วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 11:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 20:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 21:14
โพสต์: 15

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นกรรมของตัวเราหรือว่าของสามีหรือว่าเป็นกรรมของผู้หญิงคนนั้น
หรือว่าเป็นกรรมของทั้งสามคนที่ได้เคยทำร่วมกันมา
อยากจะทราบค่ะว่าเพราะอะไรถึงได้เจอเรื่องแบบนี้ แม้ว่าเรื่องจะผ่านไปแล้ว
แต่ยังคิดวนเวียนอยู่เรื่อยไปไม่จบไม่สิ้น พยายามทำใจไม่ให้คิดแต่ก็ทำไม่ได้สักทีค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2010, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรรมร่วมกันทั้งหมดนั่นแหละครับ
ให้รู้ไว้แค่ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ก็เพราะมีเหตุ
ความทุกข์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเราไม่เคยสร้างเหตุนั้นไว้กับใคร
เพื่อความสบายใจก็ให้คิดว่า รีบๆชดใช้กรรมไปซะจะได้หมดเวรหมดกรรมเสียที
และเสริมกรรมดีโดยการทำความดีและปฏิบัติธรรม

ถ้าปล่อยวางความคิดไม่ได้ ยิ่งควรที่จะต้องฝึกสติ
พยายามมีสติรู้อยู่ที่กายและอารมณ์ความรู้สึกในปัจจุบันขณะ
เวลาจะคิดฟุ้งซ่านก็ดึงสติเข้ามาที่กายและความรู้สึก
ให้สติอยู่กับปัจจุบันขณะให้มากที่สุด จะลดความวุ่นวายใจจากอดีตและความกังวลในอนาคตได้
หาแนวทางการฝึกสติตามหลักสติปัฏฐาน๔ แล้วลองปฏิบัติดูครับ
เมื่อมีสติรู้แล้วจะเห็นถึงการเกิดดับความไม่เที่ยงแท้ของสภาวะต่างๆของกายใจ
จิตใจจะยอมรับความเป็นจริงได้มากขึ้น ปล่อยวางสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น
เมื่อสติมั่นคงแล้ว เมื่อมีความคิดปรุงแต่งขึ้นมา จะสามารถพิจารณาและเห็นความไม่เที่ยงของความคิดต่างๆได้ แต่ถ้าสติยังไม่สมบูรณ์พอก็ลองพยายามฝึกเจริญสติไปก่อน

ที่ทำไม่ได้เพราะอาจยังไม่ทราบแนวทางในการปฏิบัติ
เมื่อทราบแล้ว ได้ลองฝึกแล้ว คำว่าทำไม่ได้จะไม่มีแน่นอนครับ
อีกทั้งปัญญาจะเกิดและจะเห็นทางสว่างของชีวิตอีกด้วย

เป็นกำลังใจให้ครับ :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2010, 15:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่รัก:

อ้างคำพูด:
เป็นกรรมของตัวเราหรือว่าของสามีหรือว่าเป็นกรรมของผู้หญิงคนนั้น


คำว่า "กรรม" คืออะไร?..พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แปลความได้ว่า
"เรากล่าวเจตนา (ความจงใจ) ว่าเป็นกรรม เพราะมีความจงใจ คือมีใจมุ่งแล้ว จึงทำทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง"

กรรม เมื่อทำแล้วย่อมมีผลตามมา(ยกเว้นในหมู่พระอรหันต์ที่ทำกรรมแล้วไม่มีผล)..เรียกว่า วิบาก....ดังนั้นในคำถามของคุณที่รัก จึงต้องแยกคำว่ากรรมเป็น ๓ ส่วนคือ ๑. ส่วนเหตุเก่าคือเจตนาในการก่อน (กรรมเก่า)๒. วิบาก คือผลของกรรมเก่า และ ๓. กรรมใหม่คือการกระทำหรือเจตนาใหม่ที่จะส่งผลในอนาคต...


จึงตอบคำถามข้างบนนี้ได้ว่า..


