราถ ปิยาปาโย หิ ปาปโก. การไม่เห็นสิ่งที่รักเป็นทุกข์ และการเห็นสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ เหตุนั้น จึงไม่ควรทำอะไรให้เป็นที่รัก เพราะความพรากจากสิ่งที่รัก เป็นการทราม. (พุทฺธ) ขุ. ธ. ๒๕/๔๓.
|
|
| หน้า 1 จากทั้งหมด 17 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
| Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |
|