๑. นี้เป็น"ผลของบาปกรรมเก่า"( =อกุศลวิบาก)ของคุณที่รักเอง ประมาณว่าได้เคยล่วงศีลข้อ๓มาก่อน มีผลที่เป็นเศษกรรมคือมีคู่ที่ไม่ซื่อสัตย์ คิดนอกใจ เป็นต้นจะเป็นกรรมร่วมกับกลุ่มคนเหล่านี้หรือไม่ พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตอบได้ครับ แต่ที่แน่ๆคือคุณได้ทำบาปมาก่อน ใครทำบาปกรรมมาอย่างไรย่อมได้ผลที่สอดคล้องกับเจตนานั้น และบาปย่อมยังผลเป็นทุกข์เสมอ ไม่อาจเป็นสุขได้เลย การทำบาปแม้ครั้งหนึ่ง ผลที่ตามมาย่อมเป็นสิบ ร้อย พันหรือนับไม่ถ้วน ขึ้นอยู่กับกำลังของเจตนา ความพยายามในการทำและ"คุณ"ของบุคคลที่จะถูกกระทบจากการกระทำนั้นๆ..จึงปรากฏในพระไตรปิฎกมากมายว่าเมื่อทำชั่วครั้งเดียว เขาต้องไป"ใช้วิบากกรรม"นั้นเป็น๕๐๐ชาติบ้าง ๑๐๐๐ ชาติบ้าง อย่างพระเทวทัตนี้ก็จะได้อยู่ในอเวจีจนสิ้นกัปป์ เรียกว่านับเวลาแทบไม่ได้แล้ว...แม้ในกุศลกรรมก็ทำนองเดียวกัน..

๒. นี้เป็นกรรมชั่วใหม่ของหญิงและชายที่ลักลอบเล่นชู้กัน ..ซึ่งผลโดยตรงคือการได้เกิดใช้กรรมในนรกอบายทุคติ เมื่อหมดกรรมนั้น หากได้เกิดมาเป็นคน เศษกรรมที่เหลือ จะตามมาให้ผล คืออาจได้เกิดผิดเพศ เป็นผู้ไม่สมหวังในความรัก มีคู่ที่นอกใจ ต้องเลิกร้างกันไป หรือถูกข่มขืนเป็นเมียน้อย มีโรคเกี่ยวข้องด้วยอวัยวะเพศหรือเกิดจากเพศรส..
เป็นผู้ที่สังคมรังเกียจ เรียกว่าเข้าที่ใหนก็ถูกขับไล่จากที่นั้น หรือเข้าที่ใหนวงก็แตกที่นั้นทีเดียว..เขาจะได้รับทุกข์ในทำนองเดียวกับที่คุณที่รักกำลังรู้สึกอยู่ในบัดนี้นี่เอง...

การทราบเหตุผลเรื่องกรรมเป็นเรื่องที่พึงใส่ใจ เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องทำความเห็นให้ตรง เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ อันเป็นหลักการที่สำคัญยิ่งยวดในคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หากไม่มีสัมมาทิฏฐิแล้ว ใครๆย่อมไม่อาจล่วงทุกข์ได้เลย แลทั้งเป็นอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าการทำอนันตริยกรรมอีกด้วย.. เพราะสัมมาทิฏฐิคือปัญญาที่ทราบว่าสิ่งที่เกิดแก่เรานั้น"มีที่มา" (เหตุ) เมื่อทราบว่าที่มาแล้วจะได้ไม่ใช้"วิบากครั้งนี้"ไปเป็น"เหตุ"เพื่อบาปกรรมไรๆใหม่ๆอีกต่อไป..ทั้งสามารถมีโยนิโสมนัสสิการ คือการวางใจไว้โดยแยบคายว่า ..

"..ก็เพราะในกาลก่อน เราเป็นผู้ไม่มีศีล ร่าเริงยิ่งในทุจริตเห็นปานนี้ ..ได้ทำตนเยี่ยงคนพาลทั้งสองในปัจจุบันนี้นั่นเอง จึงต้องมาเสวยผลอันเผ็ดร้อนในขณะปัจจุบัน เรานี่เองเป็นผู้ลิขิตชีวิตตนมาเช่นนี ควรหรือที่จะโกรธอาฆาตเสียใจในคนอื่น ที่ตกเป็นทาสของกิเลสตัณหา และมีที่ไปคือทุกข์ในเบื้องหน้าแน่นอนเหล่านี้...ก็สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เรานั้นก็มาด้วยกรรมของเรา เขาทั้งหลายก็จักไปตามกรรมของเขานั่นแหละ เราจะไม่ไปอบายทุคติเพราะกรรมชั่วของคนอื่น แต่ถ้าใจเราเป็นบาป มีความโกรธอาฆาตเขาอยู่ แม้เราก็ต้องไปอบายเช่นกัน..."

คุณที่รัก พึงเข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายย่อมไม่ตั้งมั่นอยู่อย่างเดิมตลอดไป เพราะสิ่งต่างๆเกิดได้จากการประกอบกันของเหตุปัจจัยจำนวนมากที่เปลี่ยนแปลงอยู่ เสมอ ใจเรานั้น ก็เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยเช่นกัน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาอะไรได้...เพราะหากบังคับได้ิิคุณที่รักคงไม่ถึงความทุกข์โทมนัสเช่นนี้แน่ เพราะคงสั่งหรือบังคับให้มันเป็นสุขแต่ถ่ายเดียว..

สิ่งที่จะช่วยระงับทุกข์ ปัดเป่าทุกข์ทั้งโดยชั่วคราวและถาวรได้มีอย่างเดียวคือ การมีปัญญาที่เกิดจากคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น นอกจากนี้ไม่มีทางอื่น เมื่อจะเข้าถึงคำสอนได้ก็ต้องอัญเชิญพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งก่อนเพราะการที่เราจะเข้าไปศึกษาอะไรกับใครก็ต้องยอมรับนับถือเขาว่าเป็น"ที่พึ่ง" หรือครู แต่คนที่จะถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแท้จริง มีไม่มากนัก เพราะต้องมีบุญเก่าที่ไม่ธรรมดามากมารองรับ..คนที่มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่แน่นอนมั่นคงแท้จริง มีปรากฎอยู่ในกลุ่มพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป..บุคคลนอกนี้เป็นผู้ถึงพระรัตนตรัยแบบชั่วคราว แบบผลุบโผล่ เพราะชาติต่อไปก็จะแหงนหน้าหาศาสดาอื่นต่อไปอีก แต่การตั้งตนขอเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แม้ครั้งหนึ่ง ก็มีอานิสงค์คือการได้อุปนิสสัยที่จะได้พบศาสนาพุทธในกาลต่อไป และสามารถจะได้สิทธิในการเป็นผู้มั่นคงในที่พึ่งนี้อย่างไม่เปลี่ยนแปลงได้ต่อไป...

เมื่อมีที่พึ่งแล้ว (ดีกว่าไปเอาสามี ลูกหรือพ่อแม่เป็นที่พึ่ง) ก็พึงตั้งตนไว้ชอบคือการประพฤติศีลให้มั่นคง อานิสงค์ของศีลคือการได้มาซึ่งความสุขและโภคะทั้งในโลกนี้แลโลกหน้า จะช่วยปกป้องเรามิให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว ปลอดภัยจากการที่ต้องได้พบเจอคนชั่วหรือพาลทั้งหลาย..จะมีแต่คนดีมีศีลธรรมเป็นบริวารย่านเครือ..แม้ต้องตกไปอยู่ในหมู่คนพาล ก็ปลอดภัยเกษมสุข..

เพราะมีศีลเป็นฐาน การภาวนาคือสมถะและวิปัสสนาย่อมเป็นไปได้ และมีผล จนสามารถพ้นทุกข์ได้เป็นสมุทเฉทไม่ต้องกลับมาเกิดเพื่อให้มีทุกข์ทั้งมวลอีกต่อไปก็เป็นอันเสร็จกิจทั้งปวง..

ดังนั้น จึงพึงเริ่มก้าวแรกดังพรรณมาข้างบนนั้นแล...
ขอให้พ้นทุกข์ไวๆครับ.. :b46: :b47: :b48: :b41:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มี.ค. 2010, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นวิบากร่วมกันของทั้งสามคนนะคะ ส่วนใคนมีมากกว่ากันและกันผลจะบอกในปัจจุบันค่ะ บ่วงกรรมนี้จะไม่มีวันหมดถ้าไม่มีใครปล่อยค่ะ ปล่อยในที่นี้คือวางเฉยกับเหตุการณ์ที่เกิดกับทั้งสามให้ได้ ยึดอุเบกขาไว้ค่ะ เข้าใจเหตุการณ์ว่าเหตุที่แท้แล้วมาจากอดีต มันก็กำหนดให้มีเหตุปัจจุบันให้เป็นไป เราก็ตัดตอนอย่าให้ไฟมันลามต่อด้วยการวางเฉยและทำบุญแผ่เมตตาให้ไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2010, 14:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 13:22
โพสต์: 176

แนวปฏิบัติ: ดูจิต
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ,ฟังธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่กับปัจจุบัน

 ข้อมูลส่วนตัว


หมั่นทำบุญ เข้าวัดฟังธรรม
ปฏิบัติอยู่เนืองๆ
แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร
ผู้ใดก็ตามที่เคยได้ล่วงเกินไว้
ถ้าไม่มีเวลาไปวัด
ก็ปฏิบัติเจริญภาวนาเองที่บ้านได้เหมือนกันค่ะ
แต่ต้องมีความมุ่งมั่นและตั้งใจ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรจริงๆ
แล้วกรรมจะค่อยๆทุเลาเบาบางลงคะ
ย้ำว่าต้องหมั่นทำบ่อยๆ เจริญภาวนาได้ทุกวันยิ่งดีคะ

ขอให้พระธรรมนำชีวิตทุกเมื่อนะค๊ะ

.....................................................
เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นไปได้


แก้ไขล่าสุดโดย krathin เมื่อ 20 เม.ย. 2010, 14:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 เม.ย. 2010, 07:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


แวะมาเยี่ยมค่ะ วันนี้เป็นอย่างไรบ้างค่ะ? :b12:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 31 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